ประสิทธิผลของนโยบายการเงินผ่านการสื่อสารของธนาคารแห่งประเทศไทย

excerpt
บทความนี้ต้องการศึกษาว่า การสื่อสารของคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย มีส่วนช่วยเพิ่มประสิทธิผลการดำเนินนโยบายการเงินได้มากน้อยเพียงใด ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่าเอกสารแถลงผลการประขุม กนง. ถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยเสริมการปรับอัตราดอกเบี้ย และเพิ่มประสิทธิผลของนโยบายการเงิน ทั้งในด้านความสามารถในการคาดการณ์ทิศทางอัตราดอกเบี้ยในอนาคต การตอบสนองของอัตราดอกเบี้ยระยะยาว และกลไกการส่งผ่านของอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่มีต่อผลผลิตและอัตราเงินเฟ้อ ดังนั้นการประเมินกลยุทธ์การสื่อสารต่อสาธารณชนให้มีประสิทธิภาพจึงถือเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
นับตั้งแต่เริ่มต้นใช้กรอบนโยบายการเงินภายใต้การกำหนดเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อเมื่อปี 2000 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ให้ความสำคัญกับการเผยแพร่ข้อมูลประกอบการตัดสินใจเชิงนโยบาย อันประกอบด้วย
- การแถลงข่าวผลการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (Monetary Policy Statement) ที่มีการประชุมประมาณทุก 6 สัปดาห์ โดยได้ชี้แจงประเด็นสำคัญในการตัดสินใจอัตราดอกเบี้ยนโยบายและมีการเปิดเผยมติของที่ประชุม
- การเผยแพร่รายงานนโยบายการเงินเป็นรายไตรมาส (Monetary Policy Report) ซึ่งรวมถึงการประมาณการตัวเลขเศรษฐกิจและเงินเฟ้อในระยะ 8 ไตรมาสข้างหน้า และ
- การเปิดเผยรายงานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินฉบับย่อ (Edited MPC Minutes) ในปี 2011
หากพิจารณาถึงแนวทางปฏิบัติของธนาคารกลางอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงหลังวิกฤตการณ์การเงินในปี 2008 การสื่อสารของธนาคารกลางได้เป็นประเด็นที่มีการพูดคุยและถกเถียงกันมาก ทั้งในวงการนายธนาคารกลางและนักวิชาการ ทั้งนี้เนื่องจากในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายของประเทศอุตสาหกรรมขนาดใหญ่อยู่ในระดับใกล้ศูนย์ ภายใต้ข้อจำกัดในการดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายเพื่อกระตุ้นการการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ การสื่อสารของธนาคารกลางจึงถูกมองเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่มีความสำคัญมากขึ้น เนื่องจากสามารถส่งผลกระทบต่อการคาดการณ์ของภาคเอกชนและตลาดการเงิน (Blinder et al. 2008) อย่างไรก็ตาม งานศึกษาในเรื่องนี้โดยส่วนใหญ่มักจะมุ่งไปที่ธนาคารกลางของประเทศอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ดังนั้น บทความนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินประสิทธิผลของนโยบายการเงินผ่านการสื่อสารของ ธปท. โดยใช้ข้อมูลจากรายงานผลการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) โดยมุ่งวิเคราะห์ว่าการสื่อสารของธนาคารกลางมีส่วนช่วยให้การดำเนินนโยบายการเงินมีประสิทธิภาพมากขึ้นหรือไม่ อย่างไร
ในการวิเคราะห์ประสิทธิผลของการสื่อสารของธนาคารกลาง งานศึกษาเชิงประจักษ์มักจะวัดขนาดและทิศทางการตอบสนองของตลาดการเงินในช่วงเวลาที่มีการแถลงข่าวผลการตัดสินใจนโยบายการเงิน ด้วยวิธีการวิเคราะห์เหตุการณ์ (Event study) ซึ่งเป็นการศึกษาที่เน้นช่วงเวลาครอบคลุมการแถลงข่าวและใช้ข้อมูลรายนาทีของราคาสินทรัพย์ เพื่อดูว่าการสื่อสารมีผลอย่างมีนัยสำคัญต่ออัตราผลตอบแทนของราคาสินทรัพย์ต่าง ๆ มากน้อยเพียงใด แม้ว่าวิธีนี้ว่าจะมีข้อดีคือ สามารถเห็นผลกระทบของการสื่อสารที่มีต่อตลาดการเงินได้โดยตรงและทันทีในช่วงเวลาที่มีประกาศ อย่างไรก็ตาม ข้อความคำพูดหรือเนื้อหาใจความที่ธนาคารกลางใช้ในการสื่อสารไม่ได้ถูกนำมาวิเคราะห์โดยตรง ดังนั้นจึงได้มีความพยายามที่จะวัดระดับการสื่อสารโดยตรงจากข้อความที่ใช้ในแถลงข่าวของธนาคารกลางว่าส่งผลอย่างไรต่อตลาดการเงิน ในระยะแรกมักจะเกี่ยวข้องกับการอ่านและจัดหมวดหมู่เองของผู้ที่ทำการศึกษา โดยทำการแปลงเนื้อความในเอกสารออกมาเป็นข้อมูลเชิงตัวเลข ที่สะท้อนถึงมุมมองทิศทางเศรษฐกิจในอนาคตของธนาคารกลาง เช่นงานของ Erhmann and Fratzscher (2007) วิธีการดังกล่าวนี้ต้องอาศัยดุลยพินิจหรือขึ้นกับการตีความของผู้วิจัยเอง ซึ่งทำให้ยากที่ผู้วิจัยอื่น ๆ จะนำมาพัฒนาต่อยอดได้
ในช่วงระยะเวลาไม่นานนี้ได้มีงานศึกษาอีกกลุ่มหนึ่ง ที่ได้นำวิธีการวิเคราะห์เนื้อความ (Automated content analysis) มาใช้ในการวิเคราะห์การสื่อสารของธนาคารกลาง ซึ่งจุดเด่นของวิธีการดังกล่าวคือ ผลที่ได้จากการวิเคราะห์จะปราศจากความเห็นส่วนตัวของนักวิจัย โดยตัวอย่างงานวิจัยในกลุ่มนี้ได้แก่ Gorodnichenko and Shapiro (2007) ใช้วิธีการนับจำนวนคำ (Word counts) เพื่อหาคำที่สื่อถึงวัตถุประสงค์ของนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในช่วงที่ Alan Greenspan และ Ben Bernanke ดำรงตำแหน่งประธานธนาคารกลางของสหรัฐฯ นอกจากนี้ Hendry and Madeley (2010) ได้ใช้วิธีที่ซับซ้อนมากขึ้นโดยอาศัยเครื่องมือทางสถิติที่เรียกว่า Latent Semantic Analysis ซึ่งใช้หลักการของการวิเคราะห์องค์ประกอบพื้นฐาน (Principal Component Analysis) เพื่อระบุประเด็นที่ต้องการสื่อสารจากรายงานของธนาคารกลางสหรัฐฯ และแคนาดานอกจากนี้ Lucca and Trebbi (2011) ได้เริ่มนำเครื่องมือในสาขา Computational Linguistics มาประยุกต์ใช้เพื่อวัดระดับการสื่อสารของธนาคารกลางจากแถลงการณ์ของ Federal Open Market Committee ในสหรัฐฯ โดยใช้เครื่องมือการค้นหาและวัดความถี่ของเนื้อความจาก Google และ Dow-Jones Factiva Newswire ซึ่งวิธีการเหล่านี้แสดงถึงความพยายามอย่างต่อเนื่องที่จะพัฒนาวิธีการวิเคราะห์การสื่อสารของธนาคารกลางโดยใช้หลักการทางสถิติเพื่อลดความเอนเอียงที่อาจเกิดขึ้นจากวิจารณญาณของผู้วิจัย
ถึงแม้ว่าจะมีการนำเสนอวิธีวัดการสื่อสารฯ หลายวิธีตามที่กล่าวถึงข้างต้น ปัจจุบัน การพัฒนาเครื่องมือเพื่อการวิเคราะห์เนื้อหาของเอกสารที่สื่อจากธนาคารกลางอาจถือได้ว่าอยู่ในระยะเริ่มต้น และยังไม่มีวิธีการใดที่ได้รับการยอมรับอย่างเอกฉันท์ว่าสามารถใช้ในการจัดทำดัชนีการสื่อสารฯ ที่มีประสิทธิภาพมากกว่าวิธีอื่น ๆ ดังนั้น ในการศึกษานี้ Luangaram and Setthapramote (2015) จึงนำเสนอแนวทางในการประยุกต์ใช้เครื่องมือ Wordfish ของ Slapin and Proksch (2008) ซึ่งปัจจุบันถูกใช้เฉพาะในงานวิจัยด้านรัฐศาสตร์ เช่น ในการประมาณจุดยืนเชิงนโยบายของพรรคการเมืองที่อยู่ฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา เป็นต้น ซึ่งวิธีการนี้ผู้วิจัยคิดว่าสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการวัดระดับจุดยืนเชิงนโยบายของธนาคารกลางได้เช่นเดียวกัน
วิธี Wordfish ถือได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของสาขาวิชาด้านการวิเคราะห์เนื้อหา และสามารถอธิบายขั้นตอนการคำนวณได้โดยใช้หลักการทางสถิติ โดยอยู่บนแนวคิดที่ว่าจุดยืนด้านนโยบายเป็นตัวแปรที่ไม่สามารถวัดได้โดยตรง (latent variable) แต่สามารถประมาณได้จากความถี่ของการใช้คำพูดที่ปรากฏในเอกสาร กล่าวคือคำที่ถูกใช้บ่อยจะสามารถอนุมานได้ว่าเป็นแนวโน้มจุดยืนเชิงนโยบาย เช่น คำที่เกี่ยวข้องกับเงินเฟ้อ ถ้าปรากฏขึ้นบ่อยกว่าคำที่เกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ อาจจะแสดงได้ว่าธนาคารกลางมีความกังวลกับปัญหาเงินเฟ้อมากกว่า และมีแนวโน้มที่จะดำเนินนโยบายการเงินในลักษณะที่ตึงตัวมากขึ้น เป็นต้น
ข้อมูลหลักที่ใช้ในการศึกษามาจากการรวบรวมเอกสารแถลงผลการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงินจำนวน 90 ฉบับ (คือตั้งแต่ปี 2000 ที่เริ่มใช้กรอบนโยบายการเงินที่มีเป้าหมายเงินเฟ้อ จนถึงเดือนเมษายน ปี 2011) นอกจากนี้ผู้วิจัยยังได้รวบรวมข้อมูลตัวเลขการพยากรณ์เศรษฐกิจในรายงานนโยบายการเงินรายไตรมาส จำนวน 44 ฉบับ เพื่อใช้ในการวิเคราะห์เปรียบเทียบ
จากการพิจารณาความถี่ของการใช้คำสูงสุด 10 อันดับแรกที่ปรากฏในเอกสารแถลงข่าวของ กนง. จำนวน 90 ฉบับ พบว่าคำที่เกี่ยวข้องกับเงินเฟ้อมีความถี่ของการใช้มากกว่าคำที่เกี่ยวข้องกับการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างชัดเจน และเมื่อคำนวณโดยวิธี Wordfish เพื่อวัดระดับของจุดยืนเชิงนโยบายการเงินผ่านการสื่อสารของธนาคารแห่งประเทศไทย พบว่าค่าดัชนีการสื่อสารฯ ที่ได้จากรายงานผลการประชุมของ กนง. (ซึ่งพิจารณาเฉพาะข้อความที่มองไปข้างหน้าในเอกสาร) มีการเคลื่อนไหวที่สอดคล้องกับค่าพยากรณ์แนวโน้มอัตราเงินเฟ้อล่วงหน้า 4 และ 8 ไตรมาส ที่ปรากฏในรายงานนโยบายการเงิน ซึ่งแสดงให้เห็นความสอดคล้องกันระหว่างข้อความที่เป็นลักษณะมองไปข้างในเอกสารผลการประชุมและตัวเลขพยากรณ์อัตราเงินเฟ้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงปี 2004–2007 ที่ราคาน้ำมันมีการปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ระหว่างดัชนีสื่อสาร กับค่าพยากรณ์เงินเฟ้อพื้นฐานและเงินเฟ้อทั่วไปมีค่าสูงถึง 0.87 และ 0.89 ตามลำดับ ซึ่งตัวเลขดังกล่าวได้สะท้อนถึงความกังวลของ กนง. ในเรื่องความเสี่ยงที่อัตราเงินเฟ้อจะปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ดัชนีการสื่อสารที่คำนวณได้ยังมีลักษณะชี้นำเมื่อเปรียบเทียบกับการปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่เกิดขึ้นจริง
อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างดัชนีการสื่อสารกับตัวแปรด้านผลผลิต พบว่าดัชนีการสื่อสารมีความสัมพันธ์กับตัวเลขพยากรณ์อัตราการเจริญเติบโตในรายงานนโยบายการเงินไม่ชัดเจนนัก แต่กลับมีความสัมพันธ์ในระดับสูงในช่วงเวลาเดียวกันกับเครื่องชี้ภาวะเศรษฐกิจมหภาคเช่น ดัชนีการลงทุนและดัชนีการบริโภคภาคเอกชน เป็นต้น
เพื่อเปรียบเทียบความเหมาะสมของดัชนีการสื่อสารที่สร้างขึ้นโดยวิธี Wordfish ว่าสะท้อนได้ดีเพียงใด ผู้วิจัยจึงได้จัดทำดัชนีการสื่อสารอีกประเภทหนึ่งโดยอาศัยดุลยพินิจจากการอ่านเอกสารผลการประชุมเพื่อใช้ในการเทียบเคียงกัน ซึ่งดัชนีในกรณีนี้จะประยุกต์หลักการที่นำเสนอโดย Erhmann and Fratzscher (2007) โดยจำแนกประเภทของการสื่อสารที่วัดออกเป็นสามด้าน ประกอบด้วย (1) แนวโน้มของอัตราการเติบของผลผลิต (2) แนวโน้มของอัตราเงินเฟ้อ และ (3) แนวโน้มนโยบายการเงิน โดยให้นิสิตคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ชั้นปีที่สี่ (14 กลุ่ม จำนวนทั้งหมด 45 คน) ทำการอ่านรายงานการประชุม กนง. ตั้งแต่ปี 2002 เป็นต้นมา โดยหากในเอกสารผลการประชุมของ กนง. ระบุถึงแนวโน้มการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้น/แนวโน้มเงินเฟ้อที่สูงขึ้น/แนวโน้มนโยบายการเงินที่อาจเข้มงวดขึ้น จะกำหนดให้มีค่าเท่ากับ +1 ในแต่ละด้าน ขณะที่หากมีมุมมองเศรษฐกิจไม่เปลี่ยนแปลง จะกำหนดให้มีค่าเท่ากับ 0 และหากผลผลิต/เงินเฟ้อมีแนวโน้มที่จะชะลอตัวลงนโยบายการเงินมีแนวโน้มที่จะผ่อนคลาย จะกำหนดให้มีค่าเท่ากับ -1 หลังจากนั้นนำค่าที่ได้ของสามด้านดังกล่าว มาคำนวนหาค่าคะแนนเฉลี่ยของเอกสารในแต่ละฉบับ วิธีการวัดในลักษณะนี้มีข้อดีคือ สามารถตีความข้อความในระหว่างบรรทัดโดยใช้ความเข้าใจของผู้อ่านได้
ดังที่แสดงตามภาพเปรียบเทียบดัชนีสื่อสารฯ ซึ่งคำนวณจากวิธี Wordfish และจากการตีความของผู้อ่าน โดยค่าคะแนนที่เพิ่มขึ้นแสดงถึงแนวโน้มที่ กนง. จะดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้น ในทางกลับกันค่าคะแนนที่ลดลง แสดงแนวโน้มที่ กนง. จะดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายลง ผลการศึกษาพบว่าดัชนีสื่อสารฯ ทั้งสองวิธี มีการเคลื่อนไหวที่สอดคล้องกันในภาพรวม (ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์อยู่ที่ 0.40) แต่เมื่อพิจารณาเฉพาะองค์ประกอบด้านแนวโน้มนโยบายการเงินที่คำนวนมาจากการตีความของผู้อ่านกับดัชนีการสื่อสารจากวิธี Wordfish จะมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ในระดับที่ค่อนข้างสูง (0.62) นอกจากนี้ ยังพบว่าผลการประเมินข้อความรายงานผลการประชุมในด้านแนวโน้มการเจริญเติบโตเศรษฐกิจมีค่าความแปรปรวนสูงสุด (ก่อให้เกิดความสับสนแก่ผู้อ่านมากที่สุด) ในขณะที่ผลการประเมินด้านแนวโน้มนโยบายการเงินมีค่าความแปรปรวนต่ำที่สุด (มีความคิดเห็นสอดคล้องกันมากที่สุด)
ผลการประเมินประสิทธิผลของนโยบายการเงินในการศึกษานี้แบ่งออกเป็น 3 ด้าน คือ (1) ความสามารถในการพยากรณ์การตัดสินใจปรับเปลี่ยนดอกเบี้ยนโยบาย (2) การตอบสนองของโครงสร้างเส้นอัตราดอกเบี้ยในตลาดพันธบัตรทั้งระยะสั้นและระยะยาว และ (3) กลไกการส่งผ่านของนโยบายการเงินต่อผลผลิตและอัตราเงินเฟ้อ
ผลการประเมินประสิทธิผลในส่วนแรกพบว่า รายงานผลการประชุมของ กนง. มิได้เป็นเพียงเอกสารประกอบคำอธิบายการตัดสินใจปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยเท่านั้น หากแต่ช่วยเพิ่มความสามารถในการพยากรณ์การตัดสินใจเกี่ยวกับระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย โดยเมื่อพิจารณาจากการประมาณสมการ Ordered-Probit Taylor Rule พบว่าตัวแปรดัชนีการสื่อสารมีนัยสำคัญทางสถิติไม่ว่าจะใช้อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานหรืออัตราเงินเฟ้อทั่วไปเป็นตัวแทนของเสถียรภาพด้านราคา หรือในตัวแบบที่ใช้ค่าพยากรณ์อัตราเงินเฟ้อและอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่เผยแพร่ในรายงานนโยบายการเงิน การเพิ่มตัวแปรดัชนีการสื่อสารฯ ในสมการ ช่วยเพิ่มความสามารถในการพยากรณ์การตัดสินเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยให้มีความแม่นยำสูงขึ้นอย่างชัดเจนโดยเฉพาะในช่วงตั้งแต่ปี 2004 เป็นต้นมา
ในด้านการตอบสนองของเส้นโครงสร้างอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาล การศึกษาในส่วนนี้มุ่งความสนใจที่ ประสิทธิภาพของกลไกการส่งผ่านของนโยบายการเงิน (monetary transmission mechanism) เพื่อประเมินผลกระทบของอัตราดอกเบี้ยในระยะสั้นและระยะยาวของตลาดการเงิน ต่อการปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และต่อการที่ กนง. ส่งสัญญาณผ่านรายงานผลการประชุมในเรื่องภาวะเศรษฐกิจและทิศทางอัตราดอกเบี้ยในอนาคต (Shock to communication indicator) โดยใช้เส้นโครงสร้างอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลเป็นตัวแทนของอัตราดอกเบี้ยในตลาดการเงิน ซึ่งการประเมินผลการตอบสนองในงานศึกษานี้จะใช้ตัวแบบ Structural Vector Autoregression (SVAR) ในลักษณะเดียวกับการศึกษาของ Lucca and Trebbi (2011) ผลการศึกษาพบว่า shock ของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายการเงินส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยในทุกอายุสัญญาปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่การตอบสนองจะมีขนาดลดลงตามอายุสัญญาที่เพิ่มขึ้น กล่าวคือการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายมีอิทธิพลค่อนข้างจำกัดต่อการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยระยะยาวในตลาดการเงิน ซึ่งเป็นตัวแปรสำคัญที่ส่งผลต่อเนื่องไปยังกิจกรรมทางเศรษฐกิจอื่น ๆ ในทางตรงกันข้าม ผู้วิจัยพบว่าขนาดการตอบสนองอัตราดอกเบี้ยในตลาดเงินต่อ shock ในตัวแปรดัชนีสื่อสารฯ จะมีขนาดที่สูงขึ้นเมื่ออายุสัญญายาวนานขึ้น นั่นคืออิทธิพลของรายงานผลการประชุมของ กนง. สามารถช่วยเพิ่มประสิทธิผลในการส่งผ่านนโยบายการเงินไปยังอัตราดอกเบี้ยระยะยาว (อายุสัญญา 5 ปีถึง 10 ปี) ในขณะที่การปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยนโยบายส่งผลกระทบน้อยมากต่ออัตราดอกเบี้ยระยะยาวเหล่านี้
ท้ายที่สุด เมื่อเปรียบเทียบผลการตอบสนองของผลผลิตและอัตราเงินเฟ้อ จากตัวแบบ SVAR ในกรณีที่รวม และไม่รวมตัวแปรดัชนีสื่อสาร พบว่า shock ที่เกิดขึ้นในอัตราดอกเบี้ยนโยบายทำให้ผลผลิตและอัตราเงินเฟ้อมีขนาดการตอบสนองที่สูงขึ้นและใช้เวลาในการตอบสนองที่เร็วขึ้นเมื่อตัวแปรการสื่อสารถูกรวมเข้าไปในระบบสมการ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า การสื่อสารที่ปรากฏในรายงานผลการประชุมของ กนง. มีส่วนช่วยให้กลไกการส่งผ่านของนโยบายการเงินเกิดประสิทธิภาพที่สูงขึ้น
ผลการศึกษาที่ได้แสดงให้เห็นว่า การเผยแพร่ข้อมูลของคณะกรรมการนโยบายการเงินของ ธปท. ที่เกี่ยวข้องกับมุมมองภาวะเศรษฐกิจและแนวโน้มนโยบายการเงิน นอกจากจะเพิ่มความโปร่งใสในการดำเนินนโยบายแล้ว ยังมีส่วนช่วยเพิ่มประสิทธิผลของนโยบายการเงิน โดยเฉพาะในด้านการตอบสนองของอัตราดอกเบี้ยระยะยาวของตลาดการเงินและด้านกลไกการส่งผ่านอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ดังนั้นการพัฒนายุทธศาสตร์ด้านการสื่อสารถือว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งที่ยังคงต้องทำอย่างต่อเนื่อง เช่น การเพิ่มความชัดเจนในการส่งสัญญาณทิศทางของแนวโน้มการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ปรากฏในรายงานผลการประชุมของ กนง. และการเปิดเผยให้สาธารณชนโดยทั่วไป (นอกเหนือจากผู้สื่อข่าว) สามารถรับชมการถ่ายทอดสด หรือวีดีทัศน์ของช่วง ถาม-ตอบ หลังการแถลงข่าวผลการประชุม ผ่านทาง website ของ ธปท. ซึ่งอาจจะช่วยลดความสับสนของสาธารณชนจากการอ่านเอกสารผลการประชุมเพียงอย่างเดียว
กิตติกรรมประกาศ
ผู้เขียนขอขอบคุณทุนสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.)
Blinder, Alan S., Michael Ehrmann, Marcel Fratscher, Jakob De Haan, and David-Jan Jansen, (2008). “Central Bank Communication and Monetary Policy: A Survey of Theory and Evidence,” Journal of Economic Literature, 46(4), 910–45.
Ehrmann, Michael, and Marcel Fratzscher, (2007). “Communication by Central Bank Committee Members: Different Strategies, Same Effectiveness?,” Journal of Money, Credit and Banking, 39 (2–3), 509–541.
Gorodnichenko, Yuriy, and Matthew D. Shapiro, (2007). “Monetary Policy when Potential Output is Uncertain: Understanding the Growth Gamble of the 1990s,” Journal of Monetary Economics, 54 (4), 1132–1162.
Hendry, Scott, and Alison Madeley, (2010). “Text Mining and the Information Content of Bank of Canada Communications,” Bank of Canada Working Paper No. 2010–31.
Luangaram, Pongsak and Yuthana Setthapramote, (2015). “Central Bank Communication and Monetary Policy Effectiveness: Evidence from Thailand,” PIER Discussion Paper, Forthcoming.
Slapin, Jonathan B., and Sven-Oliver Proksch, (2008). “A Scaling Model For Estimating Time-Series Party Positions from Texts,” American Journal of Political Science, 52(3), 705–72.