ทำไมคนที่ขยันหางานมากกว่ากลับได้งานช้ากว่า: บทเรียนจากระบบประกันการว่างงานของสหรัฐฯ

excerpt
ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์แรงงานเห็นพ้องกันว่าการขยันหางานที่มากขึ้นควรเพิ่มโอกาสการได้งานที่สูงขึ้น และผู้ที่ได้ประโยชน์มากกว่าจากการได้งานควรหางานมากกว่าผู้ที่ได้ประโยชน์น้อยกว่า อย่างไรก็ตาม งานศึกษานี้แสดงผลที่ตรงข้ามกันเมื่อใช้ข้อมูลจากแบบสำรวจแรงงานของสหรัฐฯ นั่นคือ ผู้ที่ได้รับหรือเคยได้รับสิทธิประกันการว่างงาน (Unemployment Insurance: UI) มักขยันหางานมากกว่า (โดยวัดจากจำนวนวิธีและเวลาที่ใช้ในการหางาน) แต่กลับมีโอกาสได้งานช้ากว่าผู้ที่ไม่เคยได้รับสิทธิ การวิเคราะห์ด้วยแบบจำลองเศรษฐศาสตร์ชี้ว่า สำหรับแรงงานที่มี UI นั้น ความขยันหางานที่วัดจากปริมาณ เช่น จำนวนวิธีหรือเวลาที่ใช้หางาน นั้น อาจไม่สะท้อนถึงความขยันหรือความพยายามหางานที่แท้จริง นอกจากนี้แบบจำลองยังชี้ให้เห็นว่าความแตกต่างระหว่างความขยันหางานที่วัดได้จากข้อมูล กับ ความขยันหางานที่แท้จริง มีมากขึ้นในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจซึ่งมักมีการขยายเวลาสิทธิประกันการว่างงานในสหรัฐฯ ผลลัพธ์ดังกล่าวชี้ให้เห็นว่าการใช้ตัวชี้วัดเชิงปริมาณ เช่น จำนวนวิธีหรือเวลาที่ใช้หางาน เพื่อรักษาสิทธิ UI อาจไม่เพียงพอต่อการจูงใจให้แรงงานได้งานทำ และยังอาจส่งผลต่อการตีความประสิทธิภาพของตลาดแรงงานในแง่ลบที่เกินความจริง
ระบบประกันการว่างงาน (Unemployment Insurance: UI) เป็นหนึ่งในเครื่องมือนโยบายที่สำคัญในการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ โดยให้รายได้ทดแทนแก่ผู้ที่ตกงานในระหว่างที่หางานใหม่ อย่างไรก็ตาม การออกแบบระบบนี้ต้องเผชิญคำถามสำคัญเสมอว่า “แรงงานจะยังขยันหางานอยู่หรือไม่ หากได้รับเงินชดเชยระหว่างว่างงาน”
ในหลายประเทศ รวมถึงสหรัฐอเมริกา ผู้รับสิทธิ UI ต้องรายงานกิจกรรมการหางานรายสัปดาห์ เช่น การส่งใบสมัครงาน เพื่อรักษาสิทธิในการได้รับเงินชดเชยระหว่างว่างงาน ผู้กำหนดนโยบายมักเชื่อว่า การกำหนดเงื่อนไขการหางานที่เข้มงวดขึ้นจะช่วยให้ผู้ว่างงานหางานได้เร็วขึ้น และลดระยะเวลาการว่างงานลง อย่างไรก็ตาม หลักฐานเชิงประจักษ์จากสหรัฐอเมริกากลับท้าทายสมมติฐานนี้
งานศึกษานี้ใช้ข้อมูลจากแบบสำรวจแรงงานสหรัฐฯ เพื่อศึกษาว่า “ความขยันหางาน” ที่ผู้ว่างงานรายงานไว้นั้น นำไปสู่การได้งานเร็วขึ้นจริงหรือไม่ และผู้ว่างงานที่ได้รับหรือไม่ได้รับ UI มีพฤติกรรมสอดคล้องกับทฤษฎีเศรษฐศาสตร์แรงงานหรือไม่ โดยในบทความนี้ ความขยันหางานของแรงงานจะวัดจากจำนวนวิธีและเวลาที่ใช้ในการหางานของแรงงานทุกกลุ่ม ทั้งผู้ที่มีสิทธิและไม่มีสิทธิได้รับ UI
ตามทฤษฎีเศรษฐศาสตร์แรงงาน ผู้ว่างงานจะเลือก “ระดับความขยันในการหางาน” ตามผลประโยชน์ที่คาดว่าจะได้จากการได้งาน หากไม่ได้รับ UI ผู้ว่างงานจะสูญเสียรายได้โดยตรง จึงควรมีแรงจูงใจในการขยันหางานมากกว่า ในทางตรงกันข้าม ผู้ที่ได้รับประโยชน์จาก UI จะได้รับรายได้ชดเชยชั่วคราว ทำให้ทฤษฎีคาดการณ์ว่าพวกเขาจะขยันหางานน้อยกว่า แต่ข้อมูลจริงกลับแสดงสิ่งที่ตรงกันข้าม — ผู้ที่มีประวัติได้รับ UI กลับรายงานว่าขยันหางานมากกว่า แต่ได้งานช้ากว่า
ผลการศึกษานี้เป็นประเด็นสำคัญต่อการออกแบบนโยบายตลาดแรงงานในอนาคต เพราะสะท้อนว่าการมองเพียงจำนวนวิธีและเวลาที่ใช้ในการหางานที่ได้มีการรายงาน อาจไม่เพียงพอที่จะประเมินความพยายามที่แท้จริงของแรงงาน และอาจนำไปสู่นโยบายที่ไม่สามารถกระตุ้นการจ้างงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะเมื่อมีการนำตัวชี้วัดดังกล่าวไปใช้ในการออกแบบนโยบายเศรษฐกิจ
การศึกษานี้ใช้ข้อมูลจากแบบสำรวจแรงงานของสหรัฐฯ Current Population Survey (CPS) ระหว่างปี 1998–2022 และ American Time Use Survey (ATUS) ระหว่างปี 2003–2014 เพื่อวัด “ความขยันหางาน” (job search intensity) หรือความพยายามในการหางาน จากตัวชี้วัดที่สามารถสังเกตได้โดยตรง 2 ตัว ได้แก่
- จำนวนวิธีการหางานเฉลี่ยต่อเดือน จากข้อมูล CPS เช่น การติดต่อกับนายจ้างโดยตรง การติดต่อหน่วยงานจัดหางานของรัฐ การติดต่อหน่วยงานจัดหางานเอกชน หรือการติดต่อเพื่อนหรือญาติให้ช่วยหางาน 1
- เวลาที่ใช้ในการหางานเฉลี่ยต่อวัน (นาที) จากข้อมูล ATUS ซึ่งเก็บเวลาที่ผู้ว่างงานใช้ในกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการหางานในแต่ละวัน 2
โดยข้อมูลที่วิเคราะห์เป็นของกลุ่มตัวอย่างผู้ว่างงานอายุระหว่าง 21–64 ปี และแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มตามประวัติการได้รับสิทธิประกันการว่างงาน (UI history):
- ผู้ได้รับสิทธิ UI ในปัจจุบัน (current UI recipients): ผู้ที่กำลังได้รับเงินชดเชยการว่างงานในเดือนที่สำรวจ
- ผู้เคยได้รับสิทธิ UI (former UI recipients): ผู้ที่เคยได้รับแต่สิทธิสิ้นสุดแล้ว (benefits exhausted)
- ผู้ไม่เคยได้รับ UI (non-UI recipients): ผู้ที่ไม่เคยยื่นหรือได้รับสิทธิประโยชน์นี้เลยตั้งแต่ว่างงานมา
เกณฑ์การได้รับ UI แตกต่างกันไปตามที่แต่ละรัฐกำหนด แต่โดยรวมแล้วแรงงานที่มีสิทธิได้รับ UI จะต้องว่างงานโดยไม่สมัครใจ มีประวัติการทำงานอย่างน้อย 3 ใน 4 ไตรมาสก่อนที่จะว่างงาน และเงินเดือนที่เคยได้รับต้องสูงกว่าเกณฑ์ที่แต่ละรัฐกำหนด ทั้งนี้ ประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ ของกลุ่มผู้ที่มีสิทธิ UI เลือกที่จะไม่ขอรับสิทธิ UI ซึ่งทำให้กลุ่มผู้ไม่เคยได้รับ UI (non-UI recipients) ข้างต้น ประกอบไปด้วยผู้ที่มีสิทธิ UI แต่ที่ไม่ขอรับสิทธิ และผู้ที่ไม่มีสิทธิที่จะได้รับ UI
เมื่อวิเคราะห์ข้อมูลจากทั้งสองชุด พบว่า กลุ่มที่มีประวัติได้รับสิทธิ UI — ทั้งผู้ได้รับสิทธิในปัจจุบันและผู้ที่เคยได้รับสิทธิ — รายงานว่ามีความขยันหางานสูงกว่ากลุ่มที่ไม่เคยได้รับสิทธิอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
- โดยเฉลี่ย กลุ่มที่มีประวัติได้รับสิทธิ UI ใช้วิธีการหางานมากกว่าประมาณ 11–12 เปอร์เซ็นต์
- และใช้เวลาในการหางานต่อวันมากกว่าประมาณ 23–30 เปอร์เซ็นต์
ผลลัพธ์ดังกล่าวยังคงอยู่แม้เมื่อใช้แบบจำลองทางเศรษฐมิติควบคุมปัจจัยด้านลักษณะแรงงานตัวบุคคล3 และภาวะเศรษฐกิจโดยรวม4
ตามทฤษฎีเศรษฐศาสตร์แรงงาน ผู้ที่ไม่เคยได้รับเงินชดเชยการว่างงานควรจะมีแรงจูงใจในการหางานมากกว่า เนื่องจากการว่างงานสร้างความสูญเสียรายได้โดยตรง ในขณะที่ผู้ได้รับเงินชดเชยมีรายได้ทดแทนชั่วคราว จึงควรจะขยันหางานน้อยกว่า แต่ข้อมูลกลับแสดงผลตรงกันข้าม — บทความนี้มีเป้าหมายที่จะศึกษาว่าปัจจัยเชิงสถาบันของระบบ UI (เช่น ข้อกำหนดการรายงานการหางานเพื่อรักษาสิทธิ) สามารถอธิบายความขยันหางานที่มากขึ้นของผู้รับสิทธิ UI ได้หรือไม่ และสามารถมีบทบาทต่ออัตราการได้งานหรือไม่
เมื่อพิจารณาอัตราการได้งาน (job-finding rate) ของแต่ละกลุ่ม พบว่า กลุ่มที่มีประวัติได้รับสิทธิ UI มีอัตราการได้งานน้อยกว่ากว่ากลุ่มที่ไม่เคยได้รับสิทธิอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
- กลุ่มที่ไม่เคยรับสิทธิ UI มีอัตราการได้งานเฉลี่ย ประมาณ 32 เปอร์เซ็นต์ต่อเดือน
- ขณะที่ กลุ่มที่เคยหรือกำลังรับสิทธิ UI มีอัตราการได้งานเฉลี่ยเพียง 21–23 เปอร์เซ็นต์ต่อเดือน ทั้งที่รายงานความขยันหางานที่มากกว่า
แม้เมื่อใช้แบบจำลองทางเศรษฐมิติควบคุมปัจจัยด้านลักษณะแรงงานตัวบุคคลและภาวะเศรษฐกิจโดยรวมคล้ายกับการวิเคราะห์ก่อนหน้า ผลลัพธ์ยังคงเดิม5 — แสดงให้เห็นว่าจำนวนวิธีหรือเวลาที่ใช้ในการหางานไม่ได้สะท้อนถึงอัตราการได้งานเสมอไป
ผลลัพธ์นี้ขัดแย้งกับทฤษฎีเศรษฐศาสตร์แรงงาน ซึ่งระบุว่า ผู้ที่ขยันหางานมากกว่าควรได้งานเร็วกว่า แต่ในทางปฏิบัติกลับไม่เป็นเช่นนั้น และแสดงให้เห็นว่า ตัวเลขที่รายงานเกี่ยวกับการขยันหางานของผู้ว่างงานอาจจะสะท้อนถึงการปฏิบัติตามข้อกำหนดของระบบประกันการว่างงาน มากกว่าความขยันหางานอย่างแท้จริง
ระบบประกันการว่างงานของสหรัฐฯ เปิดโอกาสให้แต่ละรัฐกำหนดเงื่อนไขการหางาน (work search requirements) เอง เพื่อพิจารณาการรักษาสิทธิประกันการว่างงานของแรงงาน ความแตกต่างเชิงสถาบันนี้สามารถช่วยให้เราทำความเข้าใจว่า ทำไมความขยันหางานที่สังเกตได้ (observed job search intensity) หรือความขยันหางานวัดได้จากข้อมูลนั้น จึงไม่สะท้อนความขยันหรือความพยายามหางานที่แท้จริง (true job search intensity) ของผู้ว่างงานเสมอไป
ในบางรัฐ เช่น Florida มีข้อกำหนดที่เข้มงวด โดยผู้ขอรับสิทธิ UI ต้องยื่นหลักฐานว่าติดต่อผู้จ้างงานอย่างน้อย 5 รายต่อสัปดาห์ เพื่อรักษาสิทธิ UI ในขณะที่บางรัฐ เช่น California ให้นิยามคำจำกัดความของ “การหางาน” ที่กว้าง และนับรวมกิจกรรมอย่างการเข้าร่วม Job Fair หรือการค้นหางานผ่านระบบออนไลน์เข้าไปด้วย และไม่จำเป็นต้องรายงานการหางานทุกสัปดาห์
เราสามารถใช้ความแตกต่างระหว่างรัฐในด้านข้อกำหนดการหางานสำหรับผู้กำลังได้รับสิทธิ UI นี้ในแบบจำลองทางเศรษฐมิติและได้ข้อสรุปว่า
- ความเข้มงวดของข้อกำหนดการหางาน มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับความขยันหางาน แต่
- ความเข้มงวดของข้อกำหนดการหางาน ไม่มีความสัมพันธ์กับอัตราการได้งาน
ผลดังกล่าวเสนอให้เห็นว่า ผู้ว่างงานมักรายงานจำนวนการสมัครงานหรือการติดต่อที่เพียงพอต่อการรักษาสิทธิ UI เท่านั้น และไม่ได้หมายความว่าพวกเขาได้พยายามหรือมีแรงจูงใจจริงในการหางานมากเท่ากับที่ได้รายงานเสมอไป การเพิ่มขึ้นดังกล่าวเป็นลักษณะเชิงสถาบันมากกว่า ดังนั้น ตัวเลขจำนวนกิจกรรมหรือเวลาที่ใช้ในการหางานอาจไม่สามารถสะท้อน “คุณภาพ” หรือ ความสำเร็จของการหางานได้ดีพอ
ผลการศึกษานี้สอดคล้องกับหลักฐานจากงานก่อนหน้าที่พบว่าผู้รับสิทธิประกันการว่างงานมักมีอัตราการได้งานที่น้อยกว่าผู้ที่ไม่ได้รับสิทธิ เช่น Moffitt (1985), Meyer (1990) และ Krueger & Mueller (2010) ซึ่งผลลัพธ์นี้สามารถอธิบายได้จาก แรงจูงใจในทางลบ (disincentive effects) และ การเลือกงาน (selective effects) ที่มักเจอในผู้รับสิทธิประกันการว่างงาน ตามที่ศึกษาใน Rujiwattanapong (2022) และ Rujiwattanapong (2025) ซึ่งพบว่า แม้การมีสิทธิ UI จะช่วยบรรเทาความสูญเสียรายได้ในช่วงว่างงาน แต่ก็อาจทำให้แรงจูงใจในการหางานลดลง และทำให้ผู้ว่างงานใช้เวลามากขึ้นในการเลือกงานที่มีคุณภาพดีมากขึ้น คล้ายกับการที่แรงงานมี reservation wage (ค่าจ้างต่ำสุดที่ยอมรับได้) ที่สูงขึ้น
แม้ผู้ที่เคยได้รับสิทธิ UI (former UI recipients) จะไม่ได้รับเงินชดเชยแล้ว แต่ยังคงรายงานว่ามีความขยันหางานสูงกว่าผู้ที่ไม่เคยได้รับสิทธิ UI (non-UI recipients) กลไกหนึ่งที่เป็นไปได้คือ duration dependence หรือความเกี่ยวพันธ์ทางระยะเวลา — ยิ่งผู้ว่างงานมีระยะเวลาที่ว่างงานมากขึ้น โอกาสที่จะได้งานยิ่งลดลง แม้จะคงระดับความพยายามไว้เท่าเดิมก็ตาม
งานที่ศึกษาถึงปัจจัยที่ช่วยอธิบายเหตุการณ์นี้มีมากมาย เช่น การถูกคัดกรองหรือตีตราโดยนายจ้าง (employer screening or stigma) การเสื่อมลงของทักษะหรือ human capital หรือการสูญเสีย professional networks เช่นที่ได้ศึกษาโดย Ortego-Marti (2016) และ Jarosch & Pilossoph (2019)
โดยทั่วไป ระยะเวลาการได้รับสิทธิ UI มาตรฐานในสหรัฐฯ อยู่ที่ประมาณ 6 เดือน ดังนั้น ผู้ที่หมดสิทธิ UI จึงมักเป็นผู้ว่างงานระยะยาว (long-term unemployed)6 การที่พวกเขารายงานว่าหางานมากขึ้น อาจสะท้อนถึงสภาพตลาดแรงงานที่แรงงานกลุ่มนี้เจอหลังสิ้นสุดสิทธิ UI และอาจจะไม่ได้ทำให้โอกาสในการได้งานสูงขึ้นเสมอไป ทั้งนี้ หลังจากที่ควบคุมระยะเวลาว่างงานที่แตกต่างกันของผู้ว่างงานในแบบจำลองทางเศรษฐมิติ พบว่าอัตราการได้งานของผู้ที่เคยได้รับสิทธิ UI และผู้ที่ไม่เคยได้รับสิทธิ UI ไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
หากตัวเลขที่เห็นในข้อมูลสะท้อนการรายงานเพื่อรักษาสิทธิ UI มากกว่าความขยันหางานจริง คำถามต่อมาคือ — ความแตกต่างระหว่าง “ความขยันที่สังเกตได้” (observed intensity) กับ “ความขยันที่แท้จริง” (true intensity) นั้นมากเพียงใด?
เพื่อตอบคำถามนี้ Rujiwattanapong (2025) ได้ต่อยอดแบบจำลอง search-and-matching ที่พัฒนาโดย Diamond–Mortensen–Pissarides (DMP) เพื่อจำลองการตัดสินใจของทั้ง “ผู้หางาน” และ “นายจ้าง” โดยแบบจำลองใหม่นี้มีคุณลักษณะเพิ่มเติมสำคัญสองประการคือ:
- การรายงานการหางานเพื่อรักษาสิทธิ UI และการเลือกระดับความขยันหางาน: ผู้ที่รับสิทธิ UI ต้องรายงานจำนวนการสมัครงานขั้นต่ำในแต่ละสัปดาห์ เช่น อย่างน้อย 5 แห่ง เพื่อรักษาสิทธิ แม้ในความเป็นจริงอาจสนใจเพียง 1–2 ตำแหน่ง ในกรณีนี้ ใบสมัครอีก 3–4 แห่งที่ส่งไปอาจไม่ได้รับความตั้งใจหรือมีคุณภาพเทียบเท่ากับใบสมัครในตำแหน่งที่สนใจอย่างแท้จริง แต่การรายงานการหางานเช่นนี้ทำให้ “ความขยันหางานที่สังเกตได้” สูงกว่าความขยันหรือความพยายามที่แท้จริง ทั้งนี้ความขยันหางานที่แท้จริงจะสูงขึ้นก็ต่อเมื่อผู้ว่างงานได้รับประโยชน์มากขึ้นจากการได้งานทำ
- Duration Dependence ในอัตราการได้งาน: ความน่าจะเป็นในการได้งานลดลงตามระยะเวลาที่ว่างงาน ไม่ว่าจะขยันหางานมากเพียงใดก็ตาม
แบบจำลองนี้ช่วยแยกความขยันหางานที่แท้จริงออกจากความขยันหางานที่สังเกตได้ และศึกษาว่าความแตกต่างระหว่างสองสิ่งนี้เปลี่ยนไปอย่างไรในแต่ละช่วงของวัฏจักรเศรษฐกิจ (business cycle) สำหรับรายละเอียด สามารถอ่านดูเพิ่มเติมได้ใน Rujiwattanapong (2025)
ผลจากแบบจำลองที่พัฒนาให้สอดคล้องกับตลาดแรงงานของสหรัฐฯ พบว่า
- ความขยันหางานที่สังเกตได้จากข้อมูลจริง สอดคล้องกับความขยันหางานที่สังเกตได้จากข้อมูลที่สร้างโดยแบบจำลอง (หรือจาก baseline model)
- โดยเฉลี่ย “ความขยันหางานที่สังเกตได้” สูงกว่า “ความขยันหางานที่แท้จริง” ประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ ในภาวะปกติ
- ในช่วง The Great Recession (2008–2010) ช่องว่างดังกล่าวเพิ่มขึ้นกว่า 200 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากการขยายเวลาการได้รับสิทธิ UI สูงสุดถึง 99 สัปดาห์ (จากมาตรฐานที่ 26 สัปดาห์) ส่งผลให้ผู้ว่างงานมีความเลือกงานมากขึ้น และลดความพยายามจริงในการหางาน แม้ตัวเลขกิจกรรมการหางานที่รายงานยังคงสูง
- ผลที่ตามมาคือ หากใช้ข้อมูลความขยันหางานที่สังเกตได้เพียงอย่างเดียว อาจทำให้ประเมินผิดว่าประสิทธิภาพการจับคู่ในตลาดแรงงานระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง ลดต่ำเกินความเป็นจริงถึง 18 เปอร์เซ็นต์ ในช่วงวิกฤตดังกล่าว
ผลลัพธ์เหล่านี้ชี้ให้เห็นว่า ตัวชี้วัดความขยันหางานที่ใช้กันทั่วไป เช่น จำนวนใบสมัครงานที่ยื่น หรือ เวลาที่ใช้ในการหางาน อาจไม่สามารถสะท้อนถึง “สุขภาพ” ของตลาดแรงงานได้อย่างถูกต้องเสมอไป ประสิทธิภาพในตลาดแรงงานที่ดูเหมือนลดลง อาจเกิดจากการวัดที่คลาดเคลื่อน (mismeasurement) มากกว่าการเสื่อมถอยเชิงโครงสร้างของตลาดแรงงานจริง
งานศึกษานี้เชื่อมโยงหลักฐานเชิงประจักษ์เข้ากับแบบจำลองเชิงทฤษฎี เพื่ออธิบายข้อค้นพบที่ว่า ผู้ที่ได้รับสิทธิประกันการว่างงาน (UI) มีแนวโน้มขยันหางานมากกว่า แต่กลับได้งานช้ากว่า
ตัวเลขเชิงปริมาณที่มักใช้วัดความขยันหางาน — เช่น จำนวนวิธีการหางาน หรือเวลาที่ใช้ในการหางาน — อาจไม่สะท้อนถึงความขยันหางานที่แท้จริงเสมอไป แต่สะท้อนถึงข้อกำหนดการหางานของผู้ที่ได้รับสิทธิ UI ในช่วงเศรษฐกิจปกติ ความคลาดเคลื่อนนี้อาจไม่มากนัก แต่ในช่วงภาวะ recession หรือเมื่อมีการขยายระยะเวลารับสิทธิ UI ออกไป ความคลาดเคลื่อนดังกล่าวอาจยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นจากหลักฐานเชิงประจักษ์และแบบจำลอง งานศึกษานี้เสนอ 3 ประเด็นหลักในการออกแบบและตีความนโยบายประกันการว่างงาน (UI)
- ทบทวนแนวทางข้อกำหนดการหางาน (work search requirements) การกำหนดให้ผู้รับสิทธิประกันการว่างงานต้องยื่นใบสมัครงานในจำนวนหนึ่งในแต่ละสัปดาห์ ช่วยให้ตรวจสอบการปฏิบัติตามกฎได้ง่าย แต่ไม่ได้แปลว่าจะช่วยให้ได้งานเร็วขึ้นเสมอไป ผู้กำหนดนโยบายควรให้ความสำคัญถึงคุณภาพของกิจกรรมการหางาน เช่น การสัมภาษณ์งาน การเข้ารับการประเมินทักษะ (skill assessment) หรือการเข้าร่วมหลักสูตรฝึกอบรม นอกเหนือไปจากปริมาณของกิจกรรมการหางาน เช่น การนับจำนวนใบสมัครงานเพียงอย่างเดียว
- ให้ความสำคัญกับ “การได้งาน” (job finding) นอกเหนือไปจาก “การหางาน” (job search)ระบบ UI ควรพิจารณาใช้มาตรการจูงใจหลังได้งานทำ (re-employment incentives) เพื่อเพิ่มโอกาสการได้งานของผู้รับสิทธิ ควบคู่ไปกับการสนับสนุนการหางานโดยตรงที่มีอยู่เดิม เช่น การให้เงินอุดหนุนค่าจ้าง (wage subsidy) ในช่วงเริ่มทำงานใหม่ หรือเงินรางวัลเมื่อได้งาน (re-employment bonus) โดยเฉพาะงานที่อาจจะให้รายได้น้อยในช่วงต้น นโยบายนี้สามารถช่วยลดความกังวลของผู้ว่างงานที่ไม่อยากรับงานที่คิดว่าไม่ดี(กว่างานเดิม)ได้ โดยมาตรการดังกล่าวในประเทศเกาหลีใต้ช่วยให้ผู้ว่างงานกลับเข้าสู่ตลาดแรงงานได้เร็วขึ้น โดยไม่ลดทอนคุณภาพของงานใหม่ที่ได้รับ (Ahn, 2018)
- ใช้ตัวชี้วัดตลาดแรงงานอย่างระมัดระวัง ผู้กำหนดนโยบายและนักวิเคราะห์ควรตระหนักว่า “ความขยันหางานที่สังเกตได้” อาจมีความคลาดเคลื่อนสูงและอาจไม่ได้สะท้อนถึงแรงงานที่ต้องการได้งานเสมอไป ควรพิจารณาข้อมูลอื่นประกอบ เช่น สัดส่วนของผู้ได้รับสิทธิ UI และมูลค่าของสิทธิประกันการว่างงาน เพื่อประเมินภาวะและประสิทธิภาพชองตลาดแรงงานได้อย่างคลอบคลุมและแม่นยำมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงภาวะถดถอยหรือช่วงที่สิทธิประกันการว่างงานให้ผลตอบแทนแก่ผู้รับประกันสูง เพราะผู้ว่างงานอาจยังรายงานการหางานในระดับที่สูง แม้ความพยายามจริงและอัตราการได้งานอาจจะไม่ได้สูงตามกันไป
โดยสรุป ระบบประกันการว่างงานที่มีประสิทธิภาพควรรักษาสมดุลระหว่างการคุ้มครองรายได้กับแรงจูงใจในการหางานอย่างแท้จริง การตรวจสอบการหางานควรสะท้อนทั้งปริมาณและคุณภาพของการหางาน รวมทั้งพิจารณาใช้มาตรการจูงใจหลังได้งานทำ จะสามารถช่วยให้ผู้ว่างงานกลับเข้าสู่ตลาดแรงงานได้เร็วขึ้น ได้งานที่เหมาะสมยิ่งขึ้น และช่วยให้ตลาดแรงงานฟื้นตัวเร็วขึ้นและยั่งยืนในระยะยาว
เอกสารอ้างอิง
- วิธีการหางานในแบบสำรวจ CPS มีทั้งหมด 13 วิธี แบ่งออกเป็นสองประเภทหลัก ได้แก่ วิธีการหางานเชิงรุก (Active methods) ได้แก่ (1) ติดต่อหรือสัมภาษณ์กับนายจ้างโดยตรง, (2) ติดต่อหน่วยงานจัดหางานของรัฐ, (3) ติดต่อหน่วยงานจัดหางานเอกชน, (4) ติดต่อเพื่อนหรือญาติให้ช่วยหางาน, (5) ติดต่อศูนย์จัดหางานของสถาบันการศึกษา, (6) ส่งใบสมัครหรือเรซูเม่, (7) ตรวจสอบทะเบียนของสหภาพแรงงานหรือสมาคมวิชาชีพ, (8) ลงประกาศหรือสมัครผ่านโฆษณางาน (9) วิธีอื่น ๆ ที่เป็นการหางานเชิงรุก, และ วิธีการหางานเชิงรับ (Passive methods) ได้แก่ (10) ดูประกาศรับสมัครงานโดยไม่ได้สมัคร, (11) เข้าร่วมการอบรมหรือหลักสูตรฝึกอาชีพ, (12) ไม่ได้ทำกิจกรรมใด ๆ เพื่อหางานในช่วงเวลานั้น, (13) วิธีอื่น ๆ ที่เป็นการหางานเชิงรับ ทั้งนี้วิธีที่ (12) ไม่ได้ถูกนับรวมในจำนวนวิธีหางานเฉลี่ย↩
- ตัวชี้วัดความขยันหางานทั้ง 2 ตัวนี้ถูกใช้ในการวิเคราะห์การหางานของแรงงานอย่างแพร่หลาย เช่น Shimer (2004), Mukoyama et al. (2018), และ Marinescu & Skandalis (2020)↩
- ลักษณะแรงงานตัวบุคคล ได้แก่ เชื้อชาติ ระดับการศึกษา เพศ อายุ สถานภาพสมรส อาชีพ อุตสาหกรรม ระยะเวลาการว่างงาน ความคาดหวังว่าจะถูกเรียกกลับเข้าทำงาน (recall expectation) เดือนที่คาดว่าจะหมดสิทธิประกันการว่างงาน เหตุผลของการว่างงาน ระยะเวลาการทำงานในตำแหน่งเดิม (tenure) และรายได้เฉลี่ยต่อสัปดาห์จากงานก่อนหน้า↩
- ภาวะเศรษฐกิจโดยรวม ได้แก่ linear time trend, recession dummy, state fixed effects, และอัตราการว่างงานของแต่ละรัฐ ↩
- ทั้งนี้ได้ควบคุมเพิ่มเติมสำหรับคุณภาพที่อาจจะแตกต่างกันของแต่ละวิธีการหางานโดยใช้ dummy variables↩
- ตามคำนิยามของ Bureau of Labor Statistics ประเทศสหรัฐอเมริกา↩








