Research
Discussion Paper
PIERspectives
aBRIDGEd
PIER Blog
Events
Conferences
Research Workshops
Policy Forums
Seminars
Exchanges
Research Briefs
Community
PIER Research Network
Visiting Fellows
Funding and Grants
About Us
Our Organization
Announcements
PIER Board
Staff
Work with Us
Contact Us
TH
EN
Research
Research
Discussion Paper
PIERspectives
aBRIDGEd
PIER Blog
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกับเศรษฐกิจ: ตอนที่ 3 การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
Latest PIERspectives
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกับเศรษฐกิจ: ตอนที่ 3 การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ทำไมคนที่ขยันหางานมากกว่ากลับได้งานช้ากว่า: บทเรียนจากระบบประกันการว่างงานของสหรัฐฯ
Latest aBRIDGEd
ทำไมคนที่ขยันหางานมากกว่ากลับได้งานช้ากว่า: บทเรียนจากระบบประกันการว่างงานของสหรัฐฯ
Events
Events
Conferences
Research Workshops
Policy Forums
Seminars
Exchanges
Research Briefs
Sovereign Risk, Expected Inflation, and the Currency Denomination of Sovereign Debt
Latest PIER Economics Seminar
Sovereign Risk, Expected Inflation, and the Currency Denomination of Sovereign Debt
Efficiency at a Cost: How a Fiscal Rule on Disbursement Timelines Shifted Public Investment Toward Repairs
Latest PIER Research Exchange
Efficiency at a Cost: How a Fiscal Rule on Disbursement Timelines Shifted Public Investment Toward Repairs
สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์
Puey Ungphakorn
Institute for
Economic Research
Puey Ungphakorn Institute for Economic Research
Community
Community
PIER Research Network
Visiting Fellows
Funding and Grants
PIER Research Network
PIER Research Network
Funding & Grants
Funding & Grants
About Us
About Us
Our Organization
Announcements
PIER Board
Staff
Work with Us
Contact Us
Staff
Staff
ดร.โสมรัศมิ์ จันทรัตน์ ร่วมเสวนาในการประชุมเผยแพร่รายงาน Thailand’s Economic Survey 2025
Latest announcement
ดร.โสมรัศมิ์ จันทรัตน์ ร่วมเสวนาในการประชุมเผยแพร่รายงาน Thailand’s Economic Survey 2025
aBRIDGEdabridged
Making Research Accessible
QR code
Year
2025
2024
2023
2022
...
Topic
Development Economics
Macroeconomics
Labor and Demographic Economics
Monetary Economics
...
/static/aceb630a300e73a41330ff746d953f3a/e9a79/cover.png
11 December 2025
20251765411200000

ทำไมคนที่ขยันหางานมากกว่ากลับได้งานช้ากว่า: บทเรียนจากระบบประกันการว่างงานของสหรัฐฯ

ความขยันหางานที่วัดได้จากข้อมูลอาจไม่สะท้อนความพยายามหางานที่แท้จริง
Wongkot Similan Rujiwattanapong
ทำไมคนที่ขยันหางานมากกว่ากลับได้งานช้ากว่า: บทเรียนจากระบบประกันการว่างงานของสหรัฐฯ
excerpt

ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์แรงงานเห็นพ้องกันว่าการขยันหางานที่มากขึ้นควรเพิ่มโอกาสการได้งานที่สูงขึ้น และผู้ที่ได้ประโยชน์มากกว่าจากการได้งานควรหางานมากกว่าผู้ที่ได้ประโยชน์น้อยกว่า อย่างไรก็ตาม งานศึกษานี้แสดงผลที่ตรงข้ามกันเมื่อใช้ข้อมูลจากแบบสำรวจแรงงานของสหรัฐฯ นั่นคือ ผู้ที่ได้รับหรือเคยได้รับสิทธิประกันการว่างงาน (Unemployment Insurance: UI) มักขยันหางานมากกว่า (โดยวัดจากจำนวนวิธีและเวลาที่ใช้ในการหางาน) แต่กลับมีโอกาสได้งานช้ากว่าผู้ที่ไม่เคยได้รับสิทธิ การวิเคราะห์ด้วยแบบจำลองเศรษฐศาสตร์ชี้ว่า สำหรับแรงงานที่มี UI นั้น ความขยันหางานที่วัดจากปริมาณ เช่น จำนวนวิธีหรือเวลาที่ใช้หางาน นั้น อาจไม่สะท้อนถึงความขยันหรือความพยายามหางานที่แท้จริง นอกจากนี้แบบจำลองยังชี้ให้เห็นว่าความแตกต่างระหว่างความขยันหางานที่วัดได้จากข้อมูล กับ ความขยันหางานที่แท้จริง มีมากขึ้นในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจซึ่งมักมีการขยายเวลาสิทธิประกันการว่างงานในสหรัฐฯ ผลลัพธ์ดังกล่าวชี้ให้เห็นว่าการใช้ตัวชี้วัดเชิงปริมาณ เช่น จำนวนวิธีหรือเวลาที่ใช้หางาน เพื่อรักษาสิทธิ UI อาจไม่เพียงพอต่อการจูงใจให้แรงงานได้งานทำ และยังอาจส่งผลต่อการตีความประสิทธิภาพของตลาดแรงงานในแง่ลบที่เกินความจริง

ระบบประกันการว่างงาน (Unemployment Insurance) และทฤษฎีเศรษฐศาสตร์แรงงาน

ระบบประกันการว่างงาน (Unemployment Insurance: UI) เป็นหนึ่งในเครื่องมือนโยบายที่สำคัญในการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ โดยให้รายได้ทดแทนแก่ผู้ที่ตกงานในระหว่างที่หางานใหม่ อย่างไรก็ตาม การออกแบบระบบนี้ต้องเผชิญคำถามสำคัญเสมอว่า “แรงงานจะยังขยันหางานอยู่หรือไม่ หากได้รับเงินชดเชยระหว่างว่างงาน”

ในหลายประเทศ รวมถึงสหรัฐอเมริกา ผู้รับสิทธิ UI ต้องรายงานกิจกรรมการหางานรายสัปดาห์ เช่น การส่งใบสมัครงาน เพื่อรักษาสิทธิในการได้รับเงินชดเชยระหว่างว่างงาน ผู้กำหนดนโยบายมักเชื่อว่า การกำหนดเงื่อนไขการหางานที่เข้มงวดขึ้นจะช่วยให้ผู้ว่างงานหางานได้เร็วขึ้น และลดระยะเวลาการว่างงานลง อย่างไรก็ตาม หลักฐานเชิงประจักษ์จากสหรัฐอเมริกากลับท้าทายสมมติฐานนี้

งานศึกษานี้ใช้ข้อมูลจากแบบสำรวจแรงงานสหรัฐฯ เพื่อศึกษาว่า “ความขยันหางาน” ที่ผู้ว่างงานรายงานไว้นั้น นำไปสู่การได้งานเร็วขึ้นจริงหรือไม่ และผู้ว่างงานที่ได้รับหรือไม่ได้รับ UI มีพฤติกรรมสอดคล้องกับทฤษฎีเศรษฐศาสตร์แรงงานหรือไม่ โดยในบทความนี้ ความขยันหางานของแรงงานจะวัดจากจำนวนวิธีและเวลาที่ใช้ในการหางานของแรงงานทุกกลุ่ม ทั้งผู้ที่มีสิทธิและไม่มีสิทธิได้รับ UI

ตามทฤษฎีเศรษฐศาสตร์แรงงาน ผู้ว่างงานจะเลือก “ระดับความขยันในการหางาน” ตามผลประโยชน์ที่คาดว่าจะได้จากการได้งาน หากไม่ได้รับ UI ผู้ว่างงานจะสูญเสียรายได้โดยตรง จึงควรมีแรงจูงใจในการขยันหางานมากกว่า ในทางตรงกันข้าม ผู้ที่ได้รับประโยชน์จาก UI จะได้รับรายได้ชดเชยชั่วคราว ทำให้ทฤษฎีคาดการณ์ว่าพวกเขาจะขยันหางานน้อยกว่า แต่ข้อมูลจริงกลับแสดงสิ่งที่ตรงกันข้าม — ผู้ที่มีประวัติได้รับ UI กลับรายงานว่าขยันหางานมากกว่า แต่ได้งานช้ากว่า

ผลการศึกษานี้เป็นประเด็นสำคัญต่อการออกแบบนโยบายตลาดแรงงานในอนาคต เพราะสะท้อนว่าการมองเพียงจำนวนวิธีและเวลาที่ใช้ในการหางานที่ได้มีการรายงาน อาจไม่เพียงพอที่จะประเมินความพยายามที่แท้จริงของแรงงาน และอาจนำไปสู่นโยบายที่ไม่สามารถกระตุ้นการจ้างงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะเมื่อมีการนำตัวชี้วัดดังกล่าวไปใช้ในการออกแบบนโยบายเศรษฐกิจ

ข้อเท็จจริงจากข้อมูล: หางานมากกว่า แต่ได้งานช้ากว่า

การวัด “ความขยันหางาน”

การศึกษานี้ใช้ข้อมูลจากแบบสำรวจแรงงานของสหรัฐฯ Current Population Survey (CPS) ระหว่างปี 1998–2022 และ American Time Use Survey (ATUS) ระหว่างปี 2003–2014 เพื่อวัด “ความขยันหางาน” (job search intensity) หรือความพยายามในการหางาน จากตัวชี้วัดที่สามารถสังเกตได้โดยตรง 2 ตัว ได้แก่

  1. จำนวนวิธีการหางานเฉลี่ยต่อเดือน จากข้อมูล CPS เช่น การติดต่อกับนายจ้างโดยตรง การติดต่อหน่วยงานจัดหางานของรัฐ การติดต่อหน่วยงานจัดหางานเอกชน หรือการติดต่อเพื่อนหรือญาติให้ช่วยหางาน 1
  2. เวลาที่ใช้ในการหางานเฉลี่ยต่อวัน (นาที) จากข้อมูล ATUS ซึ่งเก็บเวลาที่ผู้ว่างงานใช้ในกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการหางานในแต่ละวัน 2

โดยข้อมูลที่วิเคราะห์เป็นของกลุ่มตัวอย่างผู้ว่างงานอายุระหว่าง 21–64 ปี และแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มตามประวัติการได้รับสิทธิประกันการว่างงาน (UI history):

  • ผู้ได้รับสิทธิ UI ในปัจจุบัน (current UI recipients): ผู้ที่กำลังได้รับเงินชดเชยการว่างงานในเดือนที่สำรวจ
  • ผู้เคยได้รับสิทธิ UI (former UI recipients): ผู้ที่เคยได้รับแต่สิทธิสิ้นสุดแล้ว (benefits exhausted)
  • ผู้ไม่เคยได้รับ UI (non-UI recipients): ผู้ที่ไม่เคยยื่นหรือได้รับสิทธิประโยชน์นี้เลยตั้งแต่ว่างงานมา

เกณฑ์การได้รับ UI แตกต่างกันไปตามที่แต่ละรัฐกำหนด แต่โดยรวมแล้วแรงงานที่มีสิทธิได้รับ UI จะต้องว่างงานโดยไม่สมัครใจ มีประวัติการทำงานอย่างน้อย 3 ใน 4 ไตรมาสก่อนที่จะว่างงาน และเงินเดือนที่เคยได้รับต้องสูงกว่าเกณฑ์ที่แต่ละรัฐกำหนด ทั้งนี้ ประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ ของกลุ่มผู้ที่มีสิทธิ UI เลือกที่จะไม่ขอรับสิทธิ UI ซึ่งทำให้กลุ่มผู้ไม่เคยได้รับ UI (non-UI recipients) ข้างต้น ประกอบไปด้วยผู้ที่มีสิทธิ UI แต่ที่ไม่ขอรับสิทธิ และผู้ที่ไม่มีสิทธิที่จะได้รับ UI

ใครหางานมากกว่า?

เมื่อวิเคราะห์ข้อมูลจากทั้งสองชุด พบว่า กลุ่มที่มีประวัติได้รับสิทธิ UI — ทั้งผู้ได้รับสิทธิในปัจจุบันและผู้ที่เคยได้รับสิทธิ — รายงานว่ามีความขยันหางานสูงกว่ากลุ่มที่ไม่เคยได้รับสิทธิอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ

  • โดยเฉลี่ย กลุ่มที่มีประวัติได้รับสิทธิ UI ใช้วิธีการหางานมากกว่าประมาณ 11–12 เปอร์เซ็นต์
  • และใช้เวลาในการหางานต่อวันมากกว่าประมาณ 23–30 เปอร์เซ็นต์

ผลลัพธ์ดังกล่าวยังคงอยู่แม้เมื่อใช้แบบจำลองทางเศรษฐมิติควบคุมปัจจัยด้านลักษณะแรงงานตัวบุคคล3 และภาวะเศรษฐกิจโดยรวม4

รูปที่ 1: จำนวนวิธีการหางานเฉลี่ย (ไม่รวมผู้ที่รายงาน 0 วิธี)
รูปที่ 2: เวลาที่ใช้ในการหางานเฉลี่ยต่อวัน (นาที)
ที่มา: CPS, ATUS, Rujiwattanapong (2025)

ตามทฤษฎีเศรษฐศาสตร์แรงงาน ผู้ที่ไม่เคยได้รับเงินชดเชยการว่างงานควรจะมีแรงจูงใจในการหางานมากกว่า เนื่องจากการว่างงานสร้างความสูญเสียรายได้โดยตรง ในขณะที่ผู้ได้รับเงินชดเชยมีรายได้ทดแทนชั่วคราว จึงควรจะขยันหางานน้อยกว่า แต่ข้อมูลกลับแสดงผลตรงกันข้าม — บทความนี้มีเป้าหมายที่จะศึกษาว่าปัจจัยเชิงสถาบันของระบบ UI (เช่น ข้อกำหนดการรายงานการหางานเพื่อรักษาสิทธิ) สามารถอธิบายความขยันหางานที่มากขึ้นของผู้รับสิทธิ UI ได้หรือไม่ และสามารถมีบทบาทต่ออัตราการได้งานหรือไม่

ขยันหางานมากกว่า แต่ได้งานช้ากว่า

เมื่อพิจารณาอัตราการได้งาน (job-finding rate) ของแต่ละกลุ่ม พบว่า กลุ่มที่มีประวัติได้รับสิทธิ UI มีอัตราการได้งานน้อยกว่ากว่ากลุ่มที่ไม่เคยได้รับสิทธิอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ

  • กลุ่มที่ไม่เคยรับสิทธิ UI มีอัตราการได้งานเฉลี่ย ประมาณ 32 เปอร์เซ็นต์ต่อเดือน
  • ขณะที่ กลุ่มที่เคยหรือกำลังรับสิทธิ UI มีอัตราการได้งานเฉลี่ยเพียง 21–23 เปอร์เซ็นต์ต่อเดือน ทั้งที่รายงานความขยันหางานที่มากกว่า

แม้เมื่อใช้แบบจำลองทางเศรษฐมิติควบคุมปัจจัยด้านลักษณะแรงงานตัวบุคคลและภาวะเศรษฐกิจโดยรวมคล้ายกับการวิเคราะห์ก่อนหน้า ผลลัพธ์ยังคงเดิม5 — แสดงให้เห็นว่าจำนวนวิธีหรือเวลาที่ใช้ในการหางานไม่ได้สะท้อนถึงอัตราการได้งานเสมอไป

รูปที่ 3: อัตราการได้งานต่อเดือน (%) (คำนวณเฉพาะผู้ว่างงานที่ยังอยู่ในกำลังแรงงาน)
ที่มา: CPS, ATUS, Rujiwattanapong (2025)

ผลลัพธ์นี้ขัดแย้งกับทฤษฎีเศรษฐศาสตร์แรงงาน ซึ่งระบุว่า ผู้ที่ขยันหางานมากกว่าควรได้งานเร็วกว่า แต่ในทางปฏิบัติกลับไม่เป็นเช่นนั้น และแสดงให้เห็นว่า ตัวเลขที่รายงานเกี่ยวกับการขยันหางานของผู้ว่างงานอาจจะสะท้อนถึงการปฏิบัติตามข้อกำหนดของระบบประกันการว่างงาน มากกว่าความขยันหางานอย่างแท้จริง

เงื่อนไขการหางานเพื่อรักษาสิทธิ UI (Work search requirements)

ระบบประกันการว่างงานของสหรัฐฯ เปิดโอกาสให้แต่ละรัฐกำหนดเงื่อนไขการหางาน (work search requirements) เอง เพื่อพิจารณาการรักษาสิทธิประกันการว่างงานของแรงงาน ความแตกต่างเชิงสถาบันนี้สามารถช่วยให้เราทำความเข้าใจว่า ทำไมความขยันหางานที่สังเกตได้ (observed job search intensity) หรือความขยันหางานวัดได้จากข้อมูลนั้น จึงไม่สะท้อนความขยันหรือความพยายามหางานที่แท้จริง (true job search intensity) ของผู้ว่างงานเสมอไป

ในบางรัฐ เช่น Florida มีข้อกำหนดที่เข้มงวด โดยผู้ขอรับสิทธิ UI ต้องยื่นหลักฐานว่าติดต่อผู้จ้างงานอย่างน้อย 5 รายต่อสัปดาห์ เพื่อรักษาสิทธิ UI ในขณะที่บางรัฐ เช่น California ให้นิยามคำจำกัดความของ “การหางาน” ที่กว้าง และนับรวมกิจกรรมอย่างการเข้าร่วม Job Fair หรือการค้นหางานผ่านระบบออนไลน์เข้าไปด้วย และไม่จำเป็นต้องรายงานการหางานทุกสัปดาห์

เราสามารถใช้ความแตกต่างระหว่างรัฐในด้านข้อกำหนดการหางานสำหรับผู้กำลังได้รับสิทธิ UI นี้ในแบบจำลองทางเศรษฐมิติและได้ข้อสรุปว่า

  1. ความเข้มงวดของข้อกำหนดการหางาน มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับความขยันหางาน แต่
  2. ความเข้มงวดของข้อกำหนดการหางาน ไม่มีความสัมพันธ์กับอัตราการได้งาน

ผลดังกล่าวเสนอให้เห็นว่า ผู้ว่างงานมักรายงานจำนวนการสมัครงานหรือการติดต่อที่เพียงพอต่อการรักษาสิทธิ UI เท่านั้น และไม่ได้หมายความว่าพวกเขาได้พยายามหรือมีแรงจูงใจจริงในการหางานมากเท่ากับที่ได้รายงานเสมอไป การเพิ่มขึ้นดังกล่าวเป็นลักษณะเชิงสถาบันมากกว่า ดังนั้น ตัวเลขจำนวนกิจกรรมหรือเวลาที่ใช้ในการหางานอาจไม่สามารถสะท้อน “คุณภาพ” หรือ ความสำเร็จของการหางานได้ดีพอ

ผลการศึกษานี้สอดคล้องกับหลักฐานจากงานก่อนหน้าที่พบว่าผู้รับสิทธิประกันการว่างงานมักมีอัตราการได้งานที่น้อยกว่าผู้ที่ไม่ได้รับสิทธิ เช่น Moffitt (1985), Meyer (1990) และ Krueger & Mueller (2010) ซึ่งผลลัพธ์นี้สามารถอธิบายได้จาก แรงจูงใจในทางลบ (disincentive effects) และ การเลือกงาน (selective effects) ที่มักเจอในผู้รับสิทธิประกันการว่างงาน ตามที่ศึกษาใน Rujiwattanapong (2022) และ Rujiwattanapong (2025) ซึ่งพบว่า แม้การมีสิทธิ UI จะช่วยบรรเทาความสูญเสียรายได้ในช่วงว่างงาน แต่ก็อาจทำให้แรงจูงใจในการหางานลดลง และทำให้ผู้ว่างงานใช้เวลามากขึ้นในการเลือกงานที่มีคุณภาพดีมากขึ้น คล้ายกับการที่แรงงานมี reservation wage (ค่าจ้างต่ำสุดที่ยอมรับได้) ที่สูงขึ้น

ทำไมผู้เคยได้รับสิทธิ UI จึงยังขยันหางานมากกว่า แต่ได้งานช้ากว่า?

แม้ผู้ที่เคยได้รับสิทธิ UI (former UI recipients) จะไม่ได้รับเงินชดเชยแล้ว แต่ยังคงรายงานว่ามีความขยันหางานสูงกว่าผู้ที่ไม่เคยได้รับสิทธิ UI (non-UI recipients) กลไกหนึ่งที่เป็นไปได้คือ duration dependence หรือความเกี่ยวพันธ์ทางระยะเวลา — ยิ่งผู้ว่างงานมีระยะเวลาที่ว่างงานมากขึ้น โอกาสที่จะได้งานยิ่งลดลง แม้จะคงระดับความพยายามไว้เท่าเดิมก็ตาม

งานที่ศึกษาถึงปัจจัยที่ช่วยอธิบายเหตุการณ์นี้มีมากมาย เช่น การถูกคัดกรองหรือตีตราโดยนายจ้าง (employer screening or stigma) การเสื่อมลงของทักษะหรือ human capital หรือการสูญเสีย professional networks เช่นที่ได้ศึกษาโดย Ortego-Marti (2016) และ Jarosch & Pilossoph (2019)

โดยทั่วไป ระยะเวลาการได้รับสิทธิ UI มาตรฐานในสหรัฐฯ อยู่ที่ประมาณ 6 เดือน ดังนั้น ผู้ที่หมดสิทธิ UI จึงมักเป็นผู้ว่างงานระยะยาว (long-term unemployed)6 การที่พวกเขารายงานว่าหางานมากขึ้น อาจสะท้อนถึงสภาพตลาดแรงงานที่แรงงานกลุ่มนี้เจอหลังสิ้นสุดสิทธิ UI และอาจจะไม่ได้ทำให้โอกาสในการได้งานสูงขึ้นเสมอไป ทั้งนี้ หลังจากที่ควบคุมระยะเวลาว่างงานที่แตกต่างกันของผู้ว่างงานในแบบจำลองทางเศรษฐมิติ พบว่าอัตราการได้งานของผู้ที่เคยได้รับสิทธิ UI และผู้ที่ไม่เคยได้รับสิทธิ UI ไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ

จากข้อมูลสู่แบบจำลอง: แยกความขยันหางานที่สังเกตได้ จากความขยันที่แท้จริง

หากตัวเลขที่เห็นในข้อมูลสะท้อนการรายงานเพื่อรักษาสิทธิ UI มากกว่าความขยันหางานจริง คำถามต่อมาคือ — ความแตกต่างระหว่าง “ความขยันที่สังเกตได้” (observed intensity) กับ “ความขยันที่แท้จริง” (true intensity) นั้นมากเพียงใด?

เพื่อตอบคำถามนี้ Rujiwattanapong (2025) ได้ต่อยอดแบบจำลอง search-and-matching ที่พัฒนาโดย Diamond–Mortensen–Pissarides (DMP) เพื่อจำลองการตัดสินใจของทั้ง “ผู้หางาน” และ “นายจ้าง” โดยแบบจำลองใหม่นี้มีคุณลักษณะเพิ่มเติมสำคัญสองประการคือ:

  1. การรายงานการหางานเพื่อรักษาสิทธิ UI และการเลือกระดับความขยันหางาน: ผู้ที่รับสิทธิ UI ต้องรายงานจำนวนการสมัครงานขั้นต่ำในแต่ละสัปดาห์ เช่น อย่างน้อย 5 แห่ง เพื่อรักษาสิทธิ แม้ในความเป็นจริงอาจสนใจเพียง 1–2 ตำแหน่ง ในกรณีนี้ ใบสมัครอีก 3–4 แห่งที่ส่งไปอาจไม่ได้รับความตั้งใจหรือมีคุณภาพเทียบเท่ากับใบสมัครในตำแหน่งที่สนใจอย่างแท้จริง แต่การรายงานการหางานเช่นนี้ทำให้ “ความขยันหางานที่สังเกตได้” สูงกว่าความขยันหรือความพยายามที่แท้จริง ทั้งนี้ความขยันหางานที่แท้จริงจะสูงขึ้นก็ต่อเมื่อผู้ว่างงานได้รับประโยชน์มากขึ้นจากการได้งานทำ
  2. Duration Dependence ในอัตราการได้งาน: ความน่าจะเป็นในการได้งานลดลงตามระยะเวลาที่ว่างงาน ไม่ว่าจะขยันหางานมากเพียงใดก็ตาม

แบบจำลองนี้ช่วยแยกความขยันหางานที่แท้จริงออกจากความขยันหางานที่สังเกตได้ และศึกษาว่าความแตกต่างระหว่างสองสิ่งนี้เปลี่ยนไปอย่างไรในแต่ละช่วงของวัฏจักรเศรษฐกิจ (business cycle) สำหรับรายละเอียด สามารถอ่านดูเพิ่มเติมได้ใน Rujiwattanapong (2025)

ผลจากแบบจำลองที่พัฒนาให้สอดคล้องกับตลาดแรงงานของสหรัฐฯ พบว่า

  • ความขยันหางานที่สังเกตได้จากข้อมูลจริง สอดคล้องกับความขยันหางานที่สังเกตได้จากข้อมูลที่สร้างโดยแบบจำลอง (หรือจาก baseline model)
  • โดยเฉลี่ย “ความขยันหางานที่สังเกตได้” สูงกว่า “ความขยันหางานที่แท้จริง” ประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ ในภาวะปกติ
  • ในช่วง The Great Recession (2008–2010) ช่องว่างดังกล่าวเพิ่มขึ้นกว่า 200 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากการขยายเวลาการได้รับสิทธิ UI สูงสุดถึง 99 สัปดาห์ (จากมาตรฐานที่ 26 สัปดาห์) ส่งผลให้ผู้ว่างงานมีความเลือกงานมากขึ้น และลดความพยายามจริงในการหางาน แม้ตัวเลขกิจกรรมการหางานที่รายงานยังคงสูง
  • ผลที่ตามมาคือ หากใช้ข้อมูลความขยันหางานที่สังเกตได้เพียงอย่างเดียว อาจทำให้ประเมินผิดว่าประสิทธิภาพการจับคู่ในตลาดแรงงานระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง ลดต่ำเกินความเป็นจริงถึง 18 เปอร์เซ็นต์ ในช่วงวิกฤตดังกล่าว
รูปที่ 4: ความแตกต่างระหว่างความขยันหางานที่สังเกตได้ และความขยันหางานที่แท้จริง ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ Great Recession

ความแตกต่างระหว่างความขยันหางานที่สังเกตได้ และความขยันหางานที่แท้จริง ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ Great Recession

ที่มา: CPS, Rujiwattanapong (2025)หมายเหตุ: Effective search intensity หมายถึง ความขยันหางานที่แท้จริง, Observed search intensity: Data หมายถึง ความขยันหางานที่สังเกตได้จากข้อมูลจริง, และ Observed search intensity: Baseline หมายถึง ความขยันหางานที่สังเกตได้จากข้อมูลที่สร้างโดยแบบจำลอง

ผลลัพธ์เหล่านี้ชี้ให้เห็นว่า ตัวชี้วัดความขยันหางานที่ใช้กันทั่วไป เช่น จำนวนใบสมัครงานที่ยื่น หรือ เวลาที่ใช้ในการหางาน อาจไม่สามารถสะท้อนถึง “สุขภาพ” ของตลาดแรงงานได้อย่างถูกต้องเสมอไป ประสิทธิภาพในตลาดแรงงานที่ดูเหมือนลดลง อาจเกิดจากการวัดที่คลาดเคลื่อน (mismeasurement) มากกว่าการเสื่อมถอยเชิงโครงสร้างของตลาดแรงงานจริง

บทสรุป

งานศึกษานี้เชื่อมโยงหลักฐานเชิงประจักษ์เข้ากับแบบจำลองเชิงทฤษฎี เพื่ออธิบายข้อค้นพบที่ว่า ผู้ที่ได้รับสิทธิประกันการว่างงาน (UI) มีแนวโน้มขยันหางานมากกว่า แต่กลับได้งานช้ากว่า

ตัวเลขเชิงปริมาณที่มักใช้วัดความขยันหางาน — เช่น จำนวนวิธีการหางาน หรือเวลาที่ใช้ในการหางาน — อาจไม่สะท้อนถึงความขยันหางานที่แท้จริงเสมอไป แต่สะท้อนถึงข้อกำหนดการหางานของผู้ที่ได้รับสิทธิ UI ในช่วงเศรษฐกิจปกติ ความคลาดเคลื่อนนี้อาจไม่มากนัก แต่ในช่วงภาวะ recession หรือเมื่อมีการขยายระยะเวลารับสิทธิ UI ออกไป ความคลาดเคลื่อนดังกล่าวอาจยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นจากหลักฐานเชิงประจักษ์และแบบจำลอง งานศึกษานี้เสนอ 3 ประเด็นหลักในการออกแบบและตีความนโยบายประกันการว่างงาน (UI)

  1. ทบทวนแนวทางข้อกำหนดการหางาน (work search requirements) การกำหนดให้ผู้รับสิทธิประกันการว่างงานต้องยื่นใบสมัครงานในจำนวนหนึ่งในแต่ละสัปดาห์ ช่วยให้ตรวจสอบการปฏิบัติตามกฎได้ง่าย แต่ไม่ได้แปลว่าจะช่วยให้ได้งานเร็วขึ้นเสมอไป ผู้กำหนดนโยบายควรให้ความสำคัญถึงคุณภาพของกิจกรรมการหางาน เช่น การสัมภาษณ์งาน การเข้ารับการประเมินทักษะ (skill assessment) หรือการเข้าร่วมหลักสูตรฝึกอบรม นอกเหนือไปจากปริมาณของกิจกรรมการหางาน เช่น การนับจำนวนใบสมัครงานเพียงอย่างเดียว
  2. ให้ความสำคัญกับ “การได้งาน” (job finding) นอกเหนือไปจาก “การหางาน” (job search)ระบบ UI ควรพิจารณาใช้มาตรการจูงใจหลังได้งานทำ (re-employment incentives) เพื่อเพิ่มโอกาสการได้งานของผู้รับสิทธิ ควบคู่ไปกับการสนับสนุนการหางานโดยตรงที่มีอยู่เดิม เช่น การให้เงินอุดหนุนค่าจ้าง (wage subsidy) ในช่วงเริ่มทำงานใหม่ หรือเงินรางวัลเมื่อได้งาน (re-employment bonus) โดยเฉพาะงานที่อาจจะให้รายได้น้อยในช่วงต้น นโยบายนี้สามารถช่วยลดความกังวลของผู้ว่างงานที่ไม่อยากรับงานที่คิดว่าไม่ดี(กว่างานเดิม)ได้ โดยมาตรการดังกล่าวในประเทศเกาหลีใต้ช่วยให้ผู้ว่างงานกลับเข้าสู่ตลาดแรงงานได้เร็วขึ้น โดยไม่ลดทอนคุณภาพของงานใหม่ที่ได้รับ (Ahn, 2018)
  3. ใช้ตัวชี้วัดตลาดแรงงานอย่างระมัดระวัง ผู้กำหนดนโยบายและนักวิเคราะห์ควรตระหนักว่า “ความขยันหางานที่สังเกตได้” อาจมีความคลาดเคลื่อนสูงและอาจไม่ได้สะท้อนถึงแรงงานที่ต้องการได้งานเสมอไป ควรพิจารณาข้อมูลอื่นประกอบ เช่น สัดส่วนของผู้ได้รับสิทธิ UI และมูลค่าของสิทธิประกันการว่างงาน เพื่อประเมินภาวะและประสิทธิภาพชองตลาดแรงงานได้อย่างคลอบคลุมและแม่นยำมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงภาวะถดถอยหรือช่วงที่สิทธิประกันการว่างงานให้ผลตอบแทนแก่ผู้รับประกันสูง เพราะผู้ว่างงานอาจยังรายงานการหางานในระดับที่สูง แม้ความพยายามจริงและอัตราการได้งานอาจจะไม่ได้สูงตามกันไป

โดยสรุป ระบบประกันการว่างงานที่มีประสิทธิภาพควรรักษาสมดุลระหว่างการคุ้มครองรายได้กับแรงจูงใจในการหางานอย่างแท้จริง การตรวจสอบการหางานควรสะท้อนทั้งปริมาณและคุณภาพของการหางาน รวมทั้งพิจารณาใช้มาตรการจูงใจหลังได้งานทำ จะสามารถช่วยให้ผู้ว่างงานกลับเข้าสู่ตลาดแรงงานได้เร็วขึ้น ได้งานที่เหมาะสมยิ่งขึ้น และช่วยให้ตลาดแรงงานฟื้นตัวเร็วขึ้นและยั่งยืนในระยะยาว

เอกสารอ้างอิง

Ahn, T. (2018). Assessing the effects of reemployment bonuses on job search: A regression discontinuity approach. Journal of Public Economics, 165, 82–100.
Jarosch, G., & Pilossoph, L. (2019). Statistical Discrimination and Duration Dependence in the Job Finding Rate. The Review of Economic Studies, 86(4 (309)), 1631–1665.
Krueger, A. B., & Mueller, A. (2010). Job search and unemployment insurance: New evidence from time use data. Journal of Public Economics, 94(3), 298–307.
Marinescu, I., & Skandalis, D. (2020). Unemployment Insurance and Job Search Behavior. The Quarterly Journal of Economics, 136(2), 887–931.
Meyer, B. (1990). Unemployment Insurance and Unemployment Spells. Econometrica, 58(4), 757–782.
Moffitt, R. (1985). Unemployment insurance and the distribution of unemployment spells. Journal of Econometrics, 28(1), 85–101.
Mukoyama, T., Patterson, C., & Sahin, A. (2018). Job Search Behavior over the Business Cycle. American Economic Journal: Macroeconomics, 10(1), 190–215.
Ortego-Marti, V. (2016). Unemployment history and frictional wage dispersion. Journal of Monetary Economics, 78, 5–22.
Rujiwattanapong, W. S. (2022). Unemployment insurance and labour productivity over the business cycle. Review of Economic Dynamics, 46, 196–223.
Rujiwattanapong, W. S. (2025a). Job Search, Job Finding and the Role of Unemployment Insurance History (Discussion Paper No. 240). Puey Ungphakorn Institute for Economic Research.
Rujiwattanapong, W. S. (2025b). Unemployment dynamics and endogenous unemployment insurance extensions. European Economic Review, 178, 105106.
Shimer, R. (2004). Search Intensity. Manuscript, University of Chicago.

  1. วิธีการหางานในแบบสำรวจ CPS มีทั้งหมด 13 วิธี แบ่งออกเป็นสองประเภทหลัก ได้แก่ วิธีการหางานเชิงรุก (Active methods) ได้แก่ (1) ติดต่อหรือสัมภาษณ์กับนายจ้างโดยตรง, (2) ติดต่อหน่วยงานจัดหางานของรัฐ, (3) ติดต่อหน่วยงานจัดหางานเอกชน, (4) ติดต่อเพื่อนหรือญาติให้ช่วยหางาน, (5) ติดต่อศูนย์จัดหางานของสถาบันการศึกษา, (6) ส่งใบสมัครหรือเรซูเม่, (7) ตรวจสอบทะเบียนของสหภาพแรงงานหรือสมาคมวิชาชีพ, (8) ลงประกาศหรือสมัครผ่านโฆษณางาน (9) วิธีอื่น ๆ ที่เป็นการหางานเชิงรุก, และ วิธีการหางานเชิงรับ (Passive methods) ได้แก่ (10) ดูประกาศรับสมัครงานโดยไม่ได้สมัคร, (11) เข้าร่วมการอบรมหรือหลักสูตรฝึกอาชีพ, (12) ไม่ได้ทำกิจกรรมใด ๆ เพื่อหางานในช่วงเวลานั้น, (13) วิธีอื่น ๆ ที่เป็นการหางานเชิงรับ ทั้งนี้วิธีที่ (12) ไม่ได้ถูกนับรวมในจำนวนวิธีหางานเฉลี่ย↩
  2. ตัวชี้วัดความขยันหางานทั้ง 2 ตัวนี้ถูกใช้ในการวิเคราะห์การหางานของแรงงานอย่างแพร่หลาย เช่น Shimer (2004), Mukoyama et al. (2018), และ Marinescu & Skandalis (2020)↩
  3. ลักษณะแรงงานตัวบุคคล ได้แก่ เชื้อชาติ ระดับการศึกษา เพศ อายุ สถานภาพสมรส อาชีพ อุตสาหกรรม ระยะเวลาการว่างงาน ความคาดหวังว่าจะถูกเรียกกลับเข้าทำงาน (recall expectation) เดือนที่คาดว่าจะหมดสิทธิประกันการว่างงาน เหตุผลของการว่างงาน ระยะเวลาการทำงานในตำแหน่งเดิม (tenure) และรายได้เฉลี่ยต่อสัปดาห์จากงานก่อนหน้า↩
  4. ภาวะเศรษฐกิจโดยรวม ได้แก่ linear time trend, recession dummy, state fixed effects, และอัตราการว่างงานของแต่ละรัฐ ↩
  5. ทั้งนี้ได้ควบคุมเพิ่มเติมสำหรับคุณภาพที่อาจจะแตกต่างกันของแต่ละวิธีการหางานโดยใช้ dummy variables↩
  6. ตามคำนิยามของ Bureau of Labor Statistics ประเทศสหรัฐอเมริกา↩
Wongkot Similan Rujiwattanapong
Wongkot Similan Rujiwattanapong
Waseda University
Topics: MacroeconomicsPublic EconomicsLabor and Demographic Economics
Tags: job search intensitymatching efficiencyunemployment insurancea
The views expressed in this workshop do not necessarily reflect the views of the Puey Ungphakorn Institute for Economic Research or the Bank of Thailand.

Puey Ungphakorn Institute for Economic Research

273 Samsen Rd, Phra Nakhon, Bangkok 10200

Phone: 0-2283-6066

Email: pier@bot.or.th

Terms of Service | Personal Data Privacy Policy

Copyright © 2025 by Puey Ungphakorn Institute for Economic Research.

Content on this site is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-ShareAlike 3.0 Unported license.

Creative Commons Attribution NonCommercial ShareAlike

Get PIER email updates

Facebook
YouTube
Email