
ธุรกิจในชุมชน เช่น ร้านอาหาร ร้านกาแฟ มีบทบาทในการเป็น "พื้นที่ที่สาม (third place)" ในการพบปะกันของคนในชุมชนนอกเหนือจากที่อยู่อาศัย (พื้นที่ที่หนึ่ง) และที่ทำงาน (พื้นที่ที่สอง) และช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างคนในชุมชน แม้ว่าจะมีงานศึกษาพอสมควรเกี่ยวกับผลดีของธุรกิจในชุมชนต่อความสัมพันธ์ของคนในชุมชน แต่ผลของธุรกิจในชุมชนต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการเริ่มธุรกิจใหม่ ยังไม่มีมากนัก
งานศึกษาของ Choi et al. (2024) เรื่อง "Third Places and Neighborhood Entrepreneurship: Evidence from Starbucks Cafés" ศึกษาผลของการเปิดร้านกาแฟในชุมชน1ต่อการเริ่มธุรกิจใหม่ โดยใช้การเปิดสาขาของ Starbucks ในสหรัฐอเมริกามาเป็นตัวแปร และเทียบอัตราการเปิดบริษัท startup ใหม่ ระหว่างชุมชนที่มีสาขา Starbucks เปิดใหม่ กับชุมชนที่ไม่มี Starbucks เปิดใหม่
เนื่องจากชุมชนที่ Starbucks เลือกเปิดสาขาอาจมีลักษณะที่แตกต่างจากชุมชนอื่น เช่น เป็นชุมชนที่ประชากรมีรายได้สูง หรือกลุ่มนักเรียนเยอะ หากปัจจัยเหล่านี้มีผลต่อการเริ่มธุรกิจ startup เราอาจไม่สามารถแยกได้ ว่าอัตราการตั้งบริษัท startup ที่สูงในชุมชนเหล่านี้ เกิดจากการเปิดสาขา Starbucks หรือเป็นผลจากปัจจัยอื่น ๆ เหล่านั้น
เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว (ซึ่งต่อจากนี้จะเรียกว่าว่า selection bias) ผู้วิจัยจึงใช้การเปรียบเทียบสามรูปแบบ ด้วยเทคนิค staggered difference-in-differences
- เทียบระหว่างชุมชนที่มีการเปิดสาขา Starbucks กับชุมชนที่ Starbucks มีแผนที่จะเปิดสาขา แต่มีข้อติดขัดทำให้เปิดสาขาไม่ได้ โดยหากเราเชื่อว่า Starbucks เลือกชุมชนที่จะเปิดสาขาจากลักษณะบางอย่างที่เราไม่สามารถวัดได้ การเปรียบเทียบกันเองระหว่างชุมชนที่ Starbucks ต้องการจะเปิดสาขา (แต่บางชุมชนได้เปิด บางชุมชนไม่ได้เปิด จากปัจจัยภายนอก) จะช่วยลด selection bias ลงได้ แต่คณะผู้วิจัยก็ยอมรับว่าการเปรียบเทียบในลักษณะนี้มีข้อด้อยอยู่ ที่ชุมชนที่มีข้อติดขัดนั้นมีจำนวนค่อนข้างน้อย 
- เทียบระหว่างชุมชนที่มีการเปิดสาขา Starbucks ผ่านโครงการ Urban Coffee Opportunities กับชุมชนที่ไม่มีสาขา Starbucks โดยโครงการ Urban Coffee Opportunities นี้ได้ร่วมมือกับ Magic Johnson ในการเปิดสาขา Starbucks ในชุมชนที่ขาดแคลนทรัพยากร (underserved communities) ทำให้ selection bias ที่ Starbucks จะเลือกเปิดสาขาในชุมชนรายได้สูง ฯลฯ ลดลง แต่การเปรียบเทียบนี้อาจรวมผลของการมีโครงการอื่น ๆ ของ Magic Johnson ด้วยก็เป็นได้ 
- เทียบระหว่างชุมชนที่มีการเปิดสาขา Starbucks กับชุมชนที่ไม่มีการเปิดสาขา Starbucks เป็นการเปรียบเทียบที่ตรงไปตรงมาที่สุด มีจำนวนชุมชนตัวอย่างมากที่สุด แต่ก็อาจประสบปัญหา selection bias ได้ 
ในการเปรียบเทียบทั้งสามรูปแบบ Choi et al. (2024) พบว่า หลังจากมีการเปิดสาขา Starbucks ในชุมชนประมาณ 2 ปี อัตราการเริ่มธุรกิจ startup ใหม่ในชุมชนนั้นเพิ่มขึ้น 5–11.8% ซึ่งเทียบเท่ากับการมีบริษัท startup ใหม่เกิดขึ้น 1.1–3.5 แห่งต่อปี เทียบกับชุมชนที่ไม่มีร้านกาแฟ
นอกจากนี้ ผู้วิจัยยังพบอีกว่า
- ในชุมชนที่มีร้านกาแฟเป็น "พื้นที่ที่สาม" อยู่แล้วนั้น การเปิด Starbucks ไม่ได้ส่งผลต่อการเพิ่มอัตราการเริ่มธุรกิจ startup ใหม่แต่อย่างใด ซึ่งเป็นการช่วยยืนยันว่ากลไกการกระตุ้นการสร้างธุรกิจในชุมชนนั้น เกิดจากการสร้าง "พื้นที่ที่สาม" ให้คนในชุมชนได้เข้ามาเปิดธุรกิจใหม่
- ในชุมชนที่ไม่มีร้านกาแฟอยู่ก่อน การมีสาขาของแบรนด์กาแฟใหม่ที่ไม่ได้เน้นการสร้าง "พื้นที่สังสรรค์" ให้ชุมชนเข้ามาเปิด (เช่น Dunkin Donuts หรือ Dutch Bros) ไม่ได้ส่งผลต่อการเพิ่มอัตราการเริ่มธุรกิจ startup ใหม่ แต่สาขาของแบรนด์กาแฟที่มีลักษณะเป็นพื้นที่สังสรรค์ให้ลูกค้า (เช่น Caribou Coffee) ทำให้เกิดผลคล้ายกับที่พบจากการเปิดสาขา Starbucks
- ผลของการเปิดสาขา Starbucks ต่อการเริ่มธุรกิจใหม่แปรตามจำนวนคนที่เข้ามานั่งใช้บริการในสาขา กล่าวคือ ยิ่งมีผู้เข้าใช้บริการร้านกาแฟ Starbucks ในสาขานั้น ๆ มากเท่าไหร่ แนวโน้มการเปิดธุรกิจใหม่ในชุมชนนั้นก็จะยิ่งมากขึ้นตามไปด้วย
งานวิจัยชิ้นนี้ ช่วยยืนยันความสำคัญของ "พื้นที่ที่สาม" ในการกระตุ้นการสร้างธุรกิจในชุมชน และเป็นอีกแนวทางในการศึกษาผลของธุรกิจในชุมชนต่อความสัมพันธ์ของคนในชุมชน รวมไปถึงความสำคัญของการออกแบบ "พื้นที่" ให้เหมาะสมกับความต้องการของคนในชุมชน และตอบโจทย์การพัฒนาของชุมชนด้วย
เอกสารอ้างอิง
- ในงานศึกษานี้ ผู้วิจัยใช้ census tract (เขตสำรวจสำมะโนประชากร) เป็นหน่วยการวิเคราะห์ โดย census tract ของสหรัฐอเมริกา มีประชากร 1,200–8,000 คน↩








