โอกาสของผู้กู้ที่เคยมีหนี้เสีย และวัฒนธรรมการใช้ข้อมูลเครดิตในระบบการเงินไทย
เป้าประสงค์สำคัญของการมีข้อมูลเครดิตที่ครบถ้วนและครอบคลุมก็เพื่อช่วยให้สถาบันการเงินสามารถปล่อยสินเชื่อตามศักยภาพและคิดดอกเบี้ยตามความเสี่ยงของผู้กู้ และในขณะเดียวกันก็สามารถ reward พฤติกรรมการชำระหนี้ที่ดีของผู้กู้ได้ และหากผู้กู้เข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงคุณค่าของการมีประวัติการชำระหนี้ที่ดี ก็จะช่วยเสริมสร้างพฤติกรรมการชำระหนี้ที่ดีของผู้กู้ด้วยอีกต่อหนึ่ง ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างวัฒนธรรมการปล่อยสินเชื่อที่ดี (good credit culture) ในระบบการเงินได้ในที่สุด
เรามักจะเห็นได้จากตัวอย่างในต่างประเทศ ที่ผู้กู้มักให้ความสำคัญกับการสร้างเสริมคะแนนเครดิต (credit score) ทำให้มีความกระตือรือร้นในการชำระหนี้ให้ตรงเวลา หรือในกลุ่มผู้กู้ที่พลาดพลั้งไปเป็นหนี้เสีย ก็พยายามกลับตัวเพื่อพัฒนา credit score ของตนเอง เพื่อเพิ่มโอกาสในการได้สินเชื่อและในต้นทุนที่ไม่สูงมากในอนาคต แต่ในประเทศไทย ผู้กู้จำนวนมากอาจยังไม่รับรู้และเข้าใจถึงวัฒนธรรมการใช้ข้อมูลเครดิตข้างต้น จนทำให้ผู้กู้ที่มีหนี้เสียบางกลุ่มเลือกที่จะไม่พยายามแก้หนี้เพราะอาจเข้าใจว่าการเคยมีประวัติเป็นหนี้เสีย จะตัดโอกาสในการได้สินเชื่อใหม่ในอนาคต
ผู้กู้กลับตัวที่เคยผิดนัดชำระหนี้มาก่อนและกลับมาจ่ายได้ตามปกติแล้ว ได้รับโอกาสมากน้อยเพียงใดในการได้สินเชื่อใหม่ เปรียบเทียบกับผู้กู้รายใหม่ที่ไม่เคยมีประวัติการกู้ในระบบมาก่อน? ข้อมูลสินเชื่อรายสัญญาที่ปล่อยใหม่ในปี 2566 ทั้งสินเชื่อธุรกิจจากข้อมูลที่ธนาคารพาณิชย์รายงานต่อธนาคารแห่งประเทศไทย และสินเชื่อรายย่อยจากข้อมูลเครดิตบูโร ในรูปที่ 1 แสดงให้เห็นว่า สถาบันการเงินยังให้ความสำคัญกับการปล่อยสินเชื่อใหม่ให้กับลูกหนี้ที่กลับตัว โดยหากมามองสินเชื่อรายย่อย พบว่า การปล่อยสินเชื่อใหม่โดยรวมนั้นให้แก่ผู้กู้กลับตัว (สีเหลือง) มากกว่าผู้กู้รายใหม่ที่ยังไม่เคยมีประวัติการกู้ในระบบ (สีน้ำเงิน) โดยเฉพาะสินเชื่อเพื่ออุปโภคบริโภค (PL, O/D) สินเชื่อจากสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (Specialized Financial Institutions; SFIs) สินเชื่อเพื่อการเกษตร สินเชื่อเพื่อทำธุรกิจ (รวม Nano-finance) และสินเชื่ออื่น ๆ โดยในภาพรวม จากกลุ่มลูกหนี้กลับตัวทั้งหมด มี 34% ที่ได้สินเชื่อใหม่ในปี 2566 และสินเชื่อใหม่ที่ให้แก่ลูกหนี้กลับตัวมีทั้งให้กับลูกหนี้ที่กลับตัวมาไม่เกิน 1 ปี ซึ่งส่วนใหญ่เป็นลูกหนี้ SFIs ในสินเชื่อเกษตรและสินเชื่ออื่นๆ และลูกหนี้ Non-bank เช่าซื้อ ส่วนธนาคารพาณิชย์และ Non-bank บัตรเครดิต ส่วนใหญ่ให้สินเชื่อใหม่กับกลุ่มลูกหนี้ที่ออกจาก NPL มาแล้วมากกว่า 3 ปี
ในขณะเดียวกัน สถาบันการเงินมีแนวโน้มปล่อยสินเชื่อธุรกิจให้แก่กลุ่มผู้กู้รายใหม่ในสัดส่วนบัญชีที่มากกว่าผู้กู้กลับตัว แต่ขนาดของสินเชื่อเฉลี่ยที่ให้แก่ผู้กู้กลับตัวนั้นสูงกว่ากลุ่มผู้กู้รายใหม่ประมาณ 3 เท่า โดยกลุ่มลูกหนี้กลับตัว ส่วนใหญ่ใช้ระยะเวลากลับตัวโดยเฉลี่ยประมาณ 32 เดือนจึงได้สินเชื่อใหม่ เมื่อพิจารณาแยกตามขนาดธุรกิจ พบว่าสำหรับธุรกิจขนาดใหญ่ (Corp) สินเชื่อเปิดใหม่มีสัดส่วนให้แก่กลุ่มลูกหนี้กลับตัวมากกว่าผู้กู้รายใหม่ซึ่งแทบจะไม่มีเลย
ผลข้างต้นแสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรมการใช้ข้อมูลเครดิตที่ดี ที่ควรส่งเสริมให้ลูกหนี้ได้รับรู้ในวงกว้าง เพื่อผลักดัน credit culture ที่ดีของระบบการเงินไทย