Research
Discussion Paper
PIERspectives
aBRIDGEd
PIER Blog
Events
Conferences
Research Workshops
Policy Forums
Seminars
Exchanges
Research Briefs
Community
PIER Research Network
Visiting Fellows
Funding and Grants
About Us
Our Organization
Announcements
PIER Board
Staff
Work with Us
Contact Us
TH
EN
Research
Research
Discussion Paper
PIERspectives
aBRIDGEd
PIER Blog
Exchange Rate Effects on Firm Performance: A NICER Approach
Latest discussion Paper
Exchange Rate Effects on Firm Performance: A NICER Approach
ผลกระทบของการขึ้นค่าเล่าเรียนต่อการตัดสินใจเรียนมหาวิทยาลัย
Latest aBRIDGEd
ผลกระทบของการขึ้นค่าเล่าเรียนต่อการตัดสินใจเรียนมหาวิทยาลัย
Events
Events
Conferences
Research Workshops
Policy Forums
Seminars
Exchanges
Research Briefs
Joint NSD-PIER Applied Microeconomics Research Workshop
Upcoming workshop
Joint NSD-PIER Applied Microeconomics Research Workshop
Special Economic Zones and Firm Performance: Evidence from Vietnamese Firms
Latest PIER Economics Seminar
Special Economic Zones and Firm Performance: Evidence from Vietnamese Firms
สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์
Puey Ungphakorn
Institute for
Economic Research
Puey Ungphakorn Institute for Economic Research
Community
Community
PIER Research Network
Visiting Fellows
Funding and Grants
PIER Research Network
PIER Research Network
Funding & Grants
Funding & Grants
About Us
About Us
Our Organization
Announcements
PIER Board
Staff
Work with Us
Contact Us
Staff
Staff
Call for Papers: PIER Research Workshop 2025
Latest announcement
Call for Papers: PIER Research Workshop 2025
aBRIDGEdabridged
Making Research Accessible
QR code
Year
2025
2024
2023
2022
...
Topic
Development Economics
Macroeconomics
Financial Markets and Asset Pricing
Monetary Economics
...
/static/14b5c2928f8ccb139fc527a92c5894df/41624/cover.jpg
6 January 2021
202116098912000001609891200000

การวัดอัตราคิดลดโดยทดลองภาคสนามทางเศรษฐศาสตร์

อัตราคิดลดคืออะไร วัดได้เท่าไหร่ อย่างไรโดยการทดลอง
Nuttaporn RochanahastinShinawat Horayangkura
การวัดอัตราคิดลดโดยทดลองภาคสนามทางเศรษฐศาสตร์
excerpt

อัตราคิดลด (discount rate) คืออัตราการที่ใช้ในการแปลงมูลค่าในอนาคตมาเป็นมูลค่าในปัจจุบัน ซึ่งสามารถช่วยให้เราสามารถเปรียบเทียบมูลค่าสองมูลค่าที่อยู่ในช่วงเวลาต่างกันได้ง่ายขึ้น อัตราคิดลดยังสามารถสะท้อนพฤติกรรมความอดทนของบุคคลได้ ซึ่งมีนัยยะต่อการเปรียบเทียบทางเลือกที่ให้ผลตอบแทนต่าง ๆ ในเวลาที่แตกต่างกัน เช่น ในการวิเคราะห์ต้นทุน-ผลประโยชน์ (cost-benefit analysis) หรือการประเมินความคุ้มค่าของนโยบายสาธารณะ บทความนี้แสดงให้เห็นว่า อัตราคิดลดส่วนบุคคลสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยในตลาดอย่างมีนัยสำคัญ และยังขึ้นอยู่กับลักษณะทางเศรษฐกิจและสังคม

อัตราคิดลดคืออะไร

หากว่าบุคคลหนึ่งจำเป็นจะต้องตัดสินใจอะไรสักอย่างที่มีผลกระทบในระยะยาว เช่น การตัดสินใจออมเงินเพื่ออนาคต การตัดสินใจบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพหรือการตัดสินใจศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น บุคคลนั้นจะต้องเปรียบเทียบระหว่างประโยชน์ (หรือความสุข) ที่จะได้ในอนาคต และประโยชน์ (หรือความสุข) ที่พึงจะได้ในปัจจุบัน โดยบุคคลจะเลือกทางเลือกที่ให้ประโยชน์สูงกว่า ฉะนั้นบุคคลจะออมเงินเมื่อผลตอบแทนในอนาคตสูงกว่าประโยชน์จากการบริโภคในปัจจุบัน บุคคลจะรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพหากการมีสุขภาพแข็งแรงในอนาคตมีมูลค่ามากกว่าการบริโภคอาหารหวานหรือไขมันสูงที่มีรสชาติดี บุคคลจะศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้นเมื่อประโยชน์จากการศึกษาสูงกว่าการออกจากระบบการศึกษาแล้วเริ่มทำงานทันที ในทางเศรษฐศาสตร์ อัตราคิดลด (discount rate) คืออัตราที่ใช้ในการแปลงมูลค่าในอนาคตมาเป็นมูลค่าในปัจจุบัน ซึ่งสามารถช่วยให้เราสามารถเปรียบเทียบมูลค่าสองมูลค่าที่อยู่ในช่วงเวลาต่างกันได้ง่ายขึ้น

จะเห็นได้ว่าอัตราคิดลดสามารถสะท้อนพฤติกรรมความอดทนของบุคคลได้ หากบุคคลใดมีอัตราคิดลดที่สูง (ซึ่งสะท้อนถึงความอดทนที่ต่ำ) บุคคลนี้มักจะเลือกบริโภคในปัจจุบันและยิ่งจำเป็นต้องใช้สิ่งจูงใจในอนาคตมูลค่าสูงขึ้นเพื่อจูงใจให้บุคคลนี้เลือกชะลอการบริโภคในปัจจุบันเพื่อรับผลประโยชน์ในอนาคต ในทางตรงกันข้าม บุคคลที่มีอัตราคิดลดยิ่งต่ำ (สะท้อนถึงความอดทนที่สูง) บุคคลนี้สามารถชะลอการบริโภคในปัจจุบันเแล้วเลือกรับประโยชน์ในอนาคตด้วยสิ่งจูงใจในอนาคตที่มีมูลค่าต่ำกว่า งานวิจัยโดย Chabris และคณะ (2008) ยืนยันความสัมพันธ์ระหว่างอัตราคิดลดที่วัดค่าได้ในห้องทดลองและพฤติกรรมความอดทนในชีวิตจริง โดยบุคคลที่มีอัตราคิดลดสูง (มีความอดทนต่ำ) มีโอกาสที่จะมีพฤติกรรมที่ไม่ส่งผลดีต่อสุขภาพ เช่น มีดัชนีมวลกายสูง ไม่ออกกำลังกาย สูบบุหรี่ สูงกว่าคนที่มีอัตราคิดลดต่ำ (มีความอดทนสูง)

อัตราคิดลดที่นิยมใช้และข้อขัดแย้งในทางพฤติกรรม

ทั้งนี้ กรอบความคิดเกี่ยวกับอัตราคิดลดเป็นส่วนหนึ่งของทฤษฎีว่าด้วยความพึงพอใจเมื่อมีห้วงเวลาเข้ามาเกี่ยวข้อง (time preferences) ประโยชน์ของอัตราคิดลดส่วนใหญ่จะใช้ประกอบการตัดสินใจในบริบทด้านการเงิน1 เช่น การเลือกระหว่างการใช้เงิน 10,000 บาท เพื่อบริโภคในปัจจุบัน หรือนำเงินจำนวนดังกล่าวไปลงทุนเพื่อรับเงินต้นพร้อมผลตอบแทนใน 1 ปีข้างหน้า คำถามที่สำคัญคืออัตราผลตอบแทนเท่าไรจึงจะทำให้บุคคลหนึ่งตัดสินใจที่จะลงทุน ทั้งนี้ ในทางทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ สำหรับคนที่ไม่สามารถรับความเสี่ยงได้เลย เขาสามารถนำเงิน 10,000 บาทนี้ไปฝากธนาคารหรือซื้อพันธบัตรรัฐบาลเพื่อรับผลตอบแทนเป็นดอกเบี้ยเมื่อครบ 1 ปี ดังนั้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากหรือพันธบัตรรัฐบาลมักถูกใช้เป็นอัตราคิดลดเพื่อคำนวณมูลค่าปัจจุบันของทางเลือกต่าง ๆ ที่ให้ผลตอบแทนในระยะเวลาที่แตกต่างกันในงานวิจัย เช่น การวิเคราะห์ต้นทุน-ผลประโยชน์ (cost-benefit analysis) หรือการประเมินความคุ้มค่าของนโยบายสาธารณะ เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม การใช้อัตราดอกเบี้ยเงินฝากหรือพันธบัตรรัฐบาลเป็นอัตราคิดลดนั้น มีข้อด้อยที่สำคัญอยู่อย่างน้อยสองประการ ประการแรกคือการที่บุคคลต่าง ๆ ล้วนอยู่ภายใต้สมมติฐานว่าการตัดสินใจเกิดจากการคิดอย่างมีเหตุมีผล กล่าวคือบุคคลสามารถคาดการณ์สถานการณ์ในอนาคตเพื่อวางแผนได้อย่างสมบูรณ์ และปฏิบัติตามแผนนั้นได้อย่างเคร่งครัด ประการที่สองคือ การใช้อัตราคิดลดเดียวกันกับทุกคนนั้นหมายความว่าบุคคลทุกคนมีอัตราคิดลดที่เท่ากัน ดังนั้น เศรษฐศาสตร์การทดลองจึงเข้ามามีบทบาทในการวัดค่าอัตราคิดลดที่แท้จริงในแต่ละบุคคล เพื่อให้การประเมินนโยบายหรือการวิเคราะห์ต้นทุน-ผลประโยชน์ มีความถูกต้องยิ่งขึ้น

การทดลองทางเศรษฐศาสตร์มักจะถามคำถามผู้เข้าร่วมการทดลองเพื่อที่จะประมาณค่าอัตราคิดลดส่วนบุคคล เช่น การให้ผู้เข้าร่วมการทดลองระบุจำนวนเงิน xxx ที่จะทำให้ผู้ตัดสินใจไม่มีความต่างระหว่างเลือกที่จะรับเงิน 1,000 บาทอย่างแน่นอนในตอนนี้หรือเงินจำนวน 1,000+x1,000 + x1,000+x บาทอย่างแน่นอนในอนาคต จะเห็นได้ว่าค่า xxx ของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน และค่า xxx นี้สามารถบ่งบอกความอดทนของแต่ละคนได้ โดยหากผู้ตัดสินใจตอบคำถามดังกล่าวโดยเวลาในอนาคตนั้นเท่ากัน สมมติว่าคือในอีกหนึ่งปีนับจากนี้ ผู้ตัดสินใจหรือบุคคลที่ให้ค่า xxx น้อยกว่าคือผู้ที่ต้องการเงินส่วนเพิ่มน้อยกว่าสำหรับการอดทนรอเพื่อที่จะได้รับเงินในอนาคต (มีอัตราคิดลดน้อยกว่า) ซึ่งหมายความว่าผู้ตัดสินใจหรือบุคคลนั้นมีความอดทนมากกว่านั่นเอง

บทความนี้สรุปการศึกษาจาก Rochanahastin และ Horayangkura(2020) โดยนำเสนอบทสรุปเรื่องการวัดอัตราคิดลดส่วนบุคคลของประเทศต่าง ๆ จากการทดลองทางเศรษฐศาสตร์ และเปรียบเทียบผลเหล่านั้นกับกรณีของประเทศไทย โดยมีนัยยะทางนโยบายคือหากผู้ตัดสินใจมีอัตราคิดลดที่แตกต่างกันไป (ตามลักษณะทางเศรษฐกิจและสังคม) การกำหนดนโยบายควรพิจารณาถึงลักษณะทางเศรษฐกิจและสังคมในแต่ละกลุ่มประชากร โดยนโยบายที่มีความแตกต่าง และมุ่งเป้าไปที่แต่ละกลุ่มประชากรจะมีประสิทธิผลที่ดีกว่า เช่น การกำหนดนโยบายในด้านการออม หากกลุ่มประชากรส่วนใหญ่มีความอดทนมาก คำนึงถึงอนาคตมาก รัฐอาจจะไม่ต้องเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการออมเพื่ออนาคตของกลุ่มประชากรเหล่านี้เท่ากับในกลุ่มประชากรที่มีความอดทนน้อย ซึ่งคำนึงถึงปัจจุบันมากกว่าอนาคต

อัตราคิดลดจากงานศึกษาในต่างประเทศ

Fisher (1930) นำเสนอกรอบแนวคิดว่าอัตราคิดลดจะเท่ากับอัตราดอกเบี้ยในตลาด และ Fishburn and Rubinstein (1982) ได้วางข้อสมมติฐานว่าอัตราคิดลดในแต่ละบุคคลนั้นคงที่แม้ว่าเวลาในอนาคตจะต่างกัน (เช่น 3 เดือน หรือ 3 ปี เป็นต้น) แต่หลักฐานจากงานวิจัยบ่งชี้ชัดเจนว่าอัตราคิดลดแต่ละของบุคคลส่วนใหญ่นั้นสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยในตลาด โดย Thaler (1981) ใช้คำถามสมมติถามนักศึกษาในประเทศสหรัฐอเมริกาและพบว่าอัตราคิดลดส่วนบุคคลมีค่าแตกต่างกันไปตั้งแต่ 1% จนถึง 345% Benzion และคณะ (1989) ใช้นักศึกษาสาขาเศรษฐศาสตร์และการเงินในประเทศอิสราเอลเป็นกลุ่มตัวอย่าง และพบว่าอัตราคิดลดส่วนบุคคลแตกต่างจากอัตราดอกเบี้ยในตลาดอย่างมีนัยสำคัญและมีความแตกต่างกันในแต่ละบุคคลเป็นช่วงค่อนข้างกว้างแต่ช่วงอัตรานั้นต่ำกว่า Thaler (1981) มากโดยอยู่ระหว่างช่วงประมาณ 15% ถึง 60% และยังพบว่าอัตราคิดลดของแต่ละบุคคลนั้นมีค่าไม่คงที่โดยแปรผันไปตามบริบท ความห่างของระยะเวลา และมูลค่าที่ใช้ในการเปรียบเทียบ

Harrison และคณะ (2002) ตั้งข้อสังเกตว่าการทดลองที่ผ่านมาอาจจะมีปัญหาสำคัญสองประการ ประการแรกคือการขาดการให้แรงจูงใจที่เป็นการจ่ายเงินจริง ๆ แก่ผู้เข้าร่วมการทดลอง โดยมักจะเป็นการถามคำถามเชิงสมมติ และประการที่สองคือกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่คือนักศึกษา ดังนั้นคณะผู้วิจัยดังกล่าวจึงใช้สิ่งจูงใจในรูปแบบเงินจริงในการทดลองภาคสนามกับประชากรทั่วไปทั่วเดนมาร์ก ทั้งนี้พวกเขายืนยันผลที่ว่าอัตราคิดลดแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคลแต่สามารถแบ่งเป็นกลุ่มใหญ่ ๆ ได้ตามลักษณะทางเศรษฐกิจและสังคม โดยอัตราคิดลดเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 28%, Coller และ Williams (1999) ใช้การทดลองในห้องแลปโดยให้แรงจูงใจเป็นเงินจริงในกลุ่มนักศึกษาในประเทศสหรัฐอเมริกาและพบอัตราคิดลดในช่วง 15–25% Warner และ Pleeter (2001) ใช้ข้อมูลจากการทดลองตามธรรมชาติ นั่นคือการเลือกรับเงินชดเชยในรูปแบบที่แตกต่างกันของทหารสหรัฐอเมริกา โดยสามารถคำนวนอัตราคิดลดได้ในช่วงระหว่าง 10% ถึง 54% บทสรุปจากงานวิจัยที่ผ่านมาชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าอัตราคิดลดส่วนบุคคลนั้นสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยในตลาด และสามารถถอดความได้ว่าคนส่วนใหญ่มีระดับความอดทนที่ต่ำกว่าที่ข้อสมมติฐานเชิงบรรทัดฐาน (normative assumptions) นี่อาจจะเป็นสิ่งที่ชี้ให้เห็นว่าภาครัฐสามารถที่จะดำเนินนโยบายโดยอ้างอิงจากอัตราคิดลดที่สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเพื่อผลักดันให้คนตัดสินใจอย่างเป็นประโยชน์ต่อตนเอง เช่น นโยบายส่งเสริมหรือกระตุ้นการออม นโยบายกระตุ้นการออกกำลังกายและลดการบริโภคสิ่งไม่ดีต่อสุขภาพหรืออบายมุข เป็นต้น

ตาราง 1 : สรุปตัวอย่างอัตราคิดลดที่ได้จากการทดลอง

สรุปตัวอย่างอัตราคิดลดที่ได้จากการทดลอง

การวัดอัตราคิดลดในบริบทต่าง ๆ

ลักษณะของสภาพเศรษฐกิจและสังคมที่แตกต่างกันในแต่ละบุคคลหรือกลุ่มบุคคลนั้นส่งผลชัดเจนต่ออัตราคิดลดให้มีระดับที่แตกต่างกันไป งานวิจัยที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่าผู้มีรายได้สูงมีความอดทนมากกว่าคนที่ยากจน ซึ่งเป็นการสนับสนุนคำพูดอย่างไม่เป็นทางการที่มักจะได้ยินกันคือการที่คนรวยมักจะมองการณ์ไกล ส่วนคนจนมองใกล้ ซึ่งคือการตั้งข้อสมมติฐานว่าคนที่มีรายได้สูงกว่ามักมีความอดทนมากกว่า นั่นคือการที่มีอัตราคิดลดที่ต่ำกว่า และคนที่มีรายได้น้อยมักมีความอดทนน้อยกว่า นั่นคือการที่มีอัตราคิดลดที่สูงกว่านั่นเอง เช่น Lawrance (1991) ชี้ให้เห็นว่าครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำโดยเฉลี่ยมีอัตราคิดลดสูงกว่าผู้ที่มีรายได้สูง 3–5% Yesuf (2004) พบว่าความมั่งคั่งของครัวเรือนในแง่ของสินทรัพย์ทางกายภาพมีความสัมพันธ์อย่างมากกับความพึงพอใจเมื่อมีช่วงเวลาเป็นส่วนเกี่ยวข้องที่แตกต่างกัน โดยข้อสมมติฐานหลักคือการที่ผู้มีรายได้มีโอกาสเข้าถึงในการลงทุนมากกว่า อย่างไรก็ตามมีหลักฐานบางอย่างที่ขัดแย้งกับข้อสรุปดังกล่าว Kirby และคณะ (2002) ไม่พบความสัมพันธ์ของรายได้ต่ออัตราคิดลดในกรณีของประเทศโบลิเวีย ผลจากงานวิจัยเหล่านี้ชี้ให้เห็นเพิ่มเติมว่านอกจากรัฐมีบทบาทในการกระตุ้นให้คนตัดสินใจโดยมีประโยชน์กับตนเองแล้ว รัฐควรที่จะกำหนดนโยบายที่มีความต่าง (heterogenous) โดยมุ่งเป้าไปในแต่ละลักษณะทางเศรษฐกิจและสังคมของกลุ่มเป้าหมายจึงจะมีประสิทธิผลที่ดีกว่า

ในส่วนของการวิจัยในประเทศกำลังพัฒนานั้น Pender (1996) ได้ทำการศึกษาในชนบทของประเทศอินเดีย พบว่าผู้ปล่อยกู้ในหมู่บ้านทั่วไปคิดอัตราดอกเบี้ยประมาณ 30% และพบอัตราคิดลดส่วนบุคคลสูงมาก ความยากจนและการขาดซึ่งความสามารถที่จะเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่เป็นทางการ เช่น เงินกู้จากสถาบันการเงิน ทำให้บุคคลเหล่านี้มองการบริโภคทรัพยากรในระยะสั้นเท่านั้น Tanaka และคณะ (2010) ทำการทดลองภาคสนามในประเทศเวียดนามและพบว่าคนในหมู่บ้านที่ร่ำรวยกว่ามีความอดทนมากกว่าคนในหมู่บ้านที่ยากจน

ผลการศึกษาอัตราคิดลดส่วนบุคคลในประเทศไทย

กรณีของประเทศไทยซึ่งมีลักษณะการกระจายตัวของประชากรที่น่าสนใจคือประชากรประมาณครึ่งหนึ่ง (50.50% จากข้อมูลของ UNESCAP ในปี 2016) อาศัยอยู่ในเขตเมืองและอีกครึ่งหนึ่งอาศัยอยู่ในเขตชนบท ประชากรที่อยู่อาศัยในเมืองและชนบทย่อมเผชิญสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและสังคมที่ต่างกันอย่างชัดเจน ครัวเรือนเกษตรกรรมต้องเผชิญกับความเสี่ยงด้านการผลิตเช่นสภาพอากาศไม่เอื้ออำนวย นอกจากนี้ ครัวเรือนเหล่านี้ยังต้องเผชิญกับการเข้าถึงบริการทางการเงินหรือเงินกู้ที่จำกัดมากกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับผู้ที่อาศัยอยู่ในเขตเมือง ในทางตรงกันข้ามคนที่ทำงานในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ แม้ต้องเผชิญกับความผันผวนทางเศรษฐกิจหรือความเสี่ยงด้านการบริหารจัดการมากขึ้น แต่สามารถเข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายกว่า ดังนั้น ผู้วิจัยจึงทำการศึกษาอัตราคิดลดโดยการทดลองภาคสนามในพื้นที่จริงของสองเขตที่อยู่อาศัยนี้

ผู้เขียนทำการศึกษาอัตราคิดลดส่วนบุคคลโดยเก็บข้อมูลจาก 2 อำเภอใน 2 จังหวัด ได้แก่ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ซึ่งสามารถเป็นตัวแทนของเมือง และอำเภอศรีพรรพต จังหวัดพัทลุง ซึ่งสามารถเป็นตัวแทนชนบท และพบว่าอัตราคิดลดรายบุคคลจะอยู่ระหว่าง 25.23–28.39% (ข้อมูลรวมของทั้งสองอำเภอ)

เมื่อพิจารณาแยกรายจังหวัดพบว่า อัตราคิดลดของประชาชนในอำเภอหาดใหญ่สูงกว่าอัตราคิดลดของประชาชนในอำเภอศรีบรรพต กล่าวคือ อัตราคิดลดของอำเภอหาดใหญ่และอำเภอศรีบรรพตอยู่ระหว่าง 31.65–34.97% และ 19.13–22.13% ตามลำดับ อัตราคิดลดที่ได้จากการทดลองในงานวิจัยชิ้นนี้สอดคล้องกับอัตราคิดลดที่ได้จากการทดลองโดยมีแรงจูงใจเป็นตัวเงินอื่น ๆ เช่นการทดลองในกลุ่มประชากรประเทศเดนมาร์คที่พบอัตราคิดลดรายบุคคลประมาณ 28% (Harrison และคณะ (2002)) และสอดคล้องกับข้อสรุปจากงานวิจัยทางด้านเศรษฐศาสตร์การทดลองที่ว่าอัตราคิดลดส่วนบุคคลสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยในตลาดอย่างมีนัยสำคัญ

รูปที่ 1 : การเปรียบเทียบ Discount rates ระหว่างคนชนบทและคนเมืองในประเทศไทย

การเปรียบเทียบ Discount rates ระหว่างคนชนบทและคนเมืองในประเทศไทย

นอกจากนั้นเราทำการวิเคราะห์ทางสถิติโดยใช้แบบจำลองสมการเชิงถดถอยแบบช่วง (Interval regression model) ผลจากการวิเคราะห์ระบุว่า หากประชาชนอยู่อาศัยในอำเภอศรีพรรพตจะมีอัตราคิดลดส่วนบุคคลต่ำกว่าประชาชนที่อยู่ในอำเภอหาดใหญ่อย่างมีนัยสำคัญ และอาชีพเกษตรกรมีอัตราคิดลดรายบุคคลที่น้อยกว่าอาชีพอื่น ๆ ได้แก่ ข้าราชการ นักธุรกิจ และลูกจ้างบริษัทเอกชน เป็นต้น ซึ่งเป็นประเด็นที่น่าสนใจ ซึ่งจากการลงพื้นที่ ผู้เขียนคาดว่าอาจจะเกิดจากการที่เกษตรกรมีความรู้ทางการเงินน้อยกว่า มีทัศนคติต่อความเสี่ยงที่แตกต่าง อีกทั้งยังเข้าถึงผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่จะทำให้พวกเขาสามารถบริหารความเสี่ยงที่เผชิญได้น้อยมาก

อิทธิพลของตัวแปรด้านคุณลักษณะทางเศรษฐกิจและสังคมต่ออัตราคิดลดส่วนบุคคลที่น่าสนใจอื่น ๆ เช่น เพศหญิงจะมีอัตราคิดลดส่วนบุคคลที่ต่ำกว่าเพศชายประมาณ 3.86% เมื่อระดับการศึกษาเพิ่มสูงขึ้นจะส่งผลให้อัตราคิดลดส่วนบุคคลเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งอาจจะเกิดจากความรู้ทางด้านการเงินและการเข้าถึงผลิตภัณฑ์ทางการเงินเช่นกัน จำนวนบุตรที่เพิ่มขึ้นจะส่งผลให้อัตราคิดลดส่วนบุคคลลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และเมื่อกลุ่มตัวอย่างมีการออมซึ่งสะท้อนถึงภาวะความอดทนในการชะลอการบริโภคในปัจจุบันไปสู่อนาคต อัตราคิดลดระดับบุคคลก็จะต่ำกว่ากลุ่มตัวอย่างที่ไม่มีเงินออมอย่างมีนัยสำคัญ

สรุปผลการศึกษาและข้อเสนอเชิงนโยบาย

อัตราคิดลดมีบทบาทสำคัญในการเปรียบเทียบมูลค่าระหว่างปัจจุบันและอนาคตสำหรับการตัดสินใจดำเนินการนโยบายหรือโครงการลงทุนต่าง ๆ การใช้อัตราคิดลดที่ไม่ถูกต้องหรือไม่เหมาะสมอาจนำไปสู่การกำหนดนโยบายที่ผิดพลาด ตัวอย่างเช่นอาจทำให้เกิดการประเมินค่าเสียโอกาส ต้นทุน เงินทุน ของโครงการที่มีระยะยาวผิดพลาดได้ ผู้กำหนดนโยบายอาจเลือกทางเลือกการลงทุนที่ไม่ถูกต้องเหมาะสมซึ่งนำไปสู่การสูญเสียต้นทุนทางการเงินและค่าเสียโอกาสในการลงทุนโครงการอื่น ๆ จำนวนมหาศาล

ในประเด็นการตัดสินใจระดับบุคคล หากคนที่มีความอดทนพวกเขาจะสามารถวางแผนเพื่อออมเงินและลงทุนเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ที่เหมาะสมสำหรับตนเองได้ ภายใต้ข้อสมมติฐานว่าบุคคลสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์ทางการเงินและสามารถบริหารจัดการความเสี่ยงได้อย่างเหมาะสม อย่างไรก็ตามหากพวกเขาขาดความอดทนพวกเขาอาจมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่สร้างความพึงพอใจระยะสั้นแต่มิได้ก่อให้เกิดการใช้ทรัพยากรของตนเองไปในทางที่ไม่สร้างประโยชน์สูงสุดในระยะยาว ในประเทศกำลังพัฒนาสิ่งเหล่านี้อาจหมายความว่าประชาชนไม่ได้ลงทุนอย่างเพียงพอในการดูแลสุขภาพของตนเองหรือการศึกษาของบุตรหลาน การกินอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพมากเกินไป หรือการผลัดวันประกันพรุ่งในการออกกำลังกายเพื่อสร้างพลานามัยที่สมบูรณ์

ผลของการศึกษาชี้ให้เห็นว่า

  1. อัตราคิดลดจากการประมาณค่าโดยวิธีการทดลองทางเศรษฐศาสตร์สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยมาก
  2. อัตราคิดลดส่วนบุคคลมีความแตกต่างกัน แต่ในความแตกต่างนั้นสามารถรวมกลุ่มได้โดยแบ่งตามความแตกต่างของระดับการพัฒนาในพื้นที่ และโดยการพิจารณาปัจจัยด้านคุณลักษณะทางเศรษฐกิจและสังคมในระดับบุคคลต่าง ๆ เช่น เพศ อายุ การศึกษา อาชีพ จำนวนบุตร และภาวะการออม

ความแตกต่างของอัตราคิดลดระหว่างระดับการพัฒนาเชิงพื้นที่และคุณลักษณะทางเศรษฐกิจและสังคมย่อมแสดงให้เห็นความสำคัญในการใช้อัตราคิดลดให้ถูกต้องในการตัดสินใจทั้งในระดับบุคคลและในระดับนโยบายรัฐ ทั้งนี้การศึกษาเรื่องความพึงพอใจเมื่อมีห้วงเวลาเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง (time preferences) ยังขาดความทั่วถึงในอีกหลายด้าน ดังนั้นอาจพิจารณาขยายการศึกษาอัตราคิดลดให้ครอบคลุมประชากรของประเทศให้มากขึ้น ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างอัตราคิดลด ทัศนคติต่อความเสี่ยง ความรู้ทางการเงิน และการเข้าถึงผลิตภัณฑ์ทางการเงิน และศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมการบริโภคว่ามีความคงเส้นคงวาเมื่อระยะเวลาผ่านไปหรือไม่ ทั้งนี้เพื่อให้ประเทศไทยมีระบบการประเมินอัตราคิดลดที่มีประสิทธิภาพ และเป็นประโยชน์ในการตัดสินใจด้านต่าง ๆ สืบไปในอนาคต

เอกสารอ้างอิง

BENZION, U., RAPOPORT, A. & YAGIL, J. 1989. Discount rates inferred from decisions: An Experimental Study. Management Science, 35, 270–284.

CHABRIS, C. F., LAIBSON, D., MORRIS, C. L., SCHULDT, J. P., & TAUBINSKY, D. (2008). Individual laboratory-measured discount rates predict field behavior. Journal of Risk and Uncertainty, 37(2–3), 237.

COLLER, M. & WILLIAMS, M. B. 1999. Eliciting Individual Discount Rates. Experimental Economics, 2, 107–127.

FISHBURN, P. C. & RUBINSTEIN, A. 1982. Time preference. International Economic Review, 677–694.

FISHER, I. 1930. Theory of interest: as determined by impatience to spend income and opportunity to invest it, Augustusm Kelly Publishers, Clifton.

HARRISON, G. W., LAU, M. I. & WILLIAMS, M. B. 2002. Estimating Individual Discount Rates in Denmark: A Field Experiment. American Economic Review, 92, 1606–1617.

KIRBY, K.N., GODOY, R., REYES-GARCIA, V., BYRON, E., APAZA, L., LEONARD, W., PEREZ, E., VADEZ, V. and WILKIE, D., 2002. Correlates of delay-discount rates: Evidence from Tsimane’ Amerindians of the Bolivian rain forest. Journal of Economic Psychology, 23(3), pp.291–316.

LAWRANCE, E. C. 1991. Poverty and the rate of time preference: evidence from panel data. Journal of Political Economy, 99, 54–77.

PENDER, J. L. 1996. Discount rates and credit markets: Theory and evidence from rural india. Journal of Development Economics, 50, 257–296.

ROCHANAHASTIN, N., & HORAYANGKURA, S. (2020). Eliciting Individual Discount Rates in Thailand: A Tale of Two Cities (No. 145). Puey Ungphakorn Institute for Economic Research.

TANAKA, T., CAMERER, C.F. and NGUYEN, Q., 2010. Risk and time preferences: Linking experimental and household survey data from Vietnam. American Economic Review, 100(1), pp.557–71.

THALER, R. 1981. Some empirical evidence on dynamic inconsistency. Economics Letters, 8, 201–207.

WARNER, J. T. & PLEETER, S. 2001. The Personal Discount Rate: Evidence from Military Downsizing Programs. American Economic Review, 91, 33–53.

YESUF, M., 2004. Risk, Time and Land Management under Market Imperfections: Applications to Ethiopia (Doctoral dissertation, PhD Thesis, Department of Economics, Goteborg University).


  1. แม้ว่าจากตัวอย่างด้านบนจะเห็นได้ว่าอัตราคิดลดสามารถประยุกต์ใช้ในบริบทอื่น ๆ↩
Nuttaporn Rochanahastin
Nuttaporn Rochanahastin
Prince of Songkla University
Shinawat Horayangkura
Shinawat Horayangkura
Burapha University
Topics: Development EconomicsLabor and Demographic EconomicsOthers
Tags: experimental economicsindividual discount ratesintertemporal decision makingstime preference
The views expressed in this workshop do not necessarily reflect the views of the Puey Ungphakorn Institute for Economic Research or the Bank of Thailand.

Puey Ungphakorn Institute for Economic Research

273 Samsen Rd, Phra Nakhon, Bangkok 10200

Phone: 0-2283-6066

Email: pier@bot.or.th

Terms of Service | Personal Data Privacy Policy

Copyright © 2025 by Puey Ungphakorn Institute for Economic Research.

Content on this site is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-ShareAlike 3.0 Unported license.

Creative Commons Attribution NonCommercial ShareAlike

Get PIER email updates

Facebook
YouTube
Email