Digital literacy เบื้องหลังความสำเร็จ SME ใน e-Commerce Platform

excerpt
การศึกษาผู้ประกอบธุรกิจรายย่อยและขนาดเล็กผ่านตัวชี้วัด SME digital literacy และ SME digital transformation index พบว่า ระดับทักษะความรู้ด้านดิจิทัลมีความสัมพันธ์กับการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อส่งเสริมให้ธุรกิจมีความสำเร็จ มีการเติบโตของยอดขายที่ก้าวกระโดด มีอัตราการทำกำไรที่สูง และมีช่องทางการขายในรูปแบบดิจิทัลที่หลากลาย
อุตสาหกรรม e-commerce มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดดในช่วงที่ผ่านมา โดยประเทศไทยถือเป็นประเทศชั้นนำของโลกที่ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตมีการซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์สูงถึงร้อยละ 60 ซึ่งเป็นระดับที่เทียบเท่าสัดส่วนของประเทศจีน อินโดนีเซีย และอินเดีย และสูงกว่าสัดส่วนในประเทศออสเตรเลียและญี่ปุ่น นอกจากนี้ประมาณครึ่งหนึ่งของการซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ในประเทศไทยมาจากการซื้อผ่าน smartphone ซึ่งในบางครั้งถูกเรียกว่า m-commerce ดังแสดงในรูปที่ 1
นอกจากนี้ ข้อมูลจาก Worldpay ที่รวบรวมมูลค่าซื้อสินค้าและบริการผ่านช่องทาง e-commerce เปรียบเทียบกับยอดค้าปลีกทั้งหมดพบว่า ในประเทศไทยสัดส่วนดังกล่าวได้สูงขึ้นมากกว่าร้อยละ 20 ไปแล้ว ซึ่งสูงกว่าหลายประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และยังมีการคาดการณ์ว่าจะสูงขึ้นต่อเนื่องเป็นมากกว่าร้อยละ 30 ในปี 2025
การเติบโตของอุตสาหกรรม e-commerce ในประเทศไทยนี้มีส่วนสำคัญที่ช่วยให้ผู้ประกอบธุรกิจรายย่อยและขนาดเล็กสามารถมีช่องทางการขายใหม่ และมีต้นทุนในการเริ่มต้นธุรกิจลดน้อยลงอย่างมาก โดยข้อมูลจาก ETDA (รูปที่ 2) แสดงให้เห็นว่ามูลค่ายอดขาย e-commerce ของผู้ประกอบธุรกิจรายเล็กในประเทศไทยมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาเป็นเกือบ 2 พันล้านบาท ซึ่งอยู่ในระดับที่สูงกว่ามูลค่ายอดขายของผู้ประกอบธุรกิจรายใหญ่แล้ว ด้วยเหตุนี้ ธุรกรรม e-commerce แบบ business-to-customers (B2C) ในไทยจึงมีสัดส่วนที่สูงขึ้นมากอย่างรวดเร็วจากเพียงร้อยละ 37 ในปี 2018 เป็นประมาณร้อยละ 50 ในปี 2021
จากความสำคัญของการค้าขายผ่าน e-commerce งานวิจัยนี้จึงมุ่งศึกษาว่าจะส่งเสริมผู้ประกอบธุรกิจรายย่อยและขนาดเล็กสามารถประกอบธุรกิจผ่าน e-commerce platform ให้สำเร็จได้อย่างไร โดยประยุกต์ใช้เครื่องมือสำหรับชี้วัดระดับความรู้ด้านดิจิทัล (SME digital literacy) และเครื่องมือในการชี้วัดระดับการเปลี่ยนผ่านด้านดิจิทัล (SME digital transformation index) ซึ่งพัฒนาโดยผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.รุ่งเกียรติ รัตนบานชื่น ดร.กฤษฎ์เลิศ สัมพันธารักษ์ และ ดร.สันติธาร เสถียรไทย
งานวิจัยได้สำรวจกลุ่มตัวอย่างที่เป็นผู้ประกอบธุรกิจรายย่อย (คนทำงานน้อยกว่า 10 คน) และผู้ประกอบธุรกิจขนาดเล็ก (คนทำงาน 10–100 คน) ที่มีการค้าขายผ่าน Shopee e-commerce platform จำนวน 1,500 กลุ่มตัวอย่าง และวิเคราะห์ระดับความรู้ด้านดิจิทัลผ่านความรู้ใน 5 ทักษะย่อย ได้แก่
- cognitive skill
- soft skill
- digital skill หรือทักษะด้านดิจิทัล
- digital business strategy skill หรือทักษะด้านกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจด้วยดิจิทัล และ
- cyber security and data privacy skill หรือทักษะด้านภัยทางไซเบอร์และการปกป้องสิทธิในโลกดิจิทัล
โดยแบ่งระดับความสามารถในแต่ละทักษะออกเป็นระดับ 1 (ต่ำที่สุด) ถึง 5 (สูงที่สุด) ซึ่งมีผลการศึกษาที่น่าสนใจหลายประการ
ผลการศึกษาที่ 1
ผู้ประกอบธุรกิจรายย่อยและขนาดเล็กในประเทศไทยมีความรู้ในทักษะด้านกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจด้วยดิจิทัล และความรู้ในทักษะด้านภัยทางไซเบอร์และการปกป้องสิทธิในโลกดิจิทัลที่ค่อนข้างต่ำ
ดังแสดงในรูปที่ 3 โดยพบว่ามีระดับทักษะใน 2 มิติดังกล่าวเพียงแค่ 2.9 และ 2.99 ตามลำดับเท่านั้น ซึ่งถือเป็นระดับทักษะที่หมายถึง “มีความรู้ในการใช้เครื่องมือดังกล่าว แต่ไม่ยังไม่สามารถใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อธุรกิจในปัจจุบันได้”
ผลการศึกษาที่ 2
เมื่อทำการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของการมีระดับความรู้ในทักษะย่อยหนึ่งกับทักษะย่อยอื่น ๆ จะพบว่าทักษะต่าง ๆ มีความสัมพันธ์กันเป็นกลุ่ม
โดยทักษะด้าน cognitive skill ที่สูงมีความสัมพันธ์กับทักษะด้าน soft skill และทักษะด้าน digital skill ที่สูงเช่นกัน แต่ไม่จำเป็นว่าผู้ประกอบธุรกิจรายเล็กและรายย่อยจะสามารถมีความรู้ในทักษะด้าน digital business strategy หรือมีทักษะด้าน cybersecurity and data privacy ในขณะที่ผู้ประกอบธุรกิจที่มีความรู้ที่สูงในทักษะด้าน digital business strategy มักจะมีแนวโน้มที่จะมีความรู้ในทักษะด้าน cybersecurity and data privacy สูงเช่นกัน ดังนั้น ผู้ประกอบธุรกิจรายเล็กและรายย่อยที่แม้จะมีการค้าขายผ่าน Shopee แล้วนั้น บางส่วนยังมีเพียงความรู้ด้านดิจิทัลขั้นพื้นฐานเท่านั้น ในขณะที่บางส่วนมีความรู้เชิงลึกด้านดิจิทัลที่ค่อนข้างสูง
strategy skill
data privacy skill
strategy skill
data privacy skill
ผลการศึกษาที่ 3
หนึ่งในสี่ของผู้ประกอบธุรกิจรายเล็กและรายย่อยมีความรู้ดิจิทัลโดดเด่นในทุกทักษะ ในขณะที่หนึ่งในห้ามีความรู้ดิจิทัลที่ค่อนข้างต่ำในทุกทักษะ
ซึ่งเป็นผลการวิเคราะห์จากการแบ่งกลุ่มตัวอย่างตามระดับคะแนนของความรู้ด้านดิจิทัลในแต่ละทักษะด้วย K-mean clustering ออกเป็น 4 กลุ่ม ดังแสดงในตารางที่ 2 ได้แก่
- กลุ่มผู้ประกอบธุรกิจที่มีความรู้โดดเด่นในทุกด้าน หรือกลุ่ม “digital expert” คิดเป็นร้อยละ 25 ของกลุ่มตัวอย่าง
- กลุ่มผู้ประกอบธุรกิจที่มีความรู้สูงเฉพาะทักษะด้าน digital business strategy และ cyber security and data privacy เท่านั้น หรือกลุ่ม “digital first” คิดเป็นร้อยละ 27
- กลุ่มผู้ประกอบการที่มีเฉพาะทักษะความรู้พื้นฐานด้าน cognitive skill, soft skill และ digital skill ที่ค่อนข้างสูง หรือกลุ่ม “business first” คิดเป็นร้อยละ 29 และ
- กลุ่มผู้ประกอบธุรกิจที่มีความรู้ดิจิทัลที่ค่อนข้างต่ำในทุกทักษะย่อย หรือกลุ่ม “digital infant” คิดเป็นร้อยละ 19
องค์ประกอบย่อยของทักษะ | Cluster ที่แบ่งได้จากวิธี k-mean clustering | |||
---|---|---|---|---|
Digital expert | Digital first | Business first | Digital infant | |
Cognitive skill | 4.38 | 3.03 | 3.99 | 2.60 |
Soft skill | 4.48 | 3.22 | 4.13 | 2.84 |
Digital skill | 4.45 | 3.17 | 3.82 | 2.49 |
Digital business strategy skill | 3.96 | 3.14 | 2.54 | 1.71 |
Cybersecurity and data privacy skill | 4.15 | 3.23 | 2.62 | 1.65 |
จำนวนกลุ่มตัวอย่าง | 382 | 398 | 432 | 288 |
ร้อยละ | 25.47 | 26.53 | 28.80 | 19.20 |
ผลการศึกษาที่ 4
ผู้ประกอบธุรกิจรายย่อยและรายเล็กในประเทศไทยมีข้อจำกัดในการพัฒนาทักษะความรู้ด้านดิจิทัลในทุกแง่มุมด้วยตนเอง
การวิเคราะห์ธุรกิจในกลุ่มตัวอย่างด้วยวิธี multinomial logistic regression พบว่า การที่ผู้ประกอบการจะเป็น digital expert ได้นั้นมีความสัมพันธ์กับการที่ผู้ประกอบธุรกิจผลิตสินค้าเอง ค้าขายผ่าน Shopee เป็นอาชีพหลัก และประกอบธุรกิจส่วนตัวเป็นอาชีพหลัก ในขณะที่ระดับการศึกษาที่สูงขึ้นของเจ้าของธุรกิจ ระยะเวลาการประกอบธุรกิจผ่าน e-commerce platform ที่ยาวนานขึ้น และขนาดที่ใหญ่ขึ้นของกิจการ ไม่ได้บ่งชี้ถึงการเป็นกลุ่มผู้ประกอบธุรกิจที่เป็น digital expert เลย ดังนั้น ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงควรมีแนวทางในการส่งเสริม digital literacy ของผู้ประกอบการอย่างเป็นระบบ การปล่อยให้ผู้ประกอบการเรียนรู้ด้วยตัวเอง ไม่สามารถรับประกันได้ว่าผู้ประกอบการจะยกระดับความสามารถการแข่งขันของธุรกิจในยุคดิจิทัลได้
งานวิจัยนี้ยังได้วิเคราะห์ผู้ประกอบการในกลุ่มตัวอย่างและแบ่งธุรกิจตามความสามารถในการเปลี่ยนผ่านด้านดิจิทัลที่วัดด้วย SME digital transformation index ซึ่งประเมินตั้งแต่การเปลี่ยนผ่านในระดับพื้นฐานที่เกี่ยวกับการใช้อินเทอร์เน็ตและการใช้อุปกรณ์ดิจิทัล ไปสู่ขั้นกลางที่มีช่องทางการขายดิจิทัลที่หลากหลายและมีการใช้ซอฟท์แวร์เฉพาะทางในการประกอบธุรกิจ ไปสู่ขั้นสูงที่มีการดำเนินกลยุทธ์ดิจิทัลทางธุรกิจและการวิเคราะห์ข้อมูลดิจิทัล
เมื่อนำผลคะแนนการเปลี่ยนผ่านในแต่ละมิติย่อยมาวิเคราะห์ด้วย k-mean clustering สามารถแบ่งกลุ่มตัวอย่างออกได้เป็น 4 กลุ่มที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ คือ
- ธุรกิจที่เป็นผู้นำในการเปลี่ยนผ่านด้านดิจิทัลหรือ “digital front-runners”
- ธุรกิจที่เน้นการเปลี่ยนผ่านด้านธุรกิจก่อนที่จะนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้หรือ “digital adopters”
- ธุรกิจที่เป็นผู้ตามในการเปลี่ยนผ่านทั้งด้านดิจิทัลและด้านธุรกิจหรือ “digital followers” และ
- ธุรกิจที่ล่าช้าในการเปลี่ยนผ่านด้านดิจิทัลหรือ “digital laggards” โดยทั้ง 4 กลุ่มนี้มีความเชื่อมโยงกับระดับความรู้ดิจิทัลที่น่าสนใจอีก 3 ประการ กล่าวคือ
ผลการศึกษาที่ 5
การเปลี่ยนผ่านด้านดิจิทัลแบบ digital front-runners นั้นจะเกิดขึ้นได้เฉพาะกับกลุ่มผู้ประกอบการที่มีทักษะความรู้อยู่ในกลุ่ม digital expert และ digital first เท่านั้น
ดังแสดงในตารางที่ 3 นอกจากนี้ ความน่าจะเป็นที่ผู้ประกอบธุรกิจในกลุ่ม digital expert จะเป็น digital front-runners ยังสูงกว่าความน่าจะเป็นที่ผู้ประกอบธุรกิจดังกล่าวจะอยู่ในกลุ่ม digital laggards ถึง 363 เท่า ดังแสดงในรูปที่ 4
Digital literacy clusters | Digital transformation clusters | Total | |||
---|---|---|---|---|---|
Digital front-runners | Digital adopters | Digital followers | Digital laggards | ||
Digital expert | 45.03% | 30.63% | 21.99% | 2.36% | 100.00% |
Digital first | 22.36% | 32.66% | 36.43% | 8.54% | 100.00% |
Business first | 8.10% | 42.36% | 33.10% | 16.44% | 100.00% |
Digital infant | 3.13% | 25.35% | 27.78% | 43.75% | 100.00% |
Total | 20.33% | 33.53% | 30.13% | 16.00% | 100.00% |
ผลการศึกษาที่ 6
ระดับการเปลี่ยนผ่านด้านดิจิทัลสัมพันธ์กับการเพิ่มโอกาสให้ผู้ประกอบธุรกิจมีผลการดำเนินงานด้านการเงินที่สูง
ไม่ว่าจะเป็นมูลค่าของยอดขาย การเติบโตของยอดขาย อัตราการทำกำไร และการมีช่องทางขายที่หลากหลาย ดังแสดงในรูปที่ 5 เช่น ค่า odd ratio ที่ประมาณ 2.80 หมายถึงความน่าจะเป็นที่ผู้ประกอบการที่เป็น digital front-runner จะมียอดขายมากกว่าปีละ 1 ล้านบาทคิดเป็น 2.80 เท่าของความน่าจะเป็นที่ผู้ประกอบการที่เป็น digital front-runner จะมียอดขายน้อยกว่าปีละ 50,000 บาท (ซึ่งเป็น referent group ของการวิเคราะห์ในมิติของมูลค่ายอดขายต่อปี)
ผลการศึกษาที่ 7
ประสบการณ์จากการประกอบธุรกิจ การลองผิดลองถูกเองของผู้ประกอบการ และการศึกษาในระบบปกติ ไม่สามารถรับประกันว่าผู้ประกอบธุรกิจจะเข้าใจและประยุกต์ใช้กลยุทธ์ธุรกิจเชิงดิจิทัลได้
จากการศึกษาพบเพียงว่ากิจการที่มีการจ้างคนจำนวนมาก และมีกระบวนการในการดำเนินธุรกิจที่หลากหลายเท่านั้น ที่จะมีผู้ประกอบธุรกิจที่สามารถประยุกต์ใช้กลยุทธ์ธุรกิจเชิงดิจิทัลอย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตาม เมื่อผู้ประกอบธุรกิจรายใดประสบความสำเร็จจากการเพิ่มยอดขายแล้ว ผู้ประกอบธุรกิจรายนั้นจะเริ่มทดลองประยุกต์ใช้เทคโนโลยีในด้านอื่นที่ช่วยให้การทำงานมีความเป็นอัตโนมัติมากยิ่งขึ้น เพื่อแสวงหาวิธีในการลดต้นทุนและเพิ่มกำไรให้กับตนเองในที่สุด
กล่าวโดยสรุป ระดับความรู้ด้านดิจิทัล (digital literacy) โดยเฉพาะมิติที่เกี่ยวกับการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเชิงธุรกิจ และความรู้ด้านการบริหารความเสี่ยงจากภัยทางไซเบอร์ ไม่สามารถเกิดขึ้นได้เองผ่านประสบการณ์การใช้อุปกรณ์ดิจิทัล หรือผ่านการเรียนในระบบการศึกษาปกติ แต่จะต้องมีการจัดโครงการให้ความรู้อย่างเป็นรูปธรรม
การให้ความสำคัญต่อความรู้ด้านดิจิทัลอย่างเป็นระบบและเชิงรุกเป็นสิ่งจำเป็น โดยภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีบทบาทสำคัญในการเป็นผู้จัดการอบรมหรือเป็นตัวกลางในการเชื่อมโยงผู้ประกอบธุรกิจกับหลักสูตรอบรมที่จัดโดยภาคเอกชน ซึ่งการเพิ่มระดับความรู้ด้านดิจิทัลดังกล่าวจะช่วยให้ผู้ประกอบธุรกิจรายย่อยและขนาดเล็ก มีการเปลี่ยนผ่านด้านดิจิทัลที่สูง และสามารถเติบโตทางธุรกิจได้อย่างโดดเด่นภายใต้ระบบเศรษฐกิจดิจิทัล