Research
Discussion Paper
PIERspectives
aBRIDGEd
PIER Blog
Events
Conferences
Research Workshops
Policy Forums
Seminars
Exchanges
Research Briefs
Community
PIER Research Network
Visiting Fellows
Funding and Grants
About Us
Our Organization
Announcements
PIER Board
Staff
Work with Us
Contact Us
TH
EN
Research
Research
Discussion Paper
PIERspectives
aBRIDGEd
PIER Blog
Labor Force Transitions at Older Ages: Burnout, Recovery, and Reverse Retirement
Latest discussion Paper
Labor Force Transitions at Older Ages: Burnout, Recovery, and Reverse Retirement
ค่าเงินบาทส่งผลต่อธุรกิจและเศรษฐกิจไทยอย่างไร เมื่อการค้าโลกอยู่ในสกุลเงินดอลลาร์
Latest aBRIDGEd
ค่าเงินบาทส่งผลต่อธุรกิจและเศรษฐกิจไทยอย่างไร เมื่อการค้าโลกอยู่ในสกุลเงินดอลลาร์
Events
Events
Conferences
Research Workshops
Policy Forums
Seminars
Exchanges
Research Briefs
BOT Symposium 2025: Towards Safer and More Inclusive Digital Finance
Upcoming conference
BOT Symposium 2025: Towards Safer and More Inclusive Digital Finance
Challenges for Monetary Policy Amidst Changing Inflation Dynamics
Latest policy forum
Challenges for Monetary Policy Amidst Changing Inflation Dynamics
สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์
Puey Ungphakorn
Institute for
Economic Research
Puey Ungphakorn Institute for Economic Research
Community
Community
PIER Research Network
Visiting Fellows
Funding and Grants
PIER Research Network
PIER Research Network
Funding & Grants
Funding & Grants
About Us
About Us
Our Organization
Announcements
PIER Board
Staff
Work with Us
Contact Us
Staff
Staff
ประกาศรับสมัครทุนสถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ ประจำปี 2568 รอบที่ 2 (ประเภททั่วไป)
Latest announcement
ประกาศรับสมัครทุนสถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ ประจำปี 2568 รอบที่ 2 (ประเภททั่วไป)
aBRIDGEdabridged
Making Research Accessible
QR code
Year
2025
2024
2023
2022
...
Topic
Development Economics
Macroeconomics
Monetary Economics
Financial Markets and Asset Pricing
...
/static/44e4b83b57c50bd0b4902136df36c574/41624/cover.jpg
5 September 2025
20251757030400000

ค่าเงินบาทส่งผลต่อธุรกิจและเศรษฐกิจไทยอย่างไร เมื่อการค้าโลกอยู่ในสกุลเงินดอลลาร์

เจาะลึกผลกระทบของอัตราแลกเปลี่ยนต่อธุรกิจไทยผ่าน 5 ฐานข้อมูลขนาดใหญ่
Nuwat NookhwunJettawat PattararangrongPhurichai Rungcharoenkitkul
ค่าเงินบาทส่งผลต่อธุรกิจและเศรษฐกิจไทยอย่างไร เมื่อการค้าโลกอยู่ในสกุลเงินดอลลาร์
excerpt

การค้าขายสินค้าระหว่างประเทศมักอยู่ในรูปของเงินสกุลหลักเพียงไม่กี่สกุล โดยเฉพาะดอลลาร์สหรัฐฯ ในบริบทดังกล่าว การเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนอาจไม่ได้ส่งผลกระทบต่อปริมาณการส่งออกและนำเข้าของธุรกิจโดยตรงผ่านความสามารถในการแข่งขันด้านราคาที่เปลี่ยนไป แต่ในระยะสั้นผลกระทบจะเกิดขึ้นจากการแปลงกำไรของบริษัทให้อยู่ในสกุลเงินบาท หรือที่เรียกว่า "valuation effect" ซึ่งจะมีผลต่อกระแสเงินสดและการตัดสินใจด้านต่าง ๆ ของธุรกิจต่อไป เพื่อประเมินผลกระทบผ่านช่องทางนี้ บทความนี้ได้พัฒนาดัชนีค่าเงินในระดับรายบริษัทที่เรียกว่า NICER ซึ่งสะท้อนสกุลเงินที่แต่ละบริษัทใช้ตั้งราคาสินค้าส่งออกและนำเข้า รวมถึงความไม่สอดคล้องกันของสกุลเงิน (currency mismatch) ระหว่างรายได้และค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น โดยบทความนี้พบว่า NICER ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อทั้งกำไร สภาพคล่อง สินเชื่อ รวมถึงการตัดสินใจลงทุนและจ้างแรงงานของบริษัท ทั้งนี้ ผู้ส่งออกในกลุ่ม SMEs ได้รับผลกระทบมากที่สุด

ช่องทางที่ค่าเงินส่งผลต่อเศรษฐกิจภายใต้ dominant currency pricing

ตลอดปี 2568 ค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นอีกครั้ง โดยล่าสุดอยู่ที่ 32.3 บาทต่อดอลลาร์ ท่ามกลางความท้าทายที่ภาคการส่งออกและเศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ จึงนำมาสู่คำถามที่ว่า ค่าเงินบาทส่งผลกระทบต่อธุรกิจและเศรษฐกิจไทยอย่างไร? โดยทั่วไปแล้วการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนส่งผลต่อเศรษฐกิจได้หลายช่องทาง ซึ่งหนึ่งในช่องทางสำคัญที่ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์มักพูดถึง คือ ช่องทางการค้า (trade channel) โดยการเคลื่อนไหวของค่าเงินส่งผลกระทบมาที่ปริมาณการส่งออกและนำเข้าได้โดยตรงผ่านความสามารถในการแข่งขันด้านราคาที่เปลี่ยนไป เช่น ผู้ส่งออกไทยขายสินค้าไปประเทศญี่ปุ่นและกำหนดราคาขายที่ 100 บาท คิดเป็นประมาณ 450 เยน เมื่อค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น 10% เทียบกับเงินเยน ราคาสินค้าไทยจะดูแพงขึ้นมาทันที 10% ในสายตาคนญี่ปุ่น ซึ่งอาจลดปริมาณการซื้อสินค้าไทย และหันไปบริโภคสินค้าจากประเทศอื่นหรือที่ผลิตโดยผู้ผลิตในประเทศ อย่างไรก็ตาม ผลกระทบผ่านช่องทางดังกล่าวจะเกิดขึ้นในกรณีผู้ส่งออกไทยตั้งราคาขายสินค้าในสกุลเงินบาท กล่าวคือมีการกำหนดราคาสินค้าโดยใช้สกุลเงินของประเทศผู้ผลิตและส่งออก (producer currency pricing) ซึ่งไม่สอดคล้องกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริงนัก

ที่จริงแล้ว การค้าขายสินค้าระหว่างประเทศมักจะใช้เงินสกุลหลักเพียงไม่กี่สกุล โดยเฉพาะดอลลาร์สหรัฐฯ ในการตั้งราคา หรือเรียกว่า dominant currency pricing ในบริบทดังกล่าว เงินบาทที่แข็งค่าขึ้นหรืออ่อนค่าลงนั้นไม่ทำให้ความสามารถในการแข่งขันด้านราคาของสินค้าไทยเปลี่ยนไป โดยเฉพาะในระยะสั้นที่ราคาสินค้าในรูปดอลลาร์มักจะคงที่ (price stickiness)1 แต่ช่องทางสำคัญที่ค่าเงินส่งผลต่อเศรษฐกิจจะมาจากการแปลงรายได้จากการส่งออกและค่าใช้จ่ายในการนำเข้าของบริษัทให้อยู่ในสกุลเงินบาท เช่น ผู้ส่งออกไทยที่ขายสินค้าไปประเทศต่าง ๆ ในสกุลเงินดอลลาร์ หากเงินบาทแข็งค่าขึ้น 10% เทียบกับเงินดอลลาร์ ก็จะทำให้รายได้จากการส่งออกและกำไรในรูปเงินบาทลดลงทันที 10% ในทางกลับกัน บริษัทที่นำเข้าสินค้าและปัจจัยการผลิตในรูปดอลลาร์ ก็จะเผชิญกับต้นทุนการนำเข้าที่ลดลง 10% ดังนั้น ภายใต้ dominant currency pricing บริษัทส่งออกและนำเข้าไทยจึงเผชิญกับความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนผ่านช่องทาง valuation เป็นสำคัญ โดยที่ผลกระทบจะเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเทียบกับสกุลเงินที่ใช้ตั้งราคาซื้อขายสินค้า (invoicing currency)

งานวิจัยของ Nookhwun et al. (2025) ได้ศึกษาผลกระทบของอัตราแลกเปลี่ยนผ่านช่องทาง valuation ดังกล่าว ไปสู่กำไร สภาพคล่อง ภาวะการเงิน รวมถึงการตัดสินใจลงทุนและจ้างแรงงานของธุรกิจไทย โดยประเทศไทยเป็นเศรษฐกิจแบบเปิดที่พึ่งพาภาคต่างประเทศสูง อีกทั้งยังมีการซื้อขายสินค้ากับต่างประเทศในสกุลเงินดอลลาร์สูงถึงประมาณ 80% ของมูลค่าการค้าระหว่างประเทศ รองลงมาคือเงินเยน เงินบาท และเงินยูโร ตามลำดับ ส่งผลให้เมื่อพิจารณาในรายบริษัท จะพบว่าธุรกิจไทยทั้งธุรกิจส่งออกและนำเข้า ต่างมีความไม่สอดคล้องกันของสกุลเงิน (currency mismatch) ระหว่างรายได้และค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง เช่น บริษัทส่งออกอาจมีรายรับจากขายสินค้ากับต่างประเทศในรูปดอลลาร์ ขณะที่มีค่าใช้จ่ายเป็นค่าจ้างแรงงานและต้นทุนการผลิตอื่น ๆ ในรูปเงินบาท ทำให้ผลกำไรของบริษัทเมื่อวัดในรูปเงินบาทจึงผันผวนได้ง่ายตามการเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยน

งานวิจัยนี้ถือเป็นงานวิจัยชิ้นแรก ๆ ที่ศึกษาผลกระทบของค่าเงินผ่านช่องทาง valuation ในกรณีของประเทศกำลังพัฒนา2 โดยใช้ข้อมูลรายปีในช่วงปี 2550 ถึง 2563 ของบริษัทส่งออกนำเข้าไทยกว่า 40,000 บริษัท ซึ่ง 1 ใน 3 เป็นบริษัทส่งออก ส่วนที่เหลือเป็นบริษัทนำเข้าที่เน้นขายสินค้าในประเทศเป็นหลัก งานวิจัยนี้วิเคราะห์ข้อมูลจาก 5 ฐานข้อมูลขนาดใหญ่ ได้แก่ ข้อมูลการส่งออกนำเข้าสินค้ารายธุรกรรมจากกรมศุลกากร ข้อมูลงบดุลและงบการเงินรายบริษัทจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ข้อมูลธุรกรรมการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศและข้อมูลสินเชื่อในระบบธนาคารพาณิชย์รายสัญญาจากธนาคารแห่งประเทศไทย รวมถึงข้อมูลการจ้างแรงงานในระบบรายบริษัทจากสำนักงานประกันสังคม ทำให้งานวิจัยนี้สามารถวิเคราะห์ผลกระทบของค่าเงินได้ในหลากหลายมิติ

ดัชนีค่าเงินรายบริษัทเพื่อสะท้อนผลของค่าเงินผ่านช่องทาง valuation

Nookhwun et al. (2025) ได้คำนวณดัชนีค่าเงินในระดับรายบริษัท เพื่อประเมินผลกระทบของอัตราแลกเปลี่ยนผ่านช่องทาง valuation โดยคำนวณจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนของเงินบาทเทียบกับสกุลเงินต่าง ๆ ที่ถ่วงน้ำหนักตามมูลค่าการส่งออกสุทธิ (หักลบด้วยมูลค่าการนำเข้า) ที่อยู่ในรูปสกุลเงินนั้น ๆ ต่อมูลค่าการส่งออกและนำเข้ารวมของแต่ละบริษัท งานวิจัยนี้เรียกดัชนีดังกล่าวว่า NICER (Net Invoicing Currency weighted Exchange Rates) ซึ่งการเคลื่อนไหวของ NICER นั้นสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งจากการเปลี่ยนแปลงของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อเงินบาท หรือจากค่าของเงินสกุลต่างประเทศอื่น ๆ ที่บริษัทใช้ในการตั้งราคาสินค้าส่งออกและนำเข้า ดังนั้น NICER ของแต่ละบริษัทจึงมีความแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับสกุลเงินที่บริษัทใช้ในการส่งออกและนำเข้าสินค้า รวมถึงขนาดของ currency mismatch ระหว่างรายได้และค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น เช่น หากบริษัทส่งออกสินค้าในรูปของเงินดอลลาร์ในสัดส่วนสูง NICER ก็จะเคลื่อนไหวตามการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทต่อดอลลาร์เป็นสำคัญ แต่หากบริษัทมีการนำเข้าสินค้าในสกุลเงินดอลลาร์ร่วมด้วย ก็ช่วยให้บริษัทมี currency mismatch น้อยลงและลดทอนผลกระทบจากค่าเงินดอลลาร์ ทั้งนี้ การตีความ NICER ที่เพิ่มขึ้นจะเทียบเท่าผลต่อกำไรของทั้งผู้ส่งออกและผู้นำเข้าที่ลดลง

รูปที่ 1 แสดงการเคลื่อนไหวและการกระจายตัวของ NICER ของธุรกิจไทย โดยพบว่า NICER ของทั้งผู้ส่งออกและผู้นำเข้าในแต่ละช่วงเวลามีการกระจายตัวค่อนข้างมาก ซึ่งสะท้อนถึงความแตกต่างในระดับบริษัททั้งการเลือกใช้สกุลเงินในการตั้งราคาสินค้า และขนาดของ currency mismatch โดยส่วนใหญ่แล้ว ธุรกิจขนาดใหญ่มักมี currency mismatch ต่ำกว่า กล่าวคือมีการส่งออกและนำเข้าสินค้าโดยใช้สกุลเงินเดียวกัน ส่งผลให้ความผันผวนของ NICER ต่ำกว่าธุรกิจ SMEs ดังนั้น ถึงแม้ว่าเงินดอลลาร์จะมีบทบาทค่อนข้างมากในฐานะของสกุลเงินที่ใช้ในการตั้งราคาสินค้า แต่การกระจายตัวของ NICER ดังที่เห็นในรูป 1 บ่งชี้ว่าบริษัทไทยเผชิญกับผลกระทบของอัตราแลกเปลี่ยนผ่านช่องทาง valuation ในขนาดที่แตกต่างกันออกไป นอกจากนี้ ข้อสังเกตสำคัญอีกประการหนึ่งคือ ดัชนีค่าเงินบาทที่คำนวณจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเทียบกับสกุลเงินของประเทศคู่ค้า (Nominal Effective Exchange Rates หรือ NEER) เคลื่อนไหวไม่สอดคล้องกับ NICER นัก เนื่องจากบทบาทของเงินดอลลาร์ถูกลดทอนลงในการคำนวณ NEER3

รูปที่ 1: NICER รายบริษัท ของผู้ส่งออก (ซ้าย) และผู้นำเข้า (ขวา)

NICER รายบริษัท ของผู้ส่งออก (ซ้าย) และผู้นำเข้า (ขวา)

หมายเหตุ: รูปแสดงการกระจายตัวของ NICER รายบริษัท โดยแถบสีเทาเข้มแสดง percentile ที่ 16 และ 84 แถบสีเทาอ่อนแสดง percentile ที่ 5 และ 95 ส่วนค่าเฉลี่ยแสดงผ่านเส้นสีดำ นอกจากนี้ ยังแสดงการเปลี่ยนแปลงของค่าเงินบาทต่อดอลลาร์ สรอ. และค่าเงินบาทเทียบกับสกุลเงินของประเทศคู่ค้า (nominal effective exchange rates หรือ NEER) ด้วยเส้นสีน้ำเงินและแดง ตามลำดับ สำหรับบริษัทส่งออก (นำเข้า) ค่าบวกหมายถึงเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น (อ่อนค่าลง)

ผลของค่าเงินต่อกำไรของธุรกิจ

งานวิจัยนี้ศึกษาผลกระทบของ NICER ผ่านช่องทาง valuation ไปที่กำไรของบริษัท ซึ่งประเมินจากผลที่มีต่อการเปลี่ยนแปลงของกำไรก่อนหักดอกเบี้ยและภาษี (EBIT) เทียบกับสินทรัพย์รวมของบริษัท โดยใช้ panel regression ผลการศึกษา พบว่า การเคลื่อนไหวของ NICER ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อกำไรของบริษัท โดยผู้ส่งออกได้รับผลมากกว่าผู้นำเข้า ทั้งนี้ หาก NICER เพิ่มขึ้น 1% จะส่งผลให้อัตรากำไรต่อสินทรัพย์รวมในปีเดียวกันปรับลดลง 0.2% และ 0.1% สำหรับผู้ส่งออกและผู้นำเข้า ตามลำดับ (รูปที่ 2) การที่ผู้นำเข้าได้รับผลกระทบน้อยกว่า อาจเป็นผลมาจากการที่ผู้นำเข้าสามารถส่งผ่านต้นทุนการผลิตที่เปลี่ยนแปลงไปยังผู้ซื้อในประเทศ หรือสามารถทดแทนการนำเข้าบางส่วนด้วยปัจจัยการผลิตในประเทศ นอกจากนี้ ระดับการพึ่งพาการค้ากับต่างประเทศที่ต่ำกว่าผู้ส่งออก เช่น รายได้ของผู้นำเข้าที่มาจากการขายสินค้าให้กับผู้ซื้อในไทยเป็นหลัก รวมถึงการมีค่าใช้จ่ายบางส่วนเกิดขึ้นในประเทศ (เช่น ค่าจ้างแรงงาน ต้นทุนปัจจัยการผลิตในไทย) ก็อาจเป็นอีกปัจจัยที่อธิบายข้อค้นพบดังกล่าว เมื่อพิจารณาขนาดของบริษัท NICER มีผลกระทบมากที่สุดต่อผู้ส่งออกที่เป็น SMEs ซึ่งมักมีข้อจำกัดในการเข้าถึงเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (FX hedging) และมีการกระจายแหล่งรายได้น้อยกว่าบริษัทขนาดใหญ่ นอกจากนี้ ผลวิจัยยังพบว่า การเปลี่ยนแปลงของ NICER ที่เป็นผลจากสกุลเงินอื่น ๆ ที่ไม่ใช่เงินดอลลาร์ โดยเฉพาะเงินยูโรและเยน สามารถส่งผลกระทบต่อกำไรของบริษัทได้เช่นเดียวกับกรณีที่ NICER ผันผวนจากค่าเงินดอลลาร์

NICER ส่งผลต่อกำไรของบริษัทมากกว่าอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเทียบกับสกุลเงินของประเทศคู่ค้า (Trade-weighted Exchange Rate หรือ TWER) จากรูปที่ 3 ซึ่งแสดงการกระจายตัวของอัตรากำไรของบริษัทในปี 2558 ที่ประมาณค่าจาก NICER (เส้นทึบสีแดง) เปรียบเทียบกับที่ประมาณค่าด้วย TWER (เส้นประสีดำ) พบว่า NICER สามารถอธิบายกำไรของบริษัทได้ดีกว่ามาก เห็นได้จากอัตรากำไรที่ประมาณค่าจาก NICER กระจายตัวมากกว่าในกรณีที่ประมาณค่าด้วย TWER ค่อนข้างมาก และเมื่อเปรียบเทียบกับการกระจายตัวของอัตรากำไรของบริษัทที่เกิดขึ้นจริงในช่วงปี 2550–2563 ผลวิจัยพบว่า NICER อธิบายการกระจายตัวที่เกิดขึ้นจริงดังกล่าวได้เฉลี่ยประมาณ 3–4% ขณะที่ TWER อธิบายได้เพียง 0.5–2% (ดูเพิ่มเติมได้ใน Nookhwun et al. (2025) ตารางที่ 3) ทั้งนี้ ความสามารถของ NICER ในอธิบายอัตรากำไรของบริษัทนั้นเห็นได้ชัดเจนในกรณีของบริษัทส่งออก สอดคล้องกับขนาดผลกระทบของ NICER ต่อกำไรของผู้ส่งออกที่มีขนาดใหญ่กว่าดังแสดงในรูปที่ 2 ผลลัพธ์ที่ได้นี้บ่งชี้ถึงความสำคัญของผลกระทบของค่าเงินผ่านช่องทาง valuation ที่อาจมีความสำคัญกว่าช่องทางการค้าในบริบทของประเทศไทย

รูปที่ 2: ผลกระทบจาก NICER ที่เพิ่มขึ้น 1% ต่อสัดส่วนการเปลี่ยนแปลงของกำไรต่อสินทรัพย์รวมของบริษัท

ผลกระทบจาก NICER ที่เพิ่มขึ้น 1% ต่อสัดส่วนการเปลี่ยนแปลงของกำไรต่อสินทรัพย์รวมของบริษัท

หมายเหตุ: รูปแบบแสดงค่าสัมประสิทธิ์ของผลกระทบของ NICER พร้อมด้วยช่วงความเชื่อมั่น 95% และจำแนกธุรกิจเป็นขนาดเล็ก กลาง และใหญ่ตามค่าเฉลี่ยของรายรับต่อปีของบริษัท4
รูปที่ 3: การกระจายตัวของการเติบโตของกำไรรายบริษัทในปี 2558 ที่ถูกอธิบายจาก NICER และ Trade-weighted exchange rates (TWER)

การกระจายตัวของการเติบโตของกำไรรายบริษัทในปี 2558 ที่ถูกอธิบายจาก NICER และ Trade-weighted exchange rates (TWER)

หมายเหตุ: รูปแสดงการกระจายตัวของการเปลี่ยนแปลงของกำไรต่อสินทรัพย์รวมของบริษัทในปี 2558 ที่ถูกอธิบายโดย NICER (สีแดง) และอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเทียบกับสกุลเงินของประเทศคู่ค้า หรือ TWER (สีน้ำเงิน)

ธุรกิจที่พึ่งพาการค้าระหว่างประเทศสูงจะมีอัตรากำไรที่อ่อนไหวมากต่อช่องทาง valuation โดย Nookhwun et al. (2025) วัดการพึ่งพาการค้าระหว่างประเทศของแต่ละบริษัทจากสัดส่วนของรายได้จากการส่งออกต่อรายได้รวมในกรณีของผู้ส่งออก และสัดส่วนของต้นทุนจากการนำเข้าสินค้าต่อต้นทุนรวมในกรณีของผู้นำเข้า ผลการศึกษาพบว่า บริษัทที่พึ่งพารายได้จากการส่งออกหรือค่าใช้จ่ายในการนำเข้าสูง จะเผชิญกับผลกระทบจากการเคลื่อนไหวของ NICER เพิ่มขึ้นมาก ดังแสดงในรูปที่ 4 โดยหาก NICER เพิ่มขึ้น 1% จะส่งผลให้อัตรากำไรของทั้งผู้ส่งออกและนำเข้าลดลงมากขึ้นถึง 0.3%

การใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนช่วยลดทอนผลกระทบได้เพียงบางส่วน การใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเป็นวิธีหนึ่งที่ธุรกิจสามารถเลือกใช้ในการลดผลกระทบจากค่าเงิน อย่างไรก็ตาม ข้อมูลธุรกรรมการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศของบริษัทชี้ว่าบริษัทไทยมีการใช้เครื่องมือดังกล่าวค่อนข้างจำกัด5 โดยบริษัทขนาดใหญ่มีสัดส่วนการใช้ที่สูงกว่า SMEs นอกจากนี้ ผลวิจัยพบว่า การใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนมีส่วนช่วยให้บริษัทลดผลกระทบของค่าเงินจากช่องทาง valuation ได้เพียงหนึ่งในสามเมื่อเทียบกับกรณีที่บริษัทไม่ใช้เครื่องมือดังกล่าวเลย ส่วนหนึ่งอาจเป็นผลจากสัญญาของธุรกรรมซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า (Forward FX contract) ที่มักมีอายุสั้นไม่เกิน 3–6 เดือน ดังนั้น ข้อค้นพบนี้จึงสะท้อนถึงความท้าทายของภาคธุรกิจในการบริหารจัดการความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนผ่านเครื่องมือทางการเงินเพียงอย่างเดียว

รูปที่ 4: ผลกระทบของ NICER ที่เพิ่มขึ้น 1% ต่อผลการดำเนินงานและการตัดสินใจของบริษัทที่มีการพึ่งพาการค้าระหว่างประเทศสูง

ผลกระทบของ NICER ที่เพิ่มขึ้น 1% ต่อผลการดำเนินงานและการตัดสินใจของบริษัทที่มีการพึ่งพาการค้าระหว่างประเทศสูง

หมายเหตุ: รูปแสดงค่าสัมประสิทธิ์ของผลกระทบของ NICER ต่อฐานะการเงินและการตัดสินใจลงทุนและจ้างแรงงานของบริษัทที่พึ่งพาการค้าระหว่างประเทศสูง พร้อมด้วยช่วงความเชื่อมั่นที่ 95%

ผลต่อสภาพคล่อง สินเชื่อ และการตัดสินลงทุนและจ้างแรงงาน

ผลกระทบของค่าเงินผ่านช่องทาง valuation มีผลต่อเนื่องมาที่สภาพคล่องของธุรกิจ โดยงานวิจัยนี้พบว่า การเปลี่ยนแปลงของสินทรัพย์สภาพคล่อง (เช่น เงินสด) ต่อสินทรัพย์รวมของธุรกิจตอบสนองอย่างมีนัยสำคัญต่อ NICER (รูปที่ 4) ซึ่งผลกระทบต่อกระแสเงินสดของบริษัทนี้สามารถส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจและการตัดสินใจขยายการลงทุนหรือการจ้างแรงงานได้ตามมาโดยเฉพาะธุรกิจที่มีข้อจำกัดทางการเงิน ขณะที่ผลวิจัยพบว่ามีเพียงผู้ส่งออกรายใหญ่เท่านั้นที่ขอสินเชื่อระยะสั้นเพิ่มขึ้น เช่น สินเชื่อเงินทุนหมุนเวียน ในยามที่ธุรกิจเผชิญกับผลกระทบด้านลบต่อสภาพคล่องจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน อย่างไรก็ดี งานวิจัยนี้ไม่พบว่า NICER ส่งผลกระทบต่อความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ของทั้งผู้ส่งออกและนำเข้าโดยประเมินจากสัดส่วนหนี้ที่ต้องจับตาเป็นพิเศษ (special-mention loans) และหนี้เสีย (non-performing loans) ของบริษัท

NICER ไม่เพียงแต่กระทบฐานะการเงินของธุรกิจ แต่ยังส่งผลต่อการตัดสินใจลงทุนและจ้างแรงงานอีกด้วย โดยเฉพาะสำหรับบริษัทส่งออก (รูปที่ 4) โดยเป็นผลจากการเคลื่อนไหวของ NICER ที่มีที่มาจากความผันผวนของเงินบาทต่อดอลลาร์เป็นสำคัญ ผลวิจัยพบว่า เมื่อ NICER แข็งค่าขึ้น 1% จากการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนบาทต่อดอลลาร์ ธุรกิจส่งออกจะปรับลดการลงทุนและการจ้างแรงงานลง 0.2% และ 0.1% ตามลำดับ (ดูเพิ่มเติมได้ใน Nookhwun et al. (2025) ตารางที่ 9) ซึ่งผลกระทบต่อการลงทุนเกิดขึ้นในบริษัทส่งออกขนาดเล็ก ส่วนผลต่อการจ้างแรงงานเกิดขึ้นในบริษัทขนาดกลางเป็นสำคัญ ขณะที่บริษัทส่งออกขนาดใหญ่ซึ่งสามารถบริหารจัดการสภาพคล่องได้ดีกว่า เช่น ผ่านการกู้ยืมสินเชื่อระยะสั้น ไม่ได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ ผลการศึกษายังพบว่า แม้อัตราแลกเปลี่ยนจะกระทบต่อกำไรและสภาพคล่องของธุรกิจเพียงแค่ในระยะสั้น6 แต่ผลต่อการลงทุนและจ้างแรงงานอาจลากยาวไปในระยะปานกลาง (2–3 ปีข้างหน้า) ได้

ข้อสรุปและนัยเชิงนโยบาย

งานวิจัยของ Nookhwun et al. (2025) ได้แสดงให้เห็นถึงผลกระทบของอัตราแลกเปลี่ยนต่อกำไร กระแสเงินสด การบริหารสภาพคล่องผ่านสินเชื่อ รวมถึงการตัดสินใจลงทุนและจ้างแรงงานของธุรกิจไทยผ่านช่องทาง valuation โดยในบริบทที่การค้าขายสินค้าระหว่างประเทศมักอยู่ในรูปเงินสกุลหลักเพียงไม่กี่สกุล โดยเฉพาะเงินดอลลาร์ ช่องทางนี้มักมีความสำคัญมากกว่าช่องทางการค้าที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจผ่านความสามารถในการแข่งขันทางด้านราคา ดังนั้น ผู้ดำเนินนโยบายจึงควรให้ความสำคัญกับช่องทางนี้ในการประเมินผลกระทบจากความผันผวนของค่าเงิน นอกจากนี้ งานวิจัยนี้ยังชี้ให้เห็นถึงผลกระทบของอัตราแลกเปลี่ยนที่แตกต่างกันออกไปในบริษัทแต่ละขนาด ซึ่งมีนัยต่อนโยบายดูแลอัตราแลกเปลี่ยนของธนาคารกลางที่สามารถส่งผลต่อแต่ละภาคเศรษฐกิจแตกต่างกันออกไป เช่น ผู้ส่งออกในกลุ่ม SMEs อาจได้รับประโยชน์มากกว่ากลุ่มอื่นหากเงินบาทอ่อนค่าลง แต่ในทางกลับกันก็ถูกกระทบได้มากกว่ากลุ่มอื่นเมื่อเงินบาทแข็งค่าขึ้น ในท้ายที่สุด แม้การป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนผ่านเครื่องมือทางการเงินจะช่วยลดผลกระทบของอัตราแลกเปลี่ยนต่อธุรกิจได้เพียงบางส่วน แต่การเข้าถึงยังจำกัดโดยเฉพาะธุรกิจในกลุ่ม SMEs ผู้กำหนดนโยบายจึงควรส่งเสริมการเข้าถึงเครื่องมือทางการเงินโดยเฉพาะธุรกิจที่อาจมีข้อจำกัดทางการเงิน ควบคู่ไปกับการพิจารณากฎเกณฑ์เพื่อเอื้อให้ภาคธุรกิจบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้ดีขึ้น

เอกสารอ้างอิง

Adams, P., & Verdelhan, A. (2022). Exchange Rate Risk in Public Firms. Working paper, MIT Sloan. ;hash=B44AF15838AE39961452311D0DEE21A8
Barbiero, O. (2021). The Valuation Effects of Trade (Working Papers No. 21–11). Federal Reserve Bank of Boston.
Nookhwun, N., Pattararangrong, J., & Rungcharoenkitkul, P. (2025). Exchange Rate Effects on Firm Performance: A NICER Approach (PIER Discussion Papers No. 233). Puey Ungphakorn Institute for Economic Research.

  1. ความสามารถในการแข่งขันด้านราคาอาจเปลี่ยนไปได้ หากมีการเปลี่ยนแปลงในค่าเงินดอลลาร์เทียบกับสกุลเงินของประเทศคู่ค้าของไทย จึงไม่ขึ้นกับค่าเงินบาท เช่น ผู้ส่งออกไทยที่ขายสินค้าไปประเทศญี่ปุ่นและกำหนดราคาในสกุลเงินดอลลาร์ ดังนั้น หากเงินเยนอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ ก็จะทำให้ราคาสินค้าไทยแพงขึ้นในสายตาคนญี่ปุ่น↩
  2. งานศึกษาในอดีตทั้งของ Barbiero (2021) และ Adams & Verdelhan (2022) ต่างศึกษาในกรณีของประเทศที่พัฒนาแล้วทั้งสิ้น↩
  3. Nominal effective exchange rate หรือ NEER คำนวนจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเทียบกับสกุลเงินประเทศคู่ค้าคู่แข่งโดยถ่วงน้ำหนักด้วยสัดส่วนการค้ากับประเทศนั้น ๆ ซึ่งสัดส่วนของการส่งออกนำเข้าไทยกับประเทศสหรัฐฯ อยู่ที่ประมาณ 10–20% เท่ากับว่าเงินดอลลาร์มีบทบาทเพียง 10-20% ต่อการเคลื่อนไหวของ NEER↩
  4. บริษัทถูกจำแนกเป็นธุรกิจขนาดเล็กก็ต่อเมื่อรายรับต่อปีน้อยกว่าหรือเท่ากับ 100 ล้านบาท สำหรับธุรกิจในหมวดอุตสาหกรรม หรือ 50 ล้านบาท สำหรับธุรกิจที่ไม่อยู่ในหมวดอุตสาหกรรม ขณะที่บริษัทถูกจำแนกเป็นขนาดกลางก็ต่อเมื่อรายรับต่อปีมากกว่าเกณฑ์ธุรกิจขนาดเล็กแต่ยังไม่เกิน 500 ล้านบาท สำหรับธุรกิจในหมวดอุตสาหกรรม หรือ 300 ล้านบาท สำหรับธุรกิจที่ไม่อยู่ในหมวดอุตสาหกรรม ทั้งนี้บริษัทที่มีรายรับต่อปีเกินเกณฑ์ขนาดกลางจึงถูกจำแนกเป็นธุรกิจขนาดใหญ่↩
  5. วัดจากสัดส่วนของมูลค่าของธุรกรรม Forward และ Swap ต่อมูลค่าของธุรกรรมการแลกเงินตราต่างประเทศทั้งหมด↩
  6. ในระยะปานกลาง ธุรกิจสามารถปรับราคาสินค้า และส่งผ่านผลกระทบของค่าเงินไปสู่ราคาสินค้าได้↩
Nuwat Nookhwun
Nuwat Nookhwun
Puey Ungphakorn Institute for Economic Research
Jettawat Pattararangrong
Jettawat Pattararangrong
Puey Ungphakorn Institute for Economic Research
Phurichai Rungcharoenkitkul
Phurichai Rungcharoenkitkul
Bank of Thailand
Topics: International TradeMacroeconomicsInternational Finance
Tags: exchange ratesvaluation effectsdominant currency paradigm
The views expressed in this workshop do not necessarily reflect the views of the Puey Ungphakorn Institute for Economic Research or the Bank of Thailand.

Puey Ungphakorn Institute for Economic Research

273 Samsen Rd, Phra Nakhon, Bangkok 10200

Phone: 0-2283-6066

Email: pier@bot.or.th

Terms of Service | Personal Data Privacy Policy

Copyright © 2025 by Puey Ungphakorn Institute for Economic Research.

Content on this site is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-ShareAlike 3.0 Unported license.

Creative Commons Attribution NonCommercial ShareAlike

Get PIER email updates

Facebook
YouTube
Email