อัปเดตสกุลเงินหลักของโลก: เงินดอลลาร์สหรัฐฯ และผู้ท้าชิงจากจีน

เศรษฐกิจโลกได้เผชิญกับเหตุการณ์สำคัญทั้งโรคระบาดและสงคราม เช่น สงครามรัสเซีย-ยูเครน ซึ่งเป็นความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่สร้างความกังวลขึ้นในระบบการเงินโลกภายหลังสหรัฐฯ เข้าแทรกแซงระบบการชำระเงินระหว่างประเทศของรัสเซีย Gita Gopinath รองผู้อำนวยการบริหารคนแรกของกองทุนการเงินระหว่างประเทศหรือ IMF ได้กล่าวว่า “ความสัมพันธ์ของเศรษฐกิจโลกกำลังเปลี่ยนแปลงไปสู่รูปแบบที่เราไม่เคยเห็นมาก่อนนับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามเย็น” ซึ่ง Gita พบว่า บางประเทศกำลังประเมินความเสี่ยงจากการพึ่งพาสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อให้สอดรับกับความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ในอนาคต (Gopinath, 2024)
สถานะของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ จึงเริ่มถูกเปรียบเทียบกับผู้ท้าชิงล่าสุดต่อการเป็นสกุลเงินหลักของโลก ซึ่งก็คือเงินหยวน เนื่องจากเศรษฐกิจจีนมีอัตราการเติบโตที่สูงต่อเนื่อง จนในปี 2023 เศรษฐกิจจีนมีขนาดใหญ่ถึง 17% ของเศรษฐกิจโลก และเป็นเศรษฐกิจขนาดใหญ่อันดับ 2 รองจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่มีขนาด 26% ของเศรษฐกิจโลก จึงไม่แปลกนักที่ข่าวเงินหยวนอาจถูกใช้เป็นสกุลเงินหลักแทนเงินดอลลาร์สหรัฐฯ มีมากขึ้น
ข้อมูลล่าสุดจากระบบชำระเงินระหว่างประเทศหรือ SWIFT (รูปที่ 1) ชี้ว่า แม้ว่าสัดส่วนการใช้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ในการชำระเงินระหว่างประเทศจะเริ่มลดลงตั้งแต่ต้นปี 2022 ในขณะที่เงินหยวนถูกใช้งานเพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เท่า แต่เงินดอลลาร์สหรัฐฯ ยังคงมีอิทธิพลเหนือกว่าเงินหยวนและมีสัดส่วนการใช้มากที่สุด โดยคิดเป็นกว่า 80% ของมูลค่าการชำระเงินระหว่างประเทศ เนื่องจากการค้าโลกโดยเฉพาะสินค้าโภคภัณฑ์ส่วนใหญ่ยังคงตั้งราคาและรับชำระเงินในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ส่วนการเข้ามามีบทบาทของเงินหยวนนั้น ยังเป็นการเพิ่มขึ้นจากสัดส่วนที่ต่ำมาก แม้พิจารณาการชำระเงินเฉพาะในกลุ่มประเทศคู่ค้าของจีน (China Bloc) กลับพบว่า เงินหยวนถูกใช้เพียง 8% ของมูลค่าการชำระเงินทั้งหมดเท่านั้น
ด้านเงินสำรองระหว่างประเทศ บทความของ Arslanalp et al. (2024) พบว่า ช่วง 20 ปีที่ผ่านมา สัดส่วนเงินสำรองที่อยู่ในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ปรับลดลงมาอยู่ต่ำกว่า 60% ของเงินสำรองระหว่างประเทศทั่วโลก (รูปที่ 2 ซ้ายมือ) บ่งชี้ว่าธนาคารกลางต่าง ๆ เริ่มทยอยลดการถือเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และทดแทนด้วยการถือเงินสำรองที่ไม่ใช่ 4 สกุลเงินหลักเพิ่มขึ้น (รูปที่ 2 ขวามือ) อาทิ ดอลลาร์ออสเตรเลีย ดอลลาร์แคนาดา และเงินหยวน ซึ่งการถือเงินหยวนเพิ่มขึ้นมามีสัดส่วนถึง 1 ใน 4 ของการถือเงินสำรองที่ไม่ใช่ 4 สกุลเงินหลัก เหตุการณ์นี้ได้สะท้อนถึงนโยบายส่งเสริมการใช้เงินหยวนในระดับสากลของรัฐบาลจีนในช่วงที่ผ่านมา ทั้งนี้ สัดส่วนเงินหยวนในเงินสำรองระหว่างประเทศยังอยู่ในระดับต่ำมาก คือ ไม่ถึง 3% ของมูลค่าเงินสำรองทั่วโลกและสัดส่วนได้ปรับลดลงตั้งแต่ปี 2022
การลดลงของการถือเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อาจเกิดจากสถานการณ์ในบางประเทศที่เงินสำรองมีขนาดใหญ่ เช่น ธนาคารกลางรัสเซียที่ลดการพึ่งพาเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่ธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์เพิ่มสัดส่วนการถือยูโร ดังนั้น หากไม่รวมรัสเซียและสวิตเซอร์แลนด์ เท่ากับว่าสัดส่วนเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ในเงินสำรองระหว่างประเทศทั่วโลกมีแนวโน้มลดลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ทั้งนี้ นอกเหนือจาก 2 ด้านที่กล่าวมา Gopinath & Itskhoki (2022) พบว่า เงินดอลลาร์สหรัฐฯ ยังมีสัดส่วนการใช้งานมากที่สุดในการกู้และฝากเงินระหว่างประเทศ รวมถึงหนี้สินระหว่างประเทศเช่นกัน (รูปที่ 3)
โดยสรุป เงินดอลลาร์สหรัฐฯ ยังมีสถานะเป็นสกุลเงินหลักของระบบการเงินโลก และเงินหยวนยังห่างไกลกับการเป็นสกุลเงินหลักของโลกแทนเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เช่นกัน อย่างไรก็ตาม ความพยายามในการลดการพึ่งพาเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ยังมีอยู่ เช่น การผลักดันการใช้เงินสกุลเงินท้องถิ่นแทนเงินดอลลาร์สหรัฐฯ สำหรับการค้าระหว่างประเทศในกลุ่มประเทศ BRICS ซึ่งมีจีนเป็นสมาชิก ดังนั้น ไทยควรบริหารสัดส่วนของสกุลเงินในระบบการเงินและเงินสำรองระหว่างประเทศอย่างเหมาะสม เพื่อรองรับการแบ่งขั้วอำนาจและให้สอดรับกับความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์และทิศทางการค้าการลงทุนโลกที่เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นแล้ว