
excerpt
เทคโนโลยีทางการเงินที่ก้าวหน้าอย่างรวดเร็วได้สร้างความสะดวกสบาย แต่ในขณะเดียวกันก็เปิดช่องให้ ‘ภัยการเงิน’ ทวีความรุนแรงและสร้างความเสียหายในวงกว้าง บทความนี้นำเสนอกรอบคิดเชิงเศรษฐศาสตร์เพื่อทำความเข้าใจภูมิทัศน์ของปัญหาภัยการเงินอย่างรอบด้าน โดยวิเคราะห์ตั้งแต่ปัจจัยที่ทำให้คนตัดสินใจเป็นมิจฉาชีพและตกเป็นเหยื่อ บทบาทของเทคโนโลยีที่ทำให้การฉ้อโกงทำได้ง่ายขึ้น ไปจนถึงมาตรการ การออกแบบนโยบายที่จะมาช่วยลดความเสียหายตลอดห่วงโซ่ภัยการเงิน ทั้งการป้องกันก่อนเกิดเหตุและการติดตามหลังเกิดความเสียหาย และชี้ให้เห็นว่าหัวใจสำคัญของการแก้ปัญหาภัยการเงินนั้น คือการลด "ความไม่สมมาตรของข้อมูล" และการสร้างแรงจูงใจที่เหมาะสม เพื่อให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่ผู้เสียหาย แพลตฟอร์ม สถาบันการเงิน และผู้บังคับใช้กฎหมาย ร่วมมือกันแลกเปลี่ยนข้อมูล เพื่อสร้างสมดุลระหว่างความปลอดภัยและประโยชน์จากนวัตกรรมทางการเงินในระบบเศรษฐกิจ
note
ผลการศึกษาบางส่วนที่อ้างถึงในรายงานนี้มาจากการวิเคราะห์ข้อมูลอาชญากรรมทางเทคโนโลยีร่วมกันระหว่างกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) และ ธนาคารแห่งประเทศไทย ความเห็นและข้อสรุปในรายงานนี้เป็นของคณะผู้วิจัย และไม่ถือเป็นความเห็นของหน่วยงานที่คณะผู้วิจัยสังกัดและหน่วยงานอื่น ๆ สำหรับรายละเอียดการวิเคราะห์ ดูได้ที่ Amarase et al. (forthcoming)
ศัพท์บัญญัติที่ใกล้เคียงที่สุดของคำว่า “ภัยการเงิน” น่าจะเป็นคำว่า “ฉ้อโกง” ซึ่งราชบัณฑิตยสถานให้ความหมายไว้ว่าเป็นการหลอกลวงผู้อื่นโดยทุจริต เพื่อให้ได้ทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวงหรือจากบุคคลที่สาม ซึ่งเป็นความผิดอาญาที่มีมาตั้งแต่มีการประกาศใช้กฎหมายลักษณะอาญาฉบับแรกขึ้นใน ร.ศ. 127 (ปี ค.ศ. 1908)
“ภัยการเงิน” หรือ การหลอกลวงเพื่อให้ได้มาซึ่งทรัพย์ของบุคคลอื่น เป็นสิ่งที่อยู่คู่กับมนุษย์มาโดยตลอด ในหนังสือสุภาษิตในคัมภีร์ฮีบรูว์ ซึ่งเขียนขึ้นเมื่อกว่า 1000 ปีก่อนคริสตกาล มีการห้ามไม่ให้ใช้ตาชั่งที่ “ขี้โกง” เพราะจะเป็นที่ไม่พอพระทัยของพระเจ้า ในกรีกโบราณเมื่อ 300 ปีก่อนคริสตกาล มีการบันทึกการพยายามจมเรือบรรทุกสินค้าเพื่อฉ้อโกงบริษัทประกัน หรือตั้งแต่ช่วงกลางศตวรรษที่ 15 ในยุโรป ก็มีนักต้มตุ๋นเดินทางหลอกให้คนเล่นเกมทายบอลใต้ถ้วย1 มิจฉาชีพปลอมตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อที่จะรีดเอาทรัพย์จากเหยื่อ มาจนสมัยที่โทรศัพท์เริ่มเป็นที่แพร่หลายในช่วงหลังของศตวรรษที่ 20 มิจฉาชีพก็หันไปใช้โทรศัทพ์เพื่อหลอกเหยื่อให้ซื้อสินค้าหรือลงทุน
จะเห็นได้ว่าไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยใด ภัยการเงินล้วนเกิดจากการที่เหยื่อรู้ไม่เท่าทันกลโกงของมิจฉาชีพ ความรู้ที่ไม่เท่าทันนี้ในทางเศรษฐศาสตร์เรียกว่า ความไม่สมมาตรของข้อมูล (information asymmetry) ที่ฝ่ายหนึ่ง (มิจฉาชีพ) มีข้อมูลมากกว่าอีกฝ่ายหนึ่ง (เหยื่อ) เพียงแต่ช่องทางที่มิจฉาชีพใช้ในการหลอกลวงเหยื่อได้เปลี่ยนแปลงตามเทคโนโลยีที่พัฒนาไปเรื่อย ๆ ตามกาลเวลา
ภัยการเงินมีความหมายที่กว้างและสามารถแบ่งออกเป็นประเภทต่างๆ ได้ในหลายมิติ
มิติที่หนึ่ง แบ่งตามความสัมพันธ์ระหว่างมิจฉาชีพกับเหยื่อ ได้แก่
- การฉ้อโกงที่เหยื่อและมิจฉาชีพรู้จักกัน เคยพบตัวตนหรือมีความสัมพันธ์กันในชีวิตจริง เช่น กรณีที่คนรู้จักหลอกให้ร่วมลงทุน หรือ
- การฉ้อโกงที่เหยื่อไม่ได้รู้จักตัวตนจริงของมิจฉาชีพ เช่น การหลอกลวงเหยื่อผ่านโทรศัพท์หรือในโลกออนไลน์
มิติที่สอง แบ่งตามประเภทการให้ความยินยอมของเจ้าของเงิน ซึ่งได้แก่
- การฉ้อโกงที่เจ้าของเงินไม่ให้ความยินยอม (unauthorized) แต่มิจฉาชีพสามารถเข้าถึงบัญชีและทำธุรกรรมแทนเจ้าของบัญชีได้ หรือ
- การฉ้อโกงที่เจ้าของเงินให้ความยินยอม (authorized) เช่น เจ้าของบัญชีเงินฝากยืนยันตัวตน เป็นผู้กรอกรายละเอียดของบัญชีปลายทาง และอนุมัติการโอนเงินด้วยตนเอง
มิติที่สาม แบ่งตามผู้เริ่มต้นทำธุรกรรม ได้แก่
- การฉ้อโกงที่ผู้รับเงิน เป็นผู้เริ่มต้นทำธุรกรรม (pull transaction) เช่น ร้านค้าที่เป็นมิจฉาชีพตัดเงินชำระสินค้าจากบัญชีธนาคารหรือบัตรเครดิตของเจ้าของเงิน หรือ
- การฉ้อโกงที่ผู้ส่งเงินเป็นผู้เริ่มต้นทำธุรกรรม (push transaction) เช่น การที่เจ้าของเงินโอนเงินจากบัญชีของตนเพื่อชำระค่าสินค้าและบริการให้แก่ร้านค้าที่เป็นมิจฉาชีพ
มิติที่สี่ แบ่งตามความเร็วของธุรกรรมทางการเงิน ได้แก่
- การฉ้อโกงที่ธุรกรรมการชำระเงินผ่านระบบ fast payment ซึ่งเกิดขึ้นและสิ้นสุด (finality) ทันทีหรือรวดเร็ว เมื่อโอนแล้วไม่สามารถยกเลิกธุรกรรมหรือดึงเงินกลับมาได้ เช่น การโอนเงินผ่านช่องทางดิจิทัล
- การฉ้อโกงที่ธุรกรรมการชำระเงินใช้เวลานานกว่าที่จะสิ้นสุด เช่น การชำระเงินด้วยเช็ค
บทความนี้มุ่งศึกษาเฉพาะภัยการเงินที่เกิดจากการหลอกลวงเหยื่อออนไลน์โดยใช้ธุรกรรม authorized push payment (APP) ผ่านระบบ fast payment เนื่องจากเป็นภัยการเงินในรูปแบบที่เหยื่อโอนเงินผ่านช่องทางดิจิทัลออกจากบัญชีของตนไปให้มิจฉาชีพที่ไม่ได้รู้จักกันในชีวิตจริงเป็นภัยการเงินที่เป็นปัญหามากที่สุดในปัจจุบัน ดังที่เห็นได้จากการสำรวจที่ครอบคลุมกลุ่มตัวอย่างเกือบ 60,000 คนของ GASA (Global Anti-Scam Alliance) ที่ประเมินว่า ในปี 2024 มีความเสียหายจากการหลอกลวงออนไลน์ถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งมีขนาดพอ ๆ กับ GDP ของประเทศสวิตเซอร์แลนด์เลยทีเดียว
สำหรับประเทศไทยเอง มีปัจจัยพิเศษที่ทำให้การหลอกลวงออนไลน์สร้างผลกระทบในวงกว้าง เนื่องจากเศรษฐกิจไทยมีอัตราการเข้าถึงระบบ fast payment สูง ในขณะที่ประชากรจำนวนมากยังขาดภูมิคุ้มกันทางการเงิน เห็นได้จากตัวเลขอัตราการเข้าถึงอินเตอร์เน็ตที่สูงกว่า 90% หรืออัตราการใช้ระบบ fast payment ที่สูงเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก แต่จากสถิติของกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) พบว่า นับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2022 ที่มีการเก็บสถิติ มีผู้แจ้งความคดีออนไลน์แล้วถึง 1 ล้านคดี รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 9.8 หมื่นล้านบาท เฉลี่ยความเสียหาย 77 ล้านบาทต่อวัน สะท้อนให้เห็นถึงขนาดของปัญหา และความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นต่อประชาชนทุกคน
บทความในส่วนจะนำเสนอกรอบแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์ที่ใช้อธิบายว่าการฉ้อโกงเกิดขึ้นได้จากปัจจัยอะไรบ้าง ทำไมเทคโนโลยีที่ก้าวหน้ามากขึ้นจึงทำให้การฉ้อโกงทางการเงินทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นเมื่อเทียบกับการฉ้อโกงประเภทอื่นๆ และทำไมการป้องกันและปราบปรามภัยการเงินจึงเกิดขึ้นได้ยากหากไม่มีการแทรกแซงจากภาครัฐ
ในทางเศรษฐศาสตร์นั้น ภัยการเงินถือเป็นการฉ้อโกงประเภทหนึ่ง ซึ่งการฉ้อโกงสามารถอธิบายได้ด้วยกรอบความคิดทางเศรษฐศาสตร์ที่ประกอบด้วย (1) ปัจจัยที่ทำให้คนตัดสินใจเป็นมิจฉาชีพ(2) ปัจจัยที่ทำให้คนตกเป็นเหยื่อ และ (3) ระบบเศรษฐกิจที่เอื้อให้การฉ้อโกงเกิดขึ้นได้
มนุษย์ทุกคนไม่ได้เป็นมิจฉาชีพโดยกำเนิด แต่การเป็นมิจฉาชึพที่ก่ออาชญากรรมต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงการฉ้อโกงนั้น เป็นกิจกรรมทางเศรษฐศาสตร์อย่างหนึ่งที่ผ่านการตัดสินใจโดยคำนึงถึงผลตอบแทนและต้นทุน เช่นเดียวกับการซื้อของ การลงทุน หรือการตัดสินใจเลือกอาชีพอื่น ๆ นั่นเอง ซึ่งงานชิ้นสำคัญของ Ehrlich (1996) ได้นำเสนอแบบจำลองที่ payoff ของการก่ออาชญากรรมว่าจะขึ้นอยู่กับ
ผลตอบแทนจากการเป็นมิจฉาชีพขึ้นอยู่กับปัจจัยหลาย ๆ อย่างรวมกัน ทั้งจำนวนเหยื่อที่หลอก ปริมาณเงินที่คาดว่าจะหลอกได้จากเหยื่อ และโอกาสที่จะหลุดรอดระบบป้องกันต่าง ๆ ที่ได้กล่าวมาข้างต้น จนนำเงินออกไปนอกระบบธนาคารได้
ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ความนิยมของการใช้บริการธนาคารผ่านโทรศัพท์มือถือ (mobile banking) เพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด 19 ทำให้มีความพยายามลดการสัมผัสเงินสด หรือมาตรการช่วยเหลือของรัฐที่กระตุ้นให้คนหันมาใช้ e-Payment มากขึ้น Tosborvorn et al. (2023) ประเมินว่าระหว่างเดือน ก.ค. 2020 ถึงเดือน ธ.ค. 2021 มีผู้ใช้บริการ e-Payment เพิ่มขึ้นถึงเกือบ 5 ล้านคน ความนิยม e-Payment ที่เพิ่มขึ้นนี้ ส่งผลให้จำนวนผู้ที่อาจตกเป็นเหยื่อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ จากธรรมชาติของการหลอกลวงที่มิจฉาชีพสามารถพยายามหลอกเหยื่อได้หลายรายพร้อม ๆ กัน มีส่วนทำให้ผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้จากการก่อเหตุสูงขึ้น
การลดการใช้ e-Payment ไม่ใช่แนวทางการลดภัยการเงินที่เหมาะสม เนื่องจาก e-Payment มีประโยชน์หลาย ๆ อย่างต่อพัฒนาการทางการเงิน ความสะดวกสบาย การเข้าถึงบริการทางการเงินของครัวเรือนและธุรกิจ ดังนั้น การแก้ไขจึงต้องมุ่งเน้นไปที่การทำให้คนในสังคมที่มีภูมิคุ้มกัน ตระหนัก และระมัดระวังภัยการเงิน มีอัตราส่วนมากขึ้น ผ่านการให้ความรู้ทางการเงิน หรือการมีมาตรการต่าง ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพส่วนต่าง ๆ ที่ได้กล่าวไปข้างต้น ตั้งแต่การตรวจจับ แจ้งเตือน ของแพลตฟอร์มและผู้ให้บริการทางการเงิน การติดตามเส้นทางการเงินและป้องกันไม่ให้เงินออกนอกระบบธนาคาร
การก่อเหตุผ่านช่องทางออนไลน์มีต้นทุนที่น้อยกว่ามากเมื่อเปรียบเทียบกับการก่อเหตุกับทรัพย์สินแบบอื่น เช่น การฉกชิงวิ่งราว การปล้น ทั้งจากต้นทุนทางตรง (เช่น ค่าใช้จ่ายในการซื้ออาวุธ ยานพาหนะ) และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นระหว่างก่อเหตุ (เช่น การถูกเหยื่อหรือเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทำร้ายร่างกาย) ที่ต่ำกว่า
ในขณะเดียวกัน มิจฉาชีพก็มีค่าใช้จ่ายอย่างอื่นเข้ามาแทนที่ เช่น ค่าใช้จ่ายในการซื้อบัญชีม้า ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับอุปกรณ์สื่อสาร การทำหลักฐานหรือสภาพแวดล้อมปลอมเพื่อมาหลอกเหยื่อ ค่าใช้จ่ายในการเปิดบริษัทเพื่อมาทำหน้าที่เป็นบัญชีม้าแบบนิติบุคคล สิ่งเหล่านี้ หากนโยบายสามารถทำให้มีต้นทุนที่สูงขึ้นได้ ก็เป็นปัจจัยลบที่ทำให้การก่ออาชญากรรมออนไลน์น่าดึงดูดน้อยลง เนื่องจากเป็นต้นทุนในการดำเนินการของมิจฉาชีพนั่นเอง
การที่คนคนหนึ่งตัดสินใจที่จะเป็นมิจฉาชีพ หมายความว่าคนคนนั้นจะเสียโอกาสที่จะได้ทำงานอื่น (หรือมีโอกาสที่จะเสียรายได้เหล่านั้นหากถูกจับได้) ถ้าเราเทียบกันระหว่างคนที่มีงานประจำ มีรายได้สูง กับคนที่รายได้ต่ำหรือตกงาน คนที่มีรายได้สูงย่อมมี “ต้นทุน” ในการผันตัวมาเป็นมิจฉาชีพที่สูงกว่า เนื่องจากจะต้องยอมเสียรายได้ประจำนั้นไปด้วย สถิติชี้ให้เห็นว่า อาชญากรรมต่อทรัพย์สินจะเพิ่มขึ้นเมื่อเศรษฐกิจไม่ดี และมิจฉาชีพโดยทั่วไปมักเป็นผู้ไม่มีงานทำ (Piehl, 1998, Fagan & Freeman, 1999) ผ่านกลไกของค่าเสียโอกาส (opportunity cost) ดังกล่าว ดังนั้น การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ซึ่งรวมไปถึงการส่งเสริมการพัฒนาทักษะที่จำเป็นต่อการประกอบอาชีพสุจริต จึงเป็นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุที่สำคัญ
โทษที่คาดว่าจะได้รับขึ้นอยู่กับโอกาสในการถูกจับกุมมาดำเนินคดี (certainty of punishment) กับโทษที่จะได้รับเมื่อถูกจับกุม (severity of punishment) ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบระหว่างสองปัจจัยนี้แล้ว การศึกษาในอดีตหลายชิ้นพบว่าการเพิ่มโอกาสที่จะถูกจับกุม ส่งผลให้จำนวนอาชญากรรมลดลงได้มากกว่าการเพิ่มโทษ (Paternoster, 1987, Grogger, 1991, Nagin, 2013) นอกจากนี้ Waldo & Chiricos (1972) พบว่า สิ่งที่ส่งผลต่อจำนวนอาชญากรรมคือ “การรับรู้” (perception) ของคนเกี่ยวกับโอกาสที่จะถูกจับกุมหรือโทษที่จะได้รับ
มาตรการต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อปัจจัยเหล่านี้ สามารถทำให้คนเปลี่ยนใจในการเลือกหรือไม่เลือกที่จะเป็นมิจฉาชีพได้
มนุษย์ทุกคนไม่ได้มีภูมิคุ้มกันต่อการหลอกลวงมาตั้งแต่เกิด ซึ่งปัจจัยที่ทำให้คนบางคนมีหรือไม่มีภูมิคุ้มกันภัย และตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพสามารถแบ่งได้เป็นสองประเภทใหญ่ ๆ ได้แก่
ปัจจัยเชิงบุคคล (dispositional factors) คือ ปัจจัยที่เฉพาะเจาะจงกับบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ส่วนใหญ่มักเป็นปัจจัยที่ติดตัวบุคคลมาตั้งแต่เกิด หรือเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้ยาก และอาจส่งผลต่อการตัดสินใจ หรือพฤติกรรมในภาพรวม ปัจจัยเชิงบุคคล ยังสามารถแบ่งย่อยออกได้อีกเป็นสองประเภท คือ
- ปัจจัยที่สังเกตได้จากภายนอก โดยทั่วไปหมายถึง ข้อมูลส่วนบุคคล (demographic variables) ต่าง ๆ เช่น อายุ เพศ ระดับการศึกษา อาชีพ เชื้อชาติ
- ปัจจัยที่สังเกตจากภายนอกได้ยาก หมายถึง ลักษณะนิสัยส่วนบุคคล (psychological variables) เช่น ความเสี่ยงที่ยอมรับได้ (risk aversion) ความเชื่อใจผู้อื่น หรือความสามารถในการคิดวิเคราะห์และการตัดสินใจ (cognitive ability)
ในภาพรวม ปัจจุบันค่อนข้างยอมรับกันว่าไม่มีปัจจัยเชิงบุคคลหรือลักษณะของคนแบบใดแบบหนึ่งที่ทำให้คนคนนั้นมีโอกาสตกเป็นเหยื่อของการหลอกลวงออนไลน์ง่ายกว่าคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นอายุ เพศ การศึกษา ฐานะทางการเงิน สถานภาพการสมรส หรือแม้แต่ลักษณะนิสัยส่วนบุคคล (Whitty, 2020, Hanoch & Wood, 2021) และดูเหมือนว่าคนทุกประเภทต่างสามารถตกเป็นเหยื่อของการหลอกลวงออนไลน์ทั้งสิ้น
ปัจจัยเชิงสถานการณ์ (situational factors) ซึ่งเปลี่ยนแปลงได้ในเวลาอันสั้นกว่า เช่น ความเหนื่อยล้า เพิ่งตกงานหรือได้รับข่าวร้าย การตกอยู่ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย หรือสถานการณ์ที่ต้องตัดสินใจเร่งด่วน ซึ่งส่วนหนึ่ง ก็เป็นสถานการณ์ที่มิจฉาชีพสร้างขึ้น ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับปัจจัยเชิงบุคคลแล้ว การศึกษาเกี่ยวกับปัจจัยเชิงสถานการณ์มีผลที่สอดคล้องกันมากกว่า
ความท้าทายในการศึกษาผู้เสียหาย
การศึกษาเกี่ยวกับปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้ตกเป็นเหยื่อของการหลอกลวงออนไลน์ ส่วนใหญ่เป็นการทำแบบสอบถามให้กลุ่มตัวอย่างตอบ โดยมีตัวแปรต้นเป็นลักษณะเชิงบุคคล หรือลักษณะอุปนิสัยที่สนใจ ส่วนตัวแปรตามนั้น คือประสบการณ์การถูกหลอกลวง ซึ่งอาจวิธีถามกลุ่มตัวอย่างว่าเคยถูกหลอกหรือตกเป็นผู้เสียหายในช่วงเวลาที่ผ่านมาหรือไม่ แต่ด้วย underreporting bias ทำให้งานศึกษาลักษณะดังกล่าวมีข้อจำกัด เนื่องจากผู้ที่เคยโดนหลอกอาจปฏิเสธที่จะเปิดเผยว่าเคยโดนหลอก2 เพื่อก้าวข้ามข้อจำกัดนี้ งานศึกษาบางชิ้นใช้วิธีการทดลองให้ผู้ตอบแบบสอบถามเจอการหลอกลวงที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น (mock scam) เพื่อดูว่าผู้ตอบแบบสอบถามจะหลงเชื่อหรือไม่ ซึ่งงานศึกษาประเภทนี้ก็พบข้อจำกัดอีกประการหนึ่ง คือการที่ผู้ตอบแบบสอบถามอาจจะรู้ตัวว่ากำลังทำแบบสอบถามเกี่ยวกับภัยการเงินอยู่ ทำให้ระมัดระวังมากกว่าปกติ
ความท้าทายดังกล่าวชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการเก็บรวบรวมข้อมูลที่ดีกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน การเชื่อมโยงเส้นทางการเงิน (ที่จะชี้ให้เห็นว่าบัญชีไหนเป็นบัญชีของมิจฉาชีพ ธุรกรรมไหนน่าจะเป็นธุรกรรมที่เหยื่อโอนให้มิจฉาชีพ) เข้ากับข้อมูลรายบุคคลที่ภาคการธนาคารมีอยู่ จะทำให้เราสามารถทำการศึกษาปัจจัยเสี่ยงที่แท้จริง โดยก้าวข้ามข้อจำกัดของการวิจัยจากการสำรวจแบบสอบถามทั่วไปได้ กระนั้นก็ตาม จนกว่าที่เราจะมีข้อมูลที่บ่งชี้สถานะของผู้เสียหายและผู้ที่ไม่ตกเป็นผู้เสียหายได้ดีกว่านี้ งานศึกษาเหล่านี้ก็เป็นสิ่งที่ทำได้ดีที่สุดในปัจจุบัน ภายใต้ข้อจำกัดที่มีอยู่
ธุรกรรมการฉ้อโกงเกิดขึ้นเมื่อมิจฉาชีพหลอกลวงเหยื่อสำเร็จ ซึ่งเงื่อนไขในการเกิดธุรกรรมนี้ ได้แก่ (1) เหยื่อรู้ไม่เท่าทันมิจฉาชีพ (2) ผลประโยชน์ที่มิจฉาชีพคาดว่าจะได้รับจากการฉ้อโกงมีมูลค่าสูงกว่าต้นทุนในการหลอกลวง และ (3) เหยื่อและมิจฉาชีพมีช่องทางในการมาเจอกันเพื่อทำธุรกรรม ซึ่งการรู้ไม่เท่าทันมิจฉาชีพของเหยื่อขึ้นอยู่กับภูมิคุ้มกันต่อการถูกหลอกลวงของเหยื่อ ผลประโยชน์ที่มิจฉาชีพคาดว่าจะได้ขึ้นอยู่กับมูลค่าของธุรกรรมและโอกาสในการหลอกเหยื่อได้สำเร็จ ส่วนต้นทุนในการฉ้อโกงของมิจฉาชีพ ได้แก่ เงินทุนที่ใช้ในการก่อเหตุ เวลาและโอกาสที่เสียไปจากการไม่ทำงานอื่น และโทษที่คาดว่าจะได้รับ
ดังนั้น ระบบเศรษฐกิจที่เอื้อให้มิจฉาชีพหลอกลวงเหยื่อได้สำเร็จจึงมักมีลักษณะดังต่อไปนี้
ผู้คนในระบบเศรษฐกิจขาดภูมิคุ้มกันต่อการถูกหลอกลวง ตกเป็นเหยื่อได้ง่าย เนื่องจากตัดสินใจทำธุรกรรมโดยรู้ไม่เท่าทันเล่ห์กลของมิจฉาชีพ อาจจะเพราะขาดข้อมูลประกอบการตัดสินใจที่เพียงพอ หรือตัดสินใจภายใต้แรงกดดันหรืออคติโดยไม่พิจารณาข้อมูลประกอบให้ถ่องแท้ เช่น ตัดสินใจด้วยความเร่งรีบ ความกลัว ความโลภ หรือความหลง ซึ่งรวมถึงความมั่นใจในตัวเองที่สูงเกินไป
มิจฉาชีพมีช่องทางที่ใช้ในการหลอกลวงเหยื่อได้ง่าย เช่น ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์และระบบการชำระเงินที่ขาดการคัดกรองมิจฉาชีพออกจากผู้ประกอบธุรกรรมที่สุจริต
มิจฉาชีพไม่ได้รับการลงโทษที่รุนแรงพอเมื่อเทียบกับผลประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ เนื่องจากการชี้ตัวและจับกุมมิจฉาชีพทำได้ยาก การบังคับใช้กฎหมายไม่เข้มแข็ง และบทลงโทษไม่สูงพอ
โดยปกติแล้ว การฉ้อโกงเป็นปรากฏการณ์ที่พบเห็นได้ทั่วไป เพราะการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการแทบทั้งหมดในระบบเศรษฐกิจแบบตลาดนั้นเกิดขึ้นระหว่างผู้คนที่ไม่ได้รู้จักกันและไม่ทราบข้อมูลของอีกฝ่ายหนึ่งอย่างถูกต้องสมบูรณ์ ทำให้เหยื่อรู้ไม่เท่าทันมิจฉาชีพ
การที่เหยื่อรู้ไม่เท่าทันมิจฉาชีพเป็นสถานการณ์ที่วงวิชาการเศรษฐศาสตร์เรียกว่าการมีข้อมูลที่ไม่สมมาตร (asymmetric information) นั่นคือ มิจฉาชีพมีข้อมูลมากกว่าเหยื่อ เหยื่อไม่ทราบเจตนาและเล่ห์กลในการทำธุรกรรมที่ทุจริตของมิจฉาชีพ ซึ่งข้อมูลที่ไม่สมมาตรนี้ก่อให้เกิดการบิดเบือนแรงจูงใจในการประกอบธุรกรรมของผู้คนในระบบเศรษฐกิจ เนื่องจาก
- มิจฉาชีพมีแรงจูงใจที่จะฉวยโอกาสหลอกลวงเหยื่อ เช่น ผู้ขาย (มิจฉาชีพ) ไม่ส่งมอบสินค้าหรือบริการตามที่โฆษณาไว้ให้แก่ลูกค้า (เหยื่อ) เมื่อได้รับชำระเงินแล้ว หรือผู้ซื้อ (มิจฉาชีพ) ชำระค่าสินค้าเป็นธนบัตรปลอมหรือเช็คเด้งให้แก่ผู้ขาย (เหยื่อ) หลังจากได้รับสินค้าหรือบริการแล้ว ปรากฏการณ์เหล่านี้ในทางเศรษฐศาสตร์เรียกว่า moral hazard
- การฉ้อโกงย่อมทำให้ผู้คนที่บริสุทธิ์ที่อาจตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพขาดแรงจูงใจในการทำธุรกรรม เพราะกลัวโดนหลอก ในระดับจุลภาค ตลาดที่มีการฉ้อโกงมากย่อมซบเซาหรือล่มสลาย ในระดับมหภาค หากระบบเศรษฐกิจเต็มไปด้วยมิจฉาชีพ ความเชื่อใจ (trust) ที่เป็นสิ่งจำเป็นพื้นฐานของระบบเศรษฐกิจแบบตลาดย่อมเสื่อมถอยลง เพราะคนบริสุทธิ์ลังเลที่จะทำธุรกรรมกับผู้คนในตลาดที่เป็นคนแปลกหน้า ปรากฏการณ์นี้ในทางเศรษฐศาสตร์เรียกว่า adverse selection
ดังนั้น นอกจากการฉ้อโกงจะสร้างความเสียหายให้แก่เหยื่อแล้ว ยังทำให้การจัดสรรทรัพยากรในระบบเศรษฐกิจขาดประสิทธิภาพอีกด้วย เนื่องจาก (1) ธุรกรรมที่ควรจะเกิดขึ้นกลับไม่เกิดขึ้นเพราะผู้บริสุทธิ์กลัวตกเป็นเหยื่อ และ (2) ระบบเศรษฐกิจต้องหมดเปลืองทรัพยากรไปกับการป้องกันการฉ้อโกง การตรวจสอบธุรกรรมที่ต้องสงสัย การตามจับและดำเนินคดีกับมิจฉาชีพ ตลอดจนการติดตามทรัพย์สินเพื่อชดใช้ความเสียหายให้แก่เหยื่อ
เนื่องจากการฉ้อโกงสะท้อนถึงความล้มเหลวของตลาด (market failure) ในการจัดสรรทรัพยากรที่เกิดจากความไม่สมมาตรของข้อมูล นโยบายภาครัฐที่ช่วยลดการฉ้อโกงจึงไม่เพียงแต่ช่วยป้องกันและบรรเทาความเสียหายให้แก่เหยื่อ แต่ยังช่วยลดผลเสียที่เกิดขึ้นต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมอีกด้วย
ถึงแม้ว่าการฉ้อโกงจะมีหลายรูปแบบ แต่การฉ้อโกงทางการเงินหรือภัยทางการเงินนั้นได้ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างมากในปัจจุบันเมื่อเทียบกับการฉ้อโกงประเภทอื่น ๆ เนื่องจากเทคโนโลยีการเงินดิจิทัลที่พัฒนาอย่างก้าวกระโดดในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา เทคโนโลยีเหล่านี้ทำให้การทำธุรกรรมต่างๆ สะดวกขึ้น รวดเร็วขึ้น ต้นทุนต่ำลง และเข้าถึงผู้คนในระบบเศรษฐกิจมากขึ้น แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงภัยการเงินในรูปแบบใหม่ที่มากขึ้นเช่นกัน
ภัยการเงินจากการทำธุรกรรม authorized push payment (APP) ผ่านระบบ fast payment หรือ APP fraud เป็นตัวอย่างหนึ่งของพัฒนาการทางเทคโนโลยีทางการเงินที่มีประโยชน์ต่อผู้คนมากมาย แต่ก็มีความเสี่ยงภัยการเงินจากการโดนฉ้อโกงที่สูง กรอบแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์ว่าด้วยการฉ้อโกงข้างต้น สามารถนำมาประยุกต์เพื่ออธิบายสาเหตุว่า ทำไมเทคโนโลยีที่ก้าวหน้ามากขึ้นจึงทำให้การฉ้อโกงทางการเงินทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นเมื่อเทียบกับการฉ้อโกงประเภทอื่นๆ ได้แก่
- ผู้คนจำนวนมากขาดภูมิคุ้มกันต่อการหลอกลวงในรูปแบบใหม่ ทำให้ตัดสินใจทำธุรกรรมโดยรู้ไม่เท่าทันเล่ห์กลของมิจฉาชีพที่นำเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น Artificial Inteligence (AI) และข้อมูลออนไลน์มาสร้างสถานการณ์ที่เหมือนจริง หลอกให้เหยื่อหลงเชื่อได้ง่ายขึ้นมาก
- มิจฉาชีพใช้แพลตฟอร์มออนไลน์และใช้การชำระเงินผ่านระบบ fast payment ทำให้มิจฉาชีพสามารถเข้าถึงเหยื่อจำนวนมากได้ด้วยต้นทุนที่ต่ำ การชำระเงินหรือโอนเงินด้วยระบบดิจิทัล เช่น PromptPay ยังทำให้เงินโอนออกจากบัญชีของเหยื่อทันทีและมีการโอนต่อไปบัญชีอื่นเป็นทอดๆ อีกหลายทอด จนออกจากระบบธนาคารและไม่สามารถเรียกเงินคืนกลับมาได้
- การชี้ตัวและจับกุมมิจฉาชีพทำได้ยากเนื่องจากเป็นธุรกรรมออนไลน์ มิจฉาชีพสามารถเปิดปิดบัญชีได้ง่าย มีการซื้อขายบัญชีปลอม แอบซ่อนธุรกรรมทุจริตได้ ในขณะที่ผู้บังคับใช้กฎหมายเผชิญข้อจำกัดหลายด้าน เพราะอาชญากรรมทางการเงินดิจิทัลเกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน ทั้งภาครัฐและเอกชน ทำให้ต้องมีการประสานงานกัน แลกเปลี่ยนข้อมูลกัน รวมถึงการขาดการพัฒนาวิธีการติดตามมิจฉาชีพที่ก้าวทันอาชญากรรมทางดิจิตัล ทำให้กระบวนการแจ้งความ อายัดบัญชี และติดตามเงินล่าช้าเมื่อเปรียบเทียบกับจำนวนคดีที่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
การป้องกันและปราบปรามภัยการเงินต้องประกอบด้วยการลดโอกาสที่เหยื่อถูกหลอกลวงโดยมิจฉาชีพ ทั้งก่อนและหลังจากที่ธุรกรรมการฉ้อโกงเกิดขึ้น ได้แก่ (1) การให้ความรู้แก่ผู้ใช้บริการทางการเงินเพื่อให้รู้เท่าทันมิจฉาชีพ (2) การคัดกรองผู้ประกอบธุรกรรมบนแพลตฟอร์ม (3) การเตือนและการตรวจจับธุรกรรมที่ผิดปกติโดยสถาบันการเงิน ส่วนมาตรการหลังเกิดความเสียหาย ได้แก่ (1) การพัฒนาระบบรับแจ้งเหตุ (2) การพัฒนาระบบติดตามเส้นทางการเงินและป้องกันการนำเงินออกนอกระบบ และ (3) การดำเนินคดีกับผู้กระทำผิด
การป้องกันและปราบปรามภัยการเงินเหล่านี้ล้วนมีจุดประสงค์ในการการลดช่องว่างของข้อมูลข่าวสารตลอดห่วงโซ่ภัยการเงิน เพื่อให้ผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดรู้เท่าทันมิจฉาชีพ ทั้งช่องว่างระหว่างเหยื่อกับมิจฉาชีพ และช่องว่างระหว่างแพลตฟอร์ม ธนาคาร และผู้บังคับใช้กฎหมาย กับมิจฉาชีพ
การลดช่องว่างของข้อมูลข่าวสารจำเป็นต้องมีการบูรณาการข้อมูลที่เกี่ยวข้องให้มากที่สุดและใช้ประโยชน์จากข้อมูลให้เกิดประสิทธิผลมากที่สุด โดยมีการแลกเปลี่ยนข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล การนำข้อมูลและผลการวิเคราะห์ไปใช้ในการค้ดกรอง ตรวจจับ และดำเนินคดีกับมิจฉาชีพ ตลอดจนใช้ในการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับผู้มีโอกาสตกเป็นเหยื่อ ดังที่แสดงในรูปที่ 1
ถึงแม้ว่าผู้ที่เกี่ยวข้องในห่วงโซ่การเงินอาจมีความปรารถนาในการช่วยกันป้องกันและปราบปรามภัยการเงิน แต่อุปสรรคต่าง ๆ ในระบบเศรษฐกิจทำให้ขาดแรงจูงใจที่เพียงพอในการแลกเปลี่ยนและใช้ข้อมูลอย่างทันท่วงทีและมีประสิทธิภาพ เช่น เหยื่อขาดแรงจูงใจในการแจ้งความเพราะโอกาสที่จะได้รับเงินคืนต่ำเมื่อเทียบกับต้นทุนในการแจ้งความ แพลตฟอร์มและธนาคารขาดแรงจูงใจในการคัดกรองและตรวจจับธุรกรรมที่ต้องสงสัย เพราะแต่ละแพลตฟอร์มและแต่ละธนาคารไม่มีข้อมูลที่ไม่เพียงพอต่อการชี้ตัวมิจฉาชีพที่แม่นยำ มีโอกาสผิดพลาดสูง ซึ่งส่งผลต่อชื่อเสียงและผลประกอบการ ส่วนผู้บังคับใช้กฎหมายก็อาจจะขาดแรงจูงใจในการติดตามเส้นทางการเงินและป้องกันการนำเงินออกนอกระบบอย่างทันท่วงทีเพราะระบบ เทคโนโลยี และกระบวนการทำงานไม่ทันสมัย ทำให้โอกาสในการติดตามเงินและจับกุมมิจฉาชีพได้สำเร็จต่ำ เมื่อเทียบกับการดำเนินคดีอื่น ๆ
ดังนั้น มาตรการภาครัฐจึงเป็นสิ่งจำเป็นในการสร้างแรงจูงใจที่เหมาะสม เพื่อให้ผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดร่วมกันแลกเปลี่ยนและใช้ข้อมูลในการป้องกันและปราบปรามภัยการเงินอย่างมีประสิทธิผลมากที่สุด ส่วนที่ 3 และ 4 ของบทความนี้ จะนำเสนอมาตรการต่าง ๆ ที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการอยู่ ตลอดจนมาตรการอื่น ๆที่สามารถนำมาใช้เพิ่มเติมได้ในอนาคต
ผู้มีโอกาสตกเป็นเหยื่อ แพลตฟอร์ม และภาคการเงิน เป็นปราการสำคัญที่สามารถเข้ามามีส่วนในการป้องกันภัยการเงินได้ ผ่านการสร้างภูมิคุ้มกันการเงิน การคัดกรองผู้ประกอบธุรกรรม การแจ้งเตือน และการตรวจจับธุรกรรมที่ต้องสงสัย ซึ่งหัวใจของการดำเนินมาตรการเหล่านี้ นอกจากจะต้องบูรณาการข้อมูลในระบบเศรษฐกิจให้สมบูรณ์ที่สุดแล้ว ยังจะต้องใช้ข้อมูลให้เกิดประสิทธิผลสูงสุดในการลดความรู้ไม่เท่าทันมิจฉาชีพด้วย
การสร้างภูมิคุ้มกันการเงินสามารถลดโอกาสการตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพได้ ถึงแม้ว่าทุกคนล้วนมีความเสี่ยงต่อภัยการเงิน โดยเฉพาะเมื่อมิจฉาชีพปรับเปลี่ยนกลยุทธ์เพื่อเจาะจงจุดอ่อนเฉพาะของแต่ละบุคคล และไม่มีใครที่ "มีภูมิคุ้มกัน" ต่อการหลอกลวงอย่างสมบูรณ์ก็ตาม
ข้อมูล เป็นสิ่งจำเป็นในการสร้างภูมิคุ้มกันทางการเงิน ซึ่ง (1) ข้อมูลจะต้องทันสมัย เท่าทันเล่ห์เหลี่ยมของมิจฉาชีพที่เปลี่ยนแปลงไปอยู่เสมอ (2) ข้อมูลที่แก่ผู้มีความเสี่ยงต้องตรงกลุ่ม เนื่องจากมิจฉาชีพมีการใช้เล่ห์เหลี่ยมที่แตกต่างกันไปตามกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการหลอกลวง และ (3) ข้อมูลต้องนำเสนอให้แก่ผู้มีความเสี่ยงด้วยวิธีที่มีประสิทธิผล
การป้องกันภัยการเงินที่มีประสิทธิภาพจึงต้องดำเนินการก่อนที่เหยื่อจะถูกนำเข้าสู่สถานการณ์ที่มิจฉาชีพกดดันให้เหยื่อตัดสินใจอย่างรีบเร่งหรือด้วยอารมณ์ ซึ่งบั่นทอนความสามารถในการคิดอย่างมีเหตุผล ดังนั้น เช่น
- การติดตั้งแอปพลิเคชันการเตือน เช่น Whoscall ที่ช่วยตรวจสอบกับฐานข้อมูลว่าเบอร์ที่โทรเข้าเป็นเบอร์ที่เคยถูกรายงานหรือไม่
- โปรแกรมตรวจจับเว็บไซต์ปลอม ที่สามารถแจ้งเตือนผู้ใช้เมื่อพวกเขากำลังเยี่ยมชมเว็บไซต์ที่มีลักษณะคล้ายกับการ phishing
- การตั้งค่าความปลอดภัยล่วงหน้า เช่น การกำหนดวงเงินโอนประจำวัน หรือการตั้งค่าให้ต้องยืนยันตัวตนเพิ่มเติมสำหรับธุรกรรมที่มีมูลค่าสูง
ในช่วงที่ผ่านมา ประเทศไทยได้มีการพัฒนาเครื่องมือมาเตือนผู้ใช้ เช่น เว็บไซต์ Blacklistseller ที่เป็นแพลตฟอร์มที่จัดทำขึ้นโดยภาคประชาชน ให้ผู้เสียหายจากการซื้อของออนไลน์เข้ามารายงาน “เพื่อเตือนภัยสังคม แล้วจะไม่มีใครถูกหลอกเป็นครั้งที่สอง” หรือ เว็บไซต์ฉลาดโอน ที่มีลักษณะการทำงานคล้ายกันแต่มีองค์กรรัฐเข้ามาร่วมด้วย เว็บไซต์ในลักษณะดังกล่าวจะช่วยป้องกันการฉ้อโกงได้ ในกรณีที่ผู้ซื้อเข้ามาตรวจสอบบัญชีปลายทางก่อนที่จะโอน และนับว่าเป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยทำให้การตรวจสอบประวัติเบื้องต้นสะดวกขึ้นสำหรับลูกค้ากลุ่มนั้น สำหรับตัวอย่างจากต่างประเทศนั้น ในสิงคโปร์ ได้มีการพัฒนาแอปพลิเคชัน ScamShield ที่ให้ผู้ใช้งานสามารถตรวจสอบเว็บไซต์ที่ตนเองสงสัย โดยการใช้ AI ได้ นอกจากนี้ ยังมีช่องทางให้ผู้ใช้งานรายงานเว็บไซต์ของมิจฉาชีพ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบต่อไปด้วย
การให้ความรู้ผ่านข้อความเตือนให้ระมัดระวังการถูกหลอกลวงออนไลน์แบบทั่วไปมีผลค่อนข้างจำกัด (Kubilay et al., 2023, Junger et al., 2017) ส่วนการให้ความรู้เกี่ยวกับการหลอกลวงออนไลน์ที่เฉพาะเจาะจง มุ่งเป้าไปที่กลุ่มเสี่ยงของการหลอกลวงแต่ละประเภท มีประสิทธิภาพมากว่า (DeLiema et al., 2023) เช่น การให้ความรู้กับข้าราชการที่กำลังจะเกษียณ เกี่ยวกับการหลอกลวงที่เกี่ยวข้องกับเงินบำนาญ การให้ความรู้กับผู้ที่พยายามหางานกับกรมจัดหางานเกี่ยวกับภัยการเงินที่มากับการพยายามหางานทำ เพราะผลการศึกษาที่ชี้ให้เห็นว่าการหลอกลวงแต่ละประเภทมีโอกาสประสบผลสำเร็จกับคนบางกลุ่มมากเป็นพิเศษ
การมีนโยบายพื้นฐานที่อาจเฉพาะเจาะจงกับลักษณะของผู้ใช้บริการช่วยป้องกันหรือจำกัดมูลค่าความเสียหายได้ ซึ่งเป็นแนวทางที่หลายประเทศเลือกใช้ เช่น การจำกัดวงเงินโอนสูงสุดต่อวัน การกำหนดมาตรการเพิ่มเติมสำหรับการทำธุรกรรมวงเงินสูง (World Bank Group, 2023) แต่เนื่องจากความจำเป็นในการทำธุรกรรมของแต่ละคนแตกต่างกันไป นโยบายดังกล่าวจึงควรรองรับการปรับเปลี่ยนวงเงินที่สะท้อนการยอมรับความเสี่ยงของลูกค้าแต่ละกลุ่ม แต่ในขณะเดียวกัน ก็ปกป้องการล่อลวงจากมิจฉาชีพที่จะนำไปสู่การปรับวงเงินอย่างไม่ตั้งใจด้วย
การศึกษาที่ผ่านมาพบว่าการให้ความรู้ผ่านข้อความเตือนในลักษณะการชี้ “จุดสังเกต” ของการหลอกลวงออนไลน์ได้ผลค่อนข้างจำกัด ส่วนหนึ่งเนื่องจากมิจฉาชีพก็เห็นข้อความเตือนเหล่านั้นและปรับตัวเช่นกัน (Kubilay et al., 2023) นอกจากนี้ ผู้ได้รับข้อความเตือนดังกล่าวยังอาจตกเป็นเหยื่อได้ง่ายขึ้น เนื่องจากมีความเชื่อว่าตนเองมีความรู้เท่าทันมิจฉาชีพแล้ว หรือที่ Whitty (2015) เรียกว่า “illusion of invulnerability” ก็เป็นได้
การศึกษายังพบว่า ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อส่วนใหญ่เคยทราบเรื่องการหลอกลวงที่ตนเองตกเป็นเหยื่อมาก่อนแล้ว ดังนั้นปัญหาส่วนหนึ่งเกิดจากการที่ผู้เสียหายไม่สามารถดึงเอาความรู้ที่มีอยู่ มาใช้ในสถานการณ์จริงได้ (Chugh & Narang, 2023, Salathong et al., 2024) ซึ่งส่วนหนึ่งก็เป็นผลมาจากเทคนิคของมิจฉาชีพที่พยายามสร้างสถานการณ์หรือเงื่อนไข ที่ทำให้ความสามารถในการใช้เหตุผลของเหยื่อต่ำลงนั่นเอง (Lu et al., 2020, Liu et al., 2025)
ในระยะหลัง มีงานวิจัยที่พยายามศึกษาถึงวิธีการเตือนภัยการเงิน ว่าข้อความประเภทไหนมีประสิทธิภาพ ซึ่งมีหลายงานที่บ่งชี้ว่าข้อความเตือนที่ทำงานกับอารมณ์ของผู้รับสาร หรือให้ผู้รับสารรับรู้ถึงอารมณ์ของตนเอง (ซึ่งอาจขึ้นกับลักษณะของผู้รับสารด้วย) จะทำให้ผู้รับสารสามารถดึงเอาความรู้เกี่ยวกับภัยการเงินที่มีมาใช้ได้ (Lu et al., 2020, Wen et al., 2022, Fitrah et al., 2025, Malkin et al., 2017) กระนั้นก็ตาม ผลที่ได้อาจแตกต่างไปตามบริบทของสังคม
เนื่องจากธุรกรรมเริ่มต้นที่แพลตฟอร์มซึ่งเป็นพื้นที่กลางให้คนซื้อและคนขายเข้ามาพบปะกัน แพลตฟอร์มจึงสามารถช่วยคัดกรองมิจฉาชีพออกได้ โดยแพลตฟอร์มในที่นี้ หมายรวมถึงแพลตฟอร์มขายของออนไลน์ แพลตฟอร์ม social media ต่าง ๆ แพลตฟอร์มส่งข้อความออนไลน์ หรือผู้ให้บริการโทรศัพท์3
ปัจจุบัน แพลตฟอร์มต่าง ๆ ตระหนักถึงบทบาทของตนเองที่มีในการป้องกันภัยการเงินมากขึ้น และมีมาตรการต่าง ๆ เพื่อป้องกันปัญหาดังกล่าว
- แพลตฟอร์มขายของออนไลน์ โดยทั่วไปจะทำหน้าที่เป็น escrow คือบุคคลที่สามที่ทำหน้าที่ดูแลเงินให้ผู้ที่ทำธุรกรรมอยู่แล้ว โดยจะรับเงินมาจากผู้ซื้อแต่ยังไม่โอนเงินต่อไปยังผู้ขายจนกว่าผู้ซื้อจะยืนยันว่าได้สินค้าแล้ว เราจึงพบว่ากรณีการหลอกลวงที่เกี่ยวข้องกับแพลตฟอร์มขายของออนไลน์มีน้อยมาก หรือในกรณีที่มี ก็เป็นการหลอกลวงให้ทำการซื้อขายกันนอกแพลตฟอร์ม หรือการเชิญชวนให้ทำธุรกรรมอื่น ๆ โดยอ้างชื่อแพลตฟอร์ม
- แพลตฟอร์ม social media จากเดิมที่เป็นพื้นที่แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันของบุคคลทั่วไป ถูกใช้เป็นช่องทางติดต่อของธุรกิจต่าง ๆ ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ เกิดเป็น social commerce คือการซื้อขายกันผ่านแพลตฟอร์ม social media มากขึ้น โดยเป็นช่องทางการซื้อขายที่มีอัตราการเติบโตสูงกว่าปีละ 28% ในช่วงปี 2021–2024 (PayNXT360, 2025) ทำให้ถูกใช้เป็นช่องทางหลอกลวงได้ แม้ว่าแพลตฟอร์มเหล่านี้จะมีมาตรการป้องกันต่าง ๆ เช่น ระบบยืนยันตัวตนที่ช่วยให้ผู้ใช้บริการสามารถประเมินความน่าเชื่อถือของบัญชีผู้ใช้งานได้ในเบื้องต้น ว่ากำลังติดต่อกับบุคคลดังกล่าว หรือร้านค้าจริง ๆ หรือช่องทางให้ผู้ใช้บริการแจ้งปัญหาบัญชีปลอมที่แอบอ้างบุคคลหรือบริษัทอื่น
- แพลตฟอร์มส่งข้อความออนไลน์ หรือที่รู้จักกันในชื่อ instant messaging service เป็นช่องทางหลักที่มิจฉาชีพใช้ในการหลอกผู้เสียหาย เนื่องจากเป็นช่องทางส่วนตัวที่มิจฉาชีพสามารถใช้ข้อความในการชักจูง จูงใจเหยื่อได้ โดยเฉพาะหากถูกทำให้เชื่อว่าเป็นคนรู้จัก บริษัท หรือองค์กรที่น่าเชื่อถือ แพลตฟอร์มเหล่านี้พยายามแก้ปัญหาด้วยการเพิ่มระบบยืนยันตัวตนของบัญชีทางการ (official accounts) การให้ผู้ใช้งานปิดกั้น (block) และรายงานบัญชีที่ต้องสงสัยได้
การเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างตำรวจและภาคการเงินเข้ากับแพลตฟอร์ม จะทำให้แพลตฟอร์มมีข้อมูลมากขึ้นเพื่อมาใช้ในการประเมินความเสี่ยงของบัญชีผู้ใช้งานแต่ละบัญชี ตัวอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดเจน คือมาตรการของ Meta (บริษัทแม่ของ Facebook) ที่จะตรวจสอบข้อความที่ผู้ใช้งานส่งหากัน ว่ามีการส่งเลขที่บัญชีที่มีอยู่ในฐานข้อมูลของตำรวจสอบสวนกลางหรือไม่ หากมีก็จะแจ้งเตือนผู้ใช้งาน นอกจากนี้ ยังมีการกำหนดให้ผู้ลงโฆษณารายใหม่ ต้องยืนยันหมายเลขโทรศัพท์ก่อน เนื่องจากการลงโฆษณาเป็นช่องทางที่มิจฉาชีพมักใช้ในการเข้าถึงเหยื่อได้เป็นจำนวนมาก
แม้ว่าแพลตฟอร์มจะมีความพยายามในการช่วยป้องกันภัยการเงินอยู่แล้วในปัจจุบัน แต่แพลตฟอร์มยังสามารถมีมาตรการอื่น ๆ เพิ่มเติมได้ในอีกหลายด้าน โดยเฉพาะการตรวจสอบและระงับบัญชีที่มีการรายงานโดยผู้ใช้ หรือบัญชีที่ถูกแจ้งความแล้ว นอกจากนี้ การยกระดับความเข้มข้น ก็ควรเกิดขึ้นในแพลตฟอร์มอื่น ๆ ด้วย ไม่ว่าจะผ่านการขอความร่วมมือ หรือกำหนดเป็นนโยบายที่แพลตฟอร์มจำเป็นต้องปฏิบัติ เหมือนในหลาย ๆ ประเทศ มิฉะนั้น มิจฉาชีพจะปรับตัวตามระดับความเข้มข้นของมาตรการ และย้ายไปแพลตฟอร์มที่มีมาตรการที่เข้มข้นน้อยกว่า
เมื่อผู้ขายกับผู้ซื้อตกลงที่จะทำธุรกรรมกันแล้ว ขั้นตอนถัดไปเป็นหน้าที่ของภาคการเงินในการที่จะเตือนผู้ใช้บริการให้รับทราบความเสี่ยงที่มีอยู่สำหรับธุรกรรมนั้น ๆ และตรวจจับความผิดปกติ ก่อนจะเกิดธุรกรรมขึ้น แม้ว่าการตรวจจับธุรกรรมที่ผิดปกติโดยภาคการเงินจะเป็นสิ่งที่มีมาเป็นเวลานานแล้ว เช่น การตรวจสอบลายเซ็นเพื่อป้องกันการปลอมแปลงเช็ค แต่ในช่วงก่อนหน้านี้ เทคโนโลยีการตรวจจับความผิดปกติแบบทันที (real-time) นั้นกระจุกตัวอยู่เกือบจะเฉพาะในกลุ่มผลิตภัณฑ์บัตรเดบิตและเครดิตเท่านั้น
เมื่อระบบ fast payment เริ่มเข้ามามีบทบาทในการใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของประชาชนมากขึ้น ระบบการตรวจจับธุรกรรมผิดปกติของภาคการเงินเองจำเป็นต้องปรับตัวตามด้วย ถึงแม้ว่าระบบ fast payment จะอำนวยความสะดวก ลดการใช้เงินสด แต่ก็เปิดทางให้มิจฉาชีพหันเข้ามาใช้ช่องทางนี้ในการหลอกลวงคนมากขึ้นและทำให้การติดตามเงินคืนยากขึ้นเพราะเมื่อโอนเงินแล้วไม่สามารถยกเลิกธุรกรรมหรือดึงเงินกลับมาได้ (World Bank Group, 2023)
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แอปพลิเคชัน mobile banking ได้ใช้มาตรการแสดงข้อความเตือนภัยจากมิจฉาชีพก่อนการทำทุก ๆ ธุรกรรม อย่างไรก็ตาม การแสดงคำเตือนในทุก ๆ ธุรกรรม นำไปสู่ความเคยชินต่อคำเตือน ซึ่งเป็นปรากฎการณ์ทางจิตวิทยาที่เรียกว่า “warning fatigue” โดยงานศึกษาพบว่าผู้ใช้ที่เคยเห็นข้อความเตือนเดิมซ้ำ ๆ มีโอกาสจะเพิกเฉยต่อข้อความเตือนนั้นสูงขึ้น (Daryanani, 2011, Ban et al., 2021) ส่งผลให้ประสิทธิภาพของมาตรการเตือนภัยผ่านข้อความดังกล่าวอาจจะไม่ได้ผลมากนัก
ในช่วงก่อนหน้านี้ การตรวจจับธุรกรรมการโอนเงินที่ผิดปกติของเหยื่อ จะเป็นการดำเนินการโดยธนาคารต้นทางเอง แต่การดำเนินการดังกล่าวยังมีข้อจำกัด เนื่องจากธนาคารต้นทางจะไม่ทราบข้อมูลของบัญชีปลายทางที่อยู่ต่างธนาคาร การดำเนินการต่าง ๆ จึงอาศัยการสังเกตความผิดปกติในการทำธุรกรรมของลูกค้าตนเองเท่านั้น
ในปี 2023 มีการพัฒนาระบบ Central Fraud Registry (CFR) ขึ้น ซึ่งเป็นระบบแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างธนาคารเกี่ยวกับบัญชีต้องสงสัยที่อยู่ในเส้นทางการเงินของมิจาชีพ ทำให้ธนาคารมีข้อมูลเกี่ยวกับบัญชีปลายทางต่างธนาคารมากขึ้น และสามารถระงับธุรกรรมของเหยื่อได้หากบัญชีปลายทางถูกเคยรายงานว่าเป็นบัญชีที่เคยใช้ในการก่อเหตุหรืออยู่ในเส้นทางการเงิน
เทียบกับการเตือนของบัตรพลาสติก
อาจมีคำถามว่า เราสามารถนำระบบการตรวจจับธุรกรรมผิดปกติของบัตรพลาสติก (บัตรเครดิต/เดบิต) มาใช้กับการโอนเงินได้หรือไม่ มีข้อแตกต่างอย่างน้อย 3 ประการที่ทำให้ระบบตรวจจับธุรกรรมที่ผิดปกติสำหรับ fast payment โดยเฉพาะในบริบทของประเทศไทย แตกต่างออกไปจากธุรกรรมอื่น
- ปริมาณธุรกรรมในระบบ fast payment สูงกว่ามาก จากสถิติของธนาคารแห่งประเทศไทย มีการโอนเงินผ่าน mobile banking กว่าเดือนละ 3.2 พันล้านธุรกรรม ขณะที่ธุรกรรมจากบัตรพลาสติกมีเพียง 100 ล้านธุรกรรมต่อเดือนเท่านั้น นอกจากนี้ ระบบ fast payment ที่จำเป็นต้องมีความรวดเร็ว และธุรกรรมเสร็จสิ้นทันที ทำให้การตรวจจับความผิดปกติเป็นไปได้ยากขึ้น เทียบกับบัตรพลาสติกที่มีการ settle กันข้ามวัน
- ระบบบัตรเครดิต/เดบิต เป็นแบบ pull payment คือ ปลายทางเป็นฝ่ายเรียกเก็บเงิน ซึ่งหมายความว่าคนมีสิทธิ์เรียกเก็บเงิน (มีเครื่องรูดบัตร) จะต้องมีชื่ออยู่ในระบบของธนาคาร ชำระค่าบริการรายเดือน ฯลฯ ทำให้เปิดใช้ยากกว่ามาก
- ในระบบบัตรเครดิตนั้น ธนาคารจึงมีแรงจูงใจที่จะเพิ่มทรัพยากรมาเพื่อดูแลการทุจริตในส่วนนี้ เพราะผู้ให้บริการได้ค่าธรรมเนียมจากทุก ๆ ธุรกรรมที่เกิดขึ้น รวมถึงเงินที่จะชำระให้ร้านค้ายังคงถือว่าเป็นเงินของธนาคารอยู่ (ธนาคารไปเรียกเก็บเงินจากเจ้าของบัตรภายหลัง) ในทางกลับกัน ในระบบ fast payment ธนาคารเองไม่ได้รายได้จากการโอน รวมถึงเงินที่ชำระให้ร้านค้าก็เป็นเงินของผู้ทำธุรกรรม ทำให้การตรวจสอบธุรกรรม หรือการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อตรวจสอบธุรกรรมที่ผิดปกติเป็นค่าใช้จ่ายที่ผู้ให้บริการทางการเงินต้องแบกรับไว้
การมีระบบ CFR เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลบัญชีต้องสงสัยข้ามธนาคาร (อันเนื่องมาจากการถูกแจ้งความ หรืออยู่ในเส้นทางการเงิน) เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่ช่วยให้ระบบมีข้อมูลเกี่ยวกับบัญชีปลายทางที่ต้องสงสัยมากขึ้น แต่ตัวเลขความเสียหายในทุก ๆ วันนี้ แสดงให้เห็นว่ามีธุรกรรมที่บัญชีปลายทางเป็นบัญชีม้าที่ยังไม่มีประวัติอยู่ในระบบ CFR เป็นจำนวนมาก ขณะเดียวกัน การขึ้นข้อความเตือนที่ทำเป็นการทั่วไป ทุกธุรกรรม ก็อาจไม่มีประสิทธิผลมากนัก
การเลือกแสดงข้อความเตือนเฉพาะธุรกรรมที่มีความเสี่ยงสูงสามารถช่วยลดความไม่สนใจจากการเตือนที่มากเกินไปลงได้ เนื่องจากปัจจุบันธนาคารมีข้อมูลของลูกค้าของตนเอง รวมถึงข้อมูลเบื้องต้นของบัญชีปลายทาง (เช่น ชื่อบัญชี) อยู่แล้วหากธนาคารนำข้อมูลดังกล่าวมาประกอบเพื่อประเมินความเสี่ยงของธุรกรรม เช่น การทำธุรกรรมมูลค่าสูงกว่าที่ลูกค้าคนนั้น ๆ ใช้อยู่ปกติ บัญชีปลายทางที่ไม่เคยโอนเงินให้มาก่อน จะสามารถเลือกแสดงข้อความเตือนเฉพาะธุรกรรมที่มีความเสี่ยงสูง ก็จะช่วยลด warning fatigue ลงได้
การนำข้อมูลอื่น ๆ เข้ามาร่วมประเมินความเสี่ยง จะช่วยให้ภาคธนาคารสามารถประเมินความเสี่ยงได้ดียิ่งขึ้น นอกจากข้อมูลที่ธนาคารมีเกี่ยวกับลูกค้าตัวเอง รวมไปถึง CFR ที่มีอยู่ในปัจจุบันแล้ว ข้อมูลอื่น ๆ ได้แก่ ข้อมูลของบัญชีปลายทาง เช่น อายุบัญชี ลักษณะธุรกรรมในอดีต รวมถึงจำนวนบัญชีที่เพิ่งเปิดใหม่ของเจ้าของบัญชี เป็นต้น
การแชร์ข้อมูลข้ามสถาบันการเงินดังกล่าว ทำได้หลายรูปแบบ ตั้งแต่การส่งข้อมูลระหว่างกันของธนาคารต้นทางกับปลายทาง ไปจนถึงการให้ผู้ดำเนินการระบบชำระเงิน (fast payment system operator: FPS operator) ซึ่งมีข้อมูลธุรกรรมระหว่างธนาคารทั้งหมด นำข้อมูลมาประมวลผลเป็นความเสี่ยงของธุรกรรมนั้น ๆ ดังเช่นที่ทำใน ฝรั่งเศส อินเดีย แอฟริกาใต้ (World Bank Group, 2023)
ความท้าทายหลักของการแลกเปลี่ยนข้อมูลคือการคำนึงถึงความสมดุลระหว่างความปลอดภัย กับความเป็นส่วนตัวของข้อมูลผู้ใช้บริการ หรือความลับทางการค้าของสถาบันการเงิน
การศึกษาพบว่า ข้อความเตือนที่ตั้งคำถามหรืออธิบายปัจจัยเสี่ยงที่เฉพาะเจาะจงกับสถานการณ์นั้น ๆ ทำให้ผู้ใช้งานมีโอกาสที่จะปฏิบัติตามคำเตือนมากกว่าข้อความเตือนทั่วไป ตัวอย่างข้อความที่เฉพาะเจาะจง เช่น “คุณรู้จัก (ชื่อเจ้าของบัญชี) เป็นการส่วนตัวหรือไม่” หรือ “คุณกำลังโอนเงินจำนวนมากไปยังบัญชีที่คุณไม่เคยโอนมาก่อน”) ส่วนตัวอย่างข้อความเตือนทั่วไป เช่น “โปรดระวังมิจฉาชีพ” (Wen et al., 2022, Roy et al., 2025)
นอกจากนี้ ธนาคารอาจเพิ่มขั้นตอนเล็กน้อย เพื่อให้ผู้ใช้งานมีโอกาสหยุดคิดก่อนจะตัดสินใจยืนยันธุรกรรม หรือที่เรียกว่า “positive friction” นอกเหนือจากข้อความเตือนที่แสดงในขั้นตอนการยืนยันธุรกรรมแล้ว (Whitley & Pujadas, 2018)
ตัวอย่าง positive friction ของ Zelle
Zelle เป็นผู้ให้บริการเครือข่ายการชำระเงินแบบ peer-to-peer (P2P) ในสหรัฐอเมริกา และได้รับแรงกดดันจากจำนวนการร้องเรียนที่ลูกค้าถูกหลอกลวงมากขึ้น นำไปสู่การเพิ่มมาตรการป้องกันต่าง ๆ หนึ่งในนั้น คือการเพิ่มขั้นตอนการโอนเงินเพื่อเป็น positive friction โดยผู้ใช้บริการจะถูกถามว่าจุดประสงค์ในการโอนเงินครั้งนี้คืออะไร (เช่น โอนให้เพื่อนหรือครอบครัว โอนชำระค่าสินค้าและบริการ โอนเพื่อลงทุน) เมื่อผู้ใช้ระบุวัตถุประสงค์ในการโอนเงิน ระบบจะทำการแสดงข้อความเตือนที่เกี่ยวข้องกับการโอนเงินในกรณีนั้น ๆ เพื่อให้ผู้ใช้ได้พิจารณาอีกครั้งก่อนที่จะยืนยันการทำธุรกรรม เช่น เตือนเกี่ยวกับ romance scam ในกรณีที่ผู้ใช้ตอบว่าโอนให้เพื่อนหรือครอบครัว และยังทำปุ่มสำหรับยกเลิกการทำธุรกรรมให้เด่นกว่าปุ่มสำหรับการทำธุรกรรมต่อ เพื่อช่วยป้องกันการกดปุ่มจากความเคยชินอีกด้วย
ในกรณีที่ธนาคารประเมินแล้วว่าธุรกรรมมีความเสี่ยงสูงมาก ธนาคารอาจมีมาตรการอื่น ๆ นอกเหนือจากการขึ้นข้อความเตือน เช่น การยืนยันความต้องการทำธุรกรรมกับบุคคลในครอบครัว การหน่วงเวลาธุรกรรม การหน่วงเวลาการโอนเงินออกจากบัญชีปลายทาง ไปจนถึงการระงับธุรกรรม
เมื่อผู้เสียหายรู้ตัวแล้วว่าถูกหลอก (ซึ่งอาจกินเวลาระยะหนึ่งหลังจากโอนเงินเสร็จ) ต้องติดต่อธนาคารเพื่อแจ้งเหตุ และแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อขอหมายอายัดต่อไป หรือหากเงินถูกโอนออกจากบัญชีดังกล่าวแล้ว ก็ต้องติดตามเส้นทางการเงิน เพื่อป้องกันไม่ให้เงินออกนอกระบบธนาคาร นอกจากการป้องกันไม่ให้เงินออกไปนอกระบบธนาคารแล้ว ในทางกฎหมายเอง ตำรวจก็ยังมีหน้าที่ในการติดตามจับกุมผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดี รับโทษต่อไปด้วย
ในระหว่างนั้น มิจฉาชีพจะโอนเงินผ่านบัญชีม้า ก่อนที่จะนำเงินดังกล่าวไป “ฟอก” เพื่อไม่ให้ตรวจสอบเส้นทางการเงินได้ บัญชีม้าคือบัญชีที่จ้างผู้อื่นเปิด แลกกับผลตอบแทน โดยมีจุดประสงค์เพื่ออำพรางเส้นทางการเงินไม่ให้ถูกติดตามได้ง่าย ก่อนที่มิจฉาชีพจะนำเงินดังกล่าวไป “ฟอก” ซึ่งโดยทั่วไปเป็นการนำเงินออกจากระบบธนาคารชั่วคราว ผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น การถอนเงินสด การซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (World Bank Group, 2023) ก่อนที่จะนำเงินที่ไม่สามารถตรวจสอบเส้นทางแล้ว เข้ามาในระบบธนาคารอีกครั้ง
ทั้งสองฝั่งแข่งกับเวลา หากเหยื่อสามารถแจ้งความ ยื่นหมายอายัด หรือภาคการเงินสามารถตรวจจับธุรกรรมที่ต้องสงสัยของมิจฉาชีพและระงับไว้ ก่อนที่มิจฉาชีพจะนำเงินออกนอกระบบธนาคารได้ ก็มีโอกาสที่จะได้เงินคืนมา แต่ถ้ามิจฉาชีพสามารถนำเงินออกนอกระบบได้ก่อน โอกาสที่จะติดตามเงินกลับมาได้ก็มีค่อนข้างน้อย
ทั้งนี้ ภาคการเงิน สามารถเข้ามามีส่วนได้ตั้งแต่ที่เหยื่อยังไม่รู้ตัวว่าถูกหลอก ผ่านการตรวจจับธุรกรรมที่ต้องสงสัยของบัญชีปลายทาง เช่น บัญชีที่ไม่เคยมีการเคลื่อนไหวเลย แต่กลับมีเงินเข้ามาปริมาณมาก และมีความพยายามที่จะโอนต่อไปภายในเวลาสั้น ๆ โดยมีจุดมุ่งหมายคือการระงับธุรกรรมของมิจฉาขีพ และป้องกันไม่ให้เงินออกนอกระบบธนาคาร
หัวใจของการดำเนินการเหล่านี้ ก็คือการแบ่งปันข้อมูลระหว่างกัน ทั้งจากผู้เสียหายไปยังภาคการเงินและเจ้าหน้าที่ตำรวจในรูปแบบของการแจ้งเหตุ ระหว่างภาคการเงินด้วยกันเองเพื่อให้การติดตามเส้นทางการเงินเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ และระหว่างภาคการเงินกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อการติดตามผู้กระทำความผิด
ระบบรับแจ้งเหตุ เป็นจุดเชื่อมต่อแรกของเหยื่อหลังจากเกิดธุรกรรมและรู้ตัวว่าถูกหลอก ระบบรับแจ้งเหตุที่ดี คือระบบรับแจ้งเหตุที่รวดเร็ว ส่งต่อข้อมูลทันเวลา และไม่ก่อให้เกิดต้นทุนต่อเหยื่อมากเกินไป เพราะการรับแจ้งเหตุ ไม่ได้ทำประโยชน์ให้เหยื่อเท่านั้น แต่ยังเป็นการส่งต่อข้อมูลของบัญชีต้องสงสัยเข้าในระบบ ซึ่งอาจช่วยป้องกันไม่ให้คนอื่นตกเป็นเหยื่อได้
ก่อนหน้านี้ กระบวนการแจ้งความ อายัด มักกินเวลานาน เพราะเหยื่อต้องไปแจ้งความที่สถานีตำรวจ เพื่อให้ตำรวจสอบปากคำ ลงบันทึกประจำวัน และออกหมายอายัดให้ เหยื่อต้องนำหมายอายัดดังกล่าวไปให้ธนาคารของมิจฉาชีพ สาขาธนาคารจึงส่งเรื่องไปที่สำนักงานใหญ่ และพยายามอายัดบัญชีของมิจฉาชีพ ไม่ให้ถอนเงินออกจากบัญชีดังกล่าวได้ กระบวนการทั้งหมดนี้มักกินเวลาหลายวัน หรือถ้าเหยื่ออยู่ในที่ที่เดินทางไม่สะดวก อาจใช้เวลาหลายสัปดาห์
เมื่อคดีหลอกลวงออนไลน์มีมากขึ้น สำนักงานตำรวจแห่งชาติจึงจัดตั้งศูนย์รับแจ้งความออนไลน์คดีทางเทคโนโลยี คือ thaipoliceonline.go.th (TPO) ขึ้นในปี 2022 โดยอยู่ในความดูแลของกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (สอท.) ระบบดังกล่าว ช่วยอำนวยความสะดวกให้ผู้เสียหายแจ้งความเบื้องต้นได้รวดเร็วและสะดวกขึ้น
เหยื่อใช้เวลาที่ค่อนข้างนานกว่าจะแจ้งความ ทำให้การอายัดบัญชีโดยอาศัยการโทรแจ้งของผู้เสียหายเพียงอย่างเดียวแทบจะไม่มีโอกาสเกิดขึ้นได้เลย จากข้อมูลของ สอท. พบว่า โดยเฉลี่ย เหยื่อใช้เวลาถึง 18 ชั่วโมงหลังจากการโอนเงินครั้งหลังสุดก่อนจะแจ้งเข้ามาในระบบ เมื่อเปรียบเทียบกับสถิติการโอนเงินออกจากบัญชีม้าแถวแรก ซึ่งใช้เวลาเฉลี่ยเพียง 2 นาทีหลังจากที่เหยื่อโอนเข้าเท่านั้น (Amarase et al., forthcoming)
กระนั้นก็ตาม การแจ้งเหตุของผู้เสียหาย ไม่ได้เปล่าประโยชน์ เนื่องจากการแจ้งเหตุ จะช่วยให้ระบบธนาคารมีข้อมูลเกี่ยวกับบัญชีของมิจฉาชีพ ทำให้ระงับธุรกรรมที่เกิดขึ้นกับบัญชี้นั้นในภายหลังได้
เหยื่อจำนวนมากไม่แจ้งความ งานศึกษาที่ผ่านมาในหลายประเทศพบว่าผู้เสียหายเพียง 10–15% เท่านั้นที่เข้าไปแจ้งความ (Whitty, 2015, Service statistique ministériel de la sécurité intérieure (SSMSI), 2019, U.S. Attorney’s Office, Western District of Washington, 2025, Smith, 2007) สำหรับประเทศไทย การสำรวจของ Hapipat (2024) ได้ประเมินไว้ว่า มีผู้เสียหายเพียง 10% เท่านั้นที่เข้าแจ้งความ
การศึกษาถึงสาเหตุที่เหยื่อเลือกที่จะไม่ไปแจ้งความมีความสำคัญ แต่ก็มีความท้าทายค่อนข้างมาก การแจ้งเหตุช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของระบบตรวจจับธุรกรรมผิดปกติ และช่วยให้ทราบถึงรูปแบบการหลอกลวงใหม่ ๆ เพื่อไปแจ้งเตือนประชาชน แต่โดยทั่วไป ทางการจะมีข้อมูลของผู้ที่ไปแจ้งความเท่านั้น การหาสาเหตุที่เหยื่อไม่ไปแจ้งความจึงต้องอาศัยการสัมภาษณ์ประสบการณ์ของผู้ที่เคยตกเป็นผู้เสียหายแล้ว (victimization study) เป็นหลัก
ในมุมมองของเศรษฐศาสตร์ การแจ้งความเป็น “กิจกรรมทางเศรษฐกิจ” อย่างหนึ่ง ผู้เสียหายจะเลือกที่จะแจ้งความ ก็ต่อเมื่อคาดว่าประโยชน์ที่ได้จากการแจ้งความ มากกว่าต้นทุนที่ต้องเสียไป เราจึงสามารถแบ่งเหตุผลที่ผู้เสียหายไม่แจ้งความเป็นสองกลุ่มใหญ่ ๆ ด้วยกัน
- ต้นทุนในการแจ้งความสูง
- อับอาย และกลัวการถูกตีตราจากสังคม ผู้เสียหายจำนวนมากอับอาย และความกลัวว่าคนรอบข้างจะมองว่าตนเป็นคนไม่ฉลาด สาเหตุนี้เป็นสาเหตุสำคัญที่งานศึกษาหลายชิ้นกล่าวถึง (Whitty, 2015, Cross, 2015, Parti & Tahir, 2023) Oak & Shafiq (2025) สัมภาษณ์ผู้ที่เคยตกเป็นเหยื่อของ pig-butchering scam จำนวน 26 รายจาก 5 ประเทศ และพบว่าผู้เสียหายส่วนใหญ่รู้สึกอับอายที่จะไปเล่ารายละเอียดของการถูกโกง โดยเฉพาะกรณีที่เป็น romance scam นอกจากนี้ ในการศึกษาดังกล่าว ผู้เสียหายเกือบ 1 ใน 4 ต้องการปกปิดเรื่องที่ถูกโกงเป็นความลับเพราะไม่อยากให้คนรอบตัวรู้ Cross (2015) เปิดประเด็นที่น่าสนใจว่า งานศึกษาประเภท victimology study ที่พยายามเชื่อมโยงบุคลิกภาพของเหยื่อ (เช่น ผู้ที่ตกเป็นผู้เสียหายส่วนใหญ่มีความโลภ เชื่อคนง่าย) อาจยิ่งทำให้ความรู้สึกอัปยศ (stigma) ของการเป็นเหยื่อรุนแรงขึ้น และยิ่งส่งผลให้เหยื่อรู้สึกอับอาย ไม่กล้าแจ้งความหรือบอกคนรอบข้างขึ้นไปอีก Mason & Benson (1996) พบว่าผู้เสียหายจากอาชญากรรมทางการเงิน (white collar crime) มีโอกาสที่จะแจ้งความเพิ่มขึ้นหากผู้เสียหายได้รับการสนับสนุนจากคนรอบข้าง
- ไม่มีข้อมูลช่องทางการแจ้งความ หรือรู้สึกว่าการแจ้งความยุ่งยากเกินไป ผู้เสียหายหลายรายให้ความเห็นว่าระบบการแจ้งเหตุยังมีความซ้ำซ้อนและสับสน หรือใช้เวลานาน (Cross et al., 2016, Cross, 2015, Button et al., 2013) นอกจากนี้ การที่ผู้เสียหายต้องเล่าเหตุการณ์การถูกหลอกลวงซ้ำไปซ้ำมาให้เจ้าหน้าที่ฟัง ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ผู้เสียหายบางส่วนเลือกที่จะไม่แจ้งความ (HM Government, 2023)
- ผลประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับต่ำ
- คิดว่าการแจ้งความไม่ช่วยให้เอาเงินหรือจับกุมผู้กระทำความผิดได้ ผู้เสียหายบางส่วนไม่คิดว่าการแจ้งความจะทำให้เกิดผลใด ๆ ขึ้น (Whitty, 2015, Service statistique ministériel de la sécurité intérieure (SSMSI), 2019, Oak & Shafiq, 2025) ความคิดดังกล่าว เกิดได้จากการรับรู้ผ่านกระแสข่าวในสังคม คนใกล้ชิด หรืออาจเคยประสบด้วยตัวเอง
- ขาดสิ่งจูงใจอื่น ๆ หากการแจ้งความยึดโยงกับการช่วยเหลือบางอย่างที่ผู้เสียหายจะได้รับ ก็เป็นไปได้ที่ผู้เสียหายจะมีแรงจูงใจที่จะแจ้งความมากขึ้น บางประเทศ เช่น การมีแนวทางการให้ผู้ให้บริการมีส่วนรับผิดชอบชัดเจน โดยมีข้อแม้ว่าผู้เสียหายต้องแจ้งความภายในเวลาที่กำหนด (Service statistique ministériel de la sécurité intérieure (SSMSI), 2019) หรือการให้ความรู้และเพิ่มมาตรการดูแลผู้ที่เคยตกเป็นเหยื่อแล้วเพื่อไม่ให้เป็นเหยื่อซ้ำอีก (HM Government, 2023)
การแจ้งความ มีประโยชน์ไม่เพียงแค่ต่อผู้เสียหายโดยตรงจากโอกาสที่จะตามอายัดเงินได้ทัน แต่ยังมีประโยชน์ต่อผู้อื่นที่อาจตกเป็นเหยื่อในอนาคตอีกด้วย ผ่านการเพิ่มข้อมูลบัญชีต้องสงสัยเข้าในฐานข้อมูลกลาง ในทางเศรษฐศาสตร์ กล่าวได้ว่าการแจ้งความเป็นกิจกรรมที่ส่งผลกระทบภายนอกทางบวกต่อสังคม (positive externality) ซึ่งสังคมโดยรวมจะได้ประโยชน์ถ้าผู้เสียหายแจ้งความมากขึ้น เมื่อเราย้อนกลับมาดูข้อมูล จะพบว่า หากผู้เสียหายแจ้งความภายใน 1 ชั่วโมงหลังจากที่มีการทำธุรกรรมครั้งสุดท้าย และมีการอายัดบัญชีไปเป็นทอด ๆ จะสามารถช่วยลดความเสียหายของผู้เสียหายคนอื่นได้ถึง 25% หรือกว่า 3.7 พันล้านบาท (Amarase et al., forthcoming)
สิ่งที่จะทำให้คนแจ้งความมากขึ้น ก็คือการเพิ่มประโยชน์ที่ผู้เสียหายคาดว่าจะได้รับ และลดต้นทุนในการแจ้งความ ซึ่งหมายรวมถึงการลดความสับสนและขั้นตอนของระบบการแจ้งความ การลดการบรรยาย (narrative) ในลักษณะที่เป็นการทำให้เหยื่ออับอาย หรือการยึดโยงการแจ้งความเข้ากับการดูแลคุ้มครองผู้เสียหายอื่น ๆ เป็นต้น
หลังจากผู้เสียหายแจ้งเหตุแล้ว หน้าที่ของระบบธนาคารคือการตามเส้นทางการเงินให้ทัน ก่อนที่จะเงินจะออกไปนอกระบบธนาคาร โดยหากยังไม่มีการโอนเงินออกไปจากบัญชีของมิจฉาชีพ ก็จะต้องอายัดบัญชีไว้ นอกจากประโยชน์ในการพยายามยับยั้งเงินไม่ให้ออกนอกระบบแล้ว การติดตามเส้นทางการเงิน ยังเป็นการเพิ่มบัญชีที่อยู่ในเส้นทางการเงินเข้าไปในระบบ ว่าเป็นบัญชีที่ต้องสงสัย ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับการตรวจจับธุรกรรมผิดปกติของเหยื่อ ที่ได้กล่าวถึงไปแล้วในส่วนที่ 3.3 ด้วย
ในอดีต หากธนาคารปลายทางที่ได้รับเงินโอนจากผู้เสียหายโดยตรงอายัดบัญชีของมิจฉาชีพไว้ไม่ทัน ก็จะแจ้งกลับไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าไม่สามารถอายัดได้ กระบวนการติดตามเส้นทางการเงินเป็นทอด ๆ จะเกิดขึ้นเฉพาะในกรณีที่เกี่ยวข้องกับคดีฟอกเงินเท่านั้น
จนในปี 2023 คณะรัฐมนตรี ได้ผ่านพระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. ๒๕๖๖ หรือที่รู้จักกันในนาม “พรก. ไซเบอร์” ซึ่งกำหนดให้สถาบันการเงินและผู้ประกอบธุรกิจ มีหน้าที่ “เปิดเผยหรือแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับบัญชีและธุรกรรมของลูกค้าที่เกี่ยวข้องในระหว่างสถาบันการเงินและผู้ประกอบธุรกิจนั้นผ่านระบบหรือกระบวนการเปิดเผยหรือแลกเปลี่ยนข้อมูล” อันนำไปสู่การพัฒนาระบบ Central Fraud Registry (CFR) ขึ้นมานั่นเอง
ระบบ CFR ทำให้การส่งต่อข้อมูลเพื่อการติดตามเส้นทางการเงินระหว่างธนาคารเป็นไปได้สะดวกขึ้น โดยเมื่อธนาคารได้รับแจ้งจากผู้เสียหายแล้ว ธนาคารก็จะตรวจสอบเส้นทางการเงินของบัญชีของมิจฉาชีพว่ามีการโอนเงินต่อไปยังบัญชีอื่นหรือไม่ ในกรณีที่มีการโอนออกไปแล้ว ธนาคารจะนำข้อมูลธุรกรรมใส่ในระบบ CFR เพื่อให้ธนาคารปลายทางติดตามเส้นทางการเงินและระงับธุรกรรมต่อ ๆ ไป
มิจฉาชีพมักอาศัยจุดอ่อนของระบบธนาคารในการเชื่อมต่อข้อมูลระหว่างผู้ให้บริการทางการเงิน ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด คือช่องทางที่มิจฉาชีพใช้ในการนำเงินออกจากระบบธนาคาร
รูปที่ 2 แสดงช่องทางที่มิจฉาชีพใช้ในการนำเอาเงินออกนอกระบบในช่วงเดือนมกราคมถึงสิงหาคม 2025 จะเห็นได้ว่า ในช่วงต้นปี การนำออกผ่านช่องทางสินทรัพย์ดิจิทัล (digital asset) เป็นช่องทางที่มิจฉาชีพใช้มากที่สุด ต่อมาเมื่อมีการขยายวงการต่อเส้นเงินให้รวมผู้ประกอบการสินทรัพย์ดิจิทัลแล้ว มิจฉาชีพก็หันมาใช้ช่องทางผู้ให้บริการ e-Money แทน และท้ายที่สุดเมื่อมีการขยายวงการต่อเส้นเงินให้ครอบคลุมผู้ให้บริการ e-Money แล้ว มิจฉาชีพก็หันไปใช้ช่องทางการนำเงินออกผ่านบัญชีธนาคาร ทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล โดยอาศัยการไปถอนเงินที่สาขาธนาคาร หรือกดเงินสดจากตู้ ATM
ระบบ CFR ที่ภาคการเงินพัฒนาขึ้นมาช่วยให้เกิดการต่อเส้นเงิน อันนำไปสู่การศึกษาพฤติกรรมของมิจฉาชีพและปรับนโยบายให้เท่าทัน กระนั้นก็ตาม ตัว CFR เองยังมีข้อจำกัดบางประการ เช่น ในการต่อเส้นเงิน ธนาคารจะเห็นเพียงธุรกรรมที่อยู่ในเส้นทางการเงินก่อนหน้า และธุรกรรมของบัญชีลูกค้าตนเองเท่านั้น ขณะที่ระบบในบางประเทศ เช่น PayNet ของมาเลเซีย ระบบจะเปิดเผยธุรกรรมทั้งหมดของบัญชีในเส้นทางการเงินให้กับธนาคารและเจ้าหน้าที่ตำรวจโดยอัตโนมัติ
นอกจากการติดตามเส้นทางเงินเพื่อป้องกันการนำเงินออกนอกระบบแล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจก็จะต้องสืบสวน และนำผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดี โดยในปัจจุบัน เมื่อได้รับเรื่องร้องเรียนแล้ว แต่ละคดีความ ก็จะมีสารวัตรสืบสวนเจ้าของคดี ที่มีหน้าที่รวบรวมพยานหลักฐาน สอบปากคำ เพื่อทำหนังสืออายัด และทำสำนวนฟ้องส่งต่อไปให้อัยการต่อไป
ระบบดังกล่าวอาจจะใช้ได้ดีกับคดีอาญาในอดีต เช่น การทำร้ายร่างกาย การฉกชิงวิ่งราว แต่ภัยการเงินเป็นอาชญากรรมในรูปแบบที่ต่างออกไปมาก เนื่องจากเทคโนโลยีทำให้มิจฉาชีพเข้าถึงเหยื่อได้หลาย ๆ คนพร้อม ๆ กัน นอกจากนี้ยังสามารถกระทำความผิดข้ามเขตพื้นที่ได้ เมื่อดูจากจำนวนคดีความเฉลี่ยต่อวัน จะพบว่าเมื่อเทียบกับคดีที่เป็นคดีอาญาทั่วไปแล้ว คดีหลอกลวงออนไลน์มีมากกว่าหลายเท่าตัว
ในเมื่อเทคโนโลยีดิจิทัลทำให้มิจฉาชีพทำงานได้รวดเร็วขึ้น ระบบกระบวนการยุติธรรมก็จำเป็นต้องปรับตัวตามโดยอาศัยเทคโนโลยีเช่นกัน ไม่ว่าจะด้วยการเชื่อมระบบของตำรวจเข้ากับระบบการชำระเงินให้ใกล้ชิดกันขึ้น (เช่นตัวอย่างของ PayNet ของมาเลเซีย) หรือใช้การวิเคราะห์เครือข่ายจากข้อมูลระดับธุรกรรม เพื่อรวบรวมคดีที่มีลักษณะเป็นเครือข่ายเดียวกันเข้ามาดำเนินการด้วยกัน
บทความนี้ได้ชี้ให้เห็นว่าภัยการเงินเป็นปรากฏการณ์ทางเศรษฐศาสตร์ที่เกิดขึ้นในภาวะที่เหยื่อและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีข้อมูลเกี่ยวกับมิจฉาชีพที่ไม่สมบูรณ์ ซึ่งนอกจากจะทำให้เหยื่อได้รับความเสียหายแล้ว ยังทำให้ความเชื่อใจกันในระบบเศรษฐกิจสั่นคลอน ระบบการเงินไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มศักยภาพ ส่งผลให้การจัดสรรทรัพยากรขาดประสิทธิภาพ
ในสถานการณ์เช่นนี้ มาตรการจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องสามารถลดความรุนแรงของปัญหาได้ ซึ่งหลักการสำคัญคือการแก้ไขปัญหาเรื่องข้อมูล โดยใช้ความรู้เกี่ยวกับภัยการเงินที่มีอยู่ทั้งหมดในระบบเศรษฐกิจให้เกิดประโยชน์สูงสุดตลอดห่วงโซ่ภัยการเงิน เพื่อให้เหยื่อ แพลตฟอร์ม ธนาคาร ผู้กำกับนโยบาย และผู้บังคับใช้กฎหมาย รู้เท่าทันมิจฉาชีพมากยิ่งขึ้น ซึ่งมีประเด็นทางนโยบายที่สำคัญดังนี้
มาตรการต่าง ๆ ในการป้องกันและปราบปรามภัยการเงินที่มีประสิทธิผล ลดความรู้ไม่เท่าทันมิจฉาชีพ ต้องมีข้อมูลที่สมบูรณ์และถูกต้อง ซึ่งเกิดจากการแลกเปลี่ยนข้อมูลกันระหว่างผู้ที่เกี่ยวข้อง และการนำข้อมูลไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดตลอดห่วงโซ่ภัยการเงิน
การแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างผู้เกี่ยวข้อง เริ่มตั้งแต่การแจ้งความโดยเหยื่อ การแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างแพลตฟอร์ม ธนาคาร และตำรวจ เพื่อให้ฐานข้อมูลกลางในระบบ CFR สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น สามารถตรวจจับภัยการเงินได้ดีขึ้น
นอกจากข้อมูลจะสามารถใช้ตรวจจับธุรกรรมฉ้อโกงได้ทันการณ์และแม่นยำมากขึ้นแล้ว ยังนำไปใช้วิเคราะห์ความเสี่ยงภัยการเงิน (risk assessment) และสร้างคะแนนความเสี่ยง (risk scoring) เพื่อใช้ในการป้องกันภัยการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ตลอดจนการประชาสัมพันธ์เล่ห์กลภัยการเงินในรูปแบบใหม่ ๆ กลับไปให้สาธารณะชนทราบเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันทางการเงินแก่ประชาชนให้เท่าทันเล่ห์เหลี่ยมของมิจฉาชีพ
ประเด็นทางนโยบายคือ เราต้องการข้อมูลไดบ้างในการลดภัยการเงิน ใครมีข้อมูลอะไร และจะนำข้อมูลไปใช้อะไรได้บ้าง อย่างไร เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด
5.2. เทคโนโลยีที่ก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็วทำให้รูปแบบภัยการเงินเปลี่ยนแปลงไปด้วย กระบวนการป้องกันและปราบปรามภัยการเงินต้องปรับเปลี่ยนเพื่อให้เท่าทัน
ในด้านหนึ่งนั้น เทคโนโลยีที่ก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็วทำให้การรู้เท่าทันมิจฉาชีพทำได้ยากขึ้น นั่นคือ เทคโนโลยีทำให้ปัญหาความไม่สมมาตรของข้อมูลมีความรุนแรงมากขึ้น เทคโนโลยีสมัยใหม่ที่ก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็วทำให้ภัยทางการเงินขยายวงกว้างมากขึ้น เร็วขึ้น ตรวจจับได้ยากขึ้น และติดตามมิจฉาชีพได้ยากขึ้น กระบวนการป้องกันและปราบปรามภัยจากอาชญากรรมแบบดั้งเดิมขาดประสิทธิผลในการจัดการกับภัยการเงินที่เกิดจาก APP บนระบบ fast payment
ในอีกด้านหนึ่งนั้น เทคโนโลยีสมัยใหม่สามารถช่วยให้ผู้เกี่ยวข้องกับภัยการเงินรู้เท่าทันมิจฉาชีพได้มากขึ้น นั่นคือ เราสามารถใช้เทคโนโลยีเพื่อลดปัญหาความไม่สมมาตรของข้อมูลได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อป้องกันและปราบปรามภัยการเงินที่เกิดบนแพลตฟอร์มดิจิทัลและการชำระเงินผ่านระบบ fast payment รวมถึงการใช้เทคโนโลยีในการสร้างภูมิคุ้มกันทางการเงินให้แก่ผู้ที่มีความเสี่ยง การแจ้งความที่สะดวก การแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่รวดเร็ว การวิเคราะห์ข้อมูลการฉ้อโกงที่แม่นยำ การอายัดและถอนอายัดที่ถูกต้องมากขึ้นและผิดพลาดน้อยลง และการติดตามเส้นทางเงินของมิจฉาชีพที่รวดเร็วทันการณ์
ประเด็นทางนโยบายคือ ขั้นตอนใดในห่วงโซ่ภัยการเงินที่เทคโนโลยีสามารถช่วยให้กระบวนการป้องกันและปราบปรามสามารถก้าวทันมิจฉาชีพและภัยการเงินที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
การดำเนินมาตรการเพื่อจัดการกับภัยการเงินต่าง ๆ ต้องได้รับความร่วมมือจากผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดในห่วงโซ่ภัยการเงิน แต่มาตรการต่าง ๆ มีต้นทุนที่ผู้เกี่ยวข้องต้องแบกรับ การดำเนินมาตรการต่าง ๆ จึงจำเป็นต้องสร้างแรงจูงใจที่เหมาะสมให้แก่ผู้เกี่ยวข้อง เช่น แรงจูงใจให้เหยื่อแจ้งความกับตำรวจแม้ว่าโอกาสที่จะได้เงินคืนต่ำมากก็ตาม ในขณะที่แพลตฟอร์ม ธนาคาร และตำรวจต้องมีแรงจูงใจในการแลกเปลี่ยนข้อมูลกันเพื่อตรวจจับและยับยั้งธุรกรรมที่ปกติ และเพื่อติดตามเส้นทางเงินและจับกุมมิจฉาชีพหลังธุรกรรมเกิดขึ้นแล้ว
แรงจูงใจอาจมาจากความรับผิดชอบต่อความเสียหายจากภัยการเงินที่เกิดขึ้นจากความบกพร่องของผู้ที่ได้รับมอบหมายให้ดำเนินมาตรการ แต่การกำหนดผู้ที่ต้องรับผิดชอบกับความเสียหายจากภัยการเงินก็อาจทำให้ผู้เกี่ยวข้องอื่น ๆ มีแรงจูงใจที่จะป้องกันและปราบปรามภัยการเงินน้อยลง ทำให้เกิดปัญหา moral hazard ขึ้นได้ เช่น ในกรณีที่ธนาคารเป็นผู้รับผิดชอบต่อความเสียหายทั้งหมด เหยื่อย่อมไม่มีแรงจูงใจในการป้องกันตนเองมากเท่าที่ควร ผู้บังคับใช้กฎหมายก็อาจไม่มีแรงจูงใจเพียงพอในการติดตามมิจฉาชีพ หรือในกรณีที่เหยื่อต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายเองทั้งหมด ธนาคารอาจไม่มีแรงจูงใจในการตรวจจับธุรกรรมที่ต้องสงสัย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากต้องตรวจจับโดยอาศัยข้อมูลที่ไม่สมบูรณ์ที่อาจมีข้อผิดพลาดและส่งผลเสียต่อชื่อเสียงและผลประกอบการของธนาคาร
แรงจูงใจที่เหมาะสมจึงอาจมาจากความรับผิดชอบความสูญเสียร่วมกันของผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดตลอดห่วงโซ่ภัยการเงิน (shared responsibility) โดยมีจุดประสงค์เพื่อลดปัญหา moral hazard ที่อาจเกิดขึ้นหากไม่ต้องรับผิดชอบความสูญเสีย ทำให้ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องมีแคงจูงใจในการร่วมกันแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ตนมี และใช้ข้อมูลที่ได้รับให้เกิดประสิทธิผลต่อการลดภัยการเงินมากที่สุด
ประเด็นทางนโยบายที่ต้องถกเถียงกันคือ ใครควรเป็นผู้รับผิดชอบในการดำเนินมาตรการสร้างความปลอดภัยทางการเงินใดบ้าง ต้นทุนของมาตรการต่าง ๆ ตลอดจนความเสียหายจากภัยการเงินจะแบ่งกันรับผิดชอบอย่างไร ในสัดส่วนเท่าไหร่ เพื่อให้เกิดแรงจูงใจที่เหมาะสมกับผู้ที่เกี่ยวข้อง
5.4. มาตรการสร้างความปลอดภัยทางการเงินที่เหมาะสมอาจไม่ใช่มาตรการที่ทำให้ภัยการเงินหมดสิ้นลงอย่างสมบูรณ์ แต่เป็นมาตรการที่สร้างสมดุลระหว่างความปลอดภัยทางการเงินกับประโยชน์จากเทคโนโลยีทางการเงิน
ในภาพรวมแล้ว จะเห็นได้ว่ามาตรการสร้างความปลอดภัยทางการเงินต่าง ๆ ล้วนมีต้นทุนต่อระบบเศรษฐกิจ ไม่เพียงแต่ทรัพยากรทางการเงินและบุคลากรจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความสะดวกสบาย ความรวดเร็ว ความเป็นส่วนตัว และความสามารถในการเข้าถึงบริการทางการเงินของผู้คนในระบบเศรษฐกิจ เช่น การจำกัดปริมาณและมูลค่าธุรกรรมทางการเงิน ความเข้มงวดในการตรวจสอบธุรกรรม รวมถึงการอายัดธุรกรรมหรือบัญชีที่ต้องสงสัย ย่อมสร้างความไม่สะดวกสบายให้กับผู้ใช้บริการทางการเงิน หรือ การแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงานต่างๆ ย่อมทำให้ความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้บริการทางการเงินลดลง
มาตรการสร้างความปลอดภัยทางการเงินที่เหมาะสมจึงเป็นมาตรการที่สร้างสมดุลระหว่างความปลอดภัยทางการเงินกับประโยชน์ที่ได้จากเทคโนโลยีทางการเงิน ซึ่งจุดสมดุลนี้ย่อมแตกต่างกันไปในแต่ละสังคมว่าครัวเรือนและธุรกิจสามารถรับความเสี่ยงจากภัยการเงินได้มากน้อยเพียงใด
ประเด็นทางนโยบายคือ จุดสมดุลระหว่างความปลอดภัยทางการเงินกับประโยชน์จากเทคโนโลยีทางการเงินสำหรับประเทศไทยควรอยู่ที่ใด
เอกสารอ้างอิง
- เกมทายบอลใต้ถ้วย คือการหลอกลวงที่ผู้แสดงจะสลับถ้วยหรือภาชนะอื่น เช่น เปลือกหอย สามใบ ใบหนึ่งครอบลูกบอลอยู่ แล้วให้คนดูทายว่าลูกบอลอยู่ในถ้วยใบไหน มีโดยมี “หน้าม้า” มาแสดงเป็นคนดูที่ทายแล้วถูก เพื่อชักชวนให้เหยื่อลงเงินพนัน↩
- ตัวอย่างเช่น รายงานของ FINRA Investor Education Foundation (2007) พบว่า จากการสอบถามผู้เสียหายที่มีรายชื่ออยู่ในรายชื่อผู้เสียหายจากการถูกหลอกลงทุนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ มีเพียงครึ่งหน่ึงที่ยอมรับว่าตนเองถูกหลอก↩
- ในช่วงก่อนหน้านี้ เทคนิคการหลอกลวงที่พบเห็นได้มาก คือการทำ SMS phishing หรือที่เรียกว่า smishing คือ การสวมรอยเป็นบุคคลอื่น เช่น ธนาคาร บริษัทขนส่ง หน่วยงานรัฐ ส่งข้อความ SMS หาเหยื่อ เพื่อให้เหยื่อกดลิงค์ไปยังเว็บไซต์ปลอม เพื่อหลอกเอาข้อมูลหรือรหัสผ่าน หรือให้เหยื่อลงแอปฟลิเคชันของมิจฉาชีพ อันจะนำไปสู่การหลอกลวงแบบ unauthorized fraud แต่มาตรการต่าง ๆ ของทั้งภาครัฐและเอกชน ก็ช่วยป้องกันปัญหาดังกล่าวได้มาก (สำหรับภาพรวมของปัญหา SMS phishing อ่านเพิ่มเติมได้ที่ Vititanon (2024)) กระนั้น การหลอกลวงผ่านการโทรศัพท์ หรือที่เรียกกันติดปากว่า “call center” ก็ยังมีให้เห็นอยู่↩