Research
Discussion Paper
PIERspectives
aBRIDGEd
PIER Blog
Events
Conferences
Research Workshops
Policy Forums
Seminars
Exchanges
Community
PIER Research Network
Visiting Fellows
Funding and Grants
About Us
Our Organization
Announcements
PIER Board
Staff
Work with Us
Contact Us
TH
EN
Research
Research
Discussion Paper
PIERspectives
aBRIDGEd
PIER Blog
Thailand and the Middle-Income Trap: An Analysis from the Global Value Chain Perspective
Discussion Paper ล่าสุด
Thailand and the Middle-Income Trap: An Analysis from the Global Value Chain Perspective
ค่าเงินบาทผันผวน: “ตัวปรับสมดุล” หรือ “ตัวป่วน” เศรษฐกิจไทย
aBRIDGEd ล่าสุด
ค่าเงินบาทผันผวน: “ตัวปรับสมดุล” หรือ “ตัวป่วน” เศรษฐกิจไทย
Events
Events
Conferences
Research Workshops
Policy Forums
Seminars
Exchanges
Confidence and College Applications: Evidence from a Randomized Intervention
งานสัมมนาล่าสุด
Confidence and College Applications: Evidence from a Randomized Intervention
The Impact of Climate Change on Thai Households
งานสัมมนาล่าสุด
The Impact of Climate Change on Thai Households
สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์
สถาบันวิจัยเศรษฐกิจ
ป๋วย อึ๊งภากรณ์
Puey Ungphakorn Institute for Economic Research
Community
Community
PIER Research Network
Visiting Fellows
Funding and Grants
PIER Research Network
PIER Research Network
Funding & Grants
Funding & Grants
About Us
About Us
Our Organization
Announcements
PIER Board
Staff
Work with Us
Contact Us
Staff
Staff
ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในการพัฒนาฐานข้อมูลเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สินเกษตรกรไทย
ประกาศล่าสุด
ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในการพัฒนาฐานข้อมูลเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สินเกษตรกรไทย
aBRIDGEdabridged
Making Research Accessible
QR code
Year
2023
2022
2021
2020
...
Topic
Development Economics
Macroeconomics
Financial Markets and Asset Pricing
Monetary Economics
...
/static/ca56b782f868c54634d2b19a7243f969/41624/cover.jpg
16 มีนาคม 2566
20231678924800000

เจาะลึกพฤติกรรมการใช้ e-Payment ของคนไทย

ใครใช้ ใครไม่ใช้ และใช้อย่างไร
เจาะลึกพฤติกรรมการใช้ e-Payment ของคนไทย
excerpt

ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกสนับสนุนให้ทุกภาคส่วนมาใช้การชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ e-Payment (ซีึ่งรวมถึงบัตรเครดิต/เดบิต e-Money และ internet/mobile payment) มากขึ้น เพราะมองว่าจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนในการทำธุรกรรม รวมถึงเพิ่มการเข้าถึงบริการทางการเงิน อย่างไรก็ตาม แม้แนวโน้มของการใช้ e-Payment จะเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด แต่ในหลาย ๆ ประเทศ รวมทั้งประเทศไทย การใช้เงินสดก็ยังเป็นวิธีการชำระเงินที่เป็นที่นิยม โดยเฉพาะในการชำระเงิน ณ จุดขาย บทความนี้ จะกล่าวถึงงานศึกษาในหลาย ๆ ประเทศที่ดูถึงปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการชำระเงินของผู้บริโภค และข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการใช้ e-Payment ของประเทศไทย จากข้อมูลรายธุรกรรมของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ในช่วงปี 2020–2021

ธุรกรรม e-Payment เติบโตอย่างต่อเนื่องทั่วโลก แต่อัตราการใช้และประเภทของ e-Payment ที่เป็นที่นิยมนั้นแตกต่างกัน

ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ปริมาณธุรกรรมที่ไม่ใช่เงินสด (เช็ค บัตรเครดิต/เดบิต credit transfer และ e-Money) ในทุกกลุ่มประเทศมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยกลุ่มประเทศรายได้สูงมีปริมาณธุรกรรมที่ไม่ใช่เงินสดต่อหัวต่อปีสูงกว่ากลุ่มประเทศกำลังพัฒนาเกือบเท่าตัว (รูปที่ 1)

รูปที่ 1: ปริมาณธุรกรรมที่ไม่ใช่เงินสดต่อจำนวนประชากร
ที่มา: BIS (2021)

อย่างไรก็ดี ในประเทศแถบยุโรป การใช้เงินสดยังเป็นวิธีที่แพร่หลายที่สุดสำหรับการทำธุรกรรม ณ จุดขาย แต่ก็มีแนวโน้มลดลง จาก 72% ในปี 2019 เหลือ 59% ในปี 2022 และมีแนวโน้มการใช้บัตรเครดิต/เดบิตเพิ่มขึ้น (European Central Bank, 2022) ในสหรัฐอเมริกา การใช้บัตรเครดิต/เดบิตเป็นวิธีชำระเงินที่นิยมมากที่สุด คิดเป็นถึง 57% ของการทำธุรกรรมทั้งหมด (Foster et al., 2022) Mobile banking และ mobile money นั้นไม่ได้เป็นวิธีชำระเงินที่นิยมมากนักในยุโรปและสหรัฐอเมริกา แต่เป็นที่แพร่หลายในประเทศกำลังพัฒนาหลายประเทศ ในประเทศแถบแอฟริกา mobile money ซึ่งเริ่มจาก M-PESA ของ Kenya ในปี 2011 นั้นเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว (ดูเพิ่มเติมใน Jack & Suri, 2011; Ahmad et al., 2020; GSMA, 2022)

การที่คนจะเลือกชำระเงินวิธีใดนั้น ย่อมขึ้นกับว่ามีทางเลือกอะไรบ้าง และประโยชน์และต้นทุนของทางเลือกต่าง ๆ เมื่อเปรียบเทียบกันนั้นเป็นอย่างไร

มุมมองจากผู้บริโภค

ประโยชน์ของการใช้ e-Payment

ประโยชน์ของการใช้ e-Payment มีหลากหลาย ตั้งแต่

  • สะดวก ผู้ซื้อและผู้ขายทำธุรกรรมได้สะดวกรวดเร็วขึ้น เพราะไม่ต้องเตรียมเงินสดหรือเงินทอน รวมถึงทำธุรกรรม online ได้
  • ประหยัด ช่วยลดเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปถอนเงินสด หรือทำธุรกรรมที่ตู้ ATM หรือสาขา โดยเฉพาะคนที่ได้รับเงินเดือนเข้าบัญชีอยู่แล้ว
  • ปลอดภัย ผู้ซื้อและผู้ขายไม่จำเป็นต้องมีเงินสดติดตัวจำนวนมาก ลดความเสี่ยงต่อการถูกโจรกรรมหรือสูญหาย รวมถึงการทำธุรกรรมก็มีหลักฐานชัดเจน
  • เพิ่มการเข้าถึงบริการทางการเงิน โดยเฉพาะในกลุ่มประชาชนในพื้นที่ห่างไกลหรือพื้นที่ที่ไม่มีจุดบริการทางการเงิน

การแพร่ระบาดของโควิด 19 เป็นจุดกระตุ้นให้ผู้บริโภคบางกลุ่มหันมาใช้ e-Payment มากขึ้น ส่วนหนึ่งเพราะอยากหลีกเลี่ยงการสัมผัสเงินสดเพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ แต่อีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะการทำธุรกรรม online เป็นทางเลือกเดียวเท่านั้นในช่วงที่มีมาตรการ lockdown (Greene et al., 2021; BIS, 2021) อย่างไรก็ดี จากข้อมูลสำรวจกลุ่มตัวอย่างในประเทศแถบยุโรป 5,000 คน Kotkowski & Polasik (2021) พบว่าธุรกรรม e-Payment ที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่มาจากกลุ่มที่ใช้ e-Payment อยู่แล้ว ส่วนกลุ่มที่ใช้เงินสดเป็นหลัก ก็ไม่ได้หันมาใช้ e-Payment เพิ่มมากนัก

ต้นทุนและข้อจำกัดของการใช้ e-Payment

การใช้ e-Payment ยังมีต้นทุนทั้งที่เป็นตัวเงินและไม่เป็นตัวเงิน ต้นทุนที่เป็นตัวเงิน เช่น ค่าธรรมเนียม ค่าอุปกรณ์ ค่าบริการ internet ผู้ใช้จำเป็นต้องมีบัญชีธนาคารก่อน สำหรับบัตรเครดิต ผู้ขายบางรายมีการคิดค่าธรรมเนียมหรือกำหนดมูลค่าขั้นต่ำในการใช้บัตร Arango et al. (2015) พบว่าปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผู้บริโภคในแคนาดาส่วนหนึ่งใช้เงินสดสำหรับธุรกรรมมูลค่าต่ำ เพราะผู้ขายไม่รับชำระด้วยบัตรเครดิต นอกจากนี้ การเก็บภาษีจากธุรกรรม e-Payment เช่น ใน Tanzania ก็ทำให้การใช้ e-Payment ลดลงอย่างชัดเจน (GSMA, 2022)

ส่วนต้นทุนที่ไม่เป็นตัวเงิน ได้แก่ ความกังวลว่าโอนแล้วเงินจะไปถึงผู้รับจริงหรือไม่ ความเสี่ยงที่ข้อมูลธุรกรรมจะรั่วไหล ความเสี่ยงเรื่องความไม่เสถียรของระบบ ต้นทุนด้านเวลาที่ต้องใช้ในการเรียนรู้เทคโนโลยีนั้น ๆ และความเสี่ยงที่จะทำธุรกรรมผิดพลาด เช่น ใส่เลขบัญชีหรือจำนวนเงินผิดพลาด นอกจากนี้ งานด้านจิตวิทยายังมองว่า perception ของผู้บริโภคต่อ e-Payment (เช่น norm ในสังคม หรือความคิดว่าผู้ขายอยากให้ชำระเงินด้วยวิธีใด) เป็นปัจจัยสำคัญ คนจำนวนหนึ่งยังมีความรู้สึกว่าการใช้เงินสดทำให้ควบคุมการใช้จ่ายได้ง่ายกว่า เพราะทราบว่ามีเงินอยู่ในกระเป๋าเท่าใด และรักษาความเป็นส่วนตัวได้ดีกว่า เนื่องจากผู้ขายไม่ทราบว่าผู้ซื้อเป็นใคร ไม่มีหลักฐานทางธุรกรรมว่าไปใช้จ่ายที่ไหน อย่างไร (European Central Bank, 2022)

มุมมองจากผู้ขาย

สำหรับผู้ขาย e-Payment นั้นมีประโยชน์ในการช่วยเพิ่มความสะดวกรวดเร็ว ลดขั้นตอนการลงบัญชี ลดการสัมผัสเงินสด แต่ก็มีต้นทุนในการทำระบบ point of sale (PoS) หรือรับชำระด้วยบัตรเครดิต ในบางประเทศ เช่น ออสเตรเลีย ผู้บริโภคตอบว่ามีประสบการณ์กับผู้ขายที่ไม่รับเงินสดเพิ่มขึ้น (Guttmann et al., 2021) ในทางกลับกัน หลักฐานทางธุรกรรมที่ชัดเจนอาจจะไม่ใช่ข้อดีสำหรับผู้ขายทุกราย ในเมืองชัยปุระ ประเทศอินเดียซึ่งมีการใช้ e-Payment ค่อนข้างต่ำ Ligon et al. (2019) พบว่าทักษะและต้นทุนไม่ใช่อุปสรรค แต่ผู้ขายเลือกรับเงินสดเพราะมีทัศนคติที่ว่าลูกค้าอยากจ่ายด้วยเงินสดมากกว่า และผู้ขายเกรงว่ารัฐจะติดตามเก็บภาษีได้ง่ายขึ้นหากรับเงินแบบมีหลักฐาน

พัฒนาการระบบ e-Payment ของไทยมีมาอย่างต่อเนื่อง และมีมาตรการรัฐมาช่วยสนับสนุน

พัฒนาการระบบการชำระเงินของไทยมาอย่างต่อเนื่อง ภายใต้แผนกลยุทธ์ระบบการชำระเงิน โดยการให้บริการ internet banking และ mobile banking เริ่มขึ้นในปี 2000 และ 2009 ตามลำดับ (Bank of Thailand, 2020) ต่อมาในปี 2015 รัฐบาลไทยได้เริ่มแผนยุทธศาสตร์ National e-Payment1 เพื่อผลักดันให้ประเทศมีระบบการชำระเงินที่ได้มาตรฐานสากล ต้นทุนต่ำ และมีประสิทธิภาพ โดยนอกจากประโยชน์ต่อผู้บริโภคและผู้ขายแล้ว e-Payment ยังช่วยลดต้นทุนของการใช้เงินสดที่ประชาชนมองไม่เห็นของภาครัฐ ซึ่ง Lamsam et al. (2018) ประเมินว่าสูงถึง 4.7 หมื่นล้านบาท หรือ 0.3% ของ GDP ด้วย2 ในแผนนี้มีโครงการย่อย ๆ หลายโครงการ หนึ่งในนั้น คือ บริการพร้อมเพย์ (PromptPay) ซึ่งเริ่มขึ้นเมื่อมกราคม 2017 โดยเป็นการผูกติดเลขบัญชีกับเลขโทรศัพท์มือถือ เลขบัตรประชาชน เลขทะเบียนนิติบุคคล หรือ e-Wallet ID และต่อยอดมาเป็นการผูกเลขบัญชีกับ Thai QR Code ในปลายปีเดียวกัน ประกอบกับธนาคารพาณิชย์ก็ได้ยกเลิกค่าธรรมเนียมสำหรับการโอนเงินข้ามธนาคารผ่าน mobile/internet payment ที่วงเงินไม่เกิน 5,000 บาท ในปีนั้น และขยายวงเงินขึ้นมาตามลำดับ ทำให้การโอนเงินสะดวกรวดเร็วขึ้น และมีต้นทุนต่ำหรือไม่มีต้นทุน

โครงการย่อยอื่น ๆ ได้แก่

  • การเพิ่มเครื่อง EDC (electronic data capture) เพื่อช่วยให้ทั้งหน่วยงานภาครัฐและร้านค้ามีอุปกรณ์รับชำระเงิน และประชาชนใช้บัตรเดบิตในการชำระเงินมากขึ้น
  • การบูรณาการระบบภาษีให้เป็นอิเล็กทรอนิกส์ ทั้งการนำส่งและการคืนภาษี
  • โครงการ e-Payment ภาครัฐ ซึ่งพยายามสร้างฐานข้อมูลด้านสวัสดิการ และปรับธุรกรรมต่าง ๆ ให้เป็น e-Payment เช่น โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเป็นการโอนเงินผ่านบัตร โครงการเงินอุดหนุนเพื่อเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด และเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ค่อย ๆ ทยอยเป็นการโอนเงินผ่านบัญชีธนาคารของผู้มีสิทธิ

นอกจากนี้ e-Wallet ที่ออกโดยภาครัฐ (g-Wallet) ยังถูกใช้เป็นเครื่องมือกระตุ้นการใช้จ่ายในระบบเศรษฐกิจมากขึ้น เพราะโปร่งใส ลดขั้นตอน รวมถึงสนับสนุนให้ประชาชนและร้านค้าโดยเฉพาะกลุ่มที่อยู่นอกระบบเข้ามาใช้ e-Payment มากขึ้น ตัวอย่างเช่น g-Wallet ของรัฐบาล ในแอปพลิเคชัน "เป๋าตัง" ของธนาคารกรุงไทย ที่เริ่มพร้อมกับโครงการ ชิม ช้อป ใช้ ในปี 2019 มีเงินให้ประชาชนที่ลงทะเบียนใช้จ่าย 1,000 บาท กับร้านค้าที่ร่วมโครงการ ซึ่งร้านค้าที่เข้าร่วมจะมีแอปพลิเคชัน "ถุงเงิน" เพื่อเชื่อมต่อกับภาครัฐ

ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด 19 นอกจากมาตรการ lockdown และความต้องการที่จะลดการสัมผัสเงินสดจะมีส่วนกระตุ้นให้คนหันมาใช้ e-Payment มากขึ้นดังในต่างประเทศแล้ว โครงการภาครัฐของไทยที่มุ่งช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบและกระตุ้นเศรษฐกิจ ก็ถูกออกแบบให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ National e-Payment ไปในตัวเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการโอนเงินช่วยเหลือเพิ่มเติมผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐผ่านเป๋าตัง (โครงการเรารักกัน เราชนะ) ผ่านบัญชีธนาคาร หรือโครงการกระตุ้นการใช้จ่ายโดยรัฐร่วมสมทบ เช่น คนละครึ่ง เราเที่ยวด้วยกัน ก็ดำเนินการผ่านเป๋าตังและถุงเงิน เป็นต้น

e-Payment ของไทยโดยเฉพาะ mobile payment เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงห้าปีที่ผ่านมา

ปริมาณธุรกรรม e-Payment ในแต่ละเดือนของไทยเพิ่มจาก 307 ล้านรายการในเดือนมกราคม 2017 เป็น 2.1 พันล้านรายการในเดือนธันวาคม 2021 (รูปที่ 2) โดย mobile/internet payment เป็นวิธีชำระเงินที่ได้รับความนิยมและขยายตัวสูงที่สุดในช่วงเวลาห้าปีดังกล่าว โดยมีสัดส่วนเพิ่มจาก 29% เป็น 80% ของธุรกรรม e-Payment ทั้งหมด นอกจากนี้ ตั้งแต่ปี 2019 เป็นต้นมา ปริมาณธุรกรรมและมูลค่าการถอนเงินสดจากเครื่อง ATM ก็มีแนวโน้มลดลง

รูปที่ 2: ปริมาณธุรกรรม e-Payment ระหว่างปี 2017–2021
ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทยหมายเหตุ: BAHTNET คือ ธุรกรรมการโอนระหว่างธนาคาร bulk payment เป็นการโอนเงินครั้งละหลายรายการ; ATM และ counter หมายถึงการทำธุรกรรมผ่านเครื่อง ATM หรือเคาน์เตอร์ที่ไม่ใช้เงินสด

แม้ว่าภาพดังกล่าวจะแสดงว่าธุรกรรม e-Payment ของไทยได้ขยายตัวอย่างก้าวกระโดด แต่เรายังไม่สามารถบอกได้ว่า การใช้ e-Payment นั้น เป็นที่แพร่หลายหรือกระจุกตัวในคนบางกลุ่ม ปริมาณธุรกรรมที่เพิ่มขึ้นมาจากคนกลุ่มเดิมที่ใช้งานอยู่แล้ว หรือมีคนกลุ่มใหม่ ๆ เข้ามา และมาตรการกระตุ้นการใช้ e-Payment พอจะเห็นผลมากน้อยเพียงใด ในส่วนต่อไปเราจะเจาะลึกถึงประเด็นเหล่านี้ โดยใช้ข้อมูลรายธุรกรรมที่ละเอียดขึ้น

เจาะลึกพฤติกรรมการใช้ e-Payment ของคนไทย: ใครใช้ ใครไม่ใช้ และใช้อย่างไร

ในส่วนนี้ เราจะวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้บริการ e-Payment ของบุคคลธรรมดา โดยใช้ข้อมูลรายธุรกรรมที่ได้รับความอนุเคราะห์จากธนาคารขนาดใหญ่ห้าแห่ง ในช่วงเดือนกรกฎาคม 2020 ถึงเดือนธันวาคม 2021 รวม 18 เดือน แม้ว่าเราจะไม่มีข้อมูลของธนาคารพาณิชย์ทั้งหมด แต่มูลค่าการทำธุรกรรม e-Payment จากธนาคารในกลุ่มนี้ คิดเป็นกว่า 80% ของธุรกรรม e-Payment ทั้งหมดทั้งในแง่ปริมาณและมูลค่า พฤติกรรมการทำธุรกรรมในข้อมูลชุดนี้ จึงน่าจะพอสะท้อนพฤติกรรมการใช้ e-Payment ส่วนใหญ่ในช่วงเวลาดังกล่าวได้ นอกจากนี้ ข้อมูลชุดนี้ไม่รวมการโอนเงินออกจาก e-Money และการใช้บัตรเครดิตหรือเดบิต แต่ธุรกรรมเหล่านี้คิดเป็นสัดส่วนที่น้อยมากเมื่อเทียบกับ mobile/internet payment ที่มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง (ดังแสดงในรูปที่ 2)

ในการวิเคราะห์นี้ เราจะเน้นที่ mobile/internet payment เป็นหลัก เนื่องจากเป็นช่องทางหลักในการใช้บริการ e-Payment นอกจากนี้ mobile/internet banking ซึ่งมีต้นทุนของผู้ให้และผู้ใช้บริการค่อนข้างต่ำ น่าจะเป็นช่องทางที่มีศักยภาพในการตอบโจทย์การเข้าถึงบริการทางการเงินในอนาคตของไทย โดยสัดส่วนหมู่บ้านที่ไม่มีผู้ให้บริการทางการเงินในรัศมี 5 กิโลเมตร คิดเป็นถึง 23% (Lamsam et al., 2018) ขณะที่สัดส่วนประชากรที่เข้าถึงอินเทอร์เน็ตคิดเป็น 85% และสัดส่วนการเข้าถึง smartphone จัดอยู่ในลำดับต้น ๆ ของโลก

ในภาพรวม จำนวนผู้ที่เคยทำธุรกรรมโอนหรือชำระเงินผ่าน e-Payment ในช่วงเวลา 18 เดือนดังกล่าวมีกว่า 32.5 ล้านคน โดยมีผู้ที่ใช้ mobile/internet payment อย่างน้อยหนึ่งครั้งถึง 29 ล้านคน จำนวนผู้ใช้บริการ mobile/internet payment เพิ่มขึ้นจาก 21.8 ล้านคนในเดือน ก.ค. 2020 เป็น 26.2 ล้านคนในเดือน ธ.ค. 2021 (เพิ่มขึ้น 20%) และปริมาณธุรกรรมเพิ่มขึ้นจาก 699 ล้านรายการต่อเดือน เป็น 1,393 ล้านรายการต่อเดือนในช่วงดังกล่าว (เพิ่มขึ้น 99%)

ข้อมูลละเอียดรายธุรกรรมดังกล่าว ทำให้เห็นข้อเท็จจริง 5 ประการเกี่ยวกับการใช้งาน mobile/internet payment ของไทยดังต่อไปนี้

1. กลุ่มเด็กและผู้สูงอายุ มีสัดส่วนใช้ mobile/internet banking น้อยที่สุด แต่ผู้ใช้งานกลุ่มเด็กเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

หากคิดสัดส่วนของผู้ใช้บริการต่อจำนวนประชากรในกลุ่มอายุนั้น ๆ (รูปที่ 3) จะเห็นได้ว่าประชากรเกือบ ๆ 70% ของกลุ่มอายุ 20–39 ปี เข้ามาใช้บริการ mobile/internet payment อยู่แล้วตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นของข้อมูล และเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อยในช่วง 18 เดือนดังกล่าว สัดส่วนดังกล่าวลดลงไปตามอายุ โดยกลุ่มอายุ 60 ปีขึ้นไป มีประชากรไม่ถึง 20% ที่ใช้บริการ และไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนัก ในทางกลับกัน กลุ่มผู้ใช้บริการอายุ 15–19 ปี มีสัดส่วนการใช้งานเพียง 11% ในเดือน ก.ค. 2020 แต่ในเดือนสุดท้ายของข้อมูล สัดส่วนของกลุ่มนี้เพิ่มเป็นถึง 32% ของประชากร นับเป็นการเพิ่มขึ้นถึงเกือบสามเท่าตัว

รูปที่ 3: สัดส่วนของผู้ใช้งาน mobile/internet payment ต่อกลุ่มประชากร
หมายเหตุ: กราฟแต่ละแท่งแสดงสัดส่วนในแต่ละเดือน ตั้งแต่เดือน ก.ค. 2020 ถึง ธ.ค. 2021

2. ผู้ใช้บริการเกือบครึ่งหนึ่งใช้บริการต่อทุกเดือนหลังจากเริ่มใช้ครั้งแรก

แม้ว่าจำนวนผู้เข้ามาใช้บริการเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่มีการใช้งานทุกเดือน เมื่อแบ่งผู้ใช้บริการเป็นกลุ่ม ๆ ตามช่วงเวลาที่เห็นการทำธุรกรรมครั้งแรกในช่วง 18 เดือน (เรียกแต่ละกลุ่มว่า cohort) และคำนวณสัดส่วนของผู้ใช้บริการในเดือนถัด ๆ มาหลังจากเข้ามาใช้งานครั้งแรก (รูปที่ 4) จะเห็นได้ว่าใน cohort ที่เข้ามาใช้ตั้งแต่เดือน ส.ค. 2020 เป็นต้นไป (เส้นทึบ) มีสัดส่วนผู้ใช้บริการในเดือนที่สองเหลือเพียง 80% โดยประมาณ และลดลงอีกเล็กน้อยในเดือนถัด ๆ มา อย่างไรก็ดี เป็นที่น่าสนใจว่า ในบางเดือน เช่น ก.ค. 2021 จำนวนผู้ใช้งานของทุก cohort เพิ่มขึ้นเล็กน้อย ซึ่งเราจะพูดถึงอีกครั้งในข้อที่ 4

รูปที่ 4: สัดส่วนของผู้ใช้งานในแต่ละเดือน เทียบกับจำนวนผู้ใช้งานในเดือนแรกของแต่ละ cohort
หมายเหตุ: แต่ละเส้นแสดงสัดส่วนผู้ใช้งานใน cohort ต่าง ๆ เทียบกับจำนวนผู้ใช้งานในเดือนแรกของ cohort นั้น ๆ จุดแสดงสัดส่วนผู้ใช้งานในเดือนที่สองของแต่ละ cohort

ส่วนเส้นแรกของ cohort ก.ค. 2020 นั้น ไม่ได้แสดงเฉพาะผู้ที่เพิ่งเริ่มเข้ามาใช้บริการช่วงเดือน ก.ค 2020 แต่รวมถึงผู้ที่เข้ามาใช้บริการก่อนหน้านั้น (ไม่ว่าจะเริ่มใช้นานเพียงใดแล้วก็ตาม) และใช้บริการในเดือน ก.ค. 2020 ด้วย cohort นี้จึงมีขนาดถึง 21.8 ล้านคน ขณะที่ cohort อื่น ๆ มีขนาดเพียง 4–6 แสนคนเท่านั้น และพฤติกรรมของคนกลุ่มนี้จึงดูต่างไป เช่น สัดส่วนคนที่ยังใช้บริการในเดือนถัด ๆ ไปไม่ได้ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เส้นดังกล่าวสะท้อนถึงทั้ง survival bias คือ ผู้ที่เข้ามาใช้บริการก่อนหน้านี้แต่ใช้ไม่บ่อยหรือเลิกใช้ไปก่อน ก็จะไม่ปรากฏใน cohort นี้ และ selection bias คือ คนที่มีแนวโน้มใช้บ่อย (เช่น ร้านค้าที่ใช้บริการเป็นประจำรับชำระเงินผ่าน mobile/internet payment หรือไม่ชอบถือเงินสด) มักจะเข้ามาใช้เป็นกลุ่มแรก ๆ

เพื่อศึกษาพฤติกรรมของผู้ที่เพิ่งเข้ามาใช้งานว่าใช้บริการต่อเนื่องเพียงใด เราจึงเลือก cohorts ที่เพิ่งปรากฏในข้อมูลช่วงเดือน ต.ค.–ธ.ค. 2020 ซึ่งเป็นกลุ่มที่ไม่ได้ใช้งานติดต่อกันอย่างน้อยสามเดือน และเห็นข้อมูลการใช้บริการอย่างน้อยหนึ่งปี กลุ่มนี้ครอบคลุมผู้ใช้บริการจำนวน 1.4 ล้านคน ซึ่งเมื่อดูว่ามีการใช้งานทุกเดือนหรือไม่ พบว่าผู้ใช้บริการกลุ่มนี้ 47% มีการใช้งานทุกเดือนหลังจากเข้ามาใช้ครั้งแรก3 (รูปที่ 5) โดยสัดส่วนของคนที่ใช้บริการทุกเดือนนั้นลดลงตามกลุ่มอายุที่เพิ่มขึ้น และสัดส่วนของกลุ่มที่มีการใช้มากกว่าครึ่งหนึ่งของจำนวนเดือนที่เห็นในข้อมูลแต่ไม่ใช้ทุกเดือนนั้นอยู่ที่ประมาณ 33–38% ในทุกกลุ่มอายุ

รูปที่ 5: ความถี่ของการใช้งาน mobile/internet payment ตามกลุ่มอายุของ cohorts เดือน ต.ค.–ธ.ค. 2020

3. การใช้ e-Payment ยังกระจุกตัว ธุรกรรมกว่าครึ่งหนึ่ง เกิดจากผู้ใช้บริการ 5% เท่านั้น หลัก ๆ มาจากคนที่ใช้ทุกเดือน

เมื่อดูปริมาณธุรกรรมในแต่ละเดือนของผู้ใช้บริการ cohort เดือน ต.ค. 20204 พบว่าผู้ใช้งานที่มีจำนวนเดือนที่ใช้งานสูงก็จะมีปริมาณธุรกรรมต่อเดือนสูงตามไปด้วย (รูปที่ 6) โดยค่ามัธยฐานของกลุ่มผู้ที่เข้ามาใช้งานเพียงเดือนเดียว และทุกเดือน อยู่ที่ 1 ครั้ง และ 15 ครั้งต่อเดือน ตามลำดับ

รูปที่ 6: ปริมาณธุรกรรมและความถี่ในการใช้งานของ cohort เดือน ต.ค. 2020
หมายเหตุ: กล่องแสดงปริมาณธุรกรรมใน quartile ที่ 1, 2, และ 3 ส่วน whiskers แสดงปริมาณธุรกรรมใน percentile ที่ 10 และ 90

รูปที่ 6 ยังแสดงให้เห็นว่าปริมาณธุรกรรมต่อเดือนกระจุกตัวค่อนข้างมากในผู้ใช้บริการกลุ่มเล็ก ๆ จาก whisker ด้านบนที่ค่อนข้างยาว โดยเมื่อคำนวณแล้วพบว่าธุรกรรมกว่าครึ่งหนึ่งของแต่ละ cohort ที่เข้ามาใช้ใหม่ เกิดจากผู้ใช้บริการเพียง 5% เท่านั้น

นอกจากนี้ เรายังพบว่าปริมาณธุรกรรมเฉลี่ยในสามเดือนแรกที่เริ่มใช้บริการเป็นตัวพยากรณ์ที่ดีของการใช้บริการในอนาคต รูปที่ 7 แบ่งผู้ที่เข้ามาใช้งานในเดือน ต.ค. 2020 ตามปริมาณธุรกรรมเฉลี่ยในสามเดือนแรกที่เห็นข้อมูลออกเป็นห้ากลุ่มเท่า ๆ กัน และติดตามพฤติกรรมของคนกลุ่มนี้ต่อไปอีกหนึ่งปี พบว่าทุกกลุ่มมีการใช้บริการเพิ่มขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าว แต่ระดับของการใช้บริการก็ยังห่างกันอย่างชัดเจน เช่น กลุ่มที่ใช้น้อยที่สุด 20% แรก มีปริมาณธุรกรรมเฉลี่ยต่อเดือนเพิ่มจาก 6 ครั้งเป็น 20 ครั้ง ส่วนกลุ่มที่ใช้เยอะที่สุด 20% สุดท้าย มีปริมาณธุรกรรมเฉลี่ยต่อเดือนเพิ่มจาก 57 เป็น 70 ครั้ง

รูปที่ 7: ปริมาณธุรกรรมต่อเดือนของผู้เข้ามาใช้บริการเดือน ต.ค. 2020 ตาม quintile

หากดูลักษณะของผู้ที่อยู่ในแต่ละ quintile กลุ่มที่ใช้งานเยอะที่สุดส่วนมากจะเป็นกลุ่มอายุ 20–29 ปี ส่วนกลุ่มที่ใช้งานน้อยที่สุดส่วนมากจะเป็นกลุ่มอายุมากกว่า 60 ปี ซึ่งให้ภาพที่คล้ายกันกับจำนวนเดือนในการใช้งานเช่นกัน

4. ธุรกรรมกว่า 70% เป็นการโอนให้บัญชีบุคคล ขณะที่การโอนเข้า e-Wallet มีตามช่วงมาตรการ

หากดูที่ประเภทของการใช้บริการ จากข้อมูลทั้งสิ้น 1.8 หมื่นล้านธุรกรรมในช่วง 18 เดือนดังกล่าว กว่า 70% เป็นการโอนเงินไปยังบัญชีบุคคลธรรมดา (P2P) ส่วนการโอนเข้าบัญชีอื่น ๆ (เช่น บัญชีธุรกิจ บัญชีของรัฐ) และการโอนเข้า e-Wallet คิดเป็น 24% และ 6% ตามลำดับ กระนั้นก็ตาม การโอน P2P จำนวนหนึ่ง น่าจะเป็นการชำระค่าสินค้าและบริการ เนื่องจาก SMEs ไทยจำนวนมากยังใช้บัญชีบุคคลในการรับชำระเงิน

เมื่อดูภาพรายเดือน (รูปที่ 8) ปริมาณการโอนเงิน P2P และบัญชีอื่น ๆ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่มูลค่าเฉลี่ยต่อครั้งของธุรกรรมสองประเภทนี้มีแนวโน้มลดลง ซึ่งน่าจะสะท้อนถึงการใช้ e-Payment ในธุรกรรมมูลค่าต่ำ เช่น การใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน เพิ่มมากขึ้น

รูปที่ 8: ปริมาณและมูลค่าของธุรกรรมของผู้ใช้บริการทั้งหมดในแต่ละเดือน

การโอนสู่บัญชี e-Wallet มักจะเพิ่มขึ้นในช่วงที่มีมาตรการของรัฐที่เป็นประเภทร่วมจ่าย เช่น มาตรการคนละครึ่ง ช่วงเดือน พ.ย. 2020, ม.ค. 2021, และ ก.ค. 2021 ซึ่งประชาชนที่ได้รับสิทธิ์จะต้องเติมเงินเข้าไปใน e-Wallet "เป๋าตัง" ของรัฐบาล โดยผู้ที่โอนเงินเข้าเป๋าตังนั้น มีทั้งกลุ่มที่เคยใช้บริการอยู่แล้ว กลุ่มที่หยุดใช้ไประยะหนึ่งและกลับมาใช้ใหม่ และกลุ่มที่เพิ่งเข้ามาใหม่ ส่วนมูลค่าเฉลี่ยต่อธุรกรรม ซึ่งมักจะลดลงในช่วงมาตรการนั้น น่าจะเป็นเพราะการที่รัฐจำกัดมูลค่าการร่วมสมทบต่อวัน คนส่วนใหญ่จึงเติมเงินครั้งละ 150 บาท

5. กลุ่มที่ถูกกระตุ้นด้วยมาตรการภาครัฐกว่า 80% ใช้บริการ mobile/internet payment เพื่อจุดประสงค์อื่นต่อ

ข้อมูลทำให้เราเห็นว่าในเดือน ก.ค. 2021 มีผู้เข้าใช้ใหม่เพิ่มขึ้นอย่างมาก (รูปที่ 9) โดยจากคนใน cohort ก.ค. 2021 ประมาณ 5 แสนคนนั้น มีประมาณ 2.2 แสนคนที่มีธุรกรรมโอนเข้าสู่ e-Wallet ในเดือนแรก (เทียบกับคนที่มีธุรกรรมโอนเข้า e-Wallet ในเดือนแรกเฉลี่ยเพียง 1.2 หมื่นคนในสาม cohorts ก่อนหน้า) ในจำนวนนี้ กว่า 1.5 แสนคนมีธุรกรรมโอนเข้าสู่ e-Wallet เป็นธุรกรรมแรกของเดือน ทำให้ค่อนข้างมั่นใจได้ว่า คนส่วนใหญ่ใน 1.5 แสนคนนี้ถูกชักจูงให้เข้ามาใช้ mobile/internet payment จากมาตรการคนละครึ่ง ที่ต้องเติมเงินเข้าเป๋าตังเพื่อที่จะใช้จ่ายได้ ทำให้ได้ทดลองและเรียนรู้การใช้งาน e-payment นั่นเอง

รูปที่ 9: จำนวนผู้ใช้งานใหม่ในแต่ละเดือน แบ่งตามประเภทการใช้ครั้งแรก

คำถามที่น่าสนใจคือ มาตรการภาครัฐที่กระตุ้นให้คนเข้ามาใช้ e-Payment มากขึ้นนั้น จะมีผลต่อพฤติกรรมของคนกลุ่มนี้อย่างไรในระยะยาว หากคนส่วนใหญ่หันมาใช้ e-Payment มากขึ้นแม้ว่าจะไม่มีมาตรการแล้ว ก็ถือได้ว่ามาตรการเหล่านี้ประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมคน ทั้งนี้ โครงการสำรวจการบันทึกพฤติกรรมการชำระเงินประจำวันของประชาชน (Payment Diary) พบว่ามีกลุ่มตัวอย่างถึง 65% ที่บอกว่าจะกลับไปใช้เงินสดเมื่อมาตรการรัฐหมดลง และมีเพียง 36% ที่บอกว่าจะใช้บริการ mobile/internet payment ต่อ (Bank of Thailand, 2022)

แม้ว่าเราจะเห็นข้อมูลของคนกลุ่มนี้เพียง 6 เดือนหลังจากเริ่มใช้เท่านั้น แต่ข้อมูลก็ทำให้เห็นว่ามีคนกลุ่มที่ถูกชักจูงให้เข้ามาใช้ e-Payment ผ่านมาตรการรัฐที่ใช้ mobile/internet payment โอนเงินไปยังบัญชีที่ไม่ใช่ e-Wallet ทุกเดือนประมาณ 5.7 หมื่นคน (38%) และโอนอย่างน้อย 4 เดือนใน 6 เดือนที่เห็นข้อมูลประมาณ 8.7 หมื่นคน (58%) ซึ่งก็น่าจะเป็นกลุ่มที่จะยังคงใช้ mobile/internet payment ต่อไปแม้ว่ามาตรการรัฐจะหมดลงแล้ว

อย่างไรก็ดี เมื่อเปรียบเทียบพฤติกรรมในเดือนต่อ ๆ มาของคนที่มีธุรกรรมแรกเป็นการโอนสู่ e-Wallet กับคนที่โอนเข้าบัญชีประเภทอื่นในตารางที่ 1 ทำให้เห็นว่าคนสองกลุ่มนี้มีลักษณะต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีปริมาณธุรกรรมต่อเดือนและมูลค่าธุรกรรมเฉลี่ยต่ำกว่ากลุ่มที่เข้ามาเอง

ตารางที่ 1: เปรียบเทียบการใช้งาน mobile/internet payment ตามบัญชีปลายทางของการโอนครั้งแรกของ cohort ก.ค. 2021
ธุรกรรมแรกไม่เป็น e-Walletธุรกรรมแรกเป็น e-Wallet
จำนวนผู้ใช้บริการ366,842149,468
ปริมาณธุรกรรมต่อคนต่อเดือน24.7511.15
มูลค่าธุรกรรมเฉลี่ย1,999.041,085.56

ภาพดังกล่าวแสดงในเห็นในเบื้องต้นว่า มาตรการภาครัฐ ดูจะประสบความสำเร็จในการชักจูงคนบางกลุ่มที่ไม่เคยใช้เข้ามา อย่างไรก็ดี เราไม่สามารถทราบได้ว่า หากไม่มีมาตรการคนกลุ่มนี้จะเข้ามามากน้อยเพียงใด เพราะผู้ใช้งานใหม่ส่วนหนึ่งก็เข้ามาด้วยเหตุผลอื่น และยังไม่ทราบว่า มาตรการนี้มีประสิทธิภาพที่สุดหรือไม่หากเทียบกับมาตรการสนับสนุนการใช้ e-Payment อื่น ๆ

ส่งท้าย

ในช่วงห้าปีที่ผ่านมา ปริมาณธุรกรรม e-Payment โดยเฉพาะ mobile/internet payment เติบโตอย่างรวดเร็ว ซึ่งนอกจากจะเกิดจากการเข้าถึงเทคโนโลยีที่มากขึ้นแล้ว ก็น่าจะมาจากการที่หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนได้สนับสนุนการใช้ e-Payment มาอย่างต่อเนื่องด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานของการชำระเงิน การลดค่าธรรมเนียมในการโอนเงินข้ามธนาคาร รวมถึงกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการใช้ e-Wallet ของรัฐบาล

อย่างไรก็ดี จากการวิเคราะห์ข้อมูลรายธุรกรรมของธนาคารพาณิชย์ เราพบว่า ปริมาณธุรกรรมที่เพิ่มขึ้นนั้นยังมีการกระจุกตัวอยู่ในผู้บริโภคบางกลุ่ม โดยมีกลุ่มผู้บริโภคบางกลุ่มที่ยังน่าจะมีศักยภาพในการใช้ e-Payment เพิ่มขึ้นได้ เช่น กลุ่มที่ยังไม่เคยเข้ามาทดลองใช้ e-Payment เลยแม้แต่ครั้งเดียว โดยเฉพาะกลุ่มอายุ 50 ปีขึ้นไปที่กว่าครึ่งหนึ่งของกลุ่มนี้ยังไม่เคยเข้ามาใช้งาน และกลุ่มที่มีการใช้งานบ่อยแต่ยังไม่ได้ใช้เป็นประจำทุกเดือน ซึ่งกระจายอยู่ในทุกกลุ่มอายุ

เรื่องนี้เป็นประเด็นที่ควรศึกษาต่อไปว่า ปัจจัยใดทำให้คนบางกลุ่มยังไม่ใช้ e-Payment มากนัก

หากคนที่ไม่ใช้ส่วนใหญ่ เป็นกลุ่มคนที่ไม่ได้ใช้เงินสดด้วยเช่นกัน อาจจะเพราะไม่มีความจำเป็นต้องโอนหรือชำระเงิน เช่น ปกติคนอื่นในครอบครัวเป็นผู้ทำธุรกรรม หรือมีการใช้ e-Payment ในรูปแบบอื่น เช่น บัตรเครดิต/เดบิต หรือ e-Money (ซึ่งเราไม่สามารถเห็นได้ในข้อมูลชุดนี้) ภาครัฐก็อาจจะไม่ได้มีความจำเป็นต้องทำมาตรการเพื่อส่งเสริมให้คนมาใช้ e-Payment เพิ่มเติมมากนัก

แต่หากคนกลุ่มนี้ใช้เงินสดแทนด้วยเหตุผลบางประการ เช่น การขาดทักษะ ความกังวลเรื่องมิจฉาชีพ ต้นทุน หรือเพราะผู้ขายที่ทำธุรกรรมเป็นประจำไม่รับชำระด้วย e-Payment ก็เป็นเรื่องที่ภาครัฐและเอกชนสามารถออกมาตรการมาเพื่อสนับสนุนให้เกิดการใช้งานเพิ่มขึ้นได้

ดังนั้น การมีข้อมูลเพิ่มขึ้นในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลรายธุรกรรมที่ยาวขึ้น ข้อมูลด้านผู้ขายว่ารับชำระเงินด้วยวิธีใดบ้าง และมีต้นทุนของการรับชำระเงินด้วยวิธีการต่าง ๆ เท่าใด รวมถึงข้อมูลการสำรวจผู้บริโภค ที่สอบถามเกี่ยวกับการเลือกและทางเลือกในการชำระเงินประเภทต่าง ๆ และต้นทุนที่เป็นตัวเงินและไม่เป็นตัวเงินของทางเลือกนั้น จะช่วยให้ภาครัฐเข้าใจการตัดสินใจของผู้ซื้อและผู้ขาย และสามารถทำนโยบายสนับสนุนการใช้ e-Payment ได้ตรงจุดมากขึ้น

เอกสารอ้างอิง

Ahmad, A. H., Green, C., & Jiang, F. (2020). Mobile money, financial inclusion and development: A review with reference to African experience. Journal of Economic Surveys, 34(4), 753–792.
Arango, C., Huynh, K. P., & Sabetti, L. (2015). Consumer payment choice: Merchant card acceptance versus pricing incentives. Journal of Banking & Finance, 55, 130–141.
Bank of Thailand. (2020). Online Payment - PromptPay: The Game Changer (Payment Insight No. 2). Bank of Thailand.
Bank of Thailand. (2022). PAYMENT DIARY เจาะลึกพฤติกรรม การชำระเงินประจำวันของคนไทย. BOT พระสยาม Magazine, 1, 54–57.
BIS. (2021). Covid-19 accelerated the digitalization of payments. BIS.
European Central Bank. (2022). Study on the payment attitudes of consumers in the euro area (SPACE).
Foster, K., Greene, C., & Stavins, J. (2022). The 2021 Survey and Diary of Consumer Payment Choice: Summary Results. 22–2.
Greene, C., Merry, E. A., & Stavins, J. (2021). Has COVID Changed Consumer Payment Behavior? [Working Paper]. FRB of Boston.
GSMA. (2022). The State of the Industry Report on Mobile Money 2022. GSMA.
Guttmann, R., Pavlik, C., Ung, B., & Wang, G. (2021). Cash Demand during COVID-19 (Bulletin No. 3; pp. 1–11). Reserve Bank of Australia.
Jack, W., & Suri, T. (2011). Mobile money: The economics of M-PESA. National Bureau of Economic Research.
Kotkowski, R., & Polasik, M. (2021). COVID-19 pandemic increases the divide between cash and cashless payment users in Europe. Economics Letters, 209, 110–139.
Lamsam, A., Pinthong, J., Rittinon, C., Shimnoi, A., & Trakiatikul, P. (2018). The Journey to Less-Cash Society: Thailand’s Payment System at a Crossroads (Discussion Paper No. 101). Puey Ungphakorn Institute for Economic Research.
Ligon, E., Malick, B., Sheth, K., & Trachtman, C. (2019). What explains low adoption of digital payment technologies? Evidence from small-scale merchants in Jaipur, India. PloS One, 14(7), e0219450.

  1. เป็นความร่วมมือของกระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย หน่วยงานภาครัฐ สถาบันการเงิน รวมถึงภาคธุรกิจ↩
  2. ต้นทุนที่มองไม่เห็น เช่น ต้นทุนในการขนส่งเงินสดไปยังสาขาธนาคารและตู้ ATM ทั่วประเทศ ต้นทุนในการจัดตั้งสาขาเพื่อให้บริการฝาก-ถอนเงินสด รวมไปถึงต้นทุนในการนับคัดแยกธนบัตรที่ชำรุดเสียหายออกจากระบบ↩
  3. ข้อมูลของ cohort ถัด ๆ มา มีสัดส่วนของผู้ที่ใช้งานทุกเดือนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ขณะที่สัดส่วนของผู้ใช้งานอย่างน้อยครึ่งหนึ่งของเดือนที่เห็นในข้อมูลอยู่ที่ประมาณ 80% ในทุก cohort↩
  4. เพื่อง่ายต่อการเห็นภาพ โดยเฉพาะจำนวนเดือนที่ใช้ ที่แต่ละ cohort จะมีจำนวนเดือนที่ใช้ที่เป็นไปได้ต่างกัน เราจึงเลือกตัวอย่างมาหนึ่ง cohort เท่านั้น ผลการศึกษาไม่ได้เปลี่ยนแปลงจากเดิมมากนักเมื่อดูข้อมูลจาก cohort ที่เข้ามาใช้ใหม่ cohort อื่น ๆ↩
ข้อคิดเห็นที่ปรากฏในบทความนี้เป็นความเห็นของผู้เขียน ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับความเห็นของสถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์
Topics: Development Economics
Tags: e-paymenttechnology adoptionfinancial inclusion
ฐิติ ทศบวร
ฐิติ ทศบวร
สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์
พรรคธาดา ตรีรัตนพิทักษ์
พรรคธาดา ตรีรัตนพิทักษ์
สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์
นฎา วะสี
นฎา วะสี
สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์
รุ้งตะวัน ลายเมฆ
รุ้งตะวัน ลายเมฆ
ธนาคารแห่งประเทศไทย

สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์

273 ถนนสามเสน แขวงวัดสามพระยา เขตพระนคร กรุงเทพฯ 10200

โทรศัพท์: 0-2283-6066

Email: pier@bot.or.th

เงื่อนไขการให้บริการ | นโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2566 สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์

เอกสารเผยแพร่ทุกชิ้นสงวนสิทธิ์ภายใต้สัญญาอนุญาต Creative Commons Attribution-NonCommercial-ShareAlike 3.0 Unported license

Creative Commons Attribution NonCommercial ShareAlike

รับจดหมายข่าว PIER

Facebook
YouTube
Email