พลวัตการทำเกษตรไทย และนัยต่อผลตอบแทนและความเสี่ยงของครัวเรือนเกษตร

excerpt
บทความนี้เป็นบทความตอนที่สามของ mini series ที่มุ่งเข้าใจภาคเกษตรไทยผ่านฐานข้อมูลเกษตรหลายชุด โดยงานศึกษานี้มุ่งเข้าใจพลวัตการทำเกษตรของไทยโดยใช้ข้อมูลการเพาะปลูกรายแปลงของเกษตรกรทั่วประเทศกว่าหนึ่งทศวรรษมาสะท้อนถึงจำนวน ความหลากหลาย และการเปลี่ยนแปลงของกิจกรรมเกษตร ทั้งในภาพรวมของประเทศซึ่งจะทำให้เข้าใจถึงการกระจุกตัวหรือกระจายตัวในเชิงพื้นที่และเวลา และภาพย่อยในระดับครัวเรือนซึ่งจะทำให้เข้าใจถึงความหลากหลายของการเลือกทำเกษตรและการบริหารจัดการความเสี่ยงของเกษตรกร บทความนี้ยังฉายภาพให้เห็นถึงผลตอบแทนและความเสี่ยงตลอดถึงปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจทำเกษตรในแบบต่าง ๆ ของครัวเรือนเกษตรไทย เพื่อนำไปสู่นัยเชิงนโยบาย
การทำเกษตรของไทยมีพลวัตมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะภายหลังการปฏิวัติเขียวเมื่อ 50 ปีก่อน ทำให้การทำเกษตรของไทยก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว โดยในระดับครัวเรือนได้มีการเปลี่ยนแปลงจากการทำเกษตรเพื่อยังชีพไปสู่การมีส่วนเกินไว้ขาย ในระดับประเทศทรัพยากรได้หลั่งไหลเข้าสู่ภาคเกษตร แรงงานเกษตรเพิ่มจาก 11.7 ล้านคน ในปี 2513 เป็น 15.4 ล้านคน ภายใน 40 ปี ที่ดินทำการเกษตรเพิ่มจากร้อยละ 20 ของประเทศ ในปี 2503 เป็นร้อยละ 47 ของประเทศ ภายใน 50 ปี และส่งผลให้ไทยเป็นผู้ส่งออกสินค้าเกษตรรายใหญ่ในเวลาต่อมา
อย่างไรก็ตาม ไทยไม่ใช่ผู้ส่งออกสินค้าเกษตรเพียงรายเดียวทำให้ไม่มีอำนาจกำหนดราคาในตลาดโลก เมื่อผลิตสินค้าเกษตรชนิดใดชนิดหนึ่งออกมามากเกินไปย่อมทำให้ราคาตกต่ำ ซึ่งสร้างความเดือดร้อนให้กับเกษตรกร สุดท้ายมักจะตามมาด้วยการยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือจากภาครัฐผ่านการแทรกแซงราคาซึ่งสร้างความสูญเสียในด้านต่าง ๆ เช่น เกิดค่าเสียโอกาสในการลงทุนของรัฐในภาคเศรษฐกิจอื่นที่มีความสำคัญ หรือเกษตรกรไม่ปรับตัวเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เป็นต้น ยิ่งกว่านั้น ขนาดความเสียหายอาจจะทวีคูณขึ้นได้อีกตามจำนวนเกษตรกรที่มหาศาล อาทิ โครงการรับจำนำข้าว 5 รอบฤดูการผลิต ปี 2554/2555 ถึงปี 2556/2557 ซึ่งงานวิจัยพบว่าอาจมีมูลค่าการขาดทุนทางบัญชีถึง 6.7–7.5 แสนล้านบาท และต้องใช้เวลาอีก 5–10 ปี ในการระบายข้าวในสต็อกให้หมด (นิพนธ์ พัวพงศกร และคณะ 2557) นอกจากนั้น Attavanich (2016) ยังพบว่า เกษตรกรไม่ได้นำเงินที่ได้รับจากโครงการฯ ไปลงทุนเพื่อยกระดับประสิทธิภาพการผลิต
วงจรดังกล่าวเกิดขึ้นบ่อยครั้งกับพืชเศรษฐกิจหลักของไทยในช่วงที่ผ่านมา และเพื่อตอบคำถามว่าการทำเกษตรของไทยมาถึงจุดนี้กันได้อย่างไร บทความนี้มุ่งเข้าใจการทำเกษตรของไทยและการเปลี่ยนแปลงจากอดีตถึงปัจจุบัน โดยใช้ข้อมูลการเพาะปลูกรายแปลงของเกษตรกรทั่วประเทศกว่าหนึ่งทศวรรษมาสะท้อนถึงจำนวนและความหลากหลายของกิจกรรมเกษตร ทั้งในภาพรวมระดับประเทศซึ่งจะทำให้เข้าใจถึงการกระจุกตัวหรือกระจายตัวในเชิงพื้นที่และเวลา และในระดับครัวเรือนซึ่งจะทำให้เข้าใจถึงการตัดสินใจและการบริหารจัดการความเสี่ยงของเกษตรกร บทความนี้ยังฉายภาพให้เห็นถึงผลลัพธ์ในมิติของผลตอบแทนและความเสี่ยง ตลอดถึงปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจทำการเกษตรลักษณะต่าง ๆ ของครัวเรือนเกษตรไทย เพื่อให้ในท้ายที่สุด จะนำไปสู่นัยเชิงนโยบายที่เฉพาะเจาะจงได้ยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ บทความนี้ยังคงอาศัยจุลทรรศน์จากข้อมูลขนาดใหญ่เหมือนกับบทความก่อนหน้าในชุด โดยได้ใช้ฐานข้อมูลทั้งหมด 3 ฐานมาเติมเต็มกันและกันทั้งในมิติความกว้าง (ตัวแปร) และในมิติความยาว (เวลา) ซึ่งประกอบด้วย
- ข้อมูลสำมะโนเกษตรของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2546 และ 2556 ครอบคลุมทุกครัวเรือนเกษตรรวมทั้งสิ้น 5.8 และ 5.9 ล้านครัวเรือน ตามลำดับ
- ข้อมูลทะเบียนเกษตรกรของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปี 2558–2560 ครอบคลุม 5.9 ล้านครัวเรือนในปีล่าสุด ซึ่งคิดเป็นกว่าร้อยละ 90 ของครัวเรือนเกษตรไทย1 และ
- ข้อมูลภาวะเศรษฐกิจสังคมครัวเรือนและแรงงานเกษตรของสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรรายปี ตั้งแต่ 2549–2560 ซึ่งครอบคลุมกลุ่มตัวอย่างที่เป็น national representative จำนวนเฉลี่ยปีละ 9,333 ครัวเรือน
งานวิจัยนี้จะสะท้อนถึงจำนวนและความหลากหลายของการทำเกษตรในสองมิติ โดยมิติแรกจะเป็นภาพรวมของทั้งประเทศ และมิติที่สองจะเป็นภาพย่อยในระดับครัวเรือน
ในภาพรวมระดับประเทศ กิจกรรมเกษตรของไทยกระจุกตัวในข้าวและพืชเศรษฐกิจหลักเพียงไม่กี่ชนิด รูปที่ 1a แสดงถึงสัดส่วนของเนื้อที่ทำเกษตรในรายกิจกรรม และการกระจุกตัวของครัวเรือนที่ทำเกษตรแต่ละกิจกรรมในเชิงพื้นที่ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเข้มข้นของการเพาะปลูกข้าวตั้งแต่ปี 2546 เป็นต้นมา โดยเนื้อที่เกษตรของไทยเกินกว่ากึ่งหนึ่งเป็นเนื้อที่ปลูกข้าวเจ้าและข้าวเหนียว ขณะที่เนื้อที่เกษตรอื่น ๆ ประมาณ 1 ใน 3 เป็นการเพาะปลูกพืชเศรษฐกิจหลักอื่น ๆ เพียงแค่ 5 ชนิด ได้แก่ มันสำปะหลัง ข้าวโพด และอ้อย ซึ่งเป็นพืชไร่ กับยางพาราและปาล์มน้ำมัน ซึ่งเป็นพืชยืนต้น
การทำเกษตรในภาพรวมของไทยกระจุกตัวมากขึ้นเมื่อเทียบกับอดีต โดยปี 2546–2556 ค่าดัชนีการกระจุกตัว Herfindahl-Hirschman ซึ่งคำนวณจากรูปที่ 1 แสดงการกระจุกตัวของกิจกรรมการผลิตที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.0 ต่อปี และเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 4.2 ต่อปี ในช่วงปี 2558–2561 ซึ่งเป็นผลมาจากสัดส่วนของเนื้อที่ปลูกข้าว ซึ่งขยายตัวเข้าไปทดแทนเนื้อที่พืชหลักอื่น ๆ โดยสัดส่วนเนื้อที่ปลูกข้าวเจ้าและข้าวเหนียวรวมกันในปี 2558 ได้เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 57.7 เป็นร้อยละ 63.7 ในปี 2560 สวนทางกับพืชเศรษฐกิจหลักอื่น ๆ ที่ประสบปัญหาราคาตกต่ำในช่วงดังกล่าว โดยเฉพาะมันสำปะหลังและยางพารามีสัดส่วนเนื้อที่ทำเกษตรลดลงจากร้อยละ 26.3 เหลือเพียงร้อยละ 19.01 ภายใน 2 ปี
อย่างไรก็ดี เราพบว่าสัดส่วนเนื้อที่ของการทำเกษตรจากกิจกรรมรองได้เพิ่มขึ้นแทบจะทุกหมวด ในช่วงปี 2558–2560 โดยเฉพาะไม้ผล รวมถึงพืชผักและสมุนไพร ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีว่าภาคเกษตรไทยอาจจะกระจายเนื้อที่การทำเกษตรในภาพรวมได้ในอนาคต เหมือนกับประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาค
พลวัตการทำเกษตรในไทยค่อนข้างแตกต่างจากต่างประเทศในช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากความหลากหลายในการทำกิจกรรมเกษตร World Bank (1990) ได้เสนอให้ประเทศผู้ปลูกข้าวเข้มข้นในเอเชียกระจายชาวนาออกไปทำกิจกรรมอื่น ๆ เพื่อแก้ไขปัญหาผลผลิตที่ล้นตลาด ซึ่งกดดันราคาข้าวให้ต่ำในช่วงก่อนหน้า โดยเวียดนามซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ รวมถึงมาเลเซียได้ลดเนื้อที่ปลูกข้าวลง และหันไปปลูกพืชผัก ไม้ผล ไม้ยืนต้น และพืชพลังงานเพิ่มขึ้นในช่วงปี 2543–2554 ขณะที่อินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ แม้ว่าเนื้อที่ปลูกข้าวเพิ่มขึ้นอยู่บ้าง แต่เนื้อที่ปลูกพืชอื่น ๆ รวมกันได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าเนื้อที่ปลูกข้าว รวมถึงกระจายตัวไปในพืชทุกกลุ่มอย่างชัดเจน (FAO, 2015)
นอกจากการกระจุกตัวในมิติกิจกรรมเกษตรแล้ว การทำเกษตรของไทยยังกระจุกตัวในเชิงพื้นที่ โดยรูปที่ 1b ฉายภาพการกระจายตัวของพื้นที่และเวลาเก็บเกี่ยวพืชไร่ 5 ชนิดในรายจังหวัด และแสดงให้เห็นถึงการกระจุกตัวของพื้นที่ทำกิจกรรมเกษตรแต่ละชนิด เช่น พื้นที่ปลูกข้าวร้อยละ 36 อยู่ในภาคอีสานตอนล่าง และร้อยละ 10 กระจุกตัวอยู่ในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา เช่นเดียวกันกับพื้นที่ปลูกยางพาราร้อยละ 53 กระจุกตัวอยู่แทบทุกจังหวัดในภาคใต้ และเราพบว่าลักษณะการกระจุกตัวในเชิงพื้นที่ข้างต้นไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากนักจากอดีตจนถึงปัจจุบัน
การกระจุกตัวในเชิงพื้นที่ของบางกิจกรรมเกษตร แม้ว่าอาจจะได้รับผลดีจากการประหยัดจากขนาด (Economy of Scale) โดยเฉพาะการใช้เครื่องจักรกลตลอดกระบวนการทำเกษตร ในทางกลับกัน รูปที่ 2 สะท้อนให้เห็นว่าผลผลิตทุกชนิดในกลุ่มพืชไร่หลักของไทยได้ออกสู่ตลาดอย่างกระจุกตัวทั้งในเชิงพื้นที่และในเชิงเวลา โดยเฉพาะผลผลิตข้าวซึ่งร้อยละ 44 ออกมาพร้อมกันจากภาคอีสานในเดือนพฤศจิกายน การกระจุกตัวที่สูงมากดังกล่าวอาจก่อให้เกิดปัญหาผลผลิตล้นตลาดอันนำมาซึ่งราคาผลผลิตตกต่ำ
การศึกษานี้ได้ใช้ประโยชน์จากข้อมูลเพาะปลูกรายแปลงมาสะท้อนถึงจำนวนกิจกรรมเกษตร และลักษณะการผสมผสานของการทำเกษตรรายครัวเรือน มาพิจารณารูปแบบการผสมผสานของกิจกรรมเกษตรรายครัวเรือนที่ละเอียดในระดับชนิดพืชที่ปลูก หรือชนิดสัตว์ที่เลี้ยง ซึ่งงานวิจัยในปัจจุบันยังไม่พบการศึกษาที่ระบุส่วนผสมของพืชที่ปลูกอย่างชัดเจน และมักจะระบุกลยุทธ์การทำเกษตรแบบกว้าง ๆ เช่น รูปแบบปลูกพืชอาหารกับเลี้ยงสัตว์ทั่วไป รูปแบบปลูกไม้ผลกับเลี้ยงสัตว์อีกกลุ่ม (IIyama et al., 2008) การทำเกษตรเชิงเดี่ยว การทำเกษตรหลากหลายแบบดั้งเดิม แบบใหม่ในตลาดใหม่ แบบใหม่ในกิจกรรมที่มีมูลค่าเพิ่ม (Hansson et al., 2010) โดยเราพบว่า
สองในสามของครัวเรือนเกษตรในปัจจุบันทำเกษตรเชิงเดี่ยว (Monoculture) โดยรูปที่ 3a แสดงให้เห็นถึงจำนวนกิจกรรมเกษตรต่อครัวเรือนในรายพื้นที่ และชี้ให้เห็นว่าครัวเรือนที่ทำเกษตรเชิงเดี่ยวส่วนใหญ่ร้อยละ 27 อาศัยอยู่ในตอนล่างของภาคอีสาน และร้อยละ 9 อยู่ในภาคใต้ตอนล่าง ขณะที่ส่วนน้อยเพียงร้อยละ 32 ทำเกษตรหลากหลายหรือ 2 ชนิดขึ้นไป (หรือมีการทำ On-farm diversification) ทำให้ค่าเฉลี่ยของกิจกรรมเกษตร2 ต่อครัวเรือนของไทยอยู่ที่เพียงแค่ 1.4 กิจกรรม
จำนวนกิจกรรมเกษตรต่อครัวเรือนลดลงในทุกจังหวัด โดยล่าสุดภาคอีสานและเหนือมีสัดส่วนครัวเรือนที่ลดจำนวนกิจกรรมเกษตรสูงสุด โดยจากข้อมูลสำมะโนเกษตรและทะเบียนเกษตรกร เราพบว่า ณ ปัจจุบันที่ครัวเรือนทำการเกษตร 1.4 กิจกรรม ได้ลดกิจกรรมเกษตรลงเกือบกึ่งหนึ่งแล้วจากปี 2546 ซึ่งเคยอยู่ที่ 2.4 กิจกรรม รูปที่ 3b และ 3c แสดงให้เห็นว่าจำนวนกิจกรรมที่ลดลงเกิดขึ้นในทุกจังหวัดของประเทศ แต่ก็มีความแตกต่างเชิงพื้นที่อย่างชัดเจน โดยหากมองการเปลี่ยนแปลงในระยะสั้น เราติดตามครัวเรือนเดิมในทะเบียนเกษตรกรจากปี 2558/2559–2560/61 และพบว่าภาคอีสานและเหนือมีสัดส่วนครัวเรือนที่ลดจำนวนกิจกรรมสูงสุด เฉลี่ยร้อยละ 15 แตกต่างจากภาคกลาง (เฉลี่ยร้อยละ 8) และภาคใต้ (เฉลี่ยเพียงร้อยละ 5) ในขณะเดียวกันที่มีประมาณร้อยละ 8 ของครัวเรือนที่มีการเพิ่มจำนวนกิจกรรม
แต่หากมองการเปลี่ยนแปลงในระยะยาวขึ้นจากสำมะโนเกษตรในช่วงปี 2546–2556 ก็พบว่าจำนวนกิจกรรมก็ลดลงในทุกจังหวัดของประเทศเช่นเดิม และลดลงมากที่สุดในภาคใต้ ซึ่งผลการศึกษาทั้งหมดก็สอดคล้องกับการศึกษาที่ใช้ข้อมูล Townsend Thai Data ของเชาวนา เพชรรัตน์ และคณะ (2562) ซึ่งพบว่าครัวเรือนเน้นทำเกษตรเฉพาะอย่างมากขึ้นในช่วงปี 2549–2555
ในภาพรวมลักษณะการผสมผสานของกิจกรรมเกษตรของครัวเรือนแตกต่างกันไปตามพื้นที่ หากมองความหลากหลายของกิจกรรมเกษตรที่ครัวเรือนทำในหนึ่งปี รูปที่ 4 แสดงให้เห็นรูปแบบหลัก ๆ ของการผสมผสานของกิจกรรมเกษตรของครัวเรือนที่ทำเกษตรแบบหลากหลายทั้งหมด เราพบว่าโดยทั่วไปจะเป็นชาวนาที่นอกจากปลูกข้าวแล้วยังปลูกพืชหลักอื่น ๆ ด้วย 1–2 ชนิด โดยรูปแบบที่พบมากที่สุด 7 อันดับแรกซึ่งครอบคลุมครึ่งหนึ่งของจำนวนเกษตรกรที่ไม่ได้ทำเกษตรเชิงเดี่ยว ประกอบด้วย
- ข้าวเจ้ากับข้าวเหนียว ร้อยละ 27.0
- ข้าวเจ้ากับมันสำปะหลัง ร้อยละ 6.1
- ข้าวเหนียวกับยางพารา ร้อยละ 4.5
- ข้าวเหนียวกับอ้อย ร้อยละ 3.4
- ข้าวเจ้ากับยางพารา ร้อยละ 3.4
- ข้าวเหนียวกับมันสำปะหลัง ร้อยละ 3.1 และ
- ข้าวเหนียวกับข้าวโพด ร้อยละ 2.8
สำหรับความแตกต่างของรูปแบบการทำเกษตรของครัวเรือนในเชิงพื้นที่ จากรูปที่ 4 ประกอบด้วย
- ข้าวเจ้ากับข้าวเหนียวพบได้มากที่ภาคอีสานตอนบน
- ข้าวเจ้ากับมันสำปะหลังพบที่ภาคกลาง
- ข้าวเหนียวกับข้าวโพดพบที่ภาคเหนือ และ
- ปาล์มน้ำมันกับยางพาราที่ภาคใต้
นอกจากนั้นเรายังสามารถแยกแยะลักษณะการผสมผสานของการทำกิจกรรมเกษตรในช่วงเวลาเดียวกันออกจากการทำเกษตรหมุนเวียน (Crop rotation) ซึ่งอาจสร้างนัยเชิงนโยบายที่แตกต่างกันได้
ครัวเรือนเกษตรที่ทำเกษตรหมุนเวียน ส่วนใหญ่มักจะทำกิจกรรมหลากหลายชนิด โดยเมื่อพิจารณาถึงลักษณะการผสมผสานต่างรอบการปลูกในข้อมูลทะเบียนเกษตรกรด้วย เราพบว่าเพียงร้อยละ 6.6 ของครัวเรือนมีการปลูกพืชมากกว่าหนึ่งรอบในแต่ละปีการเพาะปลูก ซึ่งอาจจะไม่ได้แสดงถึงข้อเท็จจริงนัก เนื่องจากครัวเรือนมักไม่ได้ไปลงทะเบียนการเพาะปลูกรอบที่สองหรือสาม แต่ในจำนวนครัวเรือนที่มีการลงทะเบียนปลูกมากกว่าหนึ่งครั้งกว่าร้อยละ 6.6 เราพบว่าร้อยละ 3.8 ปลูกพืชหลากหลายชนิด และร้อยละ 2.8 ปลูกเชิงเดี่ยว
โดยรูปที่ 5 แสดงให้เห็นถึงลักษณะกิจกรรมเกษตรแบบหมุนเวียนที่สำคัญ ได้แก่ การปลูกข้าวโพดหลังนาข้าวและหรือข้าวเหนียว ซึ่งพบได้มากในพื้นที่ภาคเหนือ และการปลูกข้าวเจ้าสลับกับข้าวเหนียว ซึ่งพบได้มากในพื้นที่ภาคอีสาน ขณะที่พื้นที่ชลประทานภาคกลาง แม้ว่าโดยทั่วไปจะสามารถทำเกษตรได้ตลอดทั้งปี แต่ครัวเรือนส่วนใหญ่จะปลูกพืชชนิดเดียว โดยเฉพาะการปลูกข้าวนาปีและข้าวนาปรังต่อเนื่องกัน ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 88 ของครัวเรือนที่ทำเกษตรเพียงกิจกรรมเดียวแบบหมุนเวียน
“… เศรษฐกิจพอเพียง และทฤษฎีใหม่ สองอย่างนี้จะทำความเจริญแก่ประเทศได้ …” พระราชดำรัสของในหลวงรัชการที่ 9 ได้จุดประกายการทำเกษตรหลากหลายและยั่งยืนมาตั้งแต่ปี 2542 เนื่องจากภายใต้หลักการทฤษฎีใหม่ เกษตรกรต้องทำการเกษตรผสมผสาน โดยแบ่งเนื้อที่ออกเป็น 4 ส่วน สำหรับประกอบกิจกรรมเกษตรที่แตกต่างกัน เพื่อให้การจัดสรรที่ดินเกิดประโยชน์อย่างสูงสุดและยั่งยืน
อย่างไรก็ตาม ผ่านไป 20 ปี ครัวเรือนที่ทำการเกษตรด้วยแนวทางทฤษฎีใหม่ยังไม่แพร่หลายมากนัก เช่นเดียวกันกับแนวทางการทำเกษตรยั่งยืนอื่น ๆ รูปที่ 6 แสดงให้เห็นว่าครัวเรือนที่ทำการเกษตรทฤษฎีใหม่ยังมีไม่ถึงร้อยละ 0.2 ของทั้งหมด แม้แต่จังหวัดที่มีโครงการนำร่อง เช่น กาฬสินธุ์ นครราชสีมา ราชบุรี และนครสวรรค์ เป็นต้น ยังมีสัดส่วนครัวเรือนที่ทำเกษตรทฤษฎีใหม่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยทั้งหมด
สำหรับการทำเกษตรยั่งยืนด้วยแนวทางอื่น ๆ เช่น เกษตรธรรมชาติ หรือวนเกษตร แม้ว่าพบได้จากครัวเรือนเพียงร้อยละ 8 ของทั้งหมด แต่ก็รุดหน้าไปกว่าทฤษฎีใหม่อยู่พอสมควร จากหลักการที่ยืดหยุ่นและอาจจะไม่ตายตัวมากนัก ทำให้การทำเกษตรยั่งยืนในบางพื้นที่รุดหน้าไปได้ โดยเฉพาะสมุทรสงคราม สมุทรสาคร ระยอง และ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ พบว่าครัวเรือนประมาณกึ่งหนึ่งทำการเกษตรด้วยแนวทางยั่งยืนแล้ว
การทำเกษตรทฤษฎีใหม่และยั่งยืนแน่นอนว่าจะต้องประกอบด้วยกิจกรรมเกษตรที่หลากหลาย โดยการทำเกษตรทฤษฎีใหม่จะมีความหลากหลายที่สุด รองลงมาเป็นการทำเกษตรยั่งยืนอื่น ๆ โดยหากควบคุมจำนวนรอบการทำเกษตร จะพบว่าในพื้นที่ที่ทำเกษตรครั้งเดียวต่อปี ครัวเรือนที่ทำเกษตรทฤษฎีใหม่และเกษตรยั่งยืนจะทำเกษตรอยู่ที่ 3.4 และ 2.7 กิจกรรม ซึ่งสูงกว่าการทำเกษตรในรูปแบบอื่น ๆ 1.5 และ 1.2 เท่า ตามลำดับ สอดคล้องกับ Phetcharat, Chalermphol and Siphumin (2015) ซึ่งพบว่าการทำเกษตรและสิ่งแวดล้อมให้ยั่งยืนส่งผลอย่างยิ่งต่อการทำเกษตรผสมผสานของเกษตรกร
เมื่อครัวเรือนไทยหันมาทำเกษตรเชิงเดี่ยวมากขึ้น คำถามที่น่าสนใจก็คือ การทำเกษตรเชิงเดี่ยวได้ผลตอบแทนและมีความเสี่ยงเป็นอย่างไร? และการทำเกษตรหลากหลาย หรือผสมผสานมักจะต้องแลกผลตอบแทนที่ลดลงกับความสามารถในการกระจายความเสี่ยงเสมอไปจริงเหรอ? เกษตรกรไทยเลือกรูปแบบการทำเกษตรที่เหมาะสมแล้วหรือยัง?
งานวิจัยในต่างประเทศหลายงานได้ศึกษาลักษณะการกระจายความเสี่ยง (Diversification) ของเกษตรกร และพบว่าในบางบริบทการทำเกษตรแบบหลากหลายเพื่อบริหารจัดการความเสี่ยงต้องแลกมาซึ่งการลดลงของผลตอบแทน ซึ่งก็เป็นผลมาจากการลดลงของความชำนาญเฉพาะทาง (Specialization) และการประหยัดต่อขนาด (Economy of Scale) แต่ในบางบริบท การบริหารจัดการความเสี่ยงโดยการทำเกษตรหลากหลายในบางรูปแบบกลับเป็นวิถีการทำเกษตรที่สามารถให้ผลตอบแทนต่อความเสี่ยงที่สูงกว่าได้เช่นกัน งานวิจัยในต่างประเทศ เช่น Babatunde and Qaim (2009) พบว่าครัวเรือนที่ทำเกษตรผสมผสานจะมีรายได้ที่มากกว่าครัวเรือนที่ทำเกษตรเชิงเดี่ยว
เราพยายามตอบคำถามเหล่านี้โดยอาศัยแนวคิด Modern Portfolio Theory ของ Markowitz (1952) ซึ่งมีสมมุติฐานว่าความพึงพอใจหรือ Utility ของคนทั่วไปจากการลงทุนมาจากทั้งผลตอบแทนและความเสี่ยง ดังนั้นการวัดประสิทธิผลของการลงทุนจึงต้องคำนึงถึงความเสี่ยงควบคู่กับผลตอบแทน และนักลงทุนควรเลือกการลงทุนที่ได้ผลตอบแทนสูงสุดในแต่ละระดับความเสี่ยง
โดยเราวัดผลตอบแทนของแต่ละรูปแบบการทำเกษตรจากอัตราส่วนผลตอบแทนต่อทรัพย์สิน (Return on Asset หรือ ROA) ซึ่งคำนวณจากค่าเฉลี่ยของรายได้สุทธิจากการทำเกษตรหารด้วยมูลค่าทรัพย์สินในการทำเกษตร เช่น ที่ดิน ยุ้งฉาง คอกสัตว์ บ่อน้ำ และเครื่องจักรกล เป็นต้น และวัดความเสี่ยงจากค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานของผลตอบแทนของการทำเกษตรรูปแบบนั้น ๆ โดยใช้ข้อมูล 10 ปีของครัวเรือนตัวอย่างจากข้อมูลภาวะเศรษฐกิจสังคมครัวเรือนและแรงงานเกษตรในช่วงปี 2549–2560 ซึ่งเก็บโดยสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร4
โดยสำหรับครัวเรือนที่มีรายได้การทำเกษตรสุทธิเป็นบวก แน่นอนว่าจะมีผลตอบแทนเป็นบวก เช่นเดียวกันกับครัวเรือนที่ขาดทุนการทำเกษตรสุทธิจะมีผลตอบเป็นลบ โดยขนาดของผลตอบแทนจะสะท้อนความสามารถในการทำการเกษตรให้ได้กำไร รวมถึงประสิทธิภาพของการใช้ทรัพย์สินที่มีอยู่ของครัวเรือน และรูปที่ 7 ฉายภาพผลตอบแทนและความเสี่ยงของกลุ่มครัวเรือนที่ทำเกษตรเชิงเดี่ยวในรายกิจกรรม (7a) และเปรียบเทียบผลตอบแทนและความเสี่ยงของการทำเกษตรเชิงเดี่ยวกับการทำเกษตรผสมผสานในระดับจังหวัด (7b)
ในภาพรวมผลตอบแทนของกิจกรรมเกษตรไทยมีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงในทิศทางเดียวกัน จากรูปที่ 7a กลุ่มตัวอย่างกิจกรรมเกษตร 132 ชนิด5 แสดงให้เห็นว่ากิจกรรมที่มีความเสี่ยงสูง มักจะให้ผลตอบแทนที่สูง เช่น ถั่วลันเตาและปลาทับทิม ซึ่งเป็นกิจกรรมที่มีความเสี่ยงสูงเป็นลำดับที่ 1 และ 4 มีผลตอบแทนที่สูงเป็นลำดับที่ 4 และ 1 ตามลำดับ ในทางกลับกัน 5 ใน 10 กิจกรรมที่มีความเสี่ยงเป็นลำดับสุดท้าย จะให้ผลตอบแทนอยู่ใน 10 ลำดับสุดท้ายเช่นกัน
การเพาะปลูกพืชเศรษฐกิจหลักมีความเสี่ยงสูงแต่กลับให้ผลตอบแทนต่ำ โดยเฉพาะพืชไร่มหาชน เช่น อ้อย ข้าวโพด และข้าวเหนียว (กลุ่มจุดสีเหลือง) ซึ่งให้ผลตอบแทนเฉลี่ยระหว่างปี 2549–2560 เพียงแค่ร้อยละ 0.8, 1.0 และ 1.3 ตามลำดับ ยิ่งกว่านั้น หากเปรียบเทียบผลตอบแทนต่อหน่วยความเสี่ยงเดียวกัน พบว่าพืชหลักจะให้ผลตอบแทนต่อความเสี่ยง (Risk-adjusted return) ต่ำมาก โดยทั้งข้าวเจ้าและข้าวเหนียว ซึ่งได้รวมผลจากการแทรกแซงราคาจากโครงการรัฐแล้ว รวมถึงข้าวโพดและอ้อย ล้วนอยู่ในเดไซล์แรก ปาล์มน้ำมันและมันสำปะหลังอยู่ในเดไซลที่ 2 และ 3 ตามลำดับ ขณะที่ยางพารา แม้ว่าจะให้ผลตอบแทนที่ปรับด้วยความเสี่ยงที่สูงที่สุดในกลุ่มพืชเศรษฐกิจหลัก โดยอยู่เดไซล์ที่ 4 (เปอร์เซ็นไทล์ที่ 31) แต่ผลตอบแทนที่ปรับด้วยความเสี่ยงของกิจกรรมกลุ่มประมงและไม้ดอกไม้ประดับยังคงสูงกว่ายางพารา 2.3 และ 1.9 เท่า ตามลำดับ สะท้อนให้เห็นว่าครัวเรือนไทยส่วนใหญ่ที่ยังคงทำเกษตรที่ให้ผลตอบแทนต่ำแต่มีความเสี่ยงสูง อาจยังไม่ได้เลือกรูปแบบการทำเกษตรที่เหมาะสมนัก
การทำเกษตรแบบหลากหลายสามารถเพิ่มผลตอบแทนที่ปรับด้วยความเสี่ยงได้ ซึ่งหากพิจารณาจากผลลัพธ์ระดับจังหวัด รูปที่ 7b แสดงให้เห็นว่า ณ ระดับความเสี่ยงไม่มาก การทำเกษตรผสมผสานจะให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าการทำเกษตรเชิงเดี่ยวเล็กน้อย และเมื่อพิจารณาผลลัพธ์ในแต่ละรูปแบบการทำเกษตรผสมผสานและเชิงเดี่ยว จากรูปที่ 8 เราก็จะพบว่าเกษตรผสมผสานหลายรูปแบบให้ผลตอบแทนสูงกว่าในระดับความเสี่ยงเดียวกับเกษตรเชิงเดี่ยว แสดงว่าครัวเรือนที่ปลูกพืชเชิงเดี่ยว โดยเฉพาะอ้อย ข้าวโพด ข้าวเหนียว ข้าวเจ้า และปาล์มน้ำมัน หากทำการเกษตรหลากหลายขึ้น โดยแบ่งเนื้อที่ไปเพาะปลูกพืชหลักอื่น ๆ หรือเพาะปลูกสลับกัน อาจจะได้รับผลตอบแทนที่ปรับด้วยความเสี่ยงสูงขึ้นกว่าการทำเกษตรเชิงเดี่ยว ส่วนการทำเกษตรเชิงเดี่ยวที่ให้ผลตอบแทนที่ปรับด้วยความเสี่ยงที่สูงอยู่แล้วในกลุ่มพืชหลัก เช่น ยางพารา แม้ว่าการทำเกษตรให้หลากหลายขึ้นจะให้ผลตอบแทนที่ปรับด้วยความเสี่ยงใกล้เคียงกัน อย่างไรก็ดี สามารถเป็นทางเลือกให้กับครัวเรือนปรับเปลี่ยนระดับความเสี่ยงทั้งเพิ่มขึ้นหรือลดลงตามที่ต้องการได้
เราเลือกใช้กรณีชาวนาผู้ปลูกข้าวมาแสดงให้เห็นในประเด็นนี้ คือ เมื่อพิจารณาเฉพาะครัวเรือนที่ปลูกข้าวพบว่าการทำเกษตรแบบหลากหลายจะให้ผลตอบแทนต่อความเสี่ยงสูงกว่าการปลูกข้าวอย่างเดียวในเกือบทุกพื้นที่ โดยรูปที่ 9 แสดงให้เห็นทางเลือกต่าง ๆ ของชาวนาทั่วประเทศ พบว่าจังหวัดร้อยละ 92 การปลูกข้าวร่วมกับพืชหลักอื่น ๆ ให้ผลตอบแทนที่ปรับด้วยความเสี่ยงสูงกว่าการปลูกข้าวเชิงเดี่ยว และจังหวัดร้อยละ 60 การปลูกข้าวเชิงเดี่ยวเป็นทางเลือกที่ให้ผลตอบแทนที่ปรับด้วยความเสี่ยงที่ต่ำที่สุด โดยหากเทียบผลตอบแทนต่อ 1 หน่วยค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานแล้ว ครัวเรือนที่ปลูกข้าวเชิงเดี่ยวจะได้รับผลตอบแทนเพียงร้อยละ 0.34 ขณะที่ทางเลือกอื่น ๆ เช่น ข้าวกับอ้อย และข้าวกับข้าวโพด ให้ผลตอบแทนสูงกว่าอยู่ที่ร้อยละ 0.58 ทั้ง 2 ทางเลือก
การศึกษานี้สร้างสมการถดถอยขึ้นมาเพื่อศึกษาเปรียบเทียบปัจจัยจาก 4 กลุ่มคือ
- ปัจจัยจากตัวและครัวเรือนเกษตรกรเอง
- ปัจจัยเชิงพื้นที่ซึ่งรวมถึงภูมิประเทศและภูมิอากาศ
- ปัจจัยจากตลาด และ
- ปัจจัยที่เกิดจากนโยบายภาครัฐ
โดยศึกษาถึงผลของปัจจัยข้างต้นต่อการเลือกปลูกพืชเศรษฐกิจมหาชน 5 ชนิด คือ ข้าว ข้าวโพด มันสำปะหลัง ยางพารา และปาล์มน้ำมัน (รูปที่ 10a) ต่อการเลือกปลูกพืชที่มีผลตอบแทนสูง เช่น ผักผลไม้ สมุนไพรและไม้ดอกไม้ประดับ (รูปที่ 10b) และ ต่อการเลือกทำเกษตรแบบหลากหลาย (รูปที่ 10c) โดยใช้ข้อมูลการทำเกษตรและคุณลักษณะของครัวเรือนตัวอย่างโดยเฉลี่ยกว่า 9,333 ครัวเรือนต่อปีทั่วประเทศ เป็นเวลา 10 ปี (2549–2560) จากข้อมูลภาวะเศรษฐกิจสังคมครัวเรือนและแรงงานเกษตร ร่วมกับข้อมูลปริมาณน้ำฝน ราคาผลผลิต และนโยบายในช่วงเวลา 10 ปีดังกล่าว และพบว่า
ปัจจัยทางนโยบายส่งผลมากที่สุดและมีนัยสำคัญต่อการเลือกทำเกษตรรูปแบบต่าง ๆ ของครัวเรือนเกษตร เช่น โครงการรับจำนำข้าวทุกเม็ดทำให้เกษตรกรปลูกข้าวมากขึ้น แต่ลดการทำเกษตรหลากหลายลง การทำนโยบายภาคเกษตรจึงควรต้องคำนึงถึงผลกระทบที่อาจสร้างแรงจูงใจผิด ๆ ทำให้เกษตรกรไม่เลือกทำเกษตรในรูปแบบที่มีประสิทธิผลที่สุด
ปัจจัยด้านตลาดก็มีความสำคัญ โดยเราพบว่าราคาผลผลิตมีผลต่อการเลือกปลูกพืชมหาชนอย่างมีนัยสำคัญ เช่นเดียวกับการลงทุนในพืชที่ให้ผลตอบแทนสูง
ความเสี่ยงทั้งจากความผันผวนของราคาผลผลิตหรือจากฝนฟ้าอากาศ ก็ทำให้ครัวเรือนเลือกทำเกษตรหลากหลายมากขึ้น ซึ่งก็อาจสะท้อนให้เห็นว่าเกษตรกรอาจใช้การเกษตรหลากหลายในการบริหารจัดการความเสี่ยง แต่ผลการศึกษาก็ยังชี้ให้เห็นว่าความเสี่ยงสูงก็อาจเป็นปัจจัยเหนี่ยวรั้งในการลงทุนในกิจกรรมเกษตรที่ให้ผลตอบแทนสูง
สำหรับปัจจัยเชิงพื้นที่ เราพบว่าการเข้าถึงการชลประทานส่งผลให้ครัวเรือนทำเกษตรหลากหลายน้อยลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยในพื้นที่ที่ทำเกษตรได้ครั้งเดียว ครัวเรือนที่ไม่มีแหล่งน้ำจะทำเกษตรแบบหลากหลายกว่าครัวเรือนที่ใช้น้ำชลประทานถึง 1.6 เท่า ขณะที่กลุ่มที่ทำเกษตรแบบหลากหลายที่สุดยังคงเป็นกลุ่มที่เข้าไม่ถึงแหล่งน้ำสาธารณะ แต่บรรเทาด้วยการใช้บ่อน้ำ ครัวเรือนกลุ่มนี้จะทำการเกษตรเฉลี่ยสูงถึง 2.5 กิจกรรม ในทางกลับกัน กลุ่มที่มีจำนวนกิจกรรมเกษตรต่ำสุดกลับเป็นครัวเรือนในเขตชลประทาน ซึ่งมีพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไปจากในอดีตอย่างมาก โดยในช่วงปี 2538–2544 Ahmad and Isvilanonda (2005) พบว่าการทำเกษตรในเขตชลประทานมีโอกาสทำกิจกรรมเกษตรได้มากกว่าการทำเกษตรนอกเขตชลประทานร้อยละ 37–57 แต่ในปัจจุบัน ครัวเรือนในเขตชลประทานจะทำการเกษตรเชิงเดี่ยวมากกว่าการทำเกษตรแบบหลากหลายไปแล้ว
กรรมสิทธิ์ถือครองที่ดินทำกิน และอายุของหัวหน้าครัวเรือนและแรงงานเกษตรเป็นสองปัจจัยจากครัวเรือนเองที่ส่งผลอย่างมีนัยสำคัญต่อการเลือกทำเกษตร โดยเกษตรกรไทย 1.5 ล้านครัวเรือนเช่าที่ดินทำการเกษตร และร้อยละ 60 ของกลุ่มนี้ถือครองที่ดินทำการเกษตรส่วนตัวไม่ถึงร้อยละ 20 ทำให้เผชิญกับข้อจำกัดในการทำเกษตรให้หลากหลายมากขึ้นอยู่พอสมควร ทั้งด้านการลงทุนและด้านกรรมสิทธิ์ในการปรับปรุงที่ดิน เช่น การขุดพื้นดินเพื่อทำการเกษตรอื่น ๆ นอกเหนือจากลักษณะเดิม ครัวเรือนที่มีหัวหน้าครัวเรือนสูงวัยจะไม่ค่อยทำเกษตรหลากหลายมากนัก และการมีแรงงานอายุน้อยในครัวเรือนก็มีผลต่อการลงทุนในพืชที่มีผลตอบแทนสูง
ผลการศึกษานี้ค่อนข้างแตกต่างจากต่างประเทศที่มักพบว่าปัจจัยจากครัวเรือนเกษตรกรเองที่ส่งผลให้เกษตรกรไม่สามารถทำเกษตรในรูปแบบที่เหมาะสมที่สุดได้ เช่น เกษตรกรในประเทศอินเดียคิดว่าสินทรัพย์และเงินทุนเป็นอุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดต่อการทำเกษตรแบบหลากหลาย (Khatun and Roy, 2012) ส่วนใน Culas and Mahendrarajah (2005) ก็พบว่าที่ นอร์เวย์ เนื้อที่ทำเกษตรส่งผลต่อการทำเกษตรแบบหลากหลายมากที่สุด
บทความนี้ใช้ข้อมูลการเพาะปลูกรายแปลงของเกษตรกรทั่วประเทศกว่าหนึ่งทศวรรษมาศึกษาพลวัตการทำเกษตรไทย และสะท้อนให้เห็นว่าการทำเกษตรของไทยยังกระจุกอยู่กับการปลูกข้าวและพืชเศรษฐกิจเป็นส่วนใหญ่ และมีความกระจุกตัวในระดับพื้นที่และเวลาสูง และครัวเรือนเกษตรไทยส่วนใหญ่มีแนวโน้มทำเกษตรเชิงเดี่ยวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการปลูกพืชเศรษฐกิจมหาชนซึ่งไม่ได้ให้ผลตอบแทนต่อความเสี่ยงที่สูงนัก
โดยเราพบว่านโยบายภาครัฐ การตอบรับกับราคาผลผลิตในระยะสั้น ระดับความเสี่ยงที่สูง ความเลื่อมล้ำในการเข้าถึงทรัพยากรน้ำและกรรมสิทธิ์ที่ดินทำกิน ตลอดถึงการเข้าสู่สังคมสูงวัยของครัวเรือน เป็นปัจจัยหลัก ๆ ที่บิดเบือนแรงจูงใจและสร้างข้อจำกัด ทำให้เกษตรกรไทยส่วนใหญ่ยังคงทำเกษตรที่มีผลตอบแทนต่อความเสี่ยงต่ำอยู่ งานวิจัยนี้ยังแสดงให้เห็นว่า ครัวเรือนสามารถทำเกษตรให้ได้ผลลัพธ์ดีขึ้นได้ หากปรับเปลี่ยนการทำเกษตรให้หลากหลายมากขึ้น ซึ่งกรณีของข้าวแสดงให้เห็นแล้วว่าชาวนาทุกจังหวัดมีทางเลือกให้ทำการเกษตรให้ได้ผลตอบแทนต่อความเสี่ยงที่สูงขึ้นได้
ผลการศึกษาข้างต้นนำไปสู่นัยเชิงนโยบาย โดยผู้กำหนดนโยบายควรจะกำหนดทิศทางการทำเกษตรให้หลากหลายขึ้น ร่วมมือกับทุกภาคส่วนจัดทำเป้าหมายการผลิตสินค้าเกษตรแต่ละชนิดให้สอดคล้องกัน และควรเลิกใช้มาตรการช่วยเหลือเยียวยาที่บิดเบือนตลาด ซึ่งอาจบิดเบือนแรงจูงใจและหน่วงรั้งเกษตรกรไม่ให้ปรับตัวไปสู่การทำเกษตรที่มีผลตอบแทนสูงขึ้น และผู้กำหนดนโยบายควรเปลี่ยนรูปแบบการช่วยเหลือมามุ่งส่งเสริมให้เกษตรกรเข้มแข็งขึ้นและพึ่งตนเองได้ จนสามารถเลือกทำการเกษตรที่มีผลิตภาพสูงและได้ผลตอบแทนต่อความเสี่ยงที่สูงขึ้นได้ในที่สุดโดยการส่งเสริมการใช้ข้อมูล เทคโนโลยีและตลาดที่ยั่งยืน เช่น
การใช้ประโยชน์จากการกระจุกตัวเชิงพื้นที่ของการทำกิจกรรมเกษตร ในการลดต้นทุนและสนับสนุนให้เกษตรกรรายย่อยเข้าถึงเทคโนโลยีได้มากขึ้น เช่น การสนับสนุน sharing economy ผ่านการส่งเสริมตลาดเช่าซื้อเครื่องจักรกลการเกษตร เป็นต้น
การส่งเสริมให้เกษตรกรสามารถบริหารจัดการผลผลิต และกระจายออกไปขายในแต่ละช่วงเวลามากขึ้น โดยการจัดทำข้อมูลสินค้าเกษตรแต่ละชนิด ทั้งในด้านอุปทานซึ่งแสดงให้เห็นภาพรวมการเพาะปลูกในเชิงพื้นที่และในภาพรวมแบบ real time และในด้านอุปสงค์ซึ่งแสดงผลการพยากรณ์ความต้องการตลาดและราคาสินค้าในแต่ละช่วงเวลา เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจดังกล่าวของเกษตรกร รวมถึงส่งเสริมการสร้างยุ้งฉางในพื้นที่ที่ปรับความชื้นได้ ทั้งในระดับครัวเรือน และในระดับชุมชน เช่น กลุ่มเกษตรกร สถาบันเกษตรกร องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อจะชะลอการออกสู่ตลาดของผลผลิต โดยเฉพาะข้าว ข้าวเหนียว และข้าวโพด และ
การส่งเสริมตลาดประกันภัยพืชผลและตลาดซื้อขายผลผลิตล่วงหน้าที่ยั่งยืน เพื่อให้เกษตรกรได้มีเครื่องมือบริหารจัดการความเสี่ยงขนาดใหญ่เกินที่จะจัดการได้ผ่านการปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำเกษตร
นอกจากนี้ ผู้กำหนดนโยบายควรจะส่งเสริมการทำเกษตรผสมผสานควบคู่กันไป โดยประยุกต์ใช้แนวทางการทำเกษตรยั่งยืนและการทำทฤษฎีใหม่ให้มากขึ้น และพิจารณาการช่วยลดข้อจำกัดของเกษตรกรในการปรับเปลี่ยนการทำเกษตร โดยส่งเสริมให้เกษตรกรมีกรรมสิทธิ์ที่ดินมากขึ้น และเพิ่มการเข้าถึงทรัพยากรน้ำ เพื่อช่วยให้เกษตรกรสามารถบริหารจัดการความเสี่ยงได้เองมากขึ้น และสามารถเลือกทำการเกษตรให้ได้ผลตอบแทนต่อความเสี่ยงที่สูงขึ้นได้ในที่สุด
Ahmad and Isvilanonda (2005). Rural poverty and agricultural diversification. In Rice is life: scientific perspective for the 21st century. Toriyama, K., Heong, K.L. and Hardy, B., eds. IRRI. pp.425–428.
Attavanich, W. (2016). Did the Thai rice-pledging programme improve the economic performance and viability of rice farming?.Applied Economics.48(24): 2253–2265.
Attavanich, W., Chantarat, S., Chenphuengpawn, J. and Sa-ngimnet, B. (2019). Microscopic view of Thailand’s agriculture through the lens of farmer registration and census data. Forthcoming PIER Discussion Paper.
Babatunde, R.O. and Qaim, M. (2009). Patterns of income diversification in rural Nigeria: determinants and impacts. Quarterly Journal of International Agriculture. 48(4): 305–320.
Culas, R. and Mahendrarajah, M. (2005). Causes of Diversification in Agriculture over Time: Evidence from Norwegian Farming Sector. Paper presented at the 11th Congress of the European Association of Agricultural Economists. Copenhagen.
FAO (2015). Agricultural transformation of middle-income Asian economies: Diversification, farm size and mechanization. ESA Working Paper No. 15-04. Rome.
Hansson, H., Ferguson, R. and Olofsson, C. (2010). Understanding the diversification and specialization of farm business. Agricultural and Food Science. 19(4): 269–283.
IIyama, M, Kariuki, P., Kristjanson, P., Kaitibie, S. and Maitima, J. (2008). Livelihood Diversification Strategies, Income and Soil Management Strategies: A Case Study from Kerio Valley, Kenya. Journal of International Development. 20(3). 380–397.
Khatun, D. and Roy, B.C. (2012). Rural Livelihood Diversification in West Bengal: Determinants and Constraints. Agricultural Economics Research Review 25(1): 115–124.
Markowitz, H.M. (1952). Portfolio Selection. Journal of Finance 7(1): 77–91.
Phetcharat, C., Chalermphol, J. and Siphumin, P. (2015). Determinants of Farm Decision to Enter Land Diversion: The case of Upland Farmers in Northern Thailand. Paper presented at thSouthern Agricultural Economics Association’s 2015 Annual Meeting. Atlanta.
World Bank (1990). Agricultural Diversification: Policies and Issues from East Asian Experience. Policy and research series No. 11. Washington, D.C.
เชาวนา เพชรรัตน์ พรรธชาดา โพธิ์เชิด และเบญจพร เขื่อนสุวงศ์ (2562). รูปแบบการผลิตเกษตรของครัวเรือนไทยในชนบท จากข้อมูล Townsend Thai Data. aBRIDGEd. Issue 10/2019.
นิพนธ์ พัวพงศกร กัมพล ปั้นตะกั่ว ชมพูนุช นันทจิต ดนพ อรุณคง และจิรัฐ เจนพึ่งพร. (2557) การคอร์รัปชั่นกรณีการศึกษา: โครงการรับจำนำข้าวทุกเม็ด. รายงานการวิจัย เสนอต่อสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) สัญญาเลขที่ RDG56H0007.
โสมรัศมิ์ จันทรัตน์ วิษณุ อรรถวานิช และบุญธิดา เสงี่ยมเนตร (2561). จุลทรรศน์ภาคเกษตรไทยผ่านข้อมูลทะเบียนเกษตรกรและสำมะโนเกษตร. aBRIDGEd. Issue 9/2018.
- การลงทะเบียนของเกษตรกรในปัจจุบันเป็นในลักษณะตามความสมัครใจ โดยเกษตรกรส่วนใหญ่ก็จะมีแรงจูงใจที่จะมาลงทะเบียนในทุกรอบการปลูกเพราะจะได้มีสิทธิ์ที่จะได้รับความช่วยเหลือและนโยบายต่าง ๆ ของภาครัฐ แต่ทั้งนี้ ก็ยังมีเกษตรกรถึงเกือบร้อยละ 10 ที่เราไม่สามารถเห็นได้จากข้อมูลชุดนี้ การวิเคราะห์นัยจากผลการศึกษาในงานวิจัยชิ้นนี้จึงต้องคำนึงถึงความจริงข้อนี้ด้วย↩
- บทความนี้วัดจำนวนกิจกรรมเกษตรที่ละเอียดมากขึ้นเป็นรายพืช ซึ่งจะแตกต่างจากการวัดของ โสมรัศมิ์ วิษณุ และบุญธิดา (2018) ที่ยุบกิจกรรมการทำเกษตรรองเข้าด้วยกันเป็นกลุ่ม↩
- การวัดการกระจุกตัวด้วยจำนวนกิจกรรมเกษตรให้ผลที่สอดคล้องกับการใช้ดัชนีวัดความหลากหลาย Herfindahl-Hirschman↩
- ผลตอบแทนและความเสี่ยงของแต่ละรูปแบบการทำเกษตรที่สร้างขึ้นจึงสะท้อนทั้ง variation ระหว่างปีและระหว่างครัวเรือนที่ทำเกษตรรูปแบบนั้น ๆ↩
- จำนวนไม่ได้ครอบคลุมกิจกรรมเกษตรทั้งหมด แต่ครอบคลุมกิจกรรมเกษตรหลักในกลุ่มตัวอย่างของข้อมูลภาวะเศรษฐกิจสังคมครัวเรือนและแรงงานเกษตร↩