Research
Discussion Paper
PIERspectives
aBRIDGEd
PIER Blog
Events
Conferences
Research Workshops
Policy Forums
Seminars
Exchanges
Research Briefs
Community
PIER Research Network
Visiting Fellows
Funding and Grants
About Us
Our Organization
Announcements
PIER Board
Staff
Work with Us
Contact Us
TH
EN
Research
Research
Discussion Paper
PIERspectives
aBRIDGEd
PIER Blog
Labor Force Transitions at Older Ages: Burnout, Recovery, and Reverse Retirement
Latest discussion Paper
Labor Force Transitions at Older Ages: Burnout, Recovery, and Reverse Retirement
ภาษีทรัมป์ 2.0 กับความท้าทายต่อภาคการส่งออกไทย
Latest aBRIDGEd
ภาษีทรัมป์ 2.0 กับความท้าทายต่อภาคการส่งออกไทย
Events
Events
Conferences
Research Workshops
Policy Forums
Seminars
Exchanges
Research Briefs
BOT Symposium 2025: Towards Safer and More Inclusive Digital Finance
Upcoming conference
BOT Symposium 2025: Towards Safer and More Inclusive Digital Finance
Challenges for Monetary Policy Amidst Changing Inflation Dynamics
Latest policy forum
Challenges for Monetary Policy Amidst Changing Inflation Dynamics
สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์
Puey Ungphakorn
Institute for
Economic Research
Puey Ungphakorn Institute for Economic Research
Community
Community
PIER Research Network
Visiting Fellows
Funding and Grants
PIER Research Network
PIER Research Network
Funding & Grants
Funding & Grants
About Us
About Us
Our Organization
Announcements
PIER Board
Staff
Work with Us
Contact Us
Staff
Staff
ประกาศรับสมัครทุนสถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ ประจำปี 2568 รอบที่ 2 (ประเภททั่วไป)
Latest announcement
ประกาศรับสมัครทุนสถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ ประจำปี 2568 รอบที่ 2 (ประเภททั่วไป)
aBRIDGEdabridged
Making Research Accessible
QR code
Year
2025
2024
2023
2022
...
Topic
Development Economics
Macroeconomics
Monetary Economics
Financial Markets and Asset Pricing
...
/static/7bd6f03b65c7b88b38e787220341679d/41624/cover.jpg
18 September 2025
20251758153600000

ภาษีทรัมป์ 2.0 กับความท้าทายต่อภาคการส่งออกไทย

เจาะลึกผลกระทบของภาษีทรัมป์ต่อส่งออกไทย กระทบ Sector ไหน? ผ่านช่องทางใด?
Jirayu ChandrasakhaApichaya PhoousaNuwat NookhwunJettawat PattararangrongWarinthip Worasak
ภาษีทรัมป์ 2.0 กับความท้าทายต่อภาคการส่งออกไทย
excerpt

การปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ต่อประเทศคู่ค้า และผลพวงจากการเจรจาการค้าที่เกิดขึ้น ส่งผลกระทบอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจและการค้าโลก รวมถึงไทยที่พึ่งพาการค้าระหว่างประเทศสูง บทความนี้วิเคราะห์ช่องทางต่าง ๆ ที่นโยบายภาษีของทรัมป์จะส่งผลต่อภาคการส่งออกไทย ผ่านการใช้หลายฐานข้อมูลเชิงลึกเพื่อชี้ให้เห็นถึงผลกระทบที่อาจแตกต่างกันออกไปในแต่ละกลุ่มสินค้า โดยพบว่าผลกระทบหลักจะตกอยู่กับผู้ส่งออกไทยที่ส่งสินค้าไปสหรัฐฯ ซึ่งอาจต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากการถูกแย่งตลาดและสินค้าสวมสิทธิ์ (transshipment) ขณะที่ผู้ส่งออกรายอื่น ๆ อาจได้รับผลกระทบผ่านความเชื่อมโยงระหว่างไทยกับประเทศต่าง ๆ ในห่วงโซ่การผลิตโลก และผ่านการแข่งขันในตลาดโลกที่สูงขึ้น ในระยะข้างหน้า การเปลี่ยนแปลงของห่วงโซ่การผลิตโลก (global supply chain reallocation) ที่จะโยกย้ายไปสู่ประเทศที่มีความได้เปรียบด้านราคา จะเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อภาคการส่งออกไทย ทำให้ภาครัฐและภาคเอกชนต้องเร่งปรับตัวเพื่อให้ภาคการส่งออกไทยแข่งขันได้และเติบโตอย่างยั่งยืนภายใต้ภูมิทัศน์การค้าโลกใหม่

มาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2561 ภายใต้ประธานาธิบดีทรัมป์ โดย ในช่วงเริ่มแรก สหรัฐฯ ขึ้นภาษีนำเข้ากับสินค้าจีนเป็นหลัก จนมาถึงปี 2568 จึงได้ประกาศขึ้นภาษีนำเข้ากับทุกประเทศคู่ค้าทั่วโลก เพื่อแก้ปัญหาการขาดดุลการค้าและตอบโต้มาตรการทางการค้าที่ไม่เป็นธรรมต่อสหรัฐฯ นโยบายภาษีนำเข้าดังกล่าวสร้างความกังวลต่อทุกประเทศคู่ค้ารวมถึงประเทศไทยซึ่งพึ่งพาการค้ากับสหรัฐฯ สูง จนนำไปสู่การเจรจาเพื่อลดภาษีนำเข้า ซึ่งทำให้หลายประเทศต้องยอมแลกด้วยเงื่อนไขต่าง ๆ เช่น การเปิดเสรีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ การลงทุนเพิ่มเติมในสหรัฐฯ เป็นต้น

สินค้าไทยที่ส่งออกไปสหรัฐฯ หลายสินค้าต้องเผชิญกับภาษีนำเข้าที่สูงขึ้น ประกอบด้วย

  1. สินค้าที่โดนภาษีเฉพาะอุตสาหกรรม หรือ sectoral tariff ได้แก่ ยานยนต์และชิ้นส่วน (ภาษี 25%) เหล็กและอลูมิเนียม (ภาษี 50%) สินค้าบางรายการที่ใช้เหล็กและอลูมิเนียมเป็นองค์ประกอบหลัก และทองแดง (ภาษี 50%) ซึ่งสินค้ากลุ่มนี้คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 13% ของมูลค่าการส่งออกไทยไปสหรัฐฯ
  2. สินค้าที่โดนภาษีตอบโต้ หรือ reciprocal tariff ซึ่งสินค้าไทยถูกจัดเก็บอยู่ที่ 19% ลดลงจากเดิมที่เคยประกาศไว้ก่อนหน้าที่ 36% ภาษีตอบโต้นี้ครอบคลุมสินค้าไทยสูงถึง 58% ของมูลค่าการส่งออกไทยไปสหรัฐฯ

นอกจากนี้ การส่งออกของไทยไปสหรัฐฯ ยังมีความเสี่ยงจากภาษีนำเข้าสินค้าที่เข้าข่ายสวมสิทธิ์ (transshipment) ที่สูงถึง 40% รวมถึงสินค้าบางรายการที่ยังอยู่ระหว่างการพิจารณา sectoral tariff เช่น อิเล็กทรอนิกส์ เซมิคอนดักเตอร์ ยา เป็นต้น รูปที่ 1 แสดงอัตรานำเข้าสินค้าไทยกลุ่มต่าง ๆ ภายหลังจากการปรับขึ้นภาษีนำเข้าของทรัมป์ โดยสินค้ากลุ่มเหล็กและโลหะโดนภาษีสูงสุด (43.4%)1 ตามด้วยสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม (29.5%) ยานยนต์และชิ้นส่วน (26.3%) ขณะที่กลุ่มสินค้าส่วนใหญ่ถูกจัดเก็บภาษีที่ประมาณ 20%

รูปที่ 1: อัตราภาษีนำเข้าที่สหรัฐฯ จัดเก็บสินค้าส่งออกไทย จำแนกตามกลุ่มสินค้า

อัตราภาษีนำเข้าที่สหรัฐฯ จัดเก็บสินค้าส่งออกไทย จำแนกตามกลุ่มสินค้า

หมายเหตุ: คำนวณจากค่าเฉลี่ยของอัตราภาษีนำเข้าสินค้าไทย (รหัสพิกัดศุลกากร 6 หลัก) ที่จัดเก็บโดยสหรัฐฯ ณ วันที่ 5 ก.ย. 2568 ถ่วงน้ำหนักด้วยสัดส่วนมูลค่าการส่งออกสินค้านั้นของไทยไปสหรัฐฯ ต่อมูลค่าการส่งออกรวมในกลุ่มสินค้านั้น ๆ ในปี 2567 ทั้งนี้ ไม่นับรวมภาษีตามกติกาของ WTO ทั้งภาษีตอบโต้การทุ่มตลาด ภาษีตอบโต้การอุดหนุน และภาษีตอบโต้การหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน ที่มา: คำนวณโดยผู้วิจัย

บทความนี้จะวิเคราะห์ถึงช่องทางต่าง ๆ ที่นโยบายภาษีของทรัมป์ จะส่งผลต่อภาคการส่งออกไทย โดยใช้ข้อมูลเชิงลึกหลายฐานข้อมูล ได้แก่ ข้อมูลส่งออกนำเข้าสินค้ารายธุรกรรมจากกรมศุลกากร ข้อมูลการค้าระหว่างประเทศจาก UN Comtrade และ USITC ตารางปัจจัยการผลิตและผลผลิตโลกที่จัดทำโดย OECD และข้อมูลสำรวจสำมะโนอุตสาหกรรมที่จัดทำโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ ข้อมูลเหล่านี้ช่วยให้เห็นถึงโครงสร้างการส่งออกไทยและความเชื่อมโยงกับห่วงโซ่การผลิตโลก รวมถึงทำให้สามารถประเมินผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมที่อาจแตกต่างกันออกไปในแต่ละกลุ่มสินค้า ซึ่งประกอบด้วย

  1. ผลโดยตรงต่อผู้ส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ จากภาษีนำเข้าที่สูงขึ้น โดยบทความนี้จะวิเคราะห์ผลกระทบผ่านช่องทางนี้เป็นหลัก
  2. ผลทางอ้อมผ่านความเชื่อมโยงระหว่างไทยกับประเทศต่าง ๆ ในห่วงโซ่การผลิตโลก และผ่านการแข่งขันในตลาดโลกที่สูงขึ้น
  3. ผลจากการเปลี่ยนแปลงของห่วงโซ่การผลิตโลกที่จะเกิดขึ้นในระยะต่อไป

ภาษีนำเข้าที่สูงขึ้นท้าทายผู้ส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ

นโยบายภาษีของทรัมป์กระทบผู้ส่งออกไทยที่จะต้องเผชิญกับภาษีนำเข้าที่สูงขึ้น ทำให้ความต้องการสินค้าจากผู้บริโภคและผู้ประกอบการในสหรัฐฯ ต่อสินค้าไทยลดลง และหากผู้ส่งออกต้องลดราคาสินค้าเพื่อรักษาส่วนแบ่งตลาดหรือคำสั่งซื้อของลูกค้า ก็จะส่งผลต่อกำไรของธุรกิจตามมา2

ทั้งนี้ ผลวิจัยของ Fajgelbaum et al. (2019) ที่ศึกษาผลกระทบของสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ในปี 2561–62 พบว่า ภาษีนำเข้าสินค้าจีนที่เพิ่มขึ้น 1% ทำให้ปริมาณการนำเข้าสินค้าจีนโดยสหรัฐฯ ลดลงได้ถึง 1.5% ผลกระทบผ่านช่องทางนี้เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจไทยที่ส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ กว่า 5,500 บริษัท ซึ่งมีมูลค่าการส่งออกไปสหรัฐฯ รวมกว่า 1.8 ล้านล้านบาท (18% ของมูลค่าการส่งออกรวมของไทยในปี 2567) และว่าจ้างแรงงานรวมกว่า 1.5 ล้านคน และในท้ายที่สุด จะส่งผลต่อเนื่องไปถึงผู้ประกอบการในประเทศที่อยู่ในห่วงโซ่การผลิตของสินค้าส่งออกเหล่านี้ อย่างไรก็ตาม ผลกระทบต่อกลุ่มสินค้า (sector) ต่าง ๆ อาจมีความแตกต่างกันออกไป ขึ้นกับหลายปัจจัย เช่น ระดับของการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ ความแตกต่างของภาษีนำเข้าที่จัดเก็บสินค้าไทยเทียบกับประเทศคู่แข่งสำคัญ ความเสี่ยงต่อภาษีสินค้า transshipment ไปจนถึงความสามารถในการรับมือกับ shock ของธุรกิจ โดยมีรายละเอียด ดังนี้

การพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ

สินค้าส่งออกไทยส่วนใหญ่พึ่งพาตลาดสหรัฐฯ ค่อนข้างมาก ทำให้หลายกลุ่มสินค้าอาจได้รับผลกระทบมากจากนโยบายภาษีของทรัมป์ ตัวอย่างเช่น สินค้ากลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และอุปกรณ์ถ่ายภาพที่มีสัดส่วนการส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ สูงเกือบ 40% ต่อมูลค่าการส่งออกรวมของกลุ่มสินค้านั้น ๆ ขณะที่สินค้ากลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า รวมถึงเครื่องจักรและอุปกรณ์ พึ่งพาตลาดสหรัฐฯ คิดเป็น 30% และ 25% ของมูลค่าการส่งออกรวม ตามลำดับ (ตารางที่ 1) โดยทั้งสี่กลุ่มสินค้านี้มีมูลค่าการส่งออกไปสหรัฐฯ รวมกันคิดเป็นกว่า 58% ของมูลค่าการส่งออกรวมจากไทยไปสหรัฐฯ หรือ 10.5% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดของไทย นอกจากนี้ สินค้ากลุ่มเฟอร์นิเจอร์แม้จะมีมูลค่าการส่งออกไม่สูงนัก แต่พึ่งพาตลาดสหรัฐฯ มากกว่าครึ่งหนึ่ง อย่างไรก็ดี กลุ่มสินค้าส่งออกสำคัญของไทยอย่างยานยนต์และชิ้นส่วน และเกษตรแปรรูป มีสัดส่วนการส่งออกไปสหรัฐฯ ไม่ถึง 15%

ตารางที่ 1: ข้อมูลประกอบการประเมินผลกระทบจากนโยบายภาษีของทรัมป์ต่อการส่งออกสินค้าไทยไปสหรัฐฯ

ข้อมูลประกอบการประเมินผลกระทบจากนโยบายภาษีของทรัมป์ต่อการส่งออกสินค้าไทยไปสหรัฐฯ

หมายเหตุ: (1) คำนวณจากสัดส่วนของมูลค่าการส่งออกไปสหรัฐฯ ต่อมูลค่าการส่งออกรวมของกลุ่มสินค้านั้น ๆ โดยใช้ข้อมูลกรมศุลกากรปี 2567 (2) คำนวณจากข้อมูลภาษีนำเข้า ณ วันที่ 5 ก.ย. 2568 โดยในกรณีฐาน สมมติให้เม็กซิโกและแคนาดาได้ภาษี 0% คิดเป็น 50% และ 40% ของมูลค่าการส่งออกสินค้าจากทั้งสองประเทศไปสหรัฐฯ ตามลำดับ ยกเว้นสินค้ากลุ่มเหล็กและโลหะ ส่วนกรณี Max USMCA สมมติให้เม็กซิโกและแคนาดาได้ภาษี 0% สำหรับสินค้าทั้งหมดที่ส่งออกไปสหรัฐฯ ยกเว้นเหล็กและโลหะ (3) ใช้ข้อมูล trade elasticities จาก Fontagna2022 (4) คำนวณดัชนี Revealed comparative advantage ของสินค้าไทย (รหัสพิกัดศุลกากร 6 หลัก) ในตลาดสหรัฐฯ และถ่วงน้ำหนักมูลค่าการส่งออกสินค้านั้นที่มา: กรมศุลกากร Fontagna2022 UN Comtrade สำนักงานประกันสังคม และคำนวณโดยผู้วิจัย

ภาษีนำเข้าที่จัดเก็บสินค้าไทยเทียบกับคู่แข่ง

หากพิจารณาข้อมูลอัตราภาษีนำเข้าล่าสุด (ณ วันที่ 5 กันยายน 2568) สินค้าไทยเผชิญกับภาษีนำเข้าที่ต่ำกว่าจีนมาก ซึ่งอาจช่วยให้สินค้าไทยสามารถดึงดูดผู้ซื้อในสหรัฐฯ และเข้าไปทดแทนสินค้าจีนได้บ้าง ขณะเดียวกัน ภาษีนำเข้าสินค้าไทยก็อยู่ในระดับใกล้เคียงกับประเทศเพื่อนบ้าน เข่น มาเลเซีย เวียดนาม ซึ่งมักส่งออกสินค้าคล้าย ๆ กัน จึงไม่ก่อให้เกิดความได้เปรียบหรือเสียเปรียบกันในการแข่งขันในตลาดสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม สินค้าส่งออกไทยบางอย่างมีความเสี่ยงที่จะถูกแย่งตลาดโดยประเทศคู่แข่งที่ถูกจัดเก็บภาษีต่ำกว่า เมื่อคำนวณเปรียบเทียบอัตราภาษีนำเข้าสินค้าไทยกับสินค้าของประเทศคู่แข่ง (ไม่รวมประเทศจีน) ดังแสดงในตารางที่ 1 จะพบว่าในกลุ่มสินค้าส่วนใหญ่ ภาษีนำเข้าที่ไทยถูกจัดเก็บนั้นไม่แตกต่างจากค่าเฉลี่ยของภาษีที่ประเทศคู่แข่งเผชิญเท่าใดนัก ยกเว้นสินค้ากลุ่มอุปกรณ์การแพทย์ รวมถึงยานยนต์และชิ้นส่วนที่ภาษีนำเข้าสินค้าไทยสูงกว่าคู่แข่งอยู่ที่ประมาณ 4% โดยสินค้าทั้งสองกลุ่มมีคู่แข่งสำคัญคือ EU และ เม็กซิโก3 ขณะที่กลุ่มยานยนต์และชิ้นส่วนซึ่งมีสินค้าส่งออกหลักคือล้อยางรถยนต์และรถบรรทุก ต้องแข่งกับประเทศในเอเชียเช่นเกาหลีและญี่ปุ่นด้วย ซึ่งโดนภาษีตอบโต้ต่ำกว่าไทย4

ความเสี่ยงสำคัญในเรื่องของการถูกแย่งตลาดจะมาจากกรณีที่เม็กซิโกและแคนาดาสามารถส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ โดยได้รับการละเว้นภาษีนำเข้า หากสามารถปฏิบัติตามเกณฑ์สัดส่วนมูลค่าวัตถุดิบภายในภูมิภาคที่ใช้ในการผลิตสินค้า หรือ Regional Value Content ตามข้อตกลง USMCA5 โดยกลุ่มสินค้าที่เผชิญกับความเสี่ยงดังกล่าว และมีอุปสงค์ที่ตอบสนองต่อความแตกต่างของภาษีนำเข้าได้ง่าย ประกอบด้วย สินค้ากลุ่มยานยนต์และชิ้นส่วน เคมีภัณฑ์ เฟอร์นิเจอร์ และเกษตรแปรรูป (มูลค่าการส่งออกไปสหรัฐฯ รวมอยู่ที่ประมาณ 4.4% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดของไทย) อย่างไรก็ดี ทั้งสินค้ากลุ่มยานยนต์และชิ้นส่วน และเกษตรแปรรูป อาจได้ประโยชน์จากการมีความสามารถทางการแข่งขันที่สูงกว่าหรือประสิทธิภาพในการผลิตที่ดีกว่า สะท้อนจากดัชนีความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบ (revealed comparative advantage) ที่อยู่ในระดับสูง (ตารางที่ 1) จึงอาจช่วยลดทอนความเสี่ยงจากการถูกแย่งตลาดได้บ้าง โดยไทยถือเป็นเจ้าตลาดในการส่งออกสินค้าหลักจากทั้งสองกลุ่มสินค้า ได้แก่ ล้อยางรถยนต์และรถบรรทุก และอาหารสัตว์เลี้ยง ขณะที่สินค้ากลุ่มอุปกรณ์การแพทย์อาจเสียเปรียบเม็กซิโกเพิ่มขึ้นเช่นกันแต่อุปสงค์ต่อสินค้าไม่อ่อนไหวต่อความแตกต่างของอัตราภาษีมากนัก

แล้ว Sector ไหนเสี่ยงต่อประเด็น Transshipment?

อีกหนึ่งความเสี่ยงสำคัญที่ผู้ส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ กำลังเผชิญคือ ความเสี่ยงจากภาษีสินค้า transshipment หรือสินค้าสวมสิทธิ์ที่ใช้ไทยเป็นทางผ่านในการส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีนำเข้าที่สูงกว่าในประเทศแหล่งกำเนิดของสินค้า โดยสินค้าดังกล่าวจะต้องเผชิญกับอัตราภาษีนำเข้าสูงถึง 40% ทั้งนี้ ในปัจจุบันยังไม่มีความชัดเจนว่า สหรัฐฯ จะใช้เกณฑ์ใดในการระบุสินค้า transshipment แต่มีความเป็นไปได้ที่สหรัฐฯ อาจใช้เกณฑ์สัดส่วนมูลค่าวัตถุดิบภายในประเทศ (Local Content) หรือเกณฑ์สัดส่วนมูลค่าวัตถุดิบภายในภูมิภาคที่ใช้ในการผลิตสินค้า (Regional Value Content, RVC) คล้ายคลึงกับข้อกำหนดใน USMCA ที่สหรัฐฯ ทำข้อตกลงกับเม็กซิโกและแคนาดา ซึ่งสหรัฐฯ จะกำหนดเกณฑ์ RVC ไว้สูงถึง 50–60% เพื่อป้องกันการสวมสิทธิ์

การกำหนดเกณฑ์ Local Content หรือ RVC ทำให้สินค้าส่งออกไทยสุ่มเสี่ยงต่อภาษี transshipment โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าที่ไทยเป็นผู้ผลิตขั้นกลางน้ำหรือปลายน้ำในห่วงโซ่การผลิตโลก ข้อมูลจากตารางปัจจัยการผลิตและผลผลิตโลกปี 2563 ดังแสดงในรูปที่ 2 พบว่าการส่งออกสินค้าไทยไปสหรัฐฯ ในภาพรวม มีสัดส่วนการใช้วัตถุดิบจากในประเทศ (domestic content) อยู่ที่ประมาณ 68% ในปี 2563 สูงขึ้นจากสัดส่วนในปี 2553 แต่สัดส่วนวัตถุดิบจากประเทศจีนก็สูงขึ้นเช่นเดียวกันจาก 5% มาอยู่ที่ 10% นอกจากนี้ หากเปรียบเทียบกับประเทศในกลุ่มอาเซียน สินค้าส่งออกของเวียดนามไปสหรัฐฯ มีสัดส่วน domestic content อยู่ในระดับต่ำที่สุดที่ 57% และมีสัดส่วนการใช้วัตถุดิบ ที่มาจากจีนสูง ทำให้ประเทศเวียดนามอาจมีข้อกังวลเกี่ยวกับสินค้า transshipment สูงกว่า อย่างไรก็ตาม ในกรณีของไทย เมื่อพิจารณาในรายหมวดสินค้า (รหัส ISIC 2 หลัก) จะพบว่า สัดส่วน domestic content มีความแตกต่างกัน และมีบางกลุ่มสินค้าที่สุ่มเสี่ยงต่อภาษี transshipment เนื่องจากมีสัดส่วน domestic content ใกล้เคียงกับ 50% เช่น หมวดเหล็กและโลหะ อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องจักรและอุปกรณ์ รวมถึงยานพาหนะและชิ้นส่วน ซึ่งล้วนแต่เป็นกลุ่มสินค้าส่งออกหลักของไทยทั้งสิ้น นอกจากนี้ สินค้าเหล่านี้มีสัดส่วนการใช้วัตถุดิบจากจีนเพิ่มขึ้นราวสองเท่าภายในเวลาสิบปี จึงอาจต้องเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้นหากต้องปรับตัวโดยปรับเปลี่ยนมาใช้วัตถุดิบในประเทศ หรือจากประเทศในภูมิภาคที่สหรัฐฯ อนุญาตให้นับรวมเป็น RVC

รูปที่ 2: สัดส่วนวัตถุดิบจากประเทศต่าง ๆ ในการส่งออกไทยไปสหรัฐฯ รายหมวดสินค้า

สัดส่วนวัตถุดิบจากประเทศต่าง ๆ ในการส่งออกไทยไปสหรัฐฯ รายหมวดสินค้า

หมายเหตุ: เอเชีย ประกอบด้วย ฮ่องกง ไต้หวัน อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ที่มา: Inter country input-output table ของ OECD ปี 2566 ตามโครงสร้างการค้าปี 2563 และคำนวณโดยผู้วิจัย

บทความนี้ประเมินความเสี่ยงต่อภาษี transshipment เพิ่มเติมสำหรับภาคการผลิต (manufacturing) ผ่านข้อมูลเชิงลึกที่จะช่วยให้เห็นถึงความแตกต่างของ RVC ในระดับอุตสาหกรรมย่อยและระดับบริษัท โดยใช้

  1. ข้อมูลการสำรวจสำมะโนอุตสาหกรรมปี 2565 เพื่อให้เห็นถึงโครงสร้างต้นทุนการผลิตและสัดส่วนของวัตถุดิบนำเข้าของบริษัทส่งออกในระดับอุตสาหกรรมย่อย (รหัส ISIC 4 หลัก) ควบคู่ไปกับ
  2. ข้อมูลใบขนสินค้าฯ ที่ทำให้ทราบถึงแหล่งที่มาของวัตถุดิบนำเข้าในรายบริษัท

ผลการศึกษาแสดงในรูปที่ 3 พบว่า บริษัทที่ส่งออกไปสหรัฐฯ ส่วนใหญ่มีสัดส่วนการใช้วัตถุดิบในภูมิภาคในระดับที่สูงเกินกว่า 60% โดยค่าเฉลี่ยของสัดส่วน RVC ค่อนข้างสูงในกลุ่มสินค้าเฟอร์นิเจอร์ ยานยนต์และชิ้นส่วน6 รวมถึงเกษตรแปรรูป อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงภาษี transshipment ต่อภาคการส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ ยังเป็นความเสี่ยงที่ควรเฝ้าระวัง เนื่องจาก สัดส่วน RVC ของบริษัทผู้ส่งออกไปสหรัฐฯ กระจายตัวค่อนข้างสูงในรายบริษัทแม้จะผลิตและส่งออกสินค้าที่อยู่ในกลุ่มสินค้าเดียวกัน โดยบทความนี้พบว่า มีบริษัทราว 14% ของบริษัทที่ส่งออกไปสหรัฐฯ ที่มีสัดส่วน RVC ต่ำกว่าเกณฑ์ที่คาดว่าสหรัฐฯ จะกำหนดที่ 60% ซึ่งบริษัทเหล่านี้ส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ คิดเป็นมูลค่าประมาณ 15% ต่อมูลค่าการส่งออกไทยไปสหรัฐฯ หรือ 3% ของมูลค่าการส่งออกรวมของไทย และมีการจ้างงานรวมไม่น้อยกว่า 3 แสนคน (ดูตารางที่ 2) โดยความเสี่ยงต่อมูลค่าการส่งออกส่วนใหญ่อยู่ในสินค้ากลุ่มเครื่องจักรและอุปกรณ์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า ตามด้วยกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และเหล็กและโลหะ แต่ในแง่ของจำนวนบริษัท จะมีบริษัทจำนวนไม่น้อยในกลุ่มสินค้าสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มรวมถึงเกษตรแปรรูปที่เสี่ยงต่อภาษี transshipment และอาจต้องปรับตัว

รูปที่ 3: การกระจายตัวของสัดส่วน Regional value content ของบริษัทที่ส่งออกไปสหรัฐฯ ในแต่ละกลุ่มสินค้า

การกระจายตัวของสัดส่วน Regional value content ของบริษัทที่ส่งออกไปสหรัฐฯ ในแต่ละกลุ่มสินค้า

หมายเหตุ: คำนวณสัดส่วน Regional Value Content (RVC) โดยวิธี Net cost method โดยคำนวณสัดส่วนของต้นทุนการผลิต ได้แก่ (1) ต้นทุนวัตถุดิบในประเทศ วัตถุดิบนำเข้าจากสหรัฐฯ และอาเซียนที่ได้รับภาษี Reciprocal tariff ไม่สูงกว่า 19% (2) ต้นทุนแรงงาน ต่อต้นทุนวัตถุดิบและแรงงานรวมทั้งหมด รูปแสดงข้อมูล RVC ของบริษัทที่ส่งออกไปสหรัฐฯ ช่วง ม.ค. ปี 2567 – พ.ค. 2568 และมีการนำเข้าสินค้าในช่วงดังกล่าว ที่มา: สำมะโนอุตสาหกรรม 2565 กรมศุลกากร และคำนวณโดยผู้วิจัย
ตารางที่ 2: สัดส่วนมูลค่าการส่งออกไปสหรัฐฯ และจำนวนบริษัทที่สุ่มเสี่ยงโดนภาษี Transshipment หากเกณฑ์ Regional value content อยู่ที่ 60%

สัดส่วนมูลค่าการส่งออกไปสหรัฐฯ และจำนวนบริษัทที่สุ่มเสี่ยงโดนภาษี Transshipment หากเกณฑ์ Regional value content อยู่ที่ 60%

หมายเหตุ: มูลค่า Export at risk, firm at risk และ labor at risk แสดงมูลค่าการส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ จำนวนบริษัท และจำนวนแรงงานของบริษัทส่งออกที่มี Regional Value Content (RVC) ต่ำกว่า 60%ที่มา: สำมะโนอุตสาหกรรม 2565 กรมศุลกากร สำนักงานประกันสังคม คำนวณโดยผู้วิจัย

ในระยะสั้น ภาครัฐอาจพิจารณาเร่งจัดการกับปัญหาสินค้าสวมสิทธิ์จากประเทศจีนที่เพียงแค่ใช้ไทยเป็นทางผ่านสำหรับการส่งสินค้าไปขายยังสหรัฐฯ โดยที่ไม่สร้างมูลค่าเพิ่มแก่เศรษฐกิจไทย ซึ่งเกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่องกับประเทศในกลุ่มอาเซียนนับตั้งแต่ทรัมป์ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนในช่วงปี 2561-2562 บทความนี้ใช้ข้อมูลใบขนสินค้าฯ เพื่อระบุสินค้าสวมสิทธิ์ดังกล่าวโดยกำหนดเงื่อนไขว่า เป็นสินค้า (รหัสพิกัดศุลกากร 6 หลัก ) ที่นำเข้าจากจีนโดยผู้ประกอบการรายหนึ่ง และผู้ประกอบการรายนั้นส่งออกสินค้านั้นไปสหรัฐฯ ภายในไตรมาสเดียวกัน เพื่อสะท้อนความเสี่ยงที่ผู้ประกอบการรายนั้นอาจไม่ได้มีกระบวนการผลิตเพื่อเพิ่มมูลค่าของสินค้าอย่างมีนัยสำคัญในประเทศไทย โดยผลการศึกษาดังแสดงในรูปที่ 4 พบว่า สินค้าสวมสิทธิ์จากจีนอาจมีอย่างน้อย 4.3% ของมูลค่าการส่งออกรวมไปสหรัฐฯ7 และกระจายอยู่ในหลายกลุ่มสินค้า โดยเกือบครึ่งหนึ่งเป็นสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องจักรและอุปกรณ์ คิดเป็นประมาณ 3.3% และ 8.0% ของมูลค่าการส่งออกสินค้ากลุ่มนั้น ๆ ไปสหรัฐฯ ขณะที่กลุ่มสินค้าเหล็กและโลหะอาจมีสินค้าสวมสิทธิ์จากจีนสูงถึง 8.2% ของมูลค่าการส่งออกไปสหรัฐฯ

รูปที่ 4: การประเมินสินค้าสวมสิทธิ์จากจีนที่ใช้ไทยเป็นทางผ่านสำหรับส่งออกไปสหรัฐฯ

การประเมินสินค้าสวมสิทธิ์จากจีนที่ใช้ไทยเป็นทางผ่านสำหรับส่งออกไปสหรัฐฯ

หมายเหตุ: ระบุสินค้าสวมสิทธิ์จากจีนจากสินค้า (รหัสพิกัดศุลกากร 6 หลัก) ที่บริษัทหนึ่งนำเข้าจากจีน และส่งออกสินค้าเดียวกันนี้ไปสหรัฐฯ ภายในไตรมาสเดียวกัน โดยใช้ข้อมูลการค้าระหว่างประเทศปี 2567–2568ที่มา: กรมศุลกากร และคำนวณโดยผู้วิจัย

ผลกระทบต่อธุรกิจจะมากหรือน้อย ขึ้นกับความสามารถในการรับมือกับ shock และการกระจายความเสี่ยง

การวิเคราะห์ข้างต้นชี้ให้เห็นถึงกลุ่มสินค้าที่อาจต้องเผชิญกับผลกระทบผ่านช่องทางต่าง ๆ แต่อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่อาจมีผลต่อความอยู่รอดของธุรกิจ คือ ความสามารถในการรับมือกับ shock ของธุรกิจ ซึ่งบทความนี้พิจารณาจากอัตรากำไรของธุรกิจ ธุรกิจที่มีอัตรากำไรสูง นอกจากจะสามารถรับมือกับรายได้ที่อาจลดลงแล้ว ยังสามารถปรับลดราคาสินค้าลงได้หากต้องการรักษาส่วนแบ่งตลาดและความสามารถในการแข่งขัน เมื่อพิจารณาข้อมูลอัตรากำไรของธุรกิจส่งออกในปี 2566 (รูปที่ 5) พบว่าอัตรากำไรของธุรกิจในแต่ละกลุ่มสินค้ามีความแตกต่างกัน โดยบางกลุ่มสินค้า เช่น สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม เฟอร์นิเจอร์ รวมถึงเครื่องประดับ มีอัตรากำไรค่อนข้างต่ำเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 2-3% ทำให้มีข้อจำกัดในการปรับตัว ขณะที่สินค้ากลุ่มอุปกรณ์การแพทย์ และเครื่องจักรและอุปกรณ์มีอัตรากำไรที่สูงกว่ามาก นอกจากนี้ ยังพบว่าธุรกิจขนาดเล็กมีอัตรากำไรที่มีต่ำกว่าธุรกิจขนาดกลางและขนาดใหญ่ชัดเจน ดังนั้นธุรกิจขนาดเล็กในกลุ่มสินค้าที่ได้รับผลกระทบอาจต้องเผชิญกับความท้าทายที่สูงกว่า โดยเฉพาะหากจำเป็นต้องปรับลดราคาสินค้าเพื่อรักษาตลาด

รูปที่ 5: อัตรากำไรของบริษัทส่งออกไทย

อัตรากำไรของบริษัทส่งออกไทย

หมายเหตุ: ใช้ข้อมูล Operating profit margin ในปี 2566 และจำแนกขนาดของธุรกิจตามรายรับ: ขนาดเล็กไม่เกิน 100 ล้านบาท, ขนาดกลางมากกว่า 100 ล้านบาท แต่ไม่เกิน 500 ล้านบาท, ขนาดใหญ่มากกว่า 500 ล้านบาทที่มา: กรมศุลกากร กรมพัฒนาธุรกิจการค้า และคำนวณโดยผู้วิจัย

นอกจากนี้ ผลกระทบต่อธุรกิจ ยังขึ้นอยู่กับว่าธุรกิจมีการกระจายความเสี่ยงของตลาดส่งออกมากน้อยเพียงใด บทความนี้ใช้ข้อมูลใบขนสินค้าเพื่อประเมินจำนวนตลาดส่งออกของสินค้าหนึ่ง ๆ ที่บริษัทส่งออกไป โดยพบว่า สินค้ากว่า 75% ถูกส่งออกไปเพียงแค่ตลาดเดียว (รูปที่ 6) ซึ่งสะท้อนว่าธุรกิจส่งออกส่วนใหญ่มีการกระจายความเสี่ยงด้านตลาดส่งออกต่ำ และอาจได้รับผลกระทบมากหากตลาดส่งออกนั้นเกิดปัญหา อย่างไรก็ดี บริษัทที่ส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ ซึ่งประกอบด้วยธุรกิจขนาดใหญ่จำนวนไม่น้อย มีการกระจายความเสี่ยงที่ดีกว่า โดยมีจำนวนสินค้าที่ส่งออกไปตลาดเดียวเพียงหนึ่งในสาม ขณะที่ 28% ของสินค้าทั้งหมดถูกส่งออกไป 2–4 ตลาด และประมาณ 18% ของสินค้าถูกส่งออกไปมากกว่า 10 ตลาด ซึ่งน่าจะมีส่วนช่วยให้ธุรกิจสามารถรับมือกับ shock ได้ดียิ่งขึ้น

รูปที่ 6: การกระจายตลาดส่งออกของสินค้าส่งออกไทย

การกระจายตลาดส่งออกของสินค้าส่งออกไทย

หมายเหตุ: คำนวณจากจำนวนตลาดส่งออกของสินค้า (รหัสพิกัดศุลกากร 6 หลัก) แต่ละรายการที่บริษัทส่งออกไป โดยใช้ข้อมูลใบขนสินค้าฯ ปี 2567 ที่มา: กรมศุลกากร และคำนวณโดยผู้วิจัย

บริษัทที่ส่งออกไปตลาดอื่นได้รับผลผ่านช่องทางใดบ้าง?

เนื่องจากทรัมป์ปรับขึ้นภาษีกับประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก และทำให้ผู้บริโภคและผู้ประกอบการสหรัฐฯ ลดการนำเข้าสินค้าจากประเทศอื่น ๆ ด้วย ประเทศไทยซึ่งอยู่ในห่วงโซ่การผลิตโลกจึงได้รับผลกระทบทางอ้อมผ่านการส่งออกสินค้าจำพวกวัตถุดิบและปัจจัยการผลิตเพื่อไปผลิตในประเทศอื่นก่อนที่จะส่งออกไปยังสหรัฐฯ เมื่อพิจารณาข้อมูลสัดส่วนวัตถุดิบของไทยที่แฝงอยู่ในสินค้าส่งออกของประเทศต่าง ๆ ไปยังสหรัฐฯ จากตารางปัจจัยการผลิตและผลผลิตโลก จะพบว่า ผลกระทบทางอ้อมผ่านห่วงโซ่การผลิตโลกอาจส่งผลต่อภาคส่งออกไทยที่ประมาณ 1.5% ของมูลค่าการส่งออกรวมของไทย (รูปที่ 7) ทั้งนี้ สินค้าหมวดอิเล็กทรอนิกส์ของไทยมีสัดส่วนวัตถุดิบที่แฝงอยู่ในสินค้าส่งออกของประเทศอื่น ๆ สูงที่สุด ประมาณ 0.14% ของมูลค่าการส่งออกรวมของไทย โดยเป็นการส่งออกวัตถุดิบไปผลิตที่จีนและเม็กซิโกเป็นสำคัญ ซึ่งทั้งสองประเทศต่างเป็นผู้ส่งออกหลักของสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ขั้นปลายน้ำไปที่สหรัฐฯ รองลงมาคือสินค้าหมวดเกษตรกรรมและเหมือง สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม รวมถึงเคมีภัณฑ์ที่ส่วนใหญ่จะส่งออกไปประเทศจีนและอาเซียนเพื่อผลิตและส่งออกต่อไปสหรัฐฯ

รูปที่ 7: สัดส่วนของมูลค่าเพิ่มที่เกิดขึ้นในไทยที่แฝงอยู่ในการส่งออกของประเทศอื่นไปสหรัฐฯ

สัดส่วนของมูลค่าเพิ่มที่เกิดขึ้นในไทยที่แฝงอยู่ในการส่งออกของประเทศอื่นไปสหรัฐฯ

หมายเหตุ: เอเชีย ประกอบด้วย ฮ่องกง ไต้หวัน อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ที่มา: Inter country input-output table ของ OECD ปี 2566 ตามโครงสร้างการค้าปี 2563 และคำนวณโดยผู้วิจัย

อีกช่องทางสำคัญที่ทำให้นโยบายภาษีของทรัมป์ส่งผลต่อผู้ส่งออกไทยเป็นวงกว้าง คือการแข่งขันในตลาดโลกที่สูงขึ้น ทั้งจากสินค้าของสหรัฐฯ ที่ได้ประโยชน์จากการเปิดเสรีการนำเข้า และสินค้าจากประเทศอื่น ๆ ที่ประสบปัญหาส่งออกไปสหรัฐฯ จึงต้องหาตลาดใหม่เพื่อกระจายสินค้าไปยังประเทศอื่นแทน (trade diversion) ทั้งนี้ งานวิจัยในต่างประเทศ พบว่า ผู้ส่งออกสามารถปรับตัวได้เมื่อยอดขายในตลาดหนึ่งปรับลดลง เช่น Jiao et al. (2024) พบว่าธุรกิจจีนหันไปส่งออกสู่สหภาพยุโรปมากขึ้นเมื่อสหรัฐฯ ขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนช่วงปี 2561-62

บทความนี้วิเคราะห์โครงสร้างการแข่งขันของสินค้าไทยผ่านข้อมูลการค้าระหว่างประเทศจาก UN Comtrade ปี 2567 เพื่อประเมินว่าแต่ละกลุ่มสินค้าเผชิญกับการแข่งขันในตลาดโลกมากน้อยเพียงใด และประเทศใดเป็นคู่แข่งสำคัญ โดยหากกลุ่มสินค้าเผชิญกับการแข่งขันสูงมาแต่เดิม อีกทั้งมีคู่แข่งสำคัญเป็นประเทศที่มีแนวโน้มจะกระจายสินค้าออกจากสหรัฐฯ เช่น ประเทศที่ถูกจัดเก็บภาษีนำเข้าสูงอย่างจีนหรืออินเดีย ก็อาจจะได้รับผลกระทบมากจากการแข่งขันที่สูงขึ้น

ผลการศึกษาพบว่ากลุ่มสินค้าส่งออกหลักของไทยเช่น อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องจักรและอุปกรณ์ และเคมีภัณฑ์ รวมถึงเครื่องใช้ไฟฟ้า ต่างเผชิญกับการแข่งขันค่อนข้างสูงในตลาดโลก เนื่องจากมีหลายประเทศส่งออกสินค้าประเภทเดียวกัน โดยเฉพาะจีน ซึ่งถือเป็นคู่แข่งสำคัญของไทยในกลุ่มสินค้าข้างต้น โดยในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า พบว่าการแข่งขันในตลาดโลกเกือบครึ่งหนึ่งเป็นการแข่งขันกับจีน จึงมีความเสี่ยงว่า หากจีนเพิ่มการส่งออกสินค้ากลุ่มนี้ไปยังประเทศอื่นแทนสหรัฐฯ ไทยอาจต้องเผชิญการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้นในตลาดโลก นอกจากนี้ กลุ่มสินค้าสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม รวมถึงอุปกรณ์ถ่ายภาพ ก็มีการแข่งขันกับจีนสูงเช่นเดียวกัน นอกเหนือจากจีน สินค้ากลุ่มเครื่องประดับอาจได้รับผลกระทบจากการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นกับสินค้าจากประเทศอินเดีย ขณะที่อีกหลายกลุ่มสินค้ามีประเทศในสหภาพยุโรปเป็นคู่แข่งสำคัญ และอาจได้รับผลกระทบหากประเทศในสหภาพยุโรปขายสินค้าในสหรัฐฯ ได้น้อยลง

ตารางที่ 3: ระดับการแข่งขันของกลุ่มสินค้าต่าง ๆ ในตลาดโลก และประเทศคู่แข่งสำคัญ

ระดับการแข่งขันของกลุ่มสินค้าต่าง ๆ ในตลาดโลก และประเทศคู่แข่งสำคัญ

หมายเหตุ: คำนวณระดับการแข่งขันของสินค้าส่งออกไทย (รหัสพิกัดศุลกากร 6 หลัก) กับสินค้าจากประเทศคู่แข่งในแต่ละตลาดส่งออก จากผลคูณของสัดส่วนการส่งออกสินค้าไทยไปยังตลาดส่งออกนั้น ๆ ต่อการส่งออกรวมของกลุ่มสินค้า กับสัดส่วนการนำเข้าสินค้านั้นจากประเทศคู่แข่งในตลาดส่งออกดังกล่าว ส่วนระดับการแข่งขันในแต่ละกลุ่มสินค้าคิดจากผลรวมของระดับการแข่งขันของสินค้าที่อยู่ในกลุ่มสินค้านั้น ๆ ทั้งนี้ ตลาดส่งออกของไทยไม่รวมสหรัฐฯ และใช้ข้อมูลการค้าระหว่างประเทศปี 2567ที่มา: UN Comtrade และคำนวณโดยผู้วิจัย

จากผลวิเคราะห์ข้างต้น ตารางที่ 4 แสดงสรุปการประเมินผลกระทบจากนโยบายภาษีของทรัมป์ต่อสินค้าส่งออกไทย ซึ่งจะเห็นได้ว่าหลายกลุ่มสินค้ากำลังเผชิญความท้าทายจากผลกระทบในหลายช่องทาง เช่น สินค้ากลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และเครื่องจักรและอุปกรณ์ ที่นอกจากจะพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ สูง และเผชิญกับความเสี่ยงต่อภาษี transshipment ยังอาจต้องเผชิญกับการแข่งขันในตลาดโลกที่สูงขึ้นด้วย ขณะที่บางกลุ่มสินค้า เช่น อุปกรณ์การแพทย์ เกษตรแปรรูป เหล็กและโลหะ รวมถึงยานยนต์และชิ้นส่วน เผชิญกับผลกระทบทางตรงเป็นหลัก

ตารางที่ 4: สรุปการประเมินผลกระทบจากนโยบายภาษีของทรัมป์ต่อสินค้าส่งออกไทย

สรุปการประเมินผลกระทบจากนโยบายภาษีของทรัมป์ต่อสินค้าส่งออกไทย

ห่วงโซ่อุปทานเปลี่ยน ไทยจะได้ประโยชน์หรือไม่?

เมื่อมองไปข้างหน้า การเปลี่ยนแปลงของห่วงโซ่อุปทานที่จะเกิดขึ้นเป็นอีกปัจจัยที่จะส่งผลต่อภาคการส่งออกไทย โดยเฉพาะที่เป็นผลจากการย้ายฐานการผลิต และการตัดสินใจเพิ่มหรือลดกำลังการผลิตของบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ ซึ่งอาจทำให้ไทยได้ประโยชน์หรือเสียประโยชน์ก็ได้ งานวิจัยส่วนมากพบว่า การขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนในช่วงปี 2561-62 นั้นก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในห่วงโซ่การผลิตโลกอย่างมาก โดยส่งผลให้ประเทศอื่น ๆ ได้รับประโยชน์จากการเป็นผู้ผลิตและส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ แทนที่จีน (Alfaro & Chor, 2023; Fajgelbaum et al., 2024; Freund et al., 2024) โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และเครื่องจักรและอุปกรณ์ ทั้งนี้ ข้อมูลการนำเข้าของสหรัฐฯ ในปี 2567 บ่งชี้ว่า สินค้าจีนมีส่วนแบ่งตลาดในสหรัฐฯ ลดลงจากปี 2560 กว่า 8% ขณะที่ประเทศเวียดนาม เม็กซิโก และไต้หวันได้ส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นประเทศละ 2% ส่วนประเทศไทยได้ส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นเกือบ 1% ต่อมูลค่าการนำเข้ารวมของสหรัฐฯ (รูปที่ 8) อย่างไรก็ตาม Freund et al. (2024) และ Alfaro & Chor (2023) ชี้ให้เห็นด้วยว่าความเชื่อมโยงทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน อาจไม่ได้ลดลงแต่อย่างใด เนื่องจากประเทศที่ส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ มีการนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มขึ้นเช่นกัน ซึ่งอาจสะท้อนถึงห่วงโซ่อุปทานที่มีหน้าตาเปลี่ยนไปโดยประเทศที่เป็นผู้ผลิตและส่งออกสินค้าไปสหรัฐใช้วัตถุดิบและปัจจัยการผลิตที่มาจากจีนเป็นสำคัญ

รูปที่ 8: การเปลี่ยนแปลงของส่วนแบ่งตลาดของประเทศต่าง ๆ ในตลาดสหรัฐฯ (ปี 2567 เทียบกับ 2560)

การเปลี่ยนแปลงของส่วนแบ่งตลาดของประเทศต่าง ๆ ในตลาดสหรัฐฯ (ปี 2567 เทียบกับ 2560)

ที่มา: USITC และคำนวณโดยผู้วิจัย

ในบริบทปัจจุบันที่ประเทศจีนยังมีแนวโน้มที่จะเผชิญกับภาษีนำเข้าที่สูงกว่าประเทศอื่นโดยเปรียบเทียบ การเปลี่ยนแปลงของห่วงโซ่อุปทานน่าจะเกิดขึ้นต่อเนื่อง โดยเกิดการย้ายฐานการผลิตและส่งออกไปสู่ประเทศที่ถูกจัดเก็บภาษีต่ำกว่า แม้ว่าจะมีข้อจำกัดมากขึ้นหากสหรัฐฯ บังคับใช้ภาษี transshipment ผ่านเกณฑ์ RVC ที่เข้มงวดมากขึ้น ซึ่งจะทำให้บริษัทใช้ประโยชน์จากความเชื่อมโยงของห่วงโซ่อุปทานกับจีนได้ยากขึ้น ภาคส่งออกและธุรกิจไทยจะได้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงของห่วงโซ่อุปทานนี้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย อาทิ นโยบายภาครัฐและสภาพแวดล้อมที่ดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ ความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบในการเป็นผู้ผลิตสินค้าแทนจีนรวมถึงประเทศอื่น ๆ ที่ถูกจัดเก็บภาษีนำเข้าสูง ความสามารถในการขยายตลาดการส่งออกเพื่อรักษาระดับการเข้าไปมีส่วนร่วมในห่วงโซ่อุปทานใหม่ที่เปลี่ยนแปลง รวมไปถึงความสามารถในการบริหารจัดการต้นทุนวัตถุดิบที่อาจสูงขึ้นจากความจำเป็นในการปรับเปลี่ยนมาใช้วัตถุดิบในประเทศหรือภูมิภาคตามข้อตกลงทางการค้าที่มากยิ่งขึ้น

บทสรุปและนัยเชิงนโยบาย

มาตรการกีดกันทางการค้า ของสหรัฐฯ สร้างความท้าทายอย่างมากต่อภาคการส่งออกไทย โดยส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้ส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ ผ่านภาษีนำเข้าที่สูงขึ้น อีกทั้งมีธุรกิจจำนวนไม่น้อยที่อาจต้องปรับตัวหากต้องการเลี่ยงภาษี transshipment นอกจากนี้ ความเชื่อมโยงของไทยกับประเทศอื่น ๆ ผ่านห่วงโซ่การผลิตโลก รวมถึงการแข่งขันในตลาดโลกที่จะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น ทำให้ผู้ส่งออกในตลาดอื่น ๆ ย่อมได้รับผลกระทบไปด้วย ภาคเอกชนจะต้องปรับตัวขณะที่ภาครัฐต้องมีมาตรการเชิงรุกที่เหมาะสมเพื่อรับมือกับความท้าทายที่เกิดขึ้น เพื่อให้ภาคส่งออกไทยแข่งขันได้และเติบโตได้อย่างยั่งยืนภายใต้ภูมิทัศน์ทางการค้าโลกใหม่

  • ประการแรก ธุรกิจไทยต้องกระจายตลาดส่งออกมากขึ้น ขณะที่ภาครัฐควรเร่งเจรจา FTA กับตลาดที่มีศักยภาพ รวมทั้งแสวงหาความร่วมมือจากการรวมกลุ่มระหว่างประเทศหรือข้อตกลงทางการค้าในรูปแบบต่างๆ เพื่อเพิ่มโอกาสให้ภาคการส่งออกของไทยมีส่วนร่วมในห่วงโซ่อุปทานของโลก
  • ประการที่สอง ภาครัฐควรใช้โอกาสดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเป้าหมาย และที่มุ่งเน้นการใช้วัตถุดิบและปัจจัยการผลิตในประเทศไทย เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มสูงสุดต่อเศรษฐกิจ รวมถึงก่อให้เกิด externality ด้านบวกแก่ประเทศ อาทิ การถ่ายโอนความรู้ทางเทคโนโลยีและทักษะแรงงาน นอกจากนี้ ภาครัฐควรเพิ่มความเข้มงวดในการเฝ้าระวังสินค้าสวมสิทธิ์
  • ประการที่สาม ทั้งภาครัฐและเอกชนต้องให้ความสำคัญกับการยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขัน โดยใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี การวิจัยและพัฒนา รวมถึงได้รับการสนับสนุนด้านเงินทุนอย่างเหมาะสม โดยอาจสร้างแรงจูงใจให้แก่ธุรกิจส่งออกโดยเฉพาะ SMEs ที่พร้อมลงทุนหรือพัฒนาศักยภาพ อาทิ ผ่านการเพิ่มบทบาทของกองทุนการส่งเสริมการค้าหรือกองทุนพัฒนา SMEs
  • สุดท้าย ภาครัฐควรใช้โอกาสนี้ในการวางกลยุทธ์ให้กับภาคการส่งออกไทย ได้แก่ (1) การกำหนดอุตสาหกรรมเป้าหมาย และเร่งพัฒนาความชัดเจนของแผนแม่บท โดยเฉพาะอุตสาหกรรมสินค้ากลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และเซมิคอนดักเตอร์ เพื่อให้ไทยสามารถเพิ่มบทบาทความมีส่วนร่วมในห่วงโซ่การผลิตของโลก และทำให้ไทยสามารถผลิตสินค้าส่งออกในลักษณะต้นน้ำและพัฒนาสินค้าส่งออกที่มีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น (2) การสร้างความเชื่อมโยงกับห่วงโซ่การผลิตในประเทศ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้แก่ภาคการผลิตของไทย และใช้วัตถุดิบในประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นในระยะยาว

เอกสารอ้างอิง

Alfaro, L., & Chor, D. (2023). Global Supply Chains: The Looming “Great Reallocation” (NBER Working Papers No. 31661). National Bureau of Economic Research, Inc.
Amiti, M., Redding, S. J., & Weinstein, D. E. (2019). The Impact of the 2018 Tariffs on Prices and Welfare. Journal of Economic Perspectives, 33(4), 187–210.
Fajgelbaum, P. D., Goldberg, P. K., Kennedy, P. J., & Khandelwal, A. K. (2019). The Return to Protectionism. The Quarterly Journal of Economics, 135(1), 1–55.
Fajgelbaum, P. D., Goldberg, P. K., Kennedy, P. J., Khandelwal, A. K., & Taglioni, D. (2024). The US-China Trade War and Global Reallocations. American Economic Review: Insights, 6(2), 295–312.
Freund, C. (2025). The China Wash: Tracking Products To Identify Tariff Evasion Through Transshipment. UC San Diego School of Global Policy.
Freund, C., Mattoo, A., Mulabdic, A., & Ruta, M. (2024). Is US trade policy reshaping global supply chains? Journal of International Economics, 152(C).
Iyoha, E., Malesky, E. J., Wen, J. Y., Wu, S.-J., & Feng, B. (2024). Exports in Disguise: Trade Re-Routing During the US-China Trade War. Harvard Business School Working Paper.
Jiao, Y., Liu, Z., Tian, Z., & Wang, X. (2024). The Impacts of the U.S. Trade War on Chinese Exporters. The Review of Economics and Statistics, 106(6), 1576–1587.

  1. สินค้าในกลุ่มเหล็กและโลหะประกอบด้วยทั้งเหล็กที่ถูกจัดเก็บภาษี 50% และโลหะประเภทอื่น ๆ ที่ภาษีต่ำกว่า↩
  2. ผลวิจัยส่วนมากพบว่า ผู้ประกอบการสหรัฐฯ เป็นผู้รับภาระภาษีแทบทั้งหมดจากการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนในช่วงปี 2561–62 (Amiti et al., 2019) อย่างไรก็ดี ผู้ส่งออกไทยอาจมีอำนาจต่อรองต่ำกว่าผู้ซื้อในสหรัฐฯ และต้องปรับลดราคาสินค้าลงบ้าง↩
  3. ประเทศในสหภาพยุโรปโดนภาษี 15% ขณะที่สินค้าจากเม็กซิโกถูกจัดเก็บภาษี 25% แต่บทความนี้สมมติให้ในกรณีฐาน เม็กซิโกได้ภาษี 0% คิดเป็นครึ่งหนึ่งของมูลค่าการส่งออกไปสหรัฐฯ↩
  4. สินค้าไทยบางกลุ่มเผชิญกับภาษีนำเข้าต่ำกว่าประเทศคู่แข่งมาก เช่น กลุ่มสินค้าเกษตรและเครื่องประดับที่ได้เปรียบประเทศอินเดียที่โดนเก็บภาษีสูงถึง 50% ส่วนกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ผู้ส่งออกไทยได้เปรียบในเรื่องภาษีนำเข้า เนื่องจากยังอยู่ระหว่างการพิจารณา ขณะที่บางประเทศถูกจัดเก็บภาษีนำเข้าที่เป็นรายประเทศไปแล้ว↩
  5. USMCA ถูกบังคับใช้แทนที่ NAFTA เมื่อปี 2563↩
  6. กลุ่มสินค้ายานยนต์และชิ้นส่วนนับรวมล้อยางรถยนต์และรถบรรทุกซึ่งใช้วัตถุดิบในประเทศสูง ซึ่งสินค้าดังกล่าวจัดอยู่ในหมวดยางและพลาสติกในรูปที่ 2↩
  7. Iyoha et al. (2024) ใช้วิธีเดียวกันในการศึกษาสินค้าสวมสิทธิ์ในกรณีของเวียดนาม และพบสินค้าสวมสิทธิ์จากจีนอยู่ที่ประมาณ 2% ของมูลค่าการส่งออกของเวียดนามไปสหรัฐฯ ในปี 2564 อย่างไรก็ตาม การประเมินสินค้าสวมสิทธิ์โดยใช้ข้อมูลระดับบริษัทอาจทำให้ได้ตัวเลขที่น้อยกว่าความเป็นจริง เนื่องจากบริษัทอาจใช้วิธีการหลบเลี่ยงโดยให้บริษัทหนึ่งนำเข้าจากจีน และให้อีกบริษัทเป็นผู้ส่งออกไปสหรัฐฯ ขณะที่ Freund (2025) ประเมินสินค้าสวมสิทธิ์จากจีนที่ใช้ไทยเป็นทางผ่านในปี 2565 ไว้ที่เกือบ 8% ของมูลค่าการส่งออกไปสหรัฐฯ↩
Jirayu Chandrasakha
Jirayu Chandrasakha
Bank of Thailand
Apichaya Phoousa
Apichaya Phoousa
Bank of Thailand
Nuwat Nookhwun
Nuwat Nookhwun
Puey Ungphakorn Institute for Economic Research
Jettawat Pattararangrong
Jettawat Pattararangrong
Puey Ungphakorn Institute for Economic Research
Warinthip Worasak
Warinthip Worasak
Bank of Thailand
Topics: MacroeconomicsInternational Trade
Tags: trump tariffthai exportsglobal supply chain
The views expressed in this workshop do not necessarily reflect the views of the Puey Ungphakorn Institute for Economic Research or the Bank of Thailand.

Puey Ungphakorn Institute for Economic Research

273 Samsen Rd, Phra Nakhon, Bangkok 10200

Phone: 0-2283-6066

Email: pier@bot.or.th

Terms of Service | Personal Data Privacy Policy

Copyright © 2025 by Puey Ungphakorn Institute for Economic Research.

Content on this site is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-ShareAlike 3.0 Unported license.

Creative Commons Attribution NonCommercial ShareAlike

Get PIER email updates

Facebook
YouTube
Email