มองผู้ประกอบการรายย่อยนอกระบบผ่านโครงการ “คนละครึ่ง”

excerpt
ผู้ประกอบการรายย่อยนอกระบบเป็นส่วนสำคัญของเศรษฐกิจไทย มาตรการ “คนละครึ่ง” มีเป้าหมายทั้งเพื่อช่วยสภาพคล่องของผู้ประกอบการรายย่อยและกระตุ้นการใช้จ่ายของประชาชน บทความชิ้นนี้เล่าถึงผู้ประกอบการรายย่อยนอกระบบที่เรามองเห็นผ่านโครงการคนละครึ่ง ว่าคนกลุ่มนี้เป็นใคร ได้รับประโยชน์จากโครงการมากน้อยเพียงใด ความช่วยเหลือมีการกระจุกหรือกระจายหรือไม่ รวมถึงวิเคราะห์ว่า หากรัฐจะมีมาตรการคล้าย ๆ กับ “คนละครึ่ง” อีกครั้ง เราควรปรับอย่างไร
ผู้ประกอบการรายย่อยนอกระบบนั้นเป็นส่วนสำคัญของเศรษฐกิจไทย ในมุมของจำนวนธุรกิจ ประเทศไทยมีผู้ประกอบการรายย่อยอยู่ 3 ล้านกว่าราย และกว่า 70% นั้นเป็นผู้ประกอบการนอกระบบที่ไม่ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล หรือหากมองในมุมของแรงงาน แรงงาน 13.3 ล้านคนจากทั้งหมด 38 ล้านคนนั้นเป็นกลุ่มผู้ประกอบการอิสระ ซึ่งเป็นกลุ่มที่ไม่มีลูกจ้าง 12.6 ล้านคน และมีลูกจ้าง 8 แสนกว่าราย ผู้ประกอบการเหล่านี้ ประมาณครึ่งหนึ่งทำกิจการเกษตรกรรม ส่วนที่เหลือเป็นกิจการรายย่อยในประเภทต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการขายสินค้า อาหาร เครื่องดื่ม หรืองานบริการ เช่น ทำผม นวด ขับรถรับจ้าง1
ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ งานนอกระบบเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยรองรับลูกจ้างในระบบที่ตกงาน เพราะสามารถเริ่มต้นได้ง่าย ไม่ต้องผ่านกระบวนการจ้างงาน หรือจดทะเบียนจัดตั้งร้านค้า แต่ขณะเดียวกันผู้ประกอบการรายย่อยก็มักจะขาดสภาพคล่องในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ ทั้งจากการที่ลูกค้าน้อยลงและการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบได้ยาก เพราะไม่ได้มีหลักประกันหรือประวัติในการกู้ยืมที่ดีพอ2
มาตรการ “คนละครึ่ง นั้นเริ่มขึ้นครั้งแรกในปลายปี 2563 โดยมีจุดประสงค์เพื่อช่วยสภาพคล่องของผู้ประกอบการรายย่อยเหล่านี้และกระตุ้นการใช้จ่ายของประชาชน หลังจากมีการตอบรับที่ดี มาตรการคนละครึ่งในช่วงดังกล่าวจึงมีการดำเนินการถึง 5 ระยะ ครอบคลุมระยะเวลาประมาณสองปี ใช้งบประมาณในโครงการทั้งหมดกว่า 230 พันล้านบาท
ชื่อ “คนละครึ่ง” มาจากการที่รัฐร่วมจ่ายครึ่งหนึ่งของยอดซื้อสินค้าและบริการ ในสองระยะแรก ผู้ประกอบการที่สามารถเข้าร่วมโครงการได้นั้น จะต้องเป็นผู้ประกอบการที่ไม่ได้เป็นนิติบุคคล เป็นกลุ่มร้านอาหาร เครื่องดื่ม หรือขายสินค้าทั่วไป กลุ่มบริการ เช่น นวด สปา ทำผมทำเล็บ หรือกลุ่มร้านค้าของกองทุนหมู่บ้านหรือกองทุนชุมชนเมืองหรือร้านค้าของวิสาหกิจชุมชน ในระยะที่ 3 เป็นต้นไป กลุ่มที่เข้าร่วม food delivery platform และบริการขนส่งมวลชนสาธารณะในนามนิติบุคคล สามารถเข้าร่วมโครงการได้
โครงการดังกล่าวมีผู้ประกอบการเข้าร่วมทั้งหมดประมาณ 1.3 ล้านราย และประชาชนเข้าร่วมกว่า 28 ล้านราย โดยมีงบประมาณ จำนวนสิทธิ และจำนวนวงเงินต่อคนที่ต่างกันไปในแต่ละระยะของโครงการ ในระยะที่ 3 เป็นระยะที่มีงบประมาณมากที่สุด มีการให้สิทธิต่อหัวมากที่สุด คือ 4,500 บาท และมีผู้ประกอบการเข้าร่วมมากที่สุด (ตารางที่ 1)
| ระยะที่ 1 | ระยะที่ 2 | ระยะที่ 3 | ระยะที่ 4 | ระยะที่ 5 | |
|---|---|---|---|---|---|
| วันเริ่ม | 23 ต.ค. 2563 | 1 ม.ค. 2564 | 1 ก.ค. 2564 | 1 ก.พ. 2565 | 1 ก.ย. 2565 |
| วันสิ้นสุด | 31 ธ.ค. 2563 | 31 มี.ค. 2564 | 31 ธ.ค. 2564 | 30 เม.ย. 2565 | 31 ต.ค. 2565 |
| จำนวนสิทธิ | 10 ล้าน | 10 ล้านจากระยะที่ 1 + สิทธิใหม่ 5 ล้าน | 28 ล้าน | 28 ล้านจากระยะที่ 3 + สิทธิใหม่ 1 ล้าน | 26.5 ล้าน |
| มูลค่าต่อคน (บาท) | 3,000 | +500 สิทธิเดิม 3,500 สิทธิใหม่ | 4,500 | 1,200 | 800 |
| งบประมาณ (พันล้านบาท) | 30 | 22.5 | 126 | 34.8 | 21.2 |
| จำนวนร้านค้า (พันราย) | 652 | 1,033 | 1,129 | 936 | 676 |
แม้จะมีการประมาณการว่าผู้ประกอบการรายย่อยนอกระบบมีกว่า 2 ล้านราย แต่เนื่องจากคนกลุ่มนี้อยู่นอกระบบ จึงไม่ได้มีข้อมูลจากภาครัฐชัดเจนว่าคนกลุ่มนี้เป็นใคร อย่างไรก็ดี ในการเข้าร่วมโครงการ “คนละครึ่ง” นั้น ประชาชนต้องใช้จ่ายผ่าน application เป๋าตัง และผู้ประกอบการต้องรับเงินผ่าน application ถุงเงิน ซึ่งการที่โครงการให้ทำธุรกรรมผ่าน e-payment เท่านั้น ช่วยให้รัฐสามารถจ่ายเงินสนับสนุนให้ร้านค้าทุกสิ้นวันอย่างรวดเร็ว และยังช่วยให้เราเห็นภาพด้วยว่าผู้ที่เข้าร่วมโครงการนี้เป็นใคร เพราะคนกลุ่มนี้จะได้รับเงินโอนเข้าบัญชีจากบัญชีของรัฐในช่วงที่มีโครงการ (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อมูลชุดนี้ในบทความวิจัย “เจาะลึกพฤติกรรมการใช้ e-Payment ของคนไทย” โดยข้อมูลชุดนี้ไม่ได้มีการระบุตัวตนแต่อย่างใด)
ตารางที่ 2 แสดงจำนวนและคุณลักษณะของผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการคนละครึ่งตามเวลาที่เข้าโครงการครั้งแรกจากข้อมูลของเจ้าของบัญชี ผู้ประกอบการส่วนใหญ่เข้าโครงการตั้งแต่ในระยะที่ 1–3 อายุเฉลี่ย 40–48 ปี ประมาณ 70% เป็นผู้หญิง ส่วนมากจบมัธยมศึกษา คอลัมน์สุดท้ายเป็นลักษณะของแรงงานจากข้อมูล Labour Force Survey (LFS) ที่เป็นกลุ่ม self-employed หรือเจ้าของกิจการ และทำธุรกิจในกลุ่มที่สามารถเข้าร่วมโครงการคนละครึ่งได้
หากเปรียบเทียบกลุ่มที่เข้าโครงการและประชากรกลุ่มนี้ พบว่าทั้งสองกลุ่มมีอายุเฉลี่ยใกล้เคียงกัน กลุ่มที่เข้าโครงการมีสัดส่วนผู้หญิงสูงกว่าเล็กน้อย แต่มีระดับการศึกษาโดยเฉลี่ยสูงกว่าอย่างชัดเจน ในข้อมูล LFS มีสัดส่วนกลุ่มปริญญาตรีขึ้นไปเพียง 9% แต่ผู้ประกอบการคนละครึ่งมีสัดส่วนกลุ่มปริญญาตรีถึง 30% เป็นนัยว่ากลุ่มที่มีการศึกษาสูงกว่านั้นน่าจะมีทั้งการเข้าถึงข้อมูลที่ดีกว่าและคุ้นเคยกับเทคโนโลยีมากกว่าเพราะการเข้าร่วมโครงการนั้น จำเป็นต้องรับเงินผ่าน application ถุงเงิน ดังที่กล่าวไปแล้ว
| ผู้ประกอบการที่เข้าโครงการคนละครึ่ง | Labour Force Survey | |||||
|---|---|---|---|---|---|---|
| ระยะที่ 1 | ระยะที่ 2 | ระยะที่ 3 | ระยะที่ 4 | ระยะที่ 5 | ||
| จำนวนผู้ประกอบการ | 652,223 | 411,176 | 215,054 | 31,080 | 25,281 | 2.4 million |
| อายุเฉลี่ย | 47.7 | 44.8 | 43.3 | 41.5 | 40.8 | 46 |
| % ผู้หญิง | 73.3 | 73.2 | 69.4 | 68.2 | 67.2 | 62 |
| สัดส่วนตามระดับการศึกษา | ||||||
| ประถมศึกษาหรือต่ำกว่า | 1.6 | 1.6 | 1.3 | 1.1 | 0.9 | 44.6 |
| มัธยมศึกษา | 47.1 | 55 | 48.7 | 46.8 | 41.2 | 35.6 |
| ปวช. ปวส. | 15.6 | 15.3 | 15.1 | 15.2 | 14.4 | 11 |
| ปริญญาตรีขึ้นไป | 33.1 | 25.6 | 31.3 | 33 | 38.3 | 8.8 |
| % กรุงเทพฯ | 16.4 | 15 | 16.5 | 17 | 18.7 | 20.5 |
ในช่วงที่โครงการคนละครึ่งผ่านไป 2 ระยะ มีข่าวว่าผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการจำนวนมากตัดสินใจออกจากโครงการ เพราะเกรงว่าการเข้าร่วมโครงการคนละครึ่งจะทำให้ร้านของตนเองเข้ามาอยู่ในระบบภาษีและถูกตรวจสอบได้ จากข้อมูลธุรกรรม e-payment นั้น เราพบว่า มีผู้ประกอบการออกจากโครงการจริง แต่ยังคิดเป็นสัดส่วนเพียง 6% เทียบกับผู้ประกอบการที่ยังอยู่ในโครงการ โดยรูปที่ 1 แสดงสัดส่วนจำนวนผู้ประกอบการในแต่ละระยะ สีเขียวเป็นกลุ่มที่เข้ามาใหม่ สีส้มเป็นกลุ่มที่ยังอยู่ต่อเนื่อง และสีแดงเป็นกลุ่มที่ออกจากโครงการ
ผู้ประกอบการที่ออกจากโครงการเป็นผู้ที่มียอดขายสูงเป็นพิเศษหรือไม่ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 48) พ.ศ. 2562 มีการกำหนดให้สถาบันการเงินรายงานข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลที่มี “ธุรกรรมลักษณะเฉพาะ” ในปีที่ล่วงมาให้แก่กรมสรรพากร ซึ่งคือ ธุรกรรมการเงินที่ (1) ฝากหรือรับโอนเงินทุกบัญชีรวมกันตั้งแต่ 400 ครั้ง และมียอดรวมธุรกรรมตั้งแต่ 2 ล้านบาทขึ้นไป หรือ (2) ฝากหรือรับโอนเงินทุกบัญชีรวมกันตั้งแต่ 3,000 ครั้งขึ้นไป หากเราดูที่เกณฑ์ดังกล่าวในตารางที่ 3 สัดส่วนของผู้ประกอบการที่เข้าเกณฑ์ของสรรพากรในกลุ่มที่ออกจากโครงการก็ไม่ได้สูงกว่ากลุ่มที่ยังอยู่ในโครงการต่อไป จึงเป็นนัยว่า ผู้ประกอบการบางรายอาจจะกลัวเรื่องการเข้าระบบจริงอย่างที่เป็นข่าว แต่ผู้ประกอบการรายใหญ่หลาย ๆ ราย ก็ยังเห็นประโยชน์ของโครงการและยังเข้าร่วมอย่างต่อเนื่อง
| ช่วงระยะ | กลุ่มที่เข้าร่วมโครงการต่อ | กลุ่มที่ออกจากโครงการ |
|---|---|---|
| ระยะที่ 1–2 | 16.8% | 9.7% |
| ระยะที่ 2–3 | 14.8% | 11.0% |
| ระยะที่ 3–4 | 20.3% | 15.5% |
| ระยะที่ 4–5 | 20.9% | 17.1% |
ในส่วนนี้ เราพยายามประเมินยอดขายของผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการจากข้อมูลธุรกรรม e-payment แต่เนื่องจากผู้ประกอบการบางกลุ่มอาจจะรับเงินสดเป็นส่วนใหญ่ก่อนเข้าร่วมโครงการและเราไม่มีข้อมูลยอดขายที่เป็นเงินสด เราจึงเลือกวิเคราะห์เฉพาะกลุ่มที่คาดว่ามีการรับเงินค่าสินค้าและบริการจากลูกค้าผ่านการโอนเงินเป็นหลัก3 และได้ผู้ประกอบการกลุ่มนี้จำนวน 140,000 ราย เราแบ่งผู้ประกอบการเหล่านี้ เป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่เข้าโครงการในระยะที่ 1 กลุ่มที่เข้าโครงการในระยะที่ 2 กลุ่มที่เข้าโครงการในระยะที่ 3 และกลุ่มที่ยังไม่ได้เข้าโครงการในสามระยะแรก แต่เข้ามาในระยะที่ 4 และ 5
รูปที่ 2 แสดงค่ากลางของยอดขายรายสัปดาห์ของผู้ประกอบการเหล่านี้ โดยรวมยอดขายที่เข้าบัญชีปกติที่น่าจะใช้ค้าขายและที่ประมาณการจากการเข้าร่วมโครงการ4 ในช่วงไตรมาสที่ 3 ปี 2020 ที่ยังไม่มีโครงการ ค่ากลางของยอดขายของทั้ง 4 กลุ่มไม่ต่างกันมากนัก อยู่ที่ประมาณ 23,000 บาทต่อสัปดาห์ ในแต่ละระยะของโครงการ กลุ่มที่เข้าโครงการมียอดขายสูงกว่ากลุ่มที่ยังไม่ได้เข้าโครงการอย่างชัดเจน กลุ่มสีเขียวเข้าโครงการในระยะแรก กลุ่มสีเหลืองและเทา เข้าโครงการในระยะที่ 2 และ 3 ตามลำดับ ส่วนกลุ่มสีส้มเป็นกลุ่มที่ยังไม่ได้เข้าโครงการ
ที่มา: ผู้เขียนประมาณการมาจากข้อมูลธุรกรรม e-payment
ในระยะที่ 3 เราเห็นภาพเพิ่มเติมว่า กลุ่มที่เข้าโครงการตั้งแต่ระยะแรก มียอดขายที่เพิ่มสูงกว่ากลุ่มที่เข้าร่วมระยะที่ 2 และระยะที่ 3 ตามลำดับ และหากเราประเมินโครงการในสามช่วงดังกล่าวโดยเปรียบเทียบยอดขายของกลุ่มที่เข้าโครงการแล้วกับกลุ่มที่ยังไม่ได้เข้าโครงการ ผลของการเข้าโครงการต่อยอดขายโดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ประมาณ 50% นอกจากนี้ ยอดขายของธุรกรรมนอกโครงการคนละครึ่งก็เพิ่มขึ้นประมาณ 13%5 การที่ยอดขายนอกโครงการในระยะเวลาเดียวกันเพิ่มขึ้นด้วย อาจจะเป็นเพราะว่าลูกค้าที่ใช้สิทธิครบแล้วยังมาซื้อที่ร้านดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง หรือในวันที่มาซื้อสินค้าและบริการมียอดการใช้จ่ายเกินสิทธิ และส่วนที่เกินสิทธินั้นลูกค้าใช้การโอนเงินเข้าบัญชีนอกโครงการของร้านค้า
ทั้งนี้ ในระยะที่ 3 มีการขยายขอบเขตของโครงการคนละครึ่ง กลุ่มที่เพิ่งเข้าโครงการระยะดังกล่าวอาจจะเป็นกลุ่มที่เข้าร่วม food delivery platform ซึ่งเป็นร้านคนละประเภทกันและอาจจะมีขนาดเล็กกว่า ในส่วนถัดไป เราจะเล่าถึงงานวิจัยที่เจาะจงดูร้านกลุ่มนี้โดยเฉพาะ
งานวิจัยของ Muthitacharoen (2024) ได้ศึกษาร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการในระยะที่ 3 โดยใช้ข้อมูลจาก LINE MAN Wongnai ซึ่งครอบคลุมกว่า 70% ของร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการผ่านช่องทาง delivery ทั้งหมด
งานวิจัยนี้จำกัดกลุ่มตัวอย่างเฉพาะร้านค้าที่มียอดขายไม่เกิน 5,000 บาทต่อสัปดาห์ เพื่อให้กลุ่มร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ (treatment) และกลุ่มเปรียบเทียบ (control) มีลักษณะใกล้เคียงกันมากขึ้น รูปที่ 3 แสดงยอดขายเฉลี่ยต่อสัปดาห์ของร้านค้าทั้งสองกลุ่มก่อนและหลังการเข้าร่วมโครงการ ซึ่งพอเห็นภาพได้ว่าการเข้าร่วมโครงการของร้านเหล่านี้ส่งผลให้ร้านมียอดขายสูงขึ้นในช่วงที่มีโครงการ
*ที่มา: Muthitacharoen (2024)
เมื่อใช้วิธี Difference-in-Difference ผลพบว่าร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการมียอดขายเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยยอดขายเฉลี่ยเพิ่มขึ้นราว 1,500 บาทต่อสัปดาห์ (รูปที่ 4) คิดเป็นการเพิ่มขึ้น 174% เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของกลุ่ม treatment ก่อนโครงการ และผลกระทบต่อยอดขายนี้สูงที่สุดในกลุ่มร้านค้าขนาดเล็ก6
กลไกสำคัญที่ขับเคลื่อนผลลัพธ์ดังกล่าวคือการขยายฐานลูกค้า ร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการมีจำนวนลูกค้าที่ไม่ซ้ำกัน (unique customers) เพิ่มขึ้น 176% และจำนวนคำสั่งซื้อ (orders) เพิ่มขึ้น 167% ในขณะที่ขนาดของคำสั่งซื้อต่อครั้งไม่เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ ข้อค้นพบนี้อาจสะท้อนว่าโครงการคนละครึ่งผ่าน delivery platform มีบทบาทสำคัญในการเปิดโอกาสให้ผู้บริโภคเข้าถึงร้านค้าขนาดเล็กที่ไม่เคยใช้บริการมาก่อน มากกว่าการกระตุ้นให้ใช้จ่ายต่อครั้งในปริมาณที่สูงขึ้น
นอกจากนี้ งานวิจัยยังพบว่าผลกระทบของโครงการไม่ได้หยุดลงเมื่อโครงการสิ้นสุด ร้านค้าที่เคยเข้าร่วมยังคงมียอดขายที่สูงกว่าช่วงก่อนเข้าโครงการ โดยเฉพาะในกลุ่มร้านค้าขนาดเล็ก ซึ่งยอดขายเพิ่มขึ้นราว 14% ในช่วง 4 เดือนหลังโครงการในระยะที่ 4 สิ้นสุดลง อาจสะท้อนว่าร้านค้าขนาดเล็กเหล่านี้สามารถรักษาฐานลูกค้าใหม่ผ่านโครงการไว้ได้ในระดับหนึ่งแม้โครงการจะสิ้นสุดไปแล้ว
ในทุกระยะของโครงการ รัฐได้จำกัดสิทธิต่อหัวของประชาชนไว้วันละ 800–4500 บาท แต่รัฐไม่ได้จำกัดเงินสนับสนุนต่อผู้ประกอบการแต่อย่างใด ร้านที่มีลูกค้าจำนวนมากมีโอกาสได้รับเงินสนับสนุนมากกว่ารายอื่น จากข้อมูลธุรกรรม e-payment เราแบ่งผู้ประกอบการทั้งหมด 1.3 ล้านรายเป็น 5 กลุ่มเท่า ๆ กันกลุ่มละประมาณ 260,000 ราย โดยเรียงลำดับจากผู้ประกอบการที่ได้รับเงินสนับสนุนน้อยที่สุดไปยังผู้ประกอบการที่ได้รับเงินสนับสนุนมากที่สุดจากรัฐ เราพบว่ากลุ่ม bottom 20% ได้รับเงินเพียง 0.5% หรือเฉลี่ยประมาณ 4,100 บาทต่อราย ขณะที่กลุ่ม top 20% ได้เงินถึง 74% ของงบประมาณหรือโดยเฉลี่ยถึงประมาณ 580,000 บาทต่อราย โดยคิดจากเฉพาะเงินสนับสนุนจากรัฐเท่านั้น (รูปที่ 5) นอกจากนี้ หากเราเจาะไปที่กลุ่ม top 5% หรือประมาณ 65,000 รายที่ได้รับเงินจากโครงการสูงที่สุด กลุ่มนี้ได้รับเงินทั้งหมดคิดเป็นถึง 41% ของงบประมาณโครงการทั้งหมด
ผู้ประกอบการที่ได้รับเงินสนับสนุนจำนวนมาก ต่างจากกลุ่มอื่นอย่างไร ตารางที่ 4 เปรียบเทียบลักษณะของผู้ประกอบการกลุ่มต่าง ๆ โดยพบว่าผู้ประกอบการในควินไทล์ที่ 4 และ 5 มีสัดส่วนผู้ประกอบการในกรุงเทพฯ และปริมณฑลมากกว่าควินไทล์สามกลุ่มล่างเล็กน้อย แต่จำนวนบัญชีโดยเฉลี่ยของแต่ละกลุ่มใกล้เคียงกัน รายได้เฉลี่ยก่อนเข้าโครงการของกลุ่มควินไทล์ที่ 1–4 ก็ไม่ต่างกันมากนัก (อยู่ที่ประมาณ 53,000–58,000) ต่อเดือน ขณะที่กลุ่มควินไทล์สุดท้าย หรือ Top 20 มีรายได้ก่อนเข้าโครงการเฉลี่ยถึง 80,000 บาท ซึ่งแสดงว่ากลุ่มที่ได้รับเงินจากรัฐมาก ปกติก็เป็นผู้ประกอบการที่มีรายได้ค่อนข้างดีและลูกค้ามีความคุ้นเคยกับเทคโนโลยีทางการเงินอยู่แล้ว7 นอกจากนี้ เรายังพบว่ากลุ่มที่ได้รับเงินมากกว่า ก็มีแนวโน้มเข้าร่วมโครงการทุกระยะ และมีจำนวนวันเฉลี่ยที่ได้รับเงินจากรัฐสูงถึง 351 วัน จากจำนวนวันของโครงการทั้งหมด 494 วัน
| Quintiles | % กรุงเทพฯ และปริมณฑล | จำนวนบัญชีเฉลี่ยก่อนเข้าโครงการ | รายได้ก่อนเข้าโครงการ | % เข้าร่วมทั้ง 5 ระยะ | จำนวนวันเฉลี่ยที่ได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐ |
|---|---|---|---|---|---|
| First | 27.9 | 2.8 | 53,884 | 4% | 33 |
| Second | 27.9 | 2.7 | 53,168 | 20% | 109 |
| Third | 29.6 | 2.7 | 56,464 | 35% | 192 |
| Fourth | 32.1 | 2.7 | 58,490 | 49% | 273 |
| Fifth | 31.8 | 2.8 | 84,498 | 61% | 351 |
หลักฐานที่ผ่านมาชี้ว่าผู้ประกอบการมียอดขายเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากการเข้าร่วมโครงการ อย่างไรก็ตามเงินช่วยเหลือมีการกระจุกตัวอย่างมากในกลุ่ม Top 5 % นอกจากนี้ เรายังไม่ได้เห็นภาพของผู้ประกอบการอีกสองกลุ่มที่อาจจะเสียประโยชน์จากโครงการ คือ ผู้ประกอบการรายย่อยนอกระบบที่ไม่ได้เข้าร่วมโครงการ และผู้ประกอบการรายย่อยในระบบที่จดทะเบียนนิติบุคคลและเข้าระบบภาษีถูกต้องจึงไม่ผ่านเกณฑ์การเข้าร่วมโครงการ ทั้งสองกลุ่มนี้ อาจจะมียอดขายลดลงในระหว่างโครงการก็เป็นได้ รวมถึงกลุ่มในระบบก็อาจจะมีแรงจูงใจให้ออกนอกระบบในอนาคต
บทความนี้ ส่งท้ายด้วยการชวนมองมาตรการ “คนละครึ่ง” ในสองมิตินี้ ว่าเราจะสามารถปรับให้ดีขึ้นได้อย่างไร
แม้การทำโครงการผ่านธุรกรรม e-payment ช่วยให้ร้านค้าได้รับเงินช่วยเหลืออย่างรวดเร็ว แต่ยังอาจมีผู้ประกอบการที่ตกหล่น โดยเป็นกลุ่มที่ไม่ทราบถึงโครงการหรือไม่ถนัดเทคโนโลยี และน่าจะเสียลูกค้าเพราะลูกค้าเดิมย้ายไปซื้อของจากร้านที่เข้าร่วมโครงการ รัฐควรศึกษาว่ากลุ่มตกหล่นนี้มีจำนวนมากน้อยเพียงใด เป็นใคร ได้รับผลกระทบเท่าใด และอุปสรรคของการเข้าร่วม คือ อะไร เพื่อประเมินว่าจะสามารถให้ความช่วยเหลือหรือปรับเกณฑ์การเข้าร่วมได้อย่างไร
ประสบการณ์จากสหรัฐฯ และจีน ชี้ว่าการอุดหนุนให้ฝั่งผู้บริโภค มักเอื้อประโยชน์ให้ร้านค้าขนาดใหญ่กว่า (Andrews et al., 2013; Xing et al., 2023) เพราะร้านใหญ่มีฐานลูกค้าเดิมและมีความสามารถในการแข่งขันที่สูงกว่า รวมทั้งลูกค้ามีกำลังซื้อมากขึ้นจึงสามารถเลือกซื้อของที่แพงขึ้นได้ ซึ่งก็สอดคล้องกับข้อคนพบในกรณีมาตรการคนละครึ่งปี 2563–2565 ยิ่งไปกว่านั้น ในบางกรณีของสหรัฐฯ การอุดหนุนการบริโภคส่งผลให้ผู้ขายบางส่วนใช้อำนาจตลาดปรับขึ้นราคาส่งให้ตนเองได้ประโยชน์มากขึ้นด้วย (Leung & Seo, 2023)
หากรัฐต้องการให้เงินสนับสนุนกระจายตัวอย่างทั่วถึงมากขึ้น ควรพิจารณากำหนดเกณฑ์ฝั่งผู้ขายเพิ่มเติมจากฝั่งผู้ซื้อที่มีอยู่เดิม เพราะแม้จะจำกัดการใช้จ่ายรายวันของผู้ซื้อ แต่หากมีลูกค้าจำนวนมากซื้อสินค้าจากร้านเดียวกัน ผลประโยชน์ก็ยังอาจกระจุกอยู่ที่ร้านค้าขนาดใหญ่
แนวทางหนึ่งคือ การกำหนดเพดานสนับสนุนสูงสุดที่ร้านค้าแต่ละรายสามารถได้รับ เช่น เมื่อร้านค้ารับเงินสนับสนุนครบตามเพดานแล้ว อาจไม่ได้รับการสนับสนุนหรือได้รับอัตราสนับสนุนที่ลดลง วิธีนี้จะสร้างแรงจูงใจให้ผู้บริโภคหันไปซื้อจากร้านรายย่อยที่ยังได้รับเงินสนับสนุนไม่เต็มสิทธิ ซึ่งน่าจะเป็นกลุ่มที่มีขนาดเล็กและยอดขายน้อยกว่าตามลำดับ
ในทางปฏิบัติ รัฐอาจกำหนดเพดานที่สูงพอที่จะไม่สร้างภาระในการตรวจสอบสิทธิ แต่ยังช่วยลดการกระจุกตัวได้ เช่น ใช้ระดับ 90th percentile ของเงินสนับสนุนที่ร้านค้าต่าง ๆ เคยได้รับจากโครงการในอดีตเป็นจุดตัด
จากข้อค้นพบข้างต้น ประเทศไทยยังมีผู้ประกอบการขนาดไม่เล็กนักที่อยู่นอกระบบอยู่จำนวนหนึ่ง ซึ่งถึงแม้ผู้ประกอบการเหล่านี้จะมีการจ้างงานสูง แต่ก็ยังเป็นความท้าทายต่อระบบเศรษฐกิจในหลายมิติ ทั้งในมิติของการเสียภาษีอย่างถูกต้อง (Muthitacharoen et al., 2021) การสร้างการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมระหว่างผู้ประกอบการในและนอกระบบ (La Porta & Shleifer, 2014) รวมถึงการคุ้มครองทางสังคมของลูกจ้าง
ดังนั้น การให้สิทธิประโยชน์กับผู้ประกอบการนอกระบบมากกว่าผู้ประกอบการในระบบที่มี*ศักยภาพและขนาดใกล้กัน*เป็นสิ่งที่ไม่เป็นธรรม และยังลดแรงจูงใจในการเข้าระบบ เพราะมี informality premium ที่จูงใจให้การอยู่นอกระบบคุ้มกว่าเพราะสามารถหลบเลี่ยงภาษี เลี่ยงการส่งสมทบประกันสังคมให้ลูกจ้าง เลี่ยงกฎหมายคุ้มครองแรงงาน ดังนั้น คำว่า “นอกระบบ” ในปัจจุบัน ไม่น่าจะเป็นตัววัดที่ดีของ “ความเล็กและความเปราะบาง” ของผู้ประกอบการ
การจูงใจผู้ประกอบการเข้าระบบนั้นไม่ใช่เรื่องที่ง่าย โดยหัวใจของการออกแบบ คือ การทำให้ประโยชน์ของการอยู่ในระบบดีกว่าการอยู่นอกระบบ ผ่านมาตรการที่ผสมระหว่างการลดต้นทุน (เช่น @ fajnzylber2011does) การเพิ่มแรงจูงใจ (เช่น De Mel et al. (2013)) และการเพิ่มความน่าเชื่อถือของการบังคับใช้ (เช่น Almeida & Carneiro (2012)) การให้สิทธิประโยชน์ที่เจาะจงแก่ผู้ประกอบการนอกระบบ อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของแรงจูงใจได้ แต่ก็ควรมีออกแบบเป้าหมายปลายทางที่บังคับให้ผู้ประกอบการเหล่านี้เข้ามาอยู่ในระบบ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้ระบบเศรษฐกิจในระยะยาว และสร้างมาตรการที่เป็นธรรมได้ กิจการที่กำไรใกล้เคียงกันก็ควรมีภาระภาษีใกล้เคียงกัน และได้รับการสนับสนุนอย่างเท่าเทียมกัน
เอกสารอ้างอิง
- ข้อมูลจำนวนธุรกิจจาก MSME Big Data Dashboard ของ สสว. นับรวมเฉพาะ micro และ small enterprises และข้อมูลจำนวนแรงงาน จากข้อมูล Labour Force Survey ปี 2564 โดยนับแรงงานที่มีอายุ 15–70 ปี↩
- บทความนี้ เราวิเคราะห์ถึงการช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยในระยะสั้นเท่านั้น โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายย่อยนอกระบบ สำหรับผู้ที่สนใจเรื่องนโยบายสนับสนุน ประกอบการรายย่อยในภาพใหญ่ ว่าต้องคำนึงถึงอะไรบ้าง และผลกระทบต่อประสิทธิภาพและการแข่งขันเป็นอย่างไร สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ใน Beck et al. (2005) , Caballero et al. (2008) , Wasi et al. (2019) , Muthitacharoen et al. (2021)↩
- เกณฑ์ที่ใช้ในการเลือกร้าน คือ ร้านที่ได้รับเงินโอนเข้าบัญชีบุคคคลธรรมดาของเจ้าของร้านรวมกันอย่างน้อย 30 ครั้งต่อเดือนในไตรมาส 3 ปี 2020 และเป็นร้านที่ไม่ได้ออกจากโครงการหากเข้าร่วมโครงการแล้ว↩
- ยอดขายรวมคิดมาจากบัญชีซึ่งมีจำนวนธุรกรรมมากที่สุดและบัญชีที่ได้รับเงินจากภาครัฐในช่วงที่มีโครงการคนละครึ่งคูณสอง↩
- ทั้งนี้ การเข้าร่วมในแต่ละระยะ อาจจะไม่ได้ random นัก กลุ่มที่เลือกเข้าโครงการก่อนก็อาจจะเป็นกลุ่มที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากโครงการมากกว่ากลุ่มอื่น ๆ ตัวเลขข้างต้นจึงอาจจะ overestimate ผลของโครงการ↩
- งานวิจัยนี้สร้างตัวแปร outcome รายจังหวัด โดยคำนวณค่าเฉลี่ยในแต่ละสัปดาห์สำหรับแต่ละจังหวัด จากนั้นเปรียบเทียบข้อมูลก่อนและหลังการเปิดตัวโครงการคนละครึ่งบนแพลตฟอร์มเดลิเวอรีในต้นเดือนตุลาคม 2564↩
- รายได้ดังกล่าวคำนวณจากธุรกรรมที่เป็นการโอนเงินจากบุคคลธรรมดาที่คาดเดาว่าร้านใช้ทำธุรกรรม ซึ่งอาจจะมีการนับรวมส่วนที่มิใช่รายได้จากการขายสินค้าได้↩











