Research
Discussion Paper
PIERspectives
aBRIDGEd
PIER Blog
Events
Conferences
Research Workshops
Policy Forums
Seminars
Exchanges
Research Briefs
Community
PIER Research Network
Visiting Fellows
Funding and Grants
About Us
Our Organization
Announcements
PIER Board
Staff
Work with Us
Contact Us
TH
EN
Research
Research
Discussion Paper
PIERspectives
aBRIDGEd
PIER Blog
Exchange Rate Effects on Firm Performance: A NICER Approach
Discussion Paper ล่าสุด
Exchange Rate Effects on Firm Performance: A NICER Approach
ผลกระทบของการขึ้นค่าเล่าเรียนต่อการตัดสินใจเรียนมหาวิทยาลัย
aBRIDGEd ล่าสุด
ผลกระทบของการขึ้นค่าเล่าเรียนต่อการตัดสินใจเรียนมหาวิทยาลัย
Events
Events
Conferences
Research Workshops
Policy Forums
Seminars
Exchanges
Research Briefs
International Policy Forum on Climate Finance
งานประชุมเชิงนโยบายต่อไป
International Policy Forum on Climate Finance
Joint NSD-PIER Applied Microeconomics Research Workshop
งานประชุมเชิงปฏิบัติการล่าสุด
Joint NSD-PIER Applied Microeconomics Research Workshop
สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์
สถาบันวิจัยเศรษฐกิจ
ป๋วย อึ๊งภากรณ์
Puey Ungphakorn Institute for Economic Research
Community
Community
PIER Research Network
Visiting Fellows
Funding and Grants
PIER Research Network
PIER Research Network
Funding & Grants
Funding & Grants
About Us
About Us
Our Organization
Announcements
PIER Board
Staff
Work with Us
Contact Us
Staff
Staff
Call for Papers: PIER Research Workshop 2025
ประกาศล่าสุด
Call for Papers: PIER Research Workshop 2025
aBRIDGEdabridged
Making Research Accessible
QR code
Year
2025
2024
2023
2022
...
Topic
Development Economics
Macroeconomics
Financial Markets and Asset Pricing
Monetary Economics
...
/static/b929c1ee8b031751623a8db8fd65f100/41624/cover.jpg
30 กันยายน 2558
20151443571200000

อัตราเงินเฟ้อคาดการณ์: การสร้างตัวชี้วัดผ่านแบบจำลอง และนัยต่อนโยบายการเงินไทย

ผสมผสานข้อมูลมหภาคและตลาดพันธบัตร เพื่อสร้างตัวชี้วัดที่ทันต่อเหตุการณ์
ทศพล อภัยทาน
อัตราเงินเฟ้อคาดการณ์: การสร้างตัวชี้วัดผ่านแบบจำลอง และนัยต่อนโยบายการเงินไทย
excerpt

อัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ (inflation expectation) เป็นตัวแปรสำคัญที่ยึดเหนี่ยวการดำเนินนโยบายการเงิน สำหรับประเทศไทยตัวชี้วัดอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ปัจจุบันมีอยู่จำกัด บทความนี้นำเสนอตัวชี้วัดที่สร้างจากแบบจำลอง macro-finance โดยนำข้อมูลจากตลาดพันธบัตรมาประยุกต์ใช้ เพื่อเสริมเป็นอีกทางเลือกหนึ่งซึ่งนอกจากจะเป็นตัวชี้วัดที่มีความถี่สูงแล้ว ยังสามารถโยงการเปลี่ยนแปลงของเงินเฟ้อคาดการณ์และตัวแปรทางเศรษฐกิจอื่น ๆ เข้ากับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรได้ จึงสามารถเป็นเครื่องมือวิเคราะห์ที่มีประโยชน์ในการดำเนินนโยบายการเงิน

ท่ามกลางภาวะที่อัตราเงินเฟ้อลดลงมาอยู่ในระดับต่ำ หรือกระทั่งเป็นลบในหลายประเทศรวมทั้งในประเทศไทย การวิเคราะห์อัตราเงินเฟ้อคาดการณ์สำคัญอย่างยิ่งต่อการประเมินความสามารถของนโยบายการเงินในการยึดโยงพฤติกรรมของประชาชนและผู้ประกอบการ ภายใต้การดำเนินนโยบายการเงินแบบกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อ (inflation targeting) นั้น อัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ของผู้เล่นในระบบเศรษฐกิจถือเป็นตัวแปรสำคัญเนื่องจากอิทธิพลของการคาดการณ์จะเป็นตัวกำหนดการตัดสินใจเกี่ยวกับการตั้งราคาและอัตราเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นจริงในที่สุด การประเมินอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์จึงถือเป็นด่านแรก ๆ ที่ผู้ดำเนินนโยบายต้องก้าวข้ามในการที่จะควบคุมอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ในเป้า โดยเฉพาะอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ในระยะยาวที่ปราศจากความผันผวนจากปัจจัยระยะสั้นและสะท้อนพื้นฐานของเศรษฐกิจ

ชัดในทางทฤษฎี ยากในทางปฏิบัติ

เช่นเดียวกันกับตัวแปรทางเศรษฐกิจอีกหลายตัว อัตราเงินเฟ้อคาดการณ์เป็นสิ่งที่วัดแน่นอนได้ยาก โดยทั่วไปวิธีที่นิยมใช้ในการวัดตัวแปรนี้มี 2 วิธี วิธีแรกคือ การสำรวจในกลุ่มตัวอย่างที่เกี่ยวข้อง เช่น ครัวเรือน ภาคธุรกิจ หรือผู้เชี่ยวชาญด้านการทำประมาณการเศรษฐกิจในองค์กรต่าง ๆ ข้อดีของวิธีการนี้คือ ตัวเลขที่ได้จากการสอบถามสามารถใช้ชี้วัดการคาดการณ์เกี่ยวกับอัตราเงินเฟ้อได้ทันทีโดยแทบไม่ต้องผ่านการประมวลผลอะไรเพิ่มเติม แต่ก็มีข้อข้อจำกัดในเรื่องความถี่ของการออกแบบสำรวจ ต้นทุนในการดำเนินการ และที่สำคัญคือการตอบแบบสำรวจไม่ได้เชื่อมโยงกับการตัดสินใจทางเศรษฐกิจจริง (เช่น การลงทุน เป็นต้น) ทำให้ไม่อาจเป็นตัวสะท้อนที่ดีนัก นอกจากนี้ ผลที่ได้มักมีความแตกต่างกันไปตามกลุ่มตัวอย่างอีกด้วย

อีกวิธีหนึ่ง เราสามารถวัดอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ทางอ้อมได้ผ่านผลิตภัณฑ์ทางการเงิน เช่น พันธบัตรชดเชยเงินเฟ้อ1 (inflation-linked bond: ILB) และสัญญาแลกเปลี่ยนอัตราเงินเฟ้อ2 (inflation swap) เป็นต้น แต่สำหรับประเทศไทยจะยังคงมีเพียง ILB เท่านั้น โดยมีหลักการง่าย ๆ คือการหาส่วนต่างระหว่างอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรประเภทปกติกับอัตราผลตอบแทนของ ILB หรืออัตราผลตอบแทนที่แท้จริง (real yield) ซึ่งเรียกทั่วไปว่า break-even inflation จุดเด่นของวิธีการวัดผ่านผลิตภัณฑ์ทางการเงินคือความถี่ของข้อมูลที่สูง และเป็นข้อมูลที่มีพื้นฐานมาจากการตัดสินใจที่แท้จริงของนักลงทุน

อย่างไรก็ตาม ข้อจำกัดสำคัญของวิธีนี้คือ break-even inflation ที่คำนวณได้นั้น จะไม่เท่ากับการคาดการณ์เงินเฟ้อเสียทีเดียว เนื่องจากในการลงทุน นักลงทุนจะคำนึงถึงความไม่แน่นอนที่เกิดจากการคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อและนำ “ค่าชดเชยความเสี่ยงเงินเฟ้อ” (inflation risk premium) รวมเข้าไปในการคิดราคาด้วย ซึ่งมีผลต่อตัวเลข break-even inflation ไม่น้อย (Hördahl and Tristani 2010; 2012) นอกจากนี้ ปริมาณการซื้อขายพันธบัตรชนิดนี้ที่ค่อนข้างจำกัดยังทำให้เกิดส่วนชดเชยความเสี่ยงสภาพคล่อง (liquidity risk premium) อีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่ตลาดพันธบัตรชนิดนี้ยังไม่เติบโตมากพอดังเช่นประเทศไทย ซึ่งล้วนแต่จะทำให้ค่า break-even inflation แตกต่างจากการคาดการณ์ที่แท้จริงมากขึ้น งานวิจัยหลายชิ้นจึงมุ่งไปสู่การใช้แบบจำลองร่วมกับข้อมูลจาก ILB หรือแบบสำรวจ เพื่อให้ได้ค่าอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ที่ถูกต้องมากขึ้น (Joyce, Lildholdt, and Sorensen 2010; Kajuth and Watzka 2011; García and Werner 2010; 2012)

การสร้างตัวชี้วัดผ่านแบบจำลอง Macro-finance Term Structure Model

เพื่อขจัดปัญหาที่เกิดจากค่าชดเชยความเสี่ยงและความไม่สมบูรณ์ของตลาดพันธบัตรชดเชยเงินเฟ้อในกรณีของไทย Apaitan (2015) พัฒนาแบบจำลอง macro-finance term structure โดยใช้ข้อมูลพันธบัตรแบบปกติซึ่งตลาดมีความสมบูรณ์มากกว่า ร่วมกับตัวแปรเศรษฐกิจ มหภาคอื่น ๆ ในการสร้างตัวชี้วัดอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ แบบจำลองที่ใช้ในการศึกษาเป็นการผสมผสานกันระหว่างแบบจำลองเศรษฐกิจมหภาคแบบ New Keynesian ซึ่งกำหนดพลวัตรของตัวแปรมหภาคต่าง ๆ ได้แก่ ผลผลิต อัตราเงินเฟ้อ และอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น กับแบบจำลองการตั้งราคาพันธบัตรประเภท no-arbitrage affine term structure ซึ่งใช้ข้อมูลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจมหภาคในการคำนวณผลตอบแทนของพันธบัตรอายุต่าง ๆ โดยอยู่บนสมมติฐานว่าราคาพันธบัตรในแต่ละอายุไม่สามารถนำไปทำกำไรโดยปราศจากความเสี่ยงได้ (no arbitrage) แบบจำลองนี้กำหนดให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสามารถแยกออกได้เป็น 3 ส่วนคือ อัตราผลตอบแทนที่แท้จริง อัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ และค่าชดเชยความเสี่ยงเงินเฟ้อ ซึ่งทั้ง 3 ส่วนนี้ล้วนขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจและการคาดการณ์ ในทางกลับกัน ราคาพันธบัตรหรืออัตราผลตอบแทนที่เกิดขึ้นจริงในตลาดจึงทำให้เราสามารถอนุมานย้อนกลับไปยังการคาดการณ์เกี่ยวกับพลวัตรของตัวแปรมหภาคที่เกี่ยวข้องรวมถึงอัตราเงินเฟ้อได้

รูปที่ 1 อัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่อายุต่าง ๆ เปรียบเทียบกับผลจากแบบจำลอง (ไตรมาสที่ 2 ปี 2014)

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่อายุต่าง ๆ เปรียบเทียบกับผลจากแบบจำลอง (ไตรมาสที่ 2 ปี 2014)

ที่มา: Apaitan (2015) และคำนวณโดยผู้เขียน

รูปที่ 1 แสดงตัวอย่างการทำงานของแบบจำลองเมื่อปรับใช้กับข้อมูลในไตรมาสที่ 2 ของปี 2014 โดยจะเห็นได้ว่า เส้นอัตราผลตอบแทนที่ได้จากแบบจำลองใกล้เคียงกับข้อมูลจริง องค์ประกอบที่เป็นสัดส่วนมากที่สุดในอัตราผลตอบแทนคืออัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ รองลงมาคืออัตราผลตอบแทนที่แท้จริง ในขณะที่ค่าชดเชยความเสี่ยงเงินเฟ้อมีขนาดไม่มากนัก อัตราเงินเฟ้อคาดการณ์มีขนาดค่อนข้างคงที่ในแต่ละช่วงอายุ การลาดชันของเส้นอัตราผลตอบแทนโดยส่วนใหญ่จะเกิดจากการเพิ่มขึ้นของอัตราผลตอบแทนที่แท้จริงและค่าชดเชยความเสี่ยงเงินเฟ้อตามอายุที่มากขึ้น นอกจากนี้ยังสังเกตได้ว่า อัตราผลตอบแทนที่แท้จริงมีค่าเป็นลบในช่วงอายุสั้น ๆ ลักษณะขององค์ประกอบต่าง ๆ ของอัตราผลตอบแทนที่กล่าวข้างต้น จะสอดคล้องกับภาวะและการคาดการณ์เศรษฐกิจที่สร้างโดยแบบจำลองเช่นกัน ซึ่งถือเป็นจุดเด่นของแบบจำลอง macro-finance term structure ที่สามารถเชื่อมโยงข้อมูลอัตราผลตอบแทนพันธบัตรและเศรษฐกิจ มหภาคได้

รูปที่ 2 การคาดการณ์ตัวแปรเศรษฐกิจที่ได้จากแบบจำลอง (ไตรสมาสที่ 2 ปี 2014)

การคาดการณ์ตัวแปรเศรษฐกิจที่ได้จากแบบจำลอง (ไตรสมาสที่ 2 ปี 2014)

ที่มา: Apaitan (2015) และคำนวณโดยผู้เขียน

รูปที่ 2 แสดงการคาดการณ์ตัวแปรเศรษฐกิจที่ได้จากแบบจำลอง ณ ไตรมาสที่ 2 ของปี 2014 เศรษฐกิจไทยเพิ่งผ่านการชะลอตัวอย่างมากในไตรมาสที่ 1 อันจะเห็นได้จากช่องว่างการผลิต (output gap) ที่เปิดกว้างออกถึงเกือบ 2% อย่างไรก็ดี แบบจำลองแสดงถึงการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจน่าจะกลับสู่ระดับปกติได้อย่างรวดเร็วโดยอัตราเงินเฟ้อจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเช่นกัน พลวัตรดังกล่าวของเศรษฐกิจสอดคล้องกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรในระยะ 1 ปีที่ไม่ได้ลดต่ำลงในรูปที่ 1 ซึ่งสะท้อนว่าผู้เล่นในตลาดยังคงคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยระยะสั้น (short rate) ว่าอยู่ในทิศทางขาขึ้น นอกจากนี้ การที่อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นเร็วส่งผลให้อัตราผลตอบแทนที่แท้จริงมีค่าเป็นลบในช่วงอายุแรก ๆ ในขณะที่ค่าของอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ค่อนข้างคงที่ในช่วงอายุต่าง ๆ สะท้อนทิศทางของอัตราเงินเฟ้อที่เข้าใกล้ค่าในระยะยาว (long-term inflation) ในเวลาไม่นาน ทั้งนี้ เมื่อปรับใช้แบบจำลองกับข้อมูลในอดีตทั้งหมด เราจะได้ตัวชี้วัดที่ต่อเนื่องในทุก ๆ ไตรมาส

เปรียบเทียบตัวชี้วัดอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์และนัยต่อนโยบายการเงินไทย

รูปที่ 3 แสดงตัวชี้วัดอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ระยะ 10 ปีที่สร้างขึ้นจากวิธีต่าง ๆ สำหรับตัวชี้วัดประเภทแบบสอบถามนั้น มีเพียงข้อมูลที่ได้จาก Asia Pacific Consensus เท่านั้นที่มีการสำรวจมาอย่างต่อเนื่องและยาวนาน โดยสำรวจจากนักเศรษฐศาสตร์หรือผู้ทำพยากรณ์เศรษฐกิจในภาคการเงิน แต่จะมีความถี่เพียงปีละ 2 ครั้งเท่านั้น อย่างไรก็ดีในปี 2013 มีการทำสำรวจความคิดเห็นเพิ่มขึ้นจากภาคธุรกิจอุตสาหกรรมและบริการผ่านแบบสำรวจ Business Sentiment Index (BSI) ซึ่งดำเนินการโดยธนาคารแห่งประเทศไทยและข้อมูลมีความถี่เพิ่มขึ้นเป็นรายไตรมาส จะเห็นได้ว่าผลการสำรวจแตกต่างจากตัวชี้วัดของ Asia Pacific Consensus ค่อนข้างมาก เนื่องมาจากความแตกต่างของกลุ่มตัวอย่างที่ทำการสำรวจ

รูปที่ 3 อัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ระยะ 10 ปี (เฉลี่ย) ที่วัดได้จากวิธีต่าง ๆ

อัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ระยะ 10 ปี (เฉลี่ย) ที่วัดได้จากวิธีต่าง ๆ

คำอธิบาย: a) แบบสอบถาม Business Sentiment Index โดยสอบถามความเห็นเกี่ยวกับราคาสินค้า b) แบบสอบถาม Business Sentiment Index โดยสอบถามความเห็นเกี่ยวกับต้นทุนสินค้า c) Asia Pacific Consensus Forecast d) คำนวณจาก ILB รุ่น ILB271A โดยอายุจะลดลงเรื่อย ๆ นับจากวันที่ออก

สำหรับตัวชี้วัดที่ได้จากผลิตภัณฑ์ทางการเงินของไทยเริ่มมีขึ้นในปี 2011 จากการที่มี ILB ออกจำหน่ายเป็นครั้งแรก ซึ่งทำให้สามารถคำนวณ break-even inflation ได้ อย่างไรก็ตาม อัตราเงินเฟ้อที่ต่ำลงตั้งแต่ 2013 ทำให้ความต้องการที่จะป้องกันความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อลดลง ความต้องการพันธบัตรประเภทนี้จึงลดลงอย่างมาก ซึ่งนอกจากจะทำให้ค่าชดเชยความเสี่ยงเงินเฟ้อลดลงแล้ว ราคาของพันธบัตรยังได้รับผลกระทบจากสภาพคล่องในตลาดที่ต่ำด้วย ทำให้ break-even inflation ในระยะหลังลดต่ำลงอย่างมากและไม่สามารถสะท้อนอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ได้ดีนัก เมื่อเปรียบเทียบกับตัวชี้วัดที่ได้จากแบบจำลองจะพบว่า ตัวชี้วัดจาก Asia Pacific Consensus สอดคล้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกันโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงปี 2001 ถึง 2009 และหลังจากนั้นจะมีความแตกต่างกันอยู่บ้าง ในขณะที่ค่าที่ได้จากแบบจำลองสอดคล้องกับ break-even Inflation ในช่วงต้นที่มีการซื้อขาย ILB ในภาพรวม

เมื่อเปรียบเทียบกับอัตราเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นจริงซึ่งค่อนข้างผันผวนไปตามปัจจัยระยะสั้นที่มากระทบ ตัวชี้วัดที่ได้จากแบบจำลองชี้ว่าอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ของไทยค่อนข้างมีการยึดโยง (anchoring) ที่ดีนับตั้งแต่ปี 2001 ซึ่งเป็นช่วงการดำเนินนโยบายการเงินภายใต้กรอบ inflation targeting แล้ว แม้กระทั่งระหว่างปี 2005–2008 ซึ่งเป็นช่วงที่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์สูงขึ้นทั่วโลกและทำให้อัตราเงินเฟ้อของไทยสูงมาก อัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ก็ปรับเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย สำหรับในระยะหลัง ตั้งแต่ปลายปี 2014 เป็นต้นมา ราคาน้ำมันดิบได้ลดลงอย่างมากและอยู่ในระดับต่ำต่อเนื่องส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว ตัวชี้วัดทุกตัว แม้จะมีค่าแตกต่างกัน เริ่มสะท้อนการลดลงของอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ในระยะยาวแล้ว ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ดำเนินนโยบายควรให้ความสนใจอย่างใกล้ชิด

ข้อสรุป

อัตราเงินเฟ้อคาดการณ์เป็นตัวแปรที่สำคัญในการประเมินแนวโน้มของเศรษฐกิจและการดำเนินนโยบายการเงิน ในกรณีของไทย ตัวชี้วัดในด้านนี้มีค่อนข้างน้อยและมีทั้งข้อดีและข้อจำกัดที่แตกต่างกันไป การพัฒนาตัวชี้วัดให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นจึงเป็นสิ่งสำคัญ ในทางปฏิบัติ ผู้ดำเนินนโยบายพึงตระหนักถึงความไม่แน่นอนของการประเมินอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์และควรพิจารณาตัวชี้วัดหลายตัวประกอบกัน

เอกสารอ้างอิง

Apaitan, Tosapol. 2015. “Extracting Market Inflation Expectations: A Semi-Structural Macro-Finance Term Structure Model.” PIER Discussion Paper 4. Puey Ungphakorn Institute for Economic Research.

Finlay, Richard, and Sebastian Wende. 2012. “Estimating Inflation Expectations with a Limited Number of Inflation-Indexed Bonds.” International Journal of Central Banking 8(2): 111–42.

García, Juan Angel, and Thomas Werner. 2010. “Inflation Risks and Inflation Risk Premia.” Working Paper Series 1162. European Central Bank. https://ideas.repec.org/p/ecb/ecbwps/20101162.html.

Hördahl, Peter, and Oreste Tristani. 2010. “Inflation Risk Premia in the US and the Euro Area.” Working Paper Series 1270. European Central Bank. http://ideas.repec.org/p/ecb/ecbwps/20101270.html.

———. 2012. “Inflation Risk Premia In The Term Structure Of Interest Rates.” Journal of the European Economic Association 10(3): 634–57.

Joyce, Michael A. S., Peter Lildholdt, and Steffen Sorensen. 2010. “Extracting Inflation Expectations and Inflation Risk Premia from the Term Structure: A Joint Model of the UK Nominal and Real Yield Curves.” Journal of Banking & Finance 34(2): 281–94.

Kajuth, Florian, and Sebastian Watzka. 2011. “Inflation Expectations from Index-Linked Bonds: Correcting for Liquidity and Inflation Risk Premia.” The Quarterly Review of Economics and Finance 51(3): 225–35.


  1. พันธบัตรที่ปรับอัตราผลตอบแทนตามอัตราเงินเฟ้อ โดยผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนที่ไม่รวมเงินเฟ้อที่แน่นอน ราคาซื้อขายพันธบัตรประเภทนี้จึงสะท้อนว่าผู้ลงทุนคาดการณ์เกี่ยวกับอัตราเงินเฟ้ออย่างไร ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.thaibma.or.th↩
  2. สัญญาที่คู่สัญญาฝ่ายหนึ่งตกลงที่จะจ่ายอัตราดอกเบี้ยคงที่เพื่อแลกกับอัตราดอกเบี้ยลอยตัวตามอัตราเงินเฟ้อ↩
ทศพล อภัยทาน
ทศพล อภัยทาน
ธนาคารแห่งประเทศไทย
Topics: Monetary EconomicsFinancial Markets and Asset Pricing
Tags: inflation expectationmonetary policyterm structure model
ข้อคิดเห็นที่ปรากฏในบทความนี้เป็นความเห็นของผู้เขียน ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับความเห็นของสถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์

สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์

273 ถนนสามเสน แขวงวัดสามพระยา เขตพระนคร กรุงเทพฯ 10200

โทรศัพท์: 0-2283-6066

Email: pier@bot.or.th

เงื่อนไขการให้บริการ | นโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2568 สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์

เอกสารเผยแพร่ทุกชิ้นสงวนสิทธิ์ภายใต้สัญญาอนุญาต Creative Commons Attribution-NonCommercial-ShareAlike 3.0 Unported license

Creative Commons Attribution NonCommercial ShareAlike

รับจดหมายข่าว PIER

Facebook
YouTube
Email