Research
Discussion Paper
PIERspectives
aBRIDGEd
PIER Blog
Events
Conferences
Research Workshops
Policy Forums
Seminars
Exchanges
Research Briefs
Community
PIER Research Network
Visiting Fellows
Funding and Grants
About Us
Our Organization
Announcements
PIER Board
Staff
Work with Us
Contact Us
TH
EN
Research
Research
Discussion Paper
PIERspectives
aBRIDGEd
PIER Blog
Exchange Rate Effects on Firm Performance: A NICER Approach
Discussion Paper ล่าสุด
Exchange Rate Effects on Firm Performance: A NICER Approach
ผลกระทบของการขึ้นค่าเล่าเรียนต่อการตัดสินใจเรียนมหาวิทยาลัย
aBRIDGEd ล่าสุด
ผลกระทบของการขึ้นค่าเล่าเรียนต่อการตัดสินใจเรียนมหาวิทยาลัย
Events
Events
Conferences
Research Workshops
Policy Forums
Seminars
Exchanges
Research Briefs
International Policy Forum on Climate Finance
งานประชุมเชิงนโยบายต่อไป
International Policy Forum on Climate Finance
Joint NSD-PIER Applied Microeconomics Research Workshop
งานประชุมเชิงปฏิบัติการล่าสุด
Joint NSD-PIER Applied Microeconomics Research Workshop
สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์
สถาบันวิจัยเศรษฐกิจ
ป๋วย อึ๊งภากรณ์
Puey Ungphakorn Institute for Economic Research
Community
Community
PIER Research Network
Visiting Fellows
Funding and Grants
PIER Research Network
PIER Research Network
Funding & Grants
Funding & Grants
About Us
About Us
Our Organization
Announcements
PIER Board
Staff
Work with Us
Contact Us
Staff
Staff
Call for Papers: PIER Research Workshop 2025
ประกาศล่าสุด
Call for Papers: PIER Research Workshop 2025
aBRIDGEdabridged
Making Research Accessible
QR code
Year
2025
2024
2023
2022
...
Topic
Development Economics
Macroeconomics
Financial Markets and Asset Pricing
Monetary Economics
...
/static/0684d198807d2e8eb4a1b935c8d3e4c0/41624/cover.jpg
14 มีนาคม 2559
20161457913600000

แรงจูงใจทางภาษี…ไทยอยู่ตรงไหนในอาเซียน

แรงจูงใจทางภาษีของไทยอยู่ในระดับที่ทัดเทียมกับประเทศคู่แข่งในอาเชียนหรือไม่
อธิภัทร มุทิตาเจริญ
แรงจูงใจทางภาษี…ไทยอยู่ตรงไหนในอาเซียน
excerpt

สิทธิประโยชน์ทางภาษีเป็นเครื่องมือที่รัฐบาลนิยมใช้ในการส่งเสริมการลงทุน แต่สิทธิประโยชน์เหล่านั้นมีต้นทุนสูง และไม่ตอบโจทย์ทั้งหมด ซึ่งหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่รัฐบาลใช้ประกอบการขยายสิทธิประโยชน์อยู่บ่อยครั้งคือ การที่แรงจูงใจทางภาษีของไทยด้อยกว่าของประเทศเพื่อนบ้าน บทความนี้ชี้ให้เห็นว่า

  1. แรงจูงใจทางภาษีของประเทศไทยในปัจจุบันอยู่ในระดับที่ทัดเทียมกับประเทศคู่แข่ง ASEAN4 ในแทบทุกอุตสาหกรรมเป้าหมาย และ
  2. มาตรการยกเว้นภาษีเป็นระยะเวลาหนึ่ง (Tax holiday) อาจไม่ใช่เครื่องมือการให้สิทธิประโยชน์ที่มีประสิทธิภาพที่สุด

ความเข้าใจเรื่องแรงจูงใจทางภาษีสำหรับการลงทุนสำคัญอย่างไร

หลายงานวิจัยพบว่าต้นทุนภาษีเป็นปัจจัยสำคัญต่อการตัดสินใจลงทุนของบรรษัทข้ามชาติ แต่สิทธิประโยชน์เหล่านั้นมีต้นทุนสูง และไม่ตอบโจทย์ทั้งหมด1 ต้นทุนของสิทธิประโยชน์เหล่านั้นอยู่ในรูปรายได้ภาษีที่หายไป (ในทางเศรษฐศาสตร์ เราเรียกต้นทุนนี้ว่า รายจ่ายภาษี หรือ Tax expenditure) สำนักงานเศรษฐกิจการคลังประมาณการว่ารายจ่ายภาษีที่เกี่ยวข้องกับสิทธิประโยชน์ทางภาษีผ่านคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) อยู่ที่ 224,000 ล้านบาทในปีงบประมาณ 2016 ซึ่งเป็นรายจ่ายที่สูงใกล้เคียงกับรายได้ของรัฐจากภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ยิ่งไปกว่านั้น แรงจูงใจภาษีเป็นเพียงปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเข้ามาลงทุนของบรรษัทข้ามชาติ ปัจจัยอื่น ๆ เช่น โครงสร้างพื้นฐาน ความง่ายต่อการทำธุรกิจ และความต่อเนื่องและชัดเจนของนโยบาย ล้วนมีผลสำคัญต่อการตัดสินใจลงทุน ซึ่งแน่นอนว่าแรงจูงใจภาษีคงไม่สามารถชดเชยจุดอ่อนของประเทศในด้านเหล่านั้นได้ทั้งหมด

ความเข้าใจเรื่องแรงจูงใจทางภาษีสำหรับการลงทุนของประเทศไทยจึงมีความสำคัญในเชิงนโยบาย การตระหนักว่าเราอยู่ในระดับใดเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศคู่แข่งในอาเซียน จะทำให้รัฐบาลสามารถออกแบบมาตรการสิทธิประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยการเลือกให้สิทธิประโยชน์เพิ่มเติมเฉพาะส่วนที่เราด้อยกว่า และเมื่อแรงจูงใจทางภาษีอยู่ในระดับที่ทัดเทียมกับประเทศคู่แข่งได้แล้ว รัฐบาลจะสามารถหยุดมอบสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมแก่นักลงทุน และมุ่งปิดจุดอ่อนของประเทศในด้านอื่น ๆ ดังที่ได้กล่าวมาข้างต้น

บทความนี้สรุปผลการศึกษาจาก Muthitacharoen (2016) ซึ่งตอบ 2 คำถาม:

  1. แรงจูงใจทางภาษีของไทยอยู่ในระดับที่ทัดเทียมกับประเทศคู่แข่งในอาเชียนหรือไม่ และ
  2. ระบบสิทธิประโยชน์ทางภาษีของประเทศไทยมีสัญญาณความซ้ำซ้อนของแรงจูงใจ (Incentive Redundancy) หรือไม่ และจะมีแนวทางปรับปรุงได้อย่างไร

กรอบการศึกษา

ในการศึกษานี้ มี 2 ประเด็นสำคัญที่ต้องพิจารณา

1. สิทธิประโยชน์ทางภาษีมีหลากหลายรูปแบบในทางปฏิบัติ จะวัดผลกระทบของสิทธิประโยชน์เหล่านั้นต่อแรงจูงใจในการลงทุนได้อย่างไร

งานศึกษานี้สร้างอัตราภาษี Effective Average Tax Rate (EATR) จากวิธีที่เสนอโดย Devereux and Griffith (2003) ซึ่ง EATR นี้สะท้อนอัตราภาษีเฉลี่ยที่บริษัทจะต้องจ่ายในโครงการลงทุนนั้น ๆ และเกี่ยวข้องโดยตรงต่อการตัดสินใจเลือกสถานที่ลงทุน (Location choice decisions) หลายงานวิจัย เช่น Devereux and Griffith (1998) และ Bellak and Leibrecht (2009) พบว่าอัตราภาษี EATR มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติต่อการตัดสินใจเลือกประเทศลงทุนของบรรษัทข้ามชาติ

กรอบการประมาณการ EATR เป็นการจำลองกระแสเงินสดทั้งหมดที่เป็นผลจากการตัดสินใจลงทุนของบริษัท (รูปที่ 1) โดยมีการสร้างสมมติฐานต่าง ๆ เกี่ยวกับโครงการลงทุน เช่น ประเภทการลงทุน และขนาดของกำไร รวมทั้งมีการพิจารณากฎหมายภาษีที่เกี่ยวข้องทั้งใน Standard Treatment (เช่น อัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล และการหักค่าเสื่อมราคาของสินทรัพย์) และ Preferential Treatment (เช่น การยกเว้นภาษีเป็นระยะเวลาหนึ่ง หรือ Tax holiday) อัตราภาษี EATR นี้เป็นฟังก์ชั่นของส่วนต่างระหว่างมูลค่าปัจจุบันของการลงทุน (Net present value) ก่อนและหลังภาษี

รูปที่ 1: กรอบการประมาณการ Effective Average Tax Rate (EATR)

กรอบการประมาณการ Effective Average Tax Rate (EATR)

2) การเปรียบเทียบแรงจูงใจทางภาษีระหว่างไทยและประเทศคู่แข่งในอาเซียนทำได้อย่างไร

ประเทศอาเซียนมีความหลากหลายค่อนข้างมากทั้งในระดับการพัฒนาเศรษฐกิจ และการเปิดรับการลงทุนจากต่างชาติ งานศึกษานี้จึงมุ่งความสนใจไปที่ประเทศอาเซียนที่มีการไหลเข้าของ FDI สุทธิสูงที่สุด 4 ประเทศ (ไม่รวมสิงคโปร์) ได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย เวียดนาม และไทย (ASEAN4) นอกจากนี้ในระดับอุตสาหกรรม สิทธิประโยชน์ทางภาษีและองค์ประกอบการลงทุนก็ยังมีความแตกต่างกันพอสมควร งานศึกษานี้ได้พิจารณา EATR สำหรับ 5 อุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศไทย ได้แก่ ยานยนต์ ไบโอเทค อิเลกทรอนิกส์ อาหารแปรรูป และท่องเที่ยว2

ทั้งนี้ในทางปฏิบัติ สิทธิประโยชน์สำหรับแต่ละอุตสาหกรรมและองค์ประกอบของการลงทุนอาจแตกต่างกันได้ตามประเภทกิจกรรม งานศึกษานี้ได้พิจารณาแรงจูงใจภาษีสูงสุด (Maximum incentives) ที่แต่ละประเทศมอบให้อุตสาหกรรมนั้น ๆ โดยการพิจารณาแรงจูงใจภาษีสูงสุดนี้จะทำให้เราสามารถเข้าใจว่า ในกิจกรรมที่รัฐบาลไทยให้ความสำคัญอย่างยิ่งยวดนั้น สิทธิประโยชน์ของเราสามารถทัดเทียมกับของประเทศคู่แข่งได้หรือไม่3 รูปที่ 2 แสดงตัวอย่างของกิจกรรมที่ได้รับแรงจูงใจภาษีสูงสุดใน 5 อุตสาหกรรมเป้าหมายของไทย โดยแรงจูงใจภาษีสูงสุดสำหรับยานยนต์ อิเลกทรอนิกส์ อาหารแปรรูป และท่องเที่ยวจะเท่ากันคือ ได้รับ Tax holiday 8 ปี (จำกัดการยกเว้นภาษี ไม่เกินมูลค่าการลงทุน) และมีการลดอัตราภาษีเหลือ 10% เป็นเวลา 5 ปีหลังจาก Tax holiday หมดอายุ ในขณะที่ไบโอเทคจะได้รับสิทธิประโยชน์ในลักษณะเดียวกัน แต่ไม่มีการจำกัดเพดานการยกเว้นภาษี

รูปที่ 2: ตัวอย่างของกิจกรรมที่ได้รับแรงจูงใจภาษีสูงสุดใน 5 อุตสาหกรรมเป้าหมายของไทย

ตัวอย่างของกิจกรรมที่ได้รับแรงจูงใจภาษีสูงสุดใน 5 อุตสาหกรรมเป้าหมายของไทย

แรงจูงใจทางภาษีของไทยอยู่ในระดับที่ทัดเทียมกับประเทศคู่แข่งในอาเชียนหรือไม่

สิทธิประโยชน์ทางภาษีที่รัฐบาลใช้ส่งเสริมการลงทุนนั้น มีทั้งในระดับ Standard tax treatment ซึ่งเปิดกว้างต่อการลงทุนทั่วไป และ Preferential tax treatment ภายใต้ BOI ซึ่งเลือกให้เฉพาะบางอุตสาหกรรมเท่านั้น4

แรงจูงใจภาษีของไทยสำหรับการลงทุนทั่วไปอยู่ในระดับที่สูงที่สุดใน ASEAN4 ภายใต้ Standard Tax Treatment นั้น เมื่อรวมอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลของไทยที่ 20% เข้ากับการหักค่าเสื่อมราคาแล้ว อัตราภาษี EATR ของไทยอยู่ที่ 18.2% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย EATR ของกลุ่ม ASEAN4 ที่ 20.9% (รูปที่ 3) ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อรวมมาตรการส่งเสริมการลงทุนในประเทศที่อนุญาตให้ผู้ลงทุนหักรายจ่ายได้เป็น 2 เท่าของค่าใช้จ่ายสำหรับการลงทุนตั้งแต่ช่วงปลายปี 2015 – สิ้นปี 2016 แล้ว จะทำให้อัตราภาษี EATR ลดลงเหลือเพียง 9.2% และส่งผลให้แรงจูงใจทางภาษีสำหรับการลงทุนทั่วไปของไทยเหนือกว่าของประเทศคู่แข่ง ASEAN4 อย่างเห็นได้ชัด

รูปที่ 3: EATR ของ ASEAN4 สำหรับการลงทุนทั่วไปปี 2016

img 3

การพิจารณาอัตราภาษี EATR ย้อนหลังไปใน ช่วงทศวรรษที่ผ่านมา จะช่วยเปิดมุมมองความเข้าใจ การแข่งขันด้านภาษีของภูมิภาค การพัฒนาการทางด้านแรงจูงใจภาษีของ ASEAN4 ได้รับอิทธิพลค่อนข้างมากจากการแข่งกันลดภาษี โดยการแข่งขันรอบแรกเกิดขึ้นช่วงวิกฤตการเงินโลกในปี 2008 ทุกประเทศยกเว้นประเทศไทยได้ลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลของตนลง ต่อมาในช่วงปี 2011–2013 ไทยได้ลดอัตราภาษีลงจาก 30% เป็น 20% การลดอัตราภาษีของไทยนี้อาจกระตุ้นให้เกิดการแข่งขันทางด้านภาษีรอบใหม่ โดยมาเลเซียและเวียดนามได้เริ่มลดอัตราภาษีลงแล้ว (รูปที่ 4) ภาพการพัฒนาการนี้ทำให้เห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องมีการเจรจาร่วมมือกันระหว่างประเทศเพื่อป้องกันการแข่งขันกันลดภาษี (Race to the bottom)

รูปที่ 4: การพัฒนาการของ EATR สำหรับ ASEAN4 ในทศวรรษที่ผ่านมา

การพัฒนาการของ EATR สำหรับ ASEAN4 ในทศวรรษที่ผ่านมา

การพิจารณาเพียง Standard tax treatment นั้นไม่ได้ให้ภาพที่สมบูรณ์เกี่ยวกับความสามารถในการแข่งขันทางด้านภาษี ทุกประเทศ ASEAN4 มีการแจกสิทธิประโยชน์ประเภท Tax holiday กันอย่างแพร่หลาย (รูปที่ 5) ซึ่งสิทธิประโยชน์เหล่านี้สามารถลดภาระภาษีของผู้ลงทุนอย่างมีนัยสำคัญ รูปที่ 6 แสดงตัวอย่างของผลกระทบของสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ต่อ EATR สำหรับอุตสาหกรรมอิเลกทรอนิกส์ โดยเมื่อรวมสิทธิประโยชน์ทั้งหมดแล้ว อัตราภาษี EATR ลดลงเหลือเพียง 6.1%

รูปที่ 5: แรงจูงใจภาษีสูงสุดของ ASEAN4 ใน 5 อุตสาหกรรมเป้าหมาย

แรงจูงใจภาษีสูงสุดของ ASEAN4 ใน 5 อุตสาหกรรมเป้าหมาย

รูปที่ 6: ตัวอย่างผลกระทบของมาตรการภาษีต่าง ๆ ต่อ EATR

ตัวอย่างผลกระทบของมาตรการภาษีต่าง ๆ ต่อ EATR

ภายใต้ Preferential tax treatment แรงจูงใจภาษีสูงสุดของไทยอยู่ในระดับที่ทัดเทียมกับประเทศ ASEAN4 อื่น ๆ ในแทบทุกอุตสาหกรรมเป้าหมาย เมื่อพิจารณาแรงจูงใจภาษีสูงสุดนั้น EATR ของไทยอยู่ที่ประมาณ 6–9% ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบของการลงทุนในแต่ละอุตสาหกรรม (รูปที่ 7) โดยในทุกอุตสาหกรรมยกเว้นไบโอเทค EATR ของไทยอยู่ในระดับที่ต่ำที่สุด หรือห่างจากประเทศที่มีภาระภาษีน้อยที่สุดเพียง 1–2 percentage point ยกเว้นแต่เพียงอุตสาหกรรมไบโอเทคที่แรงจูงใจทางภาษีของมาเลเซียสูงกว่าของไทยอย่างเห็นได้ชัด ผลการศึกษานี้ชี้ว่า ในทุกอุตสาหกรรมเป้าหมายยกเว้นไบโอเทค รัฐบาลแทบไม่มีความจำเป็นที่จะขยายสิทธิประโยชน์ในรูปภาษีหรือตัวเงินเพิ่มเติม

รูปที่ 7: EATR ภายใต้แรงจูงใจภาษีสูงสุด (Maximum tax incentives) ของ ASEAN4

EATR ภายใต้แรงจูงใจภาษีสูงสุด (Maximum tax incentives) ของ ASEAN4

มาตรการสิทธิประโยชน์ทางภาษีของไทยมีสัญญาณความซ้ำซ้อนของแรงจูงใจหรือไม่

ความท้าทายสำคัญอย่างหนึ่งของผู้วางนโยบายส่งเสริมการลงทุนคือ การสร้างสมดุลระหว่างการมอบแรงจูงใจทางภาษีที่เพียงพอ และการทำให้รายได้รัฐหายไปน้อยที่สุด วิธีหนึ่งที่จะช่วยเรื่องนี้ได้คือการป้องกันการซ้ำซ้อนของแรงจูงใจ (Incentive redundancy) งานวิจัย Muthitacharoen (2016) ได้ศึกษาว่าภายใต้ระบบปัจจุบัน แรงจูงใจทางภาษีของไทยเพิ่มขึ้นหรือไม่สำหรับ 1) การลงทุนในสินทรัพย์ที่เสื่อมสภาพเร็ว และ 2) การลงทุนที่มีอัตรากำไรสูง หากแรงจูงใจเพิ่มขึ้นในกรณีแรก นั่นอาจทำให้เราดึงดูดบริษัทที่เข้ามาลงทุนแบบฉาบฉวย (Foot-loose companies) และหากแรงจูงใจเพิ่มขึ้นในกรณีที่ 2 นั่นหมายความว่าเราอาจกำลังช่วยบริษัทที่พร้อมเข้ามาลงทุนถึงแม้จะไม่ได้รับแรงจูงใจภาษี

ในทั้ง 2 กรณี ผู้ศึกษาได้เปรียบเทียบ EATR ระหว่างระบบสิทธิประโยชน์แบบ Tax holiday ในปัจจุบัน และระบบทางเลือกซึ่งประกอบด้วย Accelerated depreciation (AD) และ Investment tax allowance (ITA) ในส่วนของสิทธิประโยชน์ AD ภายใต้ระบบทางเลือกนี้ ผู้ลงทุนจะสามารถหักค่าลดหย่อนในปีแรกได้ 40% และ 10% สำหรับเครื่องจักร และสิ่งปลูกสร้างตามลำดับในขณะที่สิทธิประโยชน์ ITA จะมีลักษณะเดียวกับมาเลเซีย นั่นคือผู้ลงทุนสามารถหัก 60% ของเงินลงทุนออกจาก 70% ของรายได้ก่อนภาษีได้ในแต่ละปีจนกว่าจะหักได้ครบทั้งหมด ข้อได้เปรียบสำคัญของระบบทางเลือก คือ การลดแรงจูงใจในการที่บริษัทจะวางแผนภาษีโดยการย้ายรายได้จากบริษัทในเครือมาที่บริษัทที่ได้รับ Tax holiday

กรณีที่ 1: การลงทุนในสินทรัพย์ที่เสื่อมสภาพเร็ว

เครื่องมือ Tax holiday อาจดึงดูดบริษัทที่เข้ามาลงทุนแบบฉาบฉวย (Foot-loose companies) ภายใต้ระบบ Tax holiday ของไทยในปัจจุบัน EATR ของผู้ลงทุนจะต่ำกว่าสำหรับการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีการเสื่อมค่าเร็ว (รูปที่ 8) ซึ่ง EATR นี้จะลดลงเข้าใกล้ศูนย์สำหรับการลงทุนที่สินทรัพย์ เสื่อมค่าลงเกือบทั้งหมดก่อนการหมดอายุของ Tax holiday ตรงกันข้ามภายใต้ AD ความแตกต่างของแรงจูงใจทางภาษีสำหรับการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเร็วในการเสื่อมค่าต่างกันจะน้อยกว่าค่อนข้างมาก ดังนั้นหากเป้าหมายคือ การส่งเสริมการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีอายุยาว (Long-lived assets) AD อาจเป็นเครื่องมือภาษีที่ดีกว่า Tax holiday

รูปที่ 8: EATR สำหรับอิเลกทรอนิกส์ภายใต้สมมติฐานการเสื่อมค่าต่าง ๆ

EATR สำหรับอิเลกทรอนิกส์ภายใต้สมมติฐานการเสื่อมค่าต่าง ๆ

กรณีที่ 2: การลงทุนที่มีอัตรากำไรสูง

เพดานการยกเว้นภาษีสำคัญมาก หากเราต้องการป้องกันการมอบ Tax holiday ให้บริษัทที่พร้อมเข้ามาลงทุนถึงแม้จะไม่ได้รับแรงจูงใจภาษี ภายใต้ระบบ Tax holiday ที่ไม่มีเพดาน EATR จะลดลงอย่างมีนัยสำคัญสำหรับบริษัทที่มีอัตรากำไรสูง (รูปที่ 9) นั่นชี้ว่าผู้วางนโยบายจะต้องระมัดระวังค่อนข้างมากในการแจกสิทธิประโยชน์ให้แก่ผู้ลงทุนไบโอเทค ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมเดียวที่ได้รับการยกเว้นเพดาน ในทางตรงกันข้าม เมื่อประกอบเพดานเข้ากับ Tax holiday EATR จะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญสำหรับบริษัทที่มีอัตรากำไรสูง ผลการศึกษานี้สนับสนุนนโยบายของ BOI ที่มีการใช้เพดานการยกเว้นภาษีสำหรับกิจกรรมส่วนใหญ่ที่ได้รับการส่งเสริม อีกวิธีหนึ่งที่สามารถใช้ป้องกันการซ้ำซ้อนของแรงจูงใจได้คือ เครื่องมือ AD และ ITA ดังที่เสนอภายใต้ระบบทางเลือก โดยภายใต้ระบบนี้ บริษัทที่มีอัตรากำไรปานกลางจะมีภาระภาษีในระดับที่ใกล้เคียงกับระบบ Tax holiday (รูปที่ 9) ในขณะที่บริษัทที่มีกำไรสูงจะต้องพบกับภาระภาษีที่สูงกว่ามาก

รูปที่ 9: EATR สำหรับไบโอเทคภายใต้สมมติฐานกำไรในระดับต่าง ๆ

EATR สำหรับไบโอเทคภายใต้สมมติฐานกำไรในระดับต่าง ๆ

ข้อสรุป

หนึ่งในเหตุผลสำคัญที่รัฐบาลใช้ประกอบการขยายสิทธิประโยชน์ทางภาษีอยู่บ่อยครั้ง คือ การที่แรงจูงใจภาษีของไทยด้อยกว่าของประเทศเพื่อนบ้าน บทความนี้พบว่า 1) แรงจูงใจทางภาษีของไทยในปัจจุบันอยู่ในระดับที่ทัดเทียมกับประเทศคู่แข่ง ASEAN4 ในทุกอุตสาหกรรมเป้าหมายยกเว้นไบโอเทค และ 2) มาตรการยกเว้นภาษี (Tax holiday) อาจไม่ใช่เครื่องมือสิทธิประโยชน์ที่มีประสิทธิภาพที่สุด โดยเครื่องมือ Accelerated depreciation และ Investment tax allowance เป็นทางเลือกหนึ่งที่จะสามารถช่วยลดปัญหาความซ้ำซ้อนของแรงจูงใจได้

ผลการศึกษานี้ชี้ว่ารัฐบาลแทบไม่มีความจำเป็นที่จะขยายสิทธิประโยชน์ในรูปภาษีหรือตัวเงินเพิ่มเติม ดังนั้นถึงเวลาแล้ว ที่เราควรจะหันมาพิจารณาถึงการจัดสรรทรัพยากรเพื่อพัฒนาจุดอ่อนเชิงโครงสร้างของประเทศ เช่น โครงสร้างพื้นฐาน และความง่ายต่อการทำธุรกิจ เพื่อสร้างความได้เปรียบอย่างยั่งยืนให้แก่ประเทศไทย

เอกสารอ้างอิง

Bellak, C. and M. Leibrecht (2009), “Do Low Corporate Income Tax Rates Attract FDI? – Evidence from Central- and East European Countries,” Applied Economics, 41, 2691–703.

Devereux, M. P. and R. Griffith (1998), “Taxes and the Location of Production: Evidence from a Panel of US multinationals,” Journal of Public Economics, 68, 335-67.

Devereux, M. P. and R. Griffith (2003), “Evaluating Tax Policy Decisions for Location Decisions,” International Tax and Public Finance, 10, 107–26.

Muthitacharoen, A (2016), “Assessing Tax Incentives for Investment: Case Study of Thailand,” PIER Discussion Paper no. 21.


  1. ตัวอย่างมาตรการสำคัญในระยะ 2–3 ปีที่ผ่านมา คือ การจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ การให้สิทธิประโยชน์ตามประเภทกิจการ และการเร่งรัดการลงทุนในปี 2015–2016 นอกจากนี้รัฐบาลยังได้ลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลลงจาก 30% เป็น 20% ในช่วงปี 2011–2013↩
  2. เอกสารประกอบการนำเสนอของคณะทำงานส่งเสริมการลงทุนภาคเอกชน เรื่อง 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย กลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจเพื่ออนาคต (พฤศจิกายน 2015)↩
  3. ข้อสังเกตสำคัญหนึ่งคือ อาจมีบริษัทไม่มากนักที่เข้าข่าย หรือยินดีที่จะปฏิบัติตามกฎเกณฑ์เพื่อให้ได้รับสิทธิประโยชน์สูงสุด Muthitacharoen (2016) จึงได้พิจารณาแรงจูงใจทั่วไป (General tax incentives) ซึ่งเป็นแรงจูงใจสำหรับกิจกรรมทั่วไปของอุตสาหกรรมนั้น ๆ หรือเป็น Tax holiday ขั้นพื้นฐานที่สุดที่มอบให้อุตสาหกรรมนั้น ๆ และพบว่าภาพความสามารถในการแข่งขันทางด้านภาษีของไทยสอดคล้องกับข้อสรุปที่ได้จากการพิจารณาแรงจูงใจภาษีสูงสุด↩
  4. Muthitacharoen (2016) ได้สร้างสมมติฐานสำคัญเกี่ยวกับโครงการลงทุนในงานวิจัย ที่สอดคล้องกับ Literature และ สภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน โดยให้ อัตรากำไร 20%, อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5%, อัตราเงินเฟ้อ 2% อัตราการเสื่อมราคาสำหรับเครื่องจักร และอาคารคือ 12.25% และ 3.6% ตามลำดับ สำหรับองค์ประกอบการลงทุนในแต่ละอุตสาหกรรมนั้นอ้างอิงจากข้อมูล Input-Output Table (สศช.) ปี 2010↩
อธิภัทร มุทิตาเจริญ
อธิภัทร มุทิตาเจริญ
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
Topics: Public EconomicsMacroeconomics
Tags: fditax holidaytax incentives
ข้อคิดเห็นที่ปรากฏในบทความนี้เป็นความเห็นของผู้เขียน ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับความเห็นของสถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์

สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์

273 ถนนสามเสน แขวงวัดสามพระยา เขตพระนคร กรุงเทพฯ 10200

โทรศัพท์: 0-2283-6066

Email: pier@bot.or.th

เงื่อนไขการให้บริการ | นโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2568 สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์

เอกสารเผยแพร่ทุกชิ้นสงวนสิทธิ์ภายใต้สัญญาอนุญาต Creative Commons Attribution-NonCommercial-ShareAlike 3.0 Unported license

Creative Commons Attribution NonCommercial ShareAlike

รับจดหมายข่าว PIER

Facebook
YouTube
Email