Research
Discussion Paper
PIERspectives
aBRIDGEd
PIER Blog
Events
Conferences
Research Workshops
Policy Forums
Seminars
Exchanges
Research Briefs
Community
PIER Research Network
Visiting Fellows
Funding and Grants
About Us
Our Organization
Announcements
PIER Board
Staff
Work with Us
Contact Us
TH
EN
Research
Research
Discussion Paper
PIERspectives
aBRIDGEd
PIER Blog
Not Over the Hill: Exploring the Digital Divide among Vulnerable Older Adults in Thailand
Discussion Paper ล่าสุด
Not Over the Hill: Exploring the Digital Divide among Vulnerable Older Adults in Thailand
ใครคือผู้กำหนดทิศทางค่าจ้างของแรงงานไทย: ภาครัฐ หรือภาคเอกชน?
aBRIDGEd ล่าสุด
ใครคือผู้กำหนดทิศทางค่าจ้างของแรงงานไทย: ภาครัฐ หรือภาคเอกชน?
Events
Events
Conferences
Research Workshops
Policy Forums
Seminars
Exchanges
Research Briefs
International Policy Forum on Climate Finance
งานประชุมเชิงนโยบายล่าสุด
International Policy Forum on Climate Finance
Joint NSD-PIER Applied Microeconomics Research Workshop
งานประชุมเชิงปฏิบัติการล่าสุด
Joint NSD-PIER Applied Microeconomics Research Workshop
สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์
สถาบันวิจัยเศรษฐกิจ
ป๋วย อึ๊งภากรณ์
Puey Ungphakorn Institute for Economic Research
Community
Community
PIER Research Network
Visiting Fellows
Funding and Grants
PIER Research Network
PIER Research Network
Funding & Grants
Funding & Grants
About Us
About Us
Our Organization
Announcements
PIER Board
Staff
Work with Us
Contact Us
Staff
Staff
Call for Papers: PIER Research Workshop 2025
ประกาศล่าสุด
Call for Papers: PIER Research Workshop 2025
aBRIDGEdabridged
Making Research Accessible
QR code
Year
2025
2024
2023
2022
...
Topic
Development Economics
Macroeconomics
Financial Markets and Asset Pricing
Monetary Economics
...
/static/44137f531be8903323a7d6fa4dc7ae35/e9a79/cover.png
13 กุมภาพันธ์ 2560
20171486944000000

แกะกล่องสินค้าคงคลัง: ปริศนาของระบบเศรษฐกิจ

เข้าใจนัยสำคัญของสินค้าคงคลังในระบบเศรษฐกิจผ่านความเข้าใจการบริหารจัดการสินค้าคงคลังในระดับธุรกิจ
วรวิทย์ มโนปิยอนันต์
แกะกล่องสินค้าคงคลัง: ปริศนาของระบบเศรษฐกิจ
excerpt

การเปลี่ยนแปลงสินค้าคงคลังโดยรวมในระบบเศรษฐกิจนั้น เป็นผลรวมของการตัดสินใจในระดับธุรกิจที่แตกต่างกันอย่างมีเหตุมีผล โดยแต่ละธุรกิจมีพฤติกรรมการบริหารจัดการสินค้าคงคลังในหลายรูปแบบแตกต่างกัน ซึ่งแต่ละรูปแบบของการตัดสินใจนั้นก่อให้เกิดพฤติกรรมการผลิต และการตอบสนองต่ออุปสงค์ที่แตกต่างกันออกไปด้วย ดังนั้น ความเข้าใจถึงพฤติกรรมการจัดการสินค้าคงคลังในระดับอุตสาหกรรมนั้นจะมีส่วนช่วยให้เข้าใจวัฏจักรของสินค้าคงคลังโดยรวมและสะท้อนแนวโน้มอุปสงค์ต่อสินค้าอุตสาหกรรม อันจะนำไปสู่การตีความภาพรวมเศรษฐกิจจากสินค้าคงคลังได้อย่างถูกต้อง

ความสำคัญและบทบาทของสินค้าคงคลัง

การประเมินภาพเศรษฐกิจโดยใช้ผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP ด้านอุปทาน) และการพิจารณาการใช้จ่ายภายในประเทศ (GDP ด้านอุปสงค์) เป็นสองหลักการที่ทั้งนักเศรษฐศาสตร์และผู้เกี่ยวข้องให้ความสำคัญมาโดยตลอด บ่อยครั้งที่การวิเคราะห์ GDP ด้านอุปสงค์และอุปทานจะทำแยกกันโดยอิสระ เพื่อใช้เป็นตัวสอบทาน (Check & Balance) ซึ่งกันและกัน อย่างไรก็ดี มีองค์ประกอบร่วมสำคัญที่อยู่ใน GDP ด้านอุปสงค์ และเชื่อมโยงไปยัง GDP ด้านอุปทาน คือ การเปลี่ยนแปลงสินค้าคงคลัง ซึ่งมีบทบาทขับเคลื่อนเศรษฐกิจโดยรวมในบางช่วงเวลา กล่าวคือ ในช่วงที่อุปสงค์สูงกว่า (น้อยกว่า) อุปทาน ระดับสินค้าคงคลังจะลดลง (เพิ่มขึ้น) โดย Blinder และ Maccini (1991) พบว่าการเปลี่ยนแปลงของ GDP สหรัฐฯ ถูกอธิบายได้ด้วยการเปลี่ยนแปลงสินค้าคงคลังถึงร้อยละ 87 เช่นเดียวกันกับประเทศไทย ที่แม้สินค้าคงคลังจะมีสัดส่วนเพียงร้อยละ 0.7 ของ GDP1 แต่การเปลี่ยนแปลงของสินค้าคงคลังกลับมีบทบาทสำคัญในการอธิบายแหล่งที่มาของการขยายตัวของ GDP (Contribution to growth) (รูปที่ 1) ดังนั้น การที่สินค้าคงคลังมีบทบาทต่อวัฏจักรธุรกิจ (Business Cycle) ทำให้การทำความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงสินค้าคงคลังเริ่มเป็นที่สนใจและมีการศึกษามากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่น้อยไปกว่าองค์ประกอบอื่นของ GDP

รูปที่ 1 : Contribution of inventory investment to GDP growth

Contribution of inventory investment to GDP growth

ทฤษฎีอธิบายพฤติกรรมการจัดการสินค้าคงคลัง

ความสัมพันธ์ของกิจกรรมทางเศรษฐกิจกับสินค้าคงคลังสามารถอธิบายได้ด้วยสมการอย่างง่าย คือ

การผลิต=ยอดขาย+การเปลี่ยนแปลงสินค้าคงคลัง(1)\text{การผลิต} = \text{ยอดขาย} + \text{การเปลี่ยนแปลงสินค้าคงคลัง} \qquad(1)การผลิต=ยอดขาย+การเปลี่ยนแปลงสินค้าคงคลัง(1)

ทั้งนี้ ความพยายามจัดการสินค้าคงคลังของผู้ประกอบการอาจทำให้ความสัมพันธ์ข้างต้นมีความซับซ้อนมากขึ้น นักเศรษฐศาสตร์จึงได้นำเสนอสมมติฐานและทฤษฎีเกี่ยวกับการจัดการสินค้าคงคลังไว้หลากหลายรูปแบบ อาทิ ในมุมมองทาง Macroeconomics เชื่อว่าการผลิตมีความผันผวนมากกว่าอุปสงค์ กล่าวคือ ธุรกิจจะผลิตสินค้าเพิ่มขึ้นมากในช่วงอุปสงค์ขยายตัว และลดระดับการผลิตอย่างรวดเร็วเมื่ออุปสงค์หดตัว ดังนั้น สินค้าที่ผลิตมากกว่า (ต่ำกว่า) ที่ขายได้จริงจะปรับยอดสินค้าคงคลังให้มีการเคลื่อนไหวสอดคล้องกับอุปสงค์ (Procyclical) และถูกมองในฐานะที่เป็น destabilizer ของเศรษฐกิจ ในทางตรงข้าม มุมมองทาง Microeconomics เชื่อว่า การผลิตผันผวนน้อยกว่าอุปสงค์ อุปสงค์ที่เปลี่ยนแปลงไปจึงมีทิศทางตรงกันข้ามกับการเปลี่ยนแปลงสินค้าคงคลัง (Countercyclical) สินค้าคงคลังจึงทำหน้าที่เป็น stabilizer

จากมุมมองทาง Microeconomics กรอบแนวคิดดังกล่าวได้ถูกนำมาพัฒนาเป็น Production smoothing model ซึ่งใช้อธิบายพฤติกรรมของกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีแรงจูงใจในการรักษาระดับการผลิตให้คงที่หรือมีความผันผวนต่ำ เนื่องจากผู้ผลิตมีโครงสร้างต้นทุนแบบ Convex cost function (Modigliani, Muth and Simon 1960) ทำให้ต้นทุนการผลิตต่อหนึ่งหน่วยสูงขึ้นเรื่อย ๆ (Rising marginal cost) ดังนั้น Smoothing production จะช่วยลดต้นทุนให้ผู้ผลิตได้มากกว่าการผลิตเพื่อตอบสนองอุปสงค์ในปริมาณที่ต่างกัน ในสองช่วงเวลา โดยรูปที่ 2 แสดงให้เห็นว่าต้นทุนจากวิธี Smoothing production (CsmoothC_\text{smooth}Csmooth​) จะต่ำกว่า ต้นทุนเฉลี่ยจากการผลิตที่ต่างกันสองช่วงเวลา ($C_\text{average}) ระดับการผลิตของอุตสาหกรรมเหล่านี้จึงมักเคลื่อนไหวในช่วงแคบ ๆ แล้วปล่อยให้อุปสงค์ที่ผันผวนเป็นตัวปรับระดับสินค้าคงคลัง (buffer-stock) ซึ่งทำให้สินค้าคงคลังสวนทางกับทิศทางของยอดขาย เช่น ในช่วงที่อุปสงค์เพิ่มขึ้น ผู้ประกอบการจะเน้นระบายสินค้าคงคลังเพื่อรองรับยอดขายแทนที่จะผลิตเพิ่มขึ้นอย่างมาก

รูปที่ 2 : ต้นทุนของ Production smoothing เทียบกับการผลิตตามปกติ

ต้นทุนของ Production smoothing เทียบกับการผลิตตามปกติ

อย่างไรก็ดี Blinder (1981) และ Blanchard (1983) กลับพบว่าบริษัทบางรายในสหรัฐฯ มีพฤติกรรมที่ต่างออกไป คือ การผลิตมีความผันผวนมากกว่ายอดขายซึ่งขัดแย้งกับความเชื่อเดิมทาง Microeconomics ดังนั้น จึงเกิดทฤษฎีที่พยายามอธิบายพฤติกรรมของผู้ผลิตบางรายที่มีการผลิตที่ผันผวนมากกว่ายอดขายแยกย่อยอีกหลายทฤษฎี ดังนี้

1. การคาดการณ์ถึงการเปลี่ยนแปลงของอุปสงค์อย่างต่อเนื่องและเป็นระยะเวลานาน (Anticipation of Persistent Demand Shock)

หากอุปสงค์ที่เปลี่ยนไปโดยไม่คาดคิด (Demand shock) มีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นต่อเนื่องเป็นระยะเวลาหนึ่ง ผู้ผลิตจะปรับการผลิตในขนาดที่มากกว่ายอดขาย เช่น ในช่วงที่คาดว่าอุปสงค์จะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในอนาคตจะเกิดการผลิตที่เพิ่มขึ้นมากเพื่อสะสมสินค้าคงคลังไว้รองรับอุปสงค์ในอนาคต

2. การหลีกเลี่ยงภาวะขาดแคลนสต็อกสินค้า (Stockout Avoidance)

ต้นทุนของสินค้าคงคลังสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ ต้นทุนของการถือครองสินค้าคงคลัง และต้นทุนจากการขาดแคลนสินค้าคงคลังที่ทำให้เสียโอกาสในการขาย (Cost of stocking out) โดยผู้ผลิตบางรายอาจให้น้ำหนักกับต้นทุนของการขาดแคลนสินค้าคงคลังมากกว่าต้นทุนการเก็บสินค้าคงคลัง เช่น หากมีสินค้าไม่เพียงพอตามที่ลูกค้าต้องการอาจทำให้ผู้ผลิตสูญเสียลูกค้าอย่างถาวร ผู้ผลิตกลุ่มนี้จึงค่อนข้างอ่อนไหวต่อคาดการณ์อุปสงค์ในอนาคต และทำให้การผลิตปรับตัวรุนแรงกว่าอุปสงค์ การเปลี่ยนแปลงระดับสินค้าคงคลังจึงมีทิศทางที่สอดคล้องกับทั้งการผลิตและอุปสงค์ ยกตัวอย่างเช่น เมื่อผู้ผลิตคาดว่ารอบการค้าต่อไปคำสั่งซื้อจะเพิ่มขึ้น ผู้ผลิตจะตัดสินใจเร่งการผลิตขึ้นมาก (และมากกว่าอุปสงค์คาดการณ์) ทำให้ในระยะสั้นสินค้าคงคลังปรับเพิ่มขึ้น ในทางตรงกันข้าม หากบริษัทคาดว่าคำสั่งซื้อมีแนวโน้มลดลง ต้นทุนค่าเสียโอกาสจากการขาดแคลนสินค้าคงคลังจะเริ่มลดลงตาม และต้นทุนการถือครองจะเพิ่มสูงขึ้นโดยเปรียบเทียบ ดังนั้น บริษัทจะเริ่มระบายสินค้าคงคลังโดยลดการผลิตลงมาก

3. การจ้างงานแบบสัญญาจ้าง (Labor Contracts)

ผู้ผลิตบางรายมีต้นทุนด้านการจ้างงานและเลิกจ้างงานที่ถูกกว่าต้นทุนด้านสินค้าคงคลัง (เช่น ผู้ผลิตที่มีการจ้างงานแบบสัญญาจ้างจะสามารถปรับการจ้างงานได้ง่าย เมื่อเทียบกับการจ้างงานแบบลูกจ้างประจำ) จึงใช้แรงงานเป็น buffer แทนสินค้าคงคลัง กล่าวคือ ผู้ผลิตสามารถปรับการผลิตให้ใกล้เคียงกับอุปสงค์ได้อย่างรวดเร็วผ่านการปรับเปลี่ยนการจ้างงาน เช่น ในช่วงที่อุปสงค์ไม่ดี ผู้ผลิตจะปลดคนงานพร้อมทั้งลดการผลิตและระบายสินค้าคงคลังแทนการปล่อยให้สินค้าคงคลังเพิ่มขึ้นจากการขายไม่ได้ (Haltiwanger and Maccini, 1989) ทั้งนี้ ความสามารถในการปรับการผลิตและการจ้างงานได้อย่างรวดเร็ว ทำให้การผลิตผันผวนใกล้เคียงกับยอดขายเท่านั้น แต่หากผู้ผลิตเผชิญต้นทุนที่เปลี่ยนไปโดยไม่คาดคิด (Cost shock) ด้วยในขณะเดียวกัน การผลิตก็จะผันผวนมากกว่ายอดขายได้ในช่วงเวลาดังกล่าว เช่น ในช่วงที่อุปสงค์ดีจะมีการจ้างงานเพิ่มขึ้นเพื่อเพิ่มการผลิตให้ได้ตรงตามอุปสงค์ในระยะสั้น และหากต้นทุนวัตถุดิบ (เช่น ราคาน้ำมัน) ลดต่ำลง (แม้เพียงเล็กน้อย) ก็จะเป็นแรงจูงใจให้เกิดการผลิตเพิ่มมากกว่าอุปสงค์ ณ ช่วงเวลานั้น ๆ เพื่อสะสมสินค้าคงคลัง

4. การเติมสินค้าคงคลังแบบเป็นล็อต หรือ การจัดการสินค้าคงคลังแบบ (S,s)(S,s)(S,s) Model

พฤติกรรมนี้ถูกนำมาอธิบายธุรกิจค้าปลีกโดย Blinder (1981) พบว่าผู้ค้าปลีกมีการกำหนดระดับสินค้าคงคลังที่ต่ำที่สุดซึ่งผู้ค้าปลีกรู้สึกสบายใจที่จะสำรองไว้ (Lower point, sss) โดยเมื่อระดับสินค้าคงคลังลดลงมาถึงระดับดังกล่าว จะเริ่มมีการสั่งซื้อสินค้าเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเพื่อเติมสินค้าคงคลังให้กลับสู่ระดับสูงสุด (Upper point, SSS) ทั้งนี้ การผลิตของภาคอุตสาหกรรมบางส่วนก็มีพฤติกรรมแบบนี้เช่นเดียวกัน โดยรูปที่ 3 แสดงให้เห็นถึงเบื้องหลังการตัดสินใจของภาคอุตสาหกรรม เมื่อเผชิญกับคำสั่งซื้อในปริมาณมากจากผู้ค้าปลีก (Sales ในกล่องสีเหลือง) ทำให้คาดว่าระดับสินค้าคงคลังของภาคอุตสาหกรรมอาจลดจากจุดเริ่มต้น (t0t_0t0​) ลงไปต่ำกว่าระดับ Lower point (sss) (ณ เวลา t1t_1t1​ คาดการณ์) และส่งผลให้ผู้ผลิตจำเป็นต้องผลิตเพิ่มขึ้นในปริมาณมากตามไปด้วย เพื่อเติมสินค้าคงคลังของตนเองให้ขึ้นไปแตะที่ระดับ Upper point (SSS) อีกครั้ง (ณ จุดสิ้นสุดของ t1t_1t1​) ดังนั้น กิจกรรมที่เกิดขึ้นจริงจึงสะท้อนการผลิตที่ผันผวนมากกว่ายอดขายในช่วงเวลา t1t_1t1​ (Cooper and Haltiwanger, 1988 และ Blinder and Maccini, 1988)

รูปที่ 3 : การจัดการสินค้าคงคลังแบบ (S,s) ของภาคอุตสาหกรรม

การจัดการสินค้าคงคลังแบบ (S,s) ของภาคอุตสาหกรรม

ทฤษฎีต่าง ๆ ข้างต้นสะท้อนให้เห็นพฤติกรรมการจัดการสินค้าคงคลังที่อาจแตกต่างกันได้ ไม่ว่าในอุตสาหกรรมที่ต่างกัน หรือแม้แต่ในอุตสาหกรรมเดียวกันก็ตาม โดยขึ้นอยู่กับปัจจัยด้านต้นทุนและพฤติกรรมเฉพาะเจาะจงของผู้ผลิตแต่ละราย ทั้งนี้ เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนขึ้น บทความในส่วนต่อไปจะอธิบายและจำแนกพฤติกรรมการจัดการสินค้าคงคลังที่เป็นคุณลักษณะของธุรกิจในประเทศไทย

พฤติกรรมของสินค้าคงคลังในภาคอุตสาหกรรมไทย

การศึกษาครั้งนี้กำหนดขอบเขตการศึกษาเฉพาะภาคอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นภาคธุรกิจที่มีข้อมูลพร้อมใช้ในการศึกษาเชิงลึก และผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการสินค้าคงคลังอย่างมากก่อนตัดสินใจดำเนินการผลิต การวิเคราะห์ของบทความนี้จะเริ่มในระดับอุตสาหกรรมย่อย ซึ่งนอกจากจะช่วยอธิบายสินค้าคงคลังโดยรวมของไทยได้บางส่วนแล้ว ยังมีบทบาทในการวิเคราะห์ทิศทางการผลิตในระยะถัดไปได้ด้วยผ่านการคาดการณ์อุปสงค์โดยรวมจากเครื่องชี้ทางเศรษฐกิจ อาทิ ประมาณการ GDP ของไทยและต่างประเทศ หรือคำสั่งซื้อล่วงหน้าของแต่ละอุตสาหกรรม ทั้งนี้ จากแนวคิดพื้นฐานทาง Microeconomics และทฤษฎีที่แยกย่อยออกมาอีก 4 ข้อดังที่กล่าวไปในช่วงต้น บทความนี้ได้จำแนกรูปแบบพฤติกรรมของอุตสาหกรรมไทยออกเป็น 3 กลุ่มอย่างง่าย (รูปที่ 4) โดยใช้ความสัมพันธ์ของข้อมูลการผลิต ยอดขาย และระดับสินค้าคงคลัง ตามสมการ ที่ 1 พร้อมทั้งอาศัยความผันผวนของการผลิตและยอดขาย ประกอบกับความสัมพันธ์ของการลงทุนในสินค้าคงคลังและยอดขายมาใช้เป็นเงื่อนไขในการจำแนกพฤติกรรมข้างต้นตามสมการที่ 2 ซึ่งคำนวณมาจากสมการที่ 1 คือ

img 4

var(prod)=var(sales)+var(Δinv)+2cov(Δinv,sales)(2)\text{var}(\text{prod}) = \text{var}(\text{sales}) + \text{var}(\Delta \text{inv}) + 2 \text{cov}(\Delta \text{inv}, \text{sales}) \qquad(2)var(prod)=var(sales)+var(Δinv)+2cov(Δinv,sales)(2)

หมายเหตุ: var\text{var}var แทน variance หรือความผันผวนของตัวแปรหนึ่ง ๆ และ cov\text{cov}cov แทน covariance ซึ่งสะท้อนความสัมพันธ์ของตัวแปร 2 ตัว โดย prod\text{prod}prod คือ การผลิต sale\text{sale}sale คือ ยอดขาย และ Δinv\Delta \text{inv}Δinv คือ การเปลี่ยนแปลงสินค้าคงคลัง

โดยจะสามารถจำแนกพฤติกรรมได้เป็น 3 กลุ่ม คือ

  1. กลุ่มที่มีการผลิตผันผวนน้อยกว่ายอดขาย หรือ Production smoothing
  2. กลุ่มที่มีการผลิตผันผวนมากกว่ายอดขาย (อธิบายได้ด้วยเหตุผล 4 ข้อข้างต้น) และ
  3. กลุ่มที่มีรูปแบบพฤติกรรมไม่ชัดเจน กล่าวคือ มีการผลิตที่ผันผวนกว่ายอดขาย แต่ทิศทางการผลิตกลับสวนทางกับยอดขาย

ทั้งนี้ พฤติกรรมของกลุ่มที่ 3 นี้ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยเหตุผลของ 2 กลุ่มแรก โดยอาจเกิดจากการที่ผู้ผลิตคาดการณ์อุปสงค์ในอนาคตผิดพลาด จึงเกิดการผลิตที่กลับทิศกับยอดขายในช่วงเวลาเดียวกัน หรือผู้ผลิตตัดสินใจปรับระดับการผลิตด้วยปัจจัยด้านต้นทุนวัตถุดิบเพียงอย่างเดียว ยกตัวอย่างเช่น ในช่วงที่ต้นทุนวัตถุดิบลดลง ผู้ผลิตบางรายอาจเร่งผลิตเพื่อสะสมสินค้าคงคลัง แม้ว่าอุปสงค์ในปัจจุบันและแนวโน้มในระยะสั้นจะหดตัวก็ตาม แต่ถือว่าเป็นโอกาสที่ผู้ผลิตจะทำกำไรได้มากหากอุปสงค์ปรับดีขึ้นในอนาคต

บทความนี้นำข้อมูลการผลิต ยอดขาย และสินค้าคงคลังของแต่ละอุตสาหกรรมในระดับ ISIC 2-digit2 (ทั้งหมด 21 อุตสาหกรรม) ที่ได้จากการสำรวจของสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรมและไม่ผ่านการปรับฤดูกาล3 มาขจัด trend ออก แล้วนำข้อมูลที่ได้มาสร้าง Variance และ Covariance ของแต่ละอุตสาหกรรม และได้ผลการจำแนกพฤติกรรม ดังรูปที่ 5 ซึ่งพบว่ากลุ่มอุตสาหกรรมที่มีพฤติกรรมการจัดการสินค้าคงคลังที่ชัดเจน (2 กลุ่มแรก) มีสัดส่วนมูลค่าเพิ่มรวมกันถึง ร้อยละ 77 ของภาคอุตสาหกรรมทั้งหมด ซึ่งหมายความว่าเราสามารถคาดการณ์การผลิตและแนวโน้มสินค้าคงคลังของภาคอุตสาหกรรมไทยได้เป็นส่วนใหญ่ เช่น หากทราบว่าอุปสงค์ของอุตสาหกรรมยานยนต์มีแนวโน้มที่ดีขึ้นในอนาคต สิ่งที่คาดการณ์ต่อไปได้ คือ การผลิตในช่วงต่อไปจะเพิ่มขึ้นมาก และจะพบการสะสมสินค้าคงคลังของอุตสาหกรรมยานยนต์ที่เพิ่มขึ้น จากพฤติกรรมแบบกลุ่มที่ 2 ในทางกลับกันแนวโน้มอุปสงค์ที่ดีขึ้นในอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า จะทำให้เห็นการระบายสินค้าคงคลังเพื่อตอบสนองอุปสงค์จากพฤติกรรมแบบ Production smoothing เป็นต้น ดังนั้น สำหรับมุมมองในภาพรวม ระดับสินค้าคงคลังที่ลดลงอย่างรุนแรงอาจสะท้อนอุปสงค์ที่ดีขึ้นได้ หากการระบายสินค้าคงคลังส่วนใหญ่เกิดจากอุตสาหกรรมแบบ Production smoothing ในทางตรงกันข้าม ระดับสินค้าคงคลังที่เพิ่มขึ้นก็อาจสะท้อนอุปสงค์ของประเทศที่ดีขึ้นได้เช่นเดียวกัน หากการเพิ่มขึ้นของสินค้าคงคลังมาจากอุตสาหกรรมที่มีพฤติกรรมแบบกลุ่มที่ 2 (เช่น Stockout avoidance) ความเข้าใจถึงที่มาของสินค้าคงคลังโดยรวมของประเทศว่ามาจากอุตสาหกรรมที่มีพฤติกรรมแบบใดจึงทำให้การตีความภาวะเศรษฐกิจโดยเฉพาะอย่างยิ่งแนวโน้มอุปสงค์แตกต่างกันออกไป

img 5

การเปลี่ยนแปลงสินค้าคงคลังไม่สามารถอธิบายหรือตีความได้ด้วยความสัมพันธ์อย่างง่ายระหว่างการผลิต ยอดขาย และการเปลี่ยนแปลงสินค้าคงคลัง หากแต่ต้องคำนึงถึงพฤติกรรมที่มีลักษณะเฉพาะของแต่ละอุตสาหกรรมด้วย ซึ่งพฤติกรรมที่แต่ละอุตสาหกรรมแสดงออกมานั้น ส่วนใหญ่เกิดจากปัจจัยด้านต้นทุน อาทิ ต้นทุนการเก็บสินค้าคงคลัง ต้นทุนค่าเสียโอกาส และต้นทุนด้านการจ้างงาน และปัจจัยเฉพาะตัวที่ต่างกันในแต่ละอุตสาหกรรมนี้เองที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างการผลิต ยอดขาย และการเปลี่ยนแปลงสินค้าคงคลังแตกต่างกันออกไป ในกรณีของไทย ผู้เขียนพบว่าอุตสาหกรรมส่วนใหญ่มีพฤติกรรมการจัดการสินค้าคงคลังหรือรูปแบบความสัมพันธ์ข้างต้นที่ค่อนข้างชัดเจน ซึ่งช่วยให้ผู้วิเคราะห์เศรษฐกิจสามารถคาดการณ์ทิศทางสินค้าคงคลังของภาคอุตสาหกรรมได้ในระดับหนึ่งผ่านแนวโน้มอุปสงค์ของแต่ละอุตสาหกรรม นอกจากนี้ ความเข้าใจเกี่ยวกับพฤติกรรมการจัดการสินค้าคงคลังในระดับอุตสาหกรรมยังมีส่วนช่วยอธิบายแหล่งที่มาของการเปลี่ยนแปลงสินค้าคงคลังในระดับประเทศ ว่าส่วนใหญ่เกิดจากอุตสาหกรรมที่มีพฤติกรรมหรือรูปแบบการตอบสนองต่ออุปสงค์แบบใด อันจะนำไปสู่ความเข้าใจและการอธิบายแนวโน้มอุปสงค์และภาวะเศรษฐกิจในภาพรวมให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงมากขึ้น

เอกสารอ้างอิง

Allen, D. S. (1999): “Seasonal Production Smoothing” Research Department, Federal Reserve Bank of St. Louis.

Blinder, A. S. (1986): “Can the Production Smoothing Model of Inventory Behavior Be Saved?” Quarterly Journal of Economics, 431–453.

Blinder, A. S. (1981): “Retail Inventory Behavior and Business Fluctuations” Brookings Papers on Economic Activity, 443–505.

Blinder, A. S. and L. J. Maccini (1991): “Taking Stock: Critical Assessment of Recent Research on Inventories” Journal of Economic Perspectives, 73–96.

Charles C. and F. M. Holt (1961): Planning Production, Inventories, and Work Force. American Economic Association.

Cooper, R., and J. Haltiwanger (1989): “Macroeconomic Implications of Production Bunching: Factor Demand Linkages” National Bereau of Economic Research.

Ghali, M. A. (1987): “Seasonality, Aggregation and the Testing of the Production Smoothing Hypothesis” American Economic Association.

Haltiwanger, J. C. and L. J. Maccini (1989): “Inventories Orders Temporary and Permanent Layoffs: An Economic Analysis” Carnegie-Rochester Conference Series on Public Policy, (pp. 301–306).


  1. คำนวณจากสัดส่วนการเปลี่ยนแปลงสินค้าคงคลังต่อ GDP ตั้งแต่ไตรมาส 1 ปี 2000 ถึง ไตรมาส 4 ปี 2013↩
  2. ISIC (international standard industrial classification) คือ การจัดประเภทอุตสาหกรรมตามกิจกรรมทางเศรษฐกิจ โดยจำนวน Digit ที่มากขึ้นจะแทนประเภทอุตสาหกรรมที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น↩
  3. การใช้ข้อมูลปรับฤดูกาลจะทำให้ข้อมูลสูญเสียความสามารถในการอธิบายพฤติกรรมของผู้ผลิต (Donald S. Allen, 1999 และ Ghali, 1987)↩
วรวิทย์ มโนปิยอนันต์
วรวิทย์ มโนปิยอนันต์
ธนาคารแห่งประเทศไทย
Topics: Industrial Organization
Tags: business cycleinventorymanufacturing
ข้อคิดเห็นที่ปรากฏในบทความนี้เป็นความเห็นของผู้เขียน ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับความเห็นของสถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์

สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์

273 ถนนสามเสน แขวงวัดสามพระยา เขตพระนคร กรุงเทพฯ 10200

โทรศัพท์: 0-2283-6066

Email: pier@bot.or.th

เงื่อนไขการให้บริการ | นโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2568 สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์

เอกสารเผยแพร่ทุกชิ้นสงวนสิทธิ์ภายใต้สัญญาอนุญาต Creative Commons Attribution-NonCommercial-ShareAlike 3.0 Unported license

Creative Commons Attribution NonCommercial ShareAlike

รับจดหมายข่าว PIER

Facebook
YouTube
Email