Research
Discussion Paper
PIERspectives
aBRIDGEd
PIER Blog
Events
Conferences
Research Workshops
Policy Forums
Seminars
Exchanges
Research Briefs
Community
PIER Research Network
Visiting Fellows
Funding and Grants
About Us
Our Organization
Announcements
PIER Board
Staff
Work with Us
Contact Us
TH
EN
Research
Research
Discussion Paper
PIERspectives
aBRIDGEd
PIER Blog
Not Over the Hill: Exploring the Digital Divide among Vulnerable Older Adults in Thailand
Discussion Paper ล่าสุด
Not Over the Hill: Exploring the Digital Divide among Vulnerable Older Adults in Thailand
ใครคือผู้กำหนดทิศทางค่าจ้างของแรงงานไทย: ภาครัฐ หรือภาคเอกชน?
aBRIDGEd ล่าสุด
ใครคือผู้กำหนดทิศทางค่าจ้างของแรงงานไทย: ภาครัฐ หรือภาคเอกชน?
Events
Events
Conferences
Research Workshops
Policy Forums
Seminars
Exchanges
Research Briefs
International Policy Forum on Climate Finance
งานประชุมเชิงนโยบายล่าสุด
International Policy Forum on Climate Finance
Joint NSD-PIER Applied Microeconomics Research Workshop
งานประชุมเชิงปฏิบัติการล่าสุด
Joint NSD-PIER Applied Microeconomics Research Workshop
สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์
สถาบันวิจัยเศรษฐกิจ
ป๋วย อึ๊งภากรณ์
Puey Ungphakorn Institute for Economic Research
Community
Community
PIER Research Network
Visiting Fellows
Funding and Grants
PIER Research Network
PIER Research Network
Funding & Grants
Funding & Grants
About Us
About Us
Our Organization
Announcements
PIER Board
Staff
Work with Us
Contact Us
Staff
Staff
Call for Papers: PIER Research Workshop 2025
ประกาศล่าสุด
Call for Papers: PIER Research Workshop 2025
aBRIDGEdabridged
Making Research Accessible
QR code
Year
2025
2024
2023
2022
...
Topic
Development Economics
Macroeconomics
Financial Markets and Asset Pricing
Monetary Economics
...
/static/85560ce2e2853b0b343be20c29de7d5a/e9a79/cover.png
13 พฤศจิกายน 2560
20171510531200000

นวัตกรรมทางสถาบันเกิดขึ้นได้อย่างไร?

นวัตกรรมทางสถาบันมีความสำคัญไม่น้อยไปกว่านวัตกรรมทางเทคโนโลยีและมีที่มาได้หลายทาง
วีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร
นวัตกรรมทางสถาบันเกิดขึ้นได้อย่างไร?
excerpt

กติกาการเล่นเกมหรือกลไกทางสถาบันเป็นตัวกำหนดโครงสร้างจูงใจของผู้คนในสังคมจึงมีนัยสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคมที่สามารถสร้างกติกาที่เอื้อต่อการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตได้ย่อมเติบโตอย่างยั่งยืน บทความนี้ศึกษาประวัติศาสตร์ของประเทศรายได้สูง และพบว่าการเปลี่ยนแปลงทางสถาบันเกิดขึ้นได้อย่างน้อย 4 รูปแบบ คือ การแทนที่กติกาเก่า การตอบสนองต่ออุปสงค์ใหม่ การต่อยอดจากรากฐานเดิม และการดัดแปลงจากประเทศต้นแบบ

สถาบัน (institutions) ซึ่งในทางเศรษฐศาสตร์หมายถึง กติกาการเล่นเกมทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ หรือความคาดหวังที่ผู้คนในสังคมมีร่วมกัน (shared expectations) กลายเป็นหัวข้อวิจัยที่สำคัญเรื่องหนึ่งในสองทศวรรษที่ผ่านมา เนื่องจากงานศึกษาจำนวนมากพบว่า กลไกทางสถาบันเป็นปัจจัยรากฐานที่ทำให้แต่ละประเทศมีระดับการพัฒนาทางเศรษฐกิจที่แตกต่างกัน (North 1990; Acemoglu et al. 2005)1

นวัตกรรมทางสถาบัน (institutional innovation) หรือกติกาการเล่นเกมแบบใหม่ที่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจระยะยาว จึงกลายเป็นสิ่งที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาไม่น้อยไปกว่านวัตกรรมทางเทคโนโลยี อย่างไรก็ดี ความเข้าใจในเรื่องนี้ยังคงมีอยู่อย่างจำกัด เพราะงานศึกษาเศรษฐศาสตร์สถาบันส่วนใหญ่มักมุ่งเน้นการหาคำตอบว่าสถาบันหนึ่ง ๆ (เช่น ระบบกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน) มีผลต่อเศรษฐกิจอย่างไร หรือไม่ก็เปรียบเทียบบทบาทของสถาบันนั้น ๆ ว่าทำงานในประเทศต่าง ๆ อย่างไร

แต่คำถามสำคัญที่ยังไม่ได้รับคำตอบที่น่าพอใจก็คือ กลไกทางสถาบันเกิดขึ้นและเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร

ปัญหานี้มีสาเหตุสำคัญมาจากความหมายพื้นฐานของสถาบันเอง เพราะในทางวิชาการ สถาบันมักถูกนิยามให้เป็น “ภาวะดุลยภาพ” ที่เกิดขึ้นด้วยกระบวนการควบคุมตัวเองแบบอัตโนมัติ (self-enforcing mechanisms) หรือกล่าวในภาษาทฤษฏีเกมคือ เป็นภาวะที่ผู้เล่นทุกคนได้เลือกกลยุทธ์ที่ดีที่สุดในการตอบสนองต่อผู้เล่นคนอื่นแล้วภายใต้เงื่อนไขที่เป็นอยู่ (Aoki 2001)

นิยามดังกล่าวอาจช่วยให้เราอธิบายความคงทนต่อเนื่องของสถาบันได้ค่อนข้างดี แต่กลับมีจุดอ่อนในการอธิบายความเปลี่ยนแปลง เพราะสมมติฐานที่มาพร้อมกับนิยามนี้คือ การมองว่าสถาบันหนึ่ง ๆ จะดำรงอยู่ในรูปแบบนั้นตราบจนกระทั่งเกิด “ช็อกจากภายนอก” (exogenous shocks) ขึ้นเท่านั้น

แน่นอนว่าช็อกอย่างสงครามโลกหรือวิกฤตเศรษฐกิจย่อมแปรเปลี่ยนเงื่อนไข ผลได้ผลเสีย และความคาดหวังของผู้คน จนนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางสถาบันแบบหน้ามือเป็นหลังมือ (revolutionary change) ที่จุดดุลยภาพใหม่แตกต่างจากจุดเก่าโดยสิ้นเชิง

อย่างไรก็ดี การให้ความสำคัญกับปัจจัยภายนอกเป็นหลักก็ทำให้เราลดทอนบทบาทของปัจจัยภายในและการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป (evolutionary change) ไปโดยปริยาย ดังนั้น หากเราปรับสมมติฐานดังกล่าวและเริ่มต้นด้วยคำถามเชิงประจักษ์ว่า แล้วการเปลี่ยนแปลงทางสถาบันที่เกิดขึ้นจริงในประวัติศาสตร์เป็นอย่างไร เราอาจสร้างทฤษฎีที่อธิบายนวัตกรรมทางสถาบันและพิจารณานัยเชิงนโยบายได้ดีขึ้น

ในงานศึกษาเรื่อง “กับดักสถาบัน: กลไกทางสถาบันกับการไล่กวดทางเศรษฐกิจ” ซึ่งพิจารณาประเทศที่หลุดพ้นกับดับรายได้ปานกลางจำนวน 10 ประเทศ ผมและชางตั้งต้นด้วยคำถามวิจัยดังกล่าว และพบว่ากลไกทางสถาบันใหม่ ๆ ที่ส่งผลดีต่อการพัฒนาเศรษฐกิจมีที่มาแตกต่างกันอย่างน้อย 4 รูปแบบ ดังนี้

1. แทนที่กติกาเก่า (Replacement)

ในกรณีของสหรัฐอเมริกา การเปลี่ยนแปลงกติกาการเล่นเกมส์ครั้งสำคัญเกิดขึ้นด้วยบทบาทของศาลสูงสุด (United States Supreme Court) ซึ่งเป็นผู้สร้างกฎระเบียบใหม่ขึ้นมาแทนที่กำแพงการค้าระหว่างมลรัฐที่มีอยู่เดิมในช่วงปลายศตวรรษที่ 19

แนวทางการตีความเช่นนี้ทำให้สหรัฐอเมริกามีตลาดภายในเกิดขึ้นในที่สุด และเปลี่ยนกติกาการเล่นเกมส์ไปโดยสิ้นเชิง เพราะนอกจากจะเป็นกฎเกณฑ์ที่ช่วยขยายตลาดให้กับบริษัทธุรกิจแล้ว (จากระดับมลรัฐเป็นระดับประเทศ) ก็ยังส่งเสริมให้การโยกย้ายแรงงานรับจ้างและการเคลื่อนย้ายทุนเป็นไปอย่างเสรีมากขึ้น บรรดาบริษัทธุรกิจของสหรัฐอเมริกาต่างแข่งขันกันพัฒนารูปแบบการจัดการองค์กรและการผลิตให้ใหญ่ขึ้นเพื่อแสวงหาประโยชน์จากระบบการผลิตคราวละมาก ๆ (mass production) จนกลายเป็นบริษัทระดับโลกในที่สุด

2. ตอบสนองต่ออุปสงค์ใหม่ (Reaction)

กรณีของเดนมาร์ก นวัตกรรมทางสถาบันอย่าง “ระบบสหกรณ์ผู้ผลิต” เกิดขึ้นด้วยแรงกระตุ้นจากโอกาสใหม่ในตลาดส่งออก โดยทำให้ผู้ผลิตรายย่อยมารวมตัวกันเพื่อออกแบบความสัมพันธ์และจัดการต้นทุนธุรกรรมใหม่

ความต้องการเนยที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในอังกฤษช่วงปลายศตวรรษที่ 19 เป็นแรงจูงใจสำคัญให้ฟาร์มโคนมในเดนมาร์กขยายตัวตามไปด้วย จนการส่งออกเนยไปยังอังกฤษมีสัดส่วนมากกว่าร้อยละ 40 ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดของประเทศ อย่างไรก็ดี ในช่วงแรกนั้นฟาร์มโคนมในเดนมาร์กเป็นฟาร์มขนาดเล็กที่กระจัดกระจายกันอยู่ทั่วประเทศ ผลิตภัณฑ์ก็มีคุณภาพต่ำ เพราะไม่มีทักษะในการเก็บรักษาและแปรรูปนม ในปี 1882 กลุ่มเกษตรกรรายย่อยในเมือง Hjedding จึงตัดสินใจแก้ปัญหาโดยให้เกษตรกรแต่ละรายลงขันด้วยจำนวนเงินที่เท่ากันและมีสิทธิในการเป็นเจ้าของเท่า ๆ กัน ระบบสหกรณ์ผู้ผลิตจึงเกิดขึ้นครั้งแรกในโลกที่เมืองนี้ โดยเป็นกลไกที่ออกแบบได้สอดคล้องกับลักษณะฟาร์มโคนมเดนมาร์ก ซึ่งมีขนาดเล็กและกระจายตัวสูงเป็นอย่างดี เพราะสมาชิกของสหกรณ์จะได้รับสิทธิในการนำนมโคของฟาร์มเข้ามาผ่านกระบวนการผลิตที่ส่วนกลางด้วยต้นทุนที่ลดลง (เปรียบเทียบกับการทำเองหรือไปพึ่งผู้ผลิตรายใหญ่) ทั้งยังช่วยแก้ปัญหาเรื่องเงินทุนและเสริมสร้างเครือข่ายระดับท้องถิ่นให้มีอำนาจต่อรองมากขึ้น

ความสำเร็จที่เมือง Hjedding ทำให้ระบบสหกรณ์แพร่กระจายไปทั่วเดนมาร์กอย่างรวดเร็วและเพิ่มจำนวนขึ้นเป็นกว่า 1,100 แห่งในปี 1910 ในหลากรูปแบบ อาทิ สหกรณ์โรงฆ่าสัตว์ สหกรณ์เมล็ดพันธุ์ สหกรณ์ไข่ไก่ สหกรณ์ปุ๋ย ซึ่งนอกจากจะลงขันด้านการผลิตและจัดจำหน่ายแล้ว สหกรณ์หลายแห่งยังมีโรงเรียนวิชาชีพเป็นของตนเองอีกด้วย ระบบสหกรณ์กลายเป็นกระดูกสันหลังของเกษตรกรรมในเดนมาร์ก เพราะไม่เพียงแต่ช่วยสร้าง “การประหยัดต่อขนาด” แต่ยังส่งเสริม “การประหยัดต่อขอบเขต” ด้วยเครือข่ายที่เชื่อมโยงกันระหว่างสหกรณ์หลากประเภท (การผลิต บรรจุภัณฑ์ การตลาด) ความสามารถทางการผลิตของเกษตรกรเดนมาร์กจึงเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดแม้ว่าจะเป็นผู้ประกอบการรายย่อยก็ตาม

3. ต่อยอดจากรากฐานเดิม (Refinement)

ที่มาของการเปลี่ยนแปลงทางสถาบันที่สำคัญอีกประการคือ การพัฒนาต่อยอดจากรากฐานเดิม แม้ว่ากลไกทางสถาบันดั้งเดิมจะไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อการส่งเสริมผลิตภาพก็ตาม ซึ่งพบในกรณีการสร้าง “ย่านอุตสาหกรรม” ของแคว้น Emilia-Romagna

Emilia-Romagna เป็นแคว้นหนึ่งใน 20 แคว้นของอิตาลี มีประชากร 4.4 ล้านคน มีโบโลญญาเป็นเมืองหลวง และมีหัตถอุตสาหกรรมเป็นฐานหลักทางเศรษฐกิจของแคว้น โดยนับเป็นภูมิภาคที่มีรายได้ประชากรต่อหัวสูงเป็นอันดับต้น ๆ ของยุโรป บริษัทขนาดเล็ก (จ้างงานไม่เกิน 100 คน) เป็นกำลังหลักทางเศรษฐกิจของแคว้นมาโดยตลอด ในตอนที่อิตาลีก้าวขึ้นมาเป็นประเทศรายได้ระดับสูง พบว่าบริษัทประมาณร้อยละ 84 ของแคว้นเป็นบริษัทขนาดเล็ก และร้อยละ 41 เป็นบริษัทที่เจ้าของเป็นผู้ดำเนินงานเอง ทั้งยังมีความเชื่อมโยงกันผ่านเครือข่ายสหกรณ์จำนวน 7,400 แห่ง

อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นในแคว้นที่กลายมาเป็นทุนทางสังคมนั้น (social capital) มีจุดเริ่มต้นมาจากปัจจัยทางการเมืองมากกว่าทางเศรษฐกิจ เนื่องจากประชากรส่วนใหญ่ในแคว้นไม่เห็นด้วยกับกระแสฟาสซิสต์ที่ก่อตัวขึ้น ในส่วนกลางของอิตาลีช่วงต้นศตวรรษที่ 20 จึงมีการรวมตัวอย่างแข็งขันเพื่อสนับสนุนพรรคการเมืองและกิจกรรมทางการเมืองเพื่อต่อต้านฟาสซิสต์ ในหมู่ประชากรเองมีการรวมตัวในรูปแบบต่าง ๆ อาทิ สมาคมช่างฝีมือ สมาคมธุรกิจ สหกรณ์ และสหภาพแรงงาน ซึ่งทั้งหมดนี้กลายเป็นรากฐานสำคัญที่ส่งผลดีต่อการสร้าง “ความสัมพันธ์ระหว่างบริษัท” (inter-firm relations) ในระยะต่อมา รัฐบาลท้องถิ่นของแคว้นเองก็มีแนวทางส่งเสริม SMEs ให้เป็นแกนหลักทางเศรษฐกิจ ทั้งยังกระตุ้นให้แรงงานรับจ้างออกมาตั้งกิจการของตนเอง

ในระยะต่อมา กลไกสถาบันข้างต้นได้รับการพัฒนาต่อยอดเพื่อผลประโยชน์ด้านการพัฒนาเศรษฐกิจของแคว้น ในปี 1974 รัฐบาลท้องถิ่นจัดตั้งองค์กร Emilia-Romagna Economic Development Agency Limited. (ERVET) เพื่อเป็นศูนย์กลางองค์ความรู้ของแคว้น โดยมีแผนกย่อยต่าง ๆ อยู่ใต้ร่มเดียวกัน ประกอบด้วยศูนย์อุตสาหกรรมรายสาขา (สิ่งทอ รองเท้า เซรามิก เครื่องจักรสำหรับการขนส่ง เครื่องจักรสำหรับโลหะ และยานยนต์) ซึ่งจะตั้งอยู่ในเมืองที่มีคลัสเตอร์ด้านนั้น ศูนย์เหล่านี้เป็นการถือหุ้นร่วมกันระหว่างรัฐและสมาคมธุรกิจในพื้นที่ นอกจากนี้ ยังมีศูนย์บริการเฉพาะทางแยกตามประเภท เช่น ด้านการเงิน การตลาด ไอที เป็นต้น เพื่อให้ความรู้พื้นฐานที่ผู้ประกอบการทุกธุรกิจต้องการ เช่น ข้อมูลของตลาดต่างประเทศ หรือวิธีการจดสิทธิบัตร และนับจากทศวรรษ 1970 เป็นต้นมา รัฐบาลท้องถิ่นยังให้ความสำคัญกับการอบรมวิชาชีพด้วยการสนับสนุนจาก National Artisans’ Federation ประชากรของแคว้นจึงสามารถลองผิดลองถูกและปรับเปลี่ยนวิชาชีพได้ในช่วงต่าง ๆ ของชีวิต

ทุนทางสังคมอันเป็นผลดีต่อการสร้างย่านอุตสาหกรรมของแคว้น Emilia-Romagna จึงเป็นการต่อยอดผลพลอยได้จากปัจจัยทางการเมืองในอดีตให้ส่งผลดีต่อการพัฒนาเศรษฐกิจในปัจจุบัน

4. ดัดแปลงจากประเทศอื่น (Emulation)

ทั้งสามที่มาข้างต้นเป็นกรณีศึกษาจากประเทศตะวันตก สำหรับกลุ่มประเทศที่พัฒนาหลังจากนั้นอย่างเกาหลีใต้ เราพบว่าการจัดการทางสถาบันมักเกิดโดยการเรียนรู้จากประเทศต้นแบบและนำมาดัดแปลงให้เข้ากับบริบทของสังคม

ตลาดภายในของเกาหลีใต้ไม่ได้มีขนาดใหญ่เท่ากับสหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น แต่ต้องการดำเนินยุทธศาสตร์การพัฒนาที่มุ่งสร้างบรรษัทท้องถิ่นขนาดใหญ่ จึงต้องใช้มาตรการที่เข้มข้นกว่าเพื่อส่งเสริมให้บรรษัทท้องถิ่นสามารถส่งออกสินค้าไปยังตลาดโลกให้ได้เร็วที่สุด

เกาหลีใต้จึงต้องออกแบบกติกาทุกอย่างที่เอื้อต่อการระดมทรัพยากรเพื่อกระตุ้นการผลิตระดับองค์กรให้มีการประหยัดต่อขนาดให้มากที่สุด คณะกรรมการวางแผนเศรษฐกิจ (Economic Planning Board: EPB) ซึ่งเป็นหัวหอกในการพัฒนาจะมีตัวเลขชัดเจนว่า ต้องการให้บริษัทที่ได้รับการสนับสนุนนั้นมีอัตราการผลิตเท่าใดจึงจะเกิดประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งมักเป็นจำนวนที่เกินกว่าตลาดภายในประเทศจะรองรับได้ จึงต้องออกแบบนโยบายและสถาบันเพื่อกระตุ้นให้บริษัทมุ่งสู่ตลาดส่งออกให้ได้เร็วที่สุดควบคู่กันไปด้วย ในกรณีที่บริษัทมีขนาดเล็กเกินกว่าจะผลิตได้ตามเป้า EPB ก็จะเข้ามาสนับสนุนให้เกิดการควบรวมกิจการ การประหยัดต่อขนาดยิ่งทวีความสำคัญมากขึ้นเมื่อเกาหลีใต้ขยับแนวทางจากอุตสาหกรรมที่เน้นแรงงานมาเป็นอุตสาหกรรมทุนเข้มข้นในช่วงปลายทศวรรษ 1970 โดยการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมครั้งใหญ่ที่นำไปสู่การควบรวมกิจการในหลายอุตสาหกรรม

ความสำเร็จของเกาหลีใต้จึงเกิดจากการออกแบบกติกาที่เอื้อให้บริษัทธุรกิจท้องถิ่นมองข้ามตลาดภายในประเทศไปมุ่งเน้นที่ตลาดระดับภูมิภาคและระดับโลกตั้งแต่เริ่มต้น โดยกำหนดตัวชี้วัดและวิธีประเมินความสำเร็จทั้งของบริษัทและนโยบายผ่านตลาดส่งออกเป็นหลัก

ข้อสรุป: นัยทางทฤษฎีและนโยบาย

กรณีศึกษาข้างต้นแสดงให้เราเห็นความหลากหลายของการสร้างและปรับเปลี่ยนกลไกทางสถาบัน นอกจากนี้ ยังสะท้อนให้เราเห็นบทบาทที่สำคัญยิ่งของ “ผู้สร้างการเปลี่ยนแปลง” (change agent) ซึ่งมีลักษณะเป็นกลุ่มก้อนหรือองค์กร ไม่ว่าจะเป็นศาลสูงสุดของสหรัฐอเมริกา กลุ่มเกษตรกรเดนมาร์ก เครือข่ายประชาสังคมในแคว้น Emilia-Romagna และคณะกรรมการวางแผนเศรษฐกิจของเกาหลีใต้

ในทางทฤษฎี โจทย์วิจัยสำคัญในอนาคตของเศรษฐศาสตร์สถาบันอยู่ที่การสร้างคำอธิบายต่อทั้งแรงจูงใจและความสามารถของกลุ่มก้อนเหล่านี้ในการปรับกติกาการเล่นเกมใหม่ที่สามารถยกระดับประสิทธิภาพทางการผลิตและการจัดการให้สูงขึ้นได้ แม้ว่าจะไม่มีวิกฤตหรือช็อกก็ตาม หรือที่เรียกกันว่า A theory of endogenous institutional change ซึ่งมีงานบางชิ้น เช่น Greif and Laitin (2004) และ Aoki (2007) ได้กรุยทางไว้บ้างแล้ว

นัยทางนโยบายอาจแบ่งได้เป็นสองระดับ ระดับแรกคือ การตั้งคำถามในเชิง utilisation ว่าเราได้ออกแบบสถาบันให้ผู้เล่นในระบบเศรษฐกิจมีแรงจูงใจที่เป็นประโยชน์สูงสุดต่อเศรษฐกิจประเทศแล้วหรือยัง เช่น ตลาดส่งออกระดับโลกเป็นเป้าหมายหลักของธุรกิจไทยหรือไม่ ยังมีกำแพงขัดขวางการเคลื่อนย้ายแรงงานและทุนในประเทศมากน้อยเพียงใด บริษัทธุรกิจไทยได้รับข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับอุปสงค์ใหม่ ๆ ในตลาดโลกทันกับสถานการณ์แค่ไหน ทุนทางสังคมในแต่ละท้องถิ่นถูกใช้เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างเต็มที่หรือยัง

ส่วนอีกระดับหนึ่งคือ การออกแบบสถาบันที่เอื้อต่อการเกิดกลุ่มผู้สร้างการเปลี่ยนแปลง หรือในทางวิชาการเรียกว่า socialisation of risk ซึ่งงานศึกษาหลายชิ้นเห็นว่าเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาทุนนิยมในโลกตะวันตก เช่น Rosenberg and Birdzell (1986) และ Rodrik (2007) เป็นต้น ในทำนองเดียวกับการสร้างเทคโนโลยีใหม่ ผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จย่อมต้องเลือกพัฒนาสิ่งที่ยังไม่มีในตลาด ซึ่งมักสร้างความเสี่ยงที่สูงเกินกว่าการทำตามคนอื่น ผู้นำการเปลี่ยนแปลงเชิงสถาบันก็ต้องแบกรับความเสี่ยงเช่นเดียวกันนี้ กติกาการเล่นเกมที่เอื้อต่อการสร้างนวัตกรรมทางสถาบันจึงต้องเป็นกติกาที่ทั้งกระตุ้นและรองรับให้ผู้คนพร้อมที่จะทดลองจัดตั้งองค์กรหรือสร้างความสัมพันธ์ในกระบวนการผลิตและแลกเปลี่ยนในรูปแบบใหม่ ๆ ที่ยังไม่มีในสังคม

เอกสารอ้างอิง

Acemoglu, D., Johnson, S., and Robinson, J. A. (2005): “Institutions as a Fundamental Cause of Long-run Growth.” In Durlauf, S. N., and Aghion, P. (eds) Handbook of Economic Growth, Volume 1A. Amsterdam: Elsevier.

Aoki, M. (2001): “Toward a Comparative Institutional Analysis.” Cambridge, MA: MIT press.

Aoki, M. (2007): “Endogenizing Institutions and Institutional Changes.” Journal of Institutional Economics, 3(1): 1–31.

Greif, A., and Laitin, D. D. (2004): “A Theory of Endogenous Institutional Change.” American Political Science Review, 98(4): 633–652.

North, D. C. (1990): “Institutions, Institutional Change and Economic Performance.” Cambridge: Cambridge University Press.

Rodrik, D. (2007): “One Economics, Many Recipes: Globalization, Institutions and Economics Growth.” Princeton, NJ: Princeton University Press.

Rosenberg, N., Birdzell, L. E., and Mitchell, G. W. (1986): “How the West Grew Rich: The Economic Transformation of the Western World.” New York: Basic Books.

วีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร
วีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร
National Graduate Institute for Policy Studies
Topics: Development EconomicsPolitical Economy
Tags: institutional economicsinstitutional innovationregulation
ข้อคิดเห็นที่ปรากฏในบทความนี้เป็นความเห็นของผู้เขียน ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับความเห็นของสถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์

สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์

273 ถนนสามเสน แขวงวัดสามพระยา เขตพระนคร กรุงเทพฯ 10200

โทรศัพท์: 0-2283-6066

Email: pier@bot.or.th

เงื่อนไขการให้บริการ | นโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2568 สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์

เอกสารเผยแพร่ทุกชิ้นสงวนสิทธิ์ภายใต้สัญญาอนุญาต Creative Commons Attribution-NonCommercial-ShareAlike 3.0 Unported license

Creative Commons Attribution NonCommercial ShareAlike

รับจดหมายข่าว PIER

Facebook
YouTube
Email