Research
Discussion Paper
PIERspectives
aBRIDGEd
PIER Blog
Events
Conferences
Research Workshops
Policy Forums
Seminars
Exchanges
Research Briefs
Community
PIER Research Network
Visiting Fellows
Funding and Grants
About Us
Our Organization
Announcements
PIER Board
Staff
Work with Us
Contact Us
TH
EN
Research
Research
Discussion Paper
PIERspectives
aBRIDGEd
PIER Blog
Exchange Rate Effects on Firm Performance: A NICER Approach
Discussion Paper ล่าสุด
Exchange Rate Effects on Firm Performance: A NICER Approach
ผลกระทบของการขึ้นค่าเล่าเรียนต่อการตัดสินใจเรียนมหาวิทยาลัย
aBRIDGEd ล่าสุด
ผลกระทบของการขึ้นค่าเล่าเรียนต่อการตัดสินใจเรียนมหาวิทยาลัย
Events
Events
Conferences
Research Workshops
Policy Forums
Seminars
Exchanges
Research Briefs
Joint NSD-PIER Applied Microeconomics Research Workshop
งานประชุมเชิงปฏิบัติการต่อไป
Joint NSD-PIER Applied Microeconomics Research Workshop
Special Economic Zones and Firm Performance: Evidence from Vietnamese Firms
งานสัมมนาล่าสุด
Special Economic Zones and Firm Performance: Evidence from Vietnamese Firms
สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์
สถาบันวิจัยเศรษฐกิจ
ป๋วย อึ๊งภากรณ์
Puey Ungphakorn Institute for Economic Research
Community
Community
PIER Research Network
Visiting Fellows
Funding and Grants
PIER Research Network
PIER Research Network
Funding & Grants
Funding & Grants
About Us
About Us
Our Organization
Announcements
PIER Board
Staff
Work with Us
Contact Us
Staff
Staff
Call for Papers: PIER Research Workshop 2025
ประกาศล่าสุด
Call for Papers: PIER Research Workshop 2025
aBRIDGEdabridged
Making Research Accessible
QR code
Year
2025
2024
2023
2022
...
Topic
Development Economics
Macroeconomics
Financial Markets and Asset Pricing
Monetary Economics
...
/static/a19e395aceb3ed1fdbc1d91180d97258/e9a79/cover.png
11 มิถุนายน 2561
20181528675200000

ใคร ๆ ก็ไม่อยากว่างงานจริงหรือ: ภาพจากข้อมูลประกันสังคม

“Workers who are out of work—especially workers who are out of work for a long time—lose a good deal of their market-relevant human capital.” — Brad DeLong
นฎา วะสีจิรายุ จันทรสาขาปุญญวิชญ์ เศรษฐ์สมบูรณ์
ใคร ๆ ก็ไม่อยากว่างงานจริงหรือ: ภาพจากข้อมูลประกันสังคม
excerpt

หากพูดถึงสิทธิประโยชน์ทดแทนจากระบบประกันสังคม หลาย ๆ คนก็มักจะนึกถึงสิทธิรักษาพยาบาลเมื่อเจ็บป่วยหรือเบี้ยประกันชราภาพเมื่อเกษียณอายุ เรื่องการประกันการว่างงานนั้นไม่ค่อยมีคนพูดถึงมากนัก ทั้งนี้ อาจเป็นเพราะอัตราการว่างงานของไทยอยู่ในระดับต่ำมาตลอด (ร้อยละ 0.7–1.2 ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2554 เป็นต้นมา) อย่างไรก็ดี ภาพจากข้อมูลของสำนักงานประกันสังคม (สปส.) บอกเราว่าผู้ว่างงานในประเทศไทยนั้นมีไม่ใช่น้อย ผู้ที่ได้รับสิทธิประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานนั้นมีประมาณ 1.4 แสนรายต่อเดือน คิดเป็นผลประโยชน์ทดแทนที่ สปส. จ่ายออกไปจำนวน 6.5 พันล้านบาทในปี พ.ศ. 2559

สำนักงานประกันสังคมนั้นเริ่มดำเนินการในปี พ.ศ. 2533 โดยเริ่มจากดูแลการจ่ายผลประโยชน์ทดแทนในกรณีเจ็บป่วย เสียชีวิต ทุพพลภาพจากการทำงาน และคลอดบุตร สำหรับลูกจ้างนอกภาคเกษตรที่ทำงานในสถานประกอบการที่มีลูกจ้าง 1 คนขึ้นไป1 ต่อมาในปี พ.ศ. 2541 ได้มีการเพิ่มความครอบคลุมโดยให้สิทธิประโยชน์กรณีสงเคราะห์บุตรและเบี้ยประกันชราภาพ สำหรับโครงการประกันการว่างงานได้เริ่มขึ้นในปี พ.ศ. 2547 ลูกจ้างที่ได้รับความคุ้มครองใน 7 กรณีข้างต้นมักจะถูกเรียกว่าผู้ประกันตนภาคบังคับหรือผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ในปี พ.ศ. 2559 จำนวนผู้ประกันตนภาคบังคับอยู่ที่ 10.5 ล้านคน และจำนวนผู้ประกอบการซึ่งเป็นนายจ้างของผู้ประกันตนเหล่านี้อยู่ที่ 435,303 ราย2

โครงการประกันการว่างงานนั้นมีการจ่ายเงินสมทบจาก 3 ฝ่าย ได้แก่ ผู้ประกันตนและนายจ้างจ่ายฝ่ายละร้อยละ 0.5 ของค่าจ้าง และรัฐบาลจ่ายร้อยละ 0.25 ของค่าจ้าง โดยลูกจ้างจะต้องมีฐานเงินสมทบ (รายได้) ขั้นต่ำเดือนละ 1,650 บาท และสูงสุดไม่เกิน 15,000 บาท (นั่นคือ ผู้ที่มีรายได้เกิน 15,000 บาท ก็จะสมทบเพียงร้อยละ 0.5 ของ 15,000 บาท) สำหรับผู้ประกันตนที่มีสิทธิได้เงินทดแทนการว่างงานนั้นจะต้องจ่ายเงินสมทบมาแล้วอย่างน้อย 6 เดือนภายใน 15 เดือนก่อนว่างงาน และว่างงาน 8 วันขึ้นไป นอกจากนี้ ผู้ยื่นขอรับสิทธิต้องขึ้นทะเบียนหางานกับกรมการจัดหางานและมารายงานตัวตามกำหนดทุกเดือน ไม่ปฏิเสธการฝึกอบรมหรืองานที่เหมาะสม ยังไม่ได้ใช้สิทธิของปีนั้นครบ และไม่เป็นผู้ได้รับสิทธิกรณีชราภาพ สำหรับสิทธิประโยชน์ทดแทนนั้น กรณีที่ออกจากงานโดยสมัครใจ (ลาออกหรือหมดสัญญาจ้าง) จะได้รับเงินทดแทนร้อยละ 30 ของค่าจ้าง และขอรับสิทธิได้ไม่เกิน 90 วัน ส่วนกรณีถูกเลิกจ้างโดยไม่สมัครใจ (ยกเว้นกระทำความผิดและก่อความเสียหายแก่นายจ้าง) จะได้รับเงินทดแทนร้อยละ 50 ของค่าจ้าง และขอรับสิทธิได้ไม่เกิน 180 วัน

บทความนี้ขอเสนอภาพของผู้ว่างงานและโครงการประกันการว่างงานจากข้อมูลรายบุคคลที่ได้รับความอนุเคราะห์จาก สปส. ซึ่งประกอบด้วยข้อมูลของลูกจ้างที่ยื่นขอรับสิทธิประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานในช่วงมกราคม 2557 – ตุลาคม 2559 จำนวน 1.6 ล้านคน โดยขอเสนอการวิเคราะห์ใน 3 มิติ มิติแรกศึกษาว่าผู้ที่มาขอรับสิทธิว่างงานนั้นมีลักษณะเหมือนหรือต่างจากผู้ประกันตนภาคบังคับทั้งระบบอย่างไร มิติที่สองศึกษาเรื่องระยะเวลาว่างงานและปัจจัยที่มีผลต่อโอกาสในการกลับเข้ามาทำงาน ส่วนมิติสุดท้าย ดูภาพของการเคลื่อนย้ายของแรงงานสำหรับผู้ที่ว่างงานที่สามารถกลับเข้ามาทำงานในระบบ

มิติที่ 1

หากเปรียบเทียบผู้ที่มาขอรับสิทธิประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานและผู้ประกันตนทั้งหมด จะพบว่าทั้งสองกลุ่มมีลักษณะคล้ายกัน แต่ผู้ว่างงานมีสัดส่วนกลุ่มอายุ 25–39 ปีสูงกว่า (ร้อยละ 63 เทียบกับร้อยละ 53) และมีสัดส่วนผู้ที่ได้รับค่าจ้างในช่วง 7,000–11,000 บาทมากกว่า (ร้อยละ 54 เทียบกับร้อยละ 43) นอกจากนี้ ร้อยละ 85 ของผู้มาขอรับสิทธิเป็นผู้ที่ลาออกจากงานโดยสมัครใจ

รูปที่ 1 การกระจายตัวของผู้ประกันตนมาตรา 33 และผู้ขอรับสิทธิประโยชน์กรณีว่างงาน แบ่งตามช่วงอายุในปี 2557

การกระจายตัวของผู้ประกันตนมาตรา 33 และผู้ขอรับสิทธิประโยชน์กรณีว่างงาน แบ่งตามช่วงอายุในปี 2557

ที่มา: ข้อมูลของผู้ประกันตนมาตรา 33 จากรายงานประจำปี สปส. 2557 และข้อมูลของผู้ขอรับสิทธิกรณีว่างงาน คณะผู้วิจัยคำนวณจากข้อมูลรายคน

รูปที่ 1 แสดงการกระจายตัวของผู้มาขอรับสิทธิประโยชน์กรณีว่างงานและผู้ประกันตนมาตรา 33 ณ ปี 2557 แบ่งตามกลุ่มอายุ จะเห็นได้ว่าผู้ประกันตนส่วนมากเป็นแรงงานอายุไม่มากนัก คือส่วนใหญ่อายุ 25–39 ปี บางคนอาจคิดว่าผู้ที่ออกจากงานเป็นแรงงานที่อายุค่อนข้างมากเพราะอาจจะมีปัญหาสุขภาพหรือไม่มีทักษะพอกับงานสมัยใหม่ แต่จากภาพนี้กลุ่มที่ออกจากงานมากกลับเป็นกลุ่มอายุ 25–39 ปี และสัดส่วนของแรงงานกลุ่มนี้ในกลุ่มผู้ว่างงานนั้นคิดเป็นร้อยละ 63 ซึ่งสูงกว่าสัดส่วนของคนกลุ่มนี้ต่อผู้ประกันตนทั้งระบบ

รูปที่ 2 การกระจายตัวของผู้ประกันตนมาตรา 33 และผู้ขอรับสิทธิประโยชน์กรณีว่างงาน แบ่งตามค่าจ้างในปี 2557

การกระจายตัวของผู้ประกันตนมาตรา 33 และผู้ขอรับสิทธิประโยชน์กรณีว่างงาน แบ่งตามค่าจ้างในปี 2557

ที่มา: ข้อมูลของผู้ประกันตนมาตรา 33 จากรายงานประจำปี สปส. 2557 และข้อมูลของผู้ขอรับสิทธิกรณีว่างงาน คณะผู้วิจัยคำนวณจากข้อมูลรายคน

รูปที่ 2 แสดงการกระจายตัวของแรงงานแบ่งตามเงินเดือน สิ่งที่น่าสังเกตสำหรับภาพนี้ก็คือ กลุ่มที่ออกจากงานในสัดส่วนที่สูงเป็นกลุ่มที่มีค่าจ้างระดับกลาง แรงงานกลุ่มค่าจ้างสูงมากและต่ำมากมักจะไม่มาขอรับสิทธิ ทั้งนี้ อาจจะเป็นไปได้หลายสาเหตุ ประการแรก ค่าจ้างสะท้อนทักษะของแรงงาน กลุ่มที่มีทักษะระดับกลางมักจะทำงานลักษณะซ้ำ (routine) อาจจะเป็นกลุ่มที่มีความต้องการน้อยลงเพราะหุ่นยนต์สามารถเข้ามาทดแทนได้ ขณะที่กลุ่มทักษะระดับต่ำ เช่น งานบริการ ดูแลคนป่วย และกลุ่มที่มีทักษะระดับสูง เช่น แพทย์ หรือ data scientists ก็ยังมีความต้องการอยู่ งานศึกษาในต่างประเทศก็พบปรากฏการณ์เช่นนี้ (Autor and Dorn, 2013) ประการที่สอง อาจจะเป็นไปได้ว่าบริษัทที่มีลูกจ้างที่ได้ค่าจ้างประมาณ 7 พันบาทเป็นบริษัทที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายค่าจ้างขั้นต่ำมากที่สุด ซึ่งบริษัทเหล่านี้อาจจะมีการลดการจ้างงานคนกลุ่มนี้เพื่อชดเชยค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น (Lathapipat and Poggi, 2016) ประการสุดท้าย การที่แรงงานค่าจ้างสูงเข้ามาขอรับสิทธิน้อย อาจจะเป็นเพราะว่าคนกลุ่มนี้ไม่ได้ยากจนนัก การที่ต้องเสียเวลามารายงานตัวกับกรมการจัดหางานทุก ๆ เดือนไม่คุ้มกับเงินทดแทนที่จะได้รับ

หากดูว่าผู้ที่มาขอรับสิทธิประโยชน์นั้นออกจากงานด้วยเหตุผลใด เราพบว่าเป็นการออกจากงานโดยสมัครใจถึงร้อยละ 89 โดยแบ่งเป็นการลาออกร้อยละ 85 และออกเพราะหมดสัญญาจ้างอีกร้อยละ 4 ส่วนกลุ่มที่ออกจากงานโดยไม่สมัครใจคิดเป็นเพียงร้อยละ 11 ตารางที่ 1 แสดงจำนวนการขอรับสิทธิโดยแบ่งตามเหตุผลและปีที่ออกจากงาน จำนวนผู้ขอรับสิทธินั้นมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกเหตุผล ซึ่งอาจจะสะท้อนจำนวนผู้ประกันตนมาตรา 33 ที่เพิ่มขึ้น แต่หากดูสัดส่วนของสาเหตุที่ออกจากงาน สัดส่วนผู้ที่ลาออกโดยสมัครใจลดลงเล็กน้อย

ตารางที่ 1 จำนวนผู้มาขอรับสิทธิประโยชน์กรณีว่างงานจำแนกตามสาเหตุการออกจากงาน

จำนวนผู้มาขอรับสิทธิประโยชน์กรณีว่างงานจำแนกตามสาเหตุการออกจากงาน

ที่มา: จำนวนผู้มาขอรับสิทธิเป็นจำนวนผู้ที่มายื่นขอรับสิทธิทั้งปีสำหรับข้อมูลปี 2557–2558 และ ม.ค. – ต.ค. สำหรับข้อมูลปี 2559จำนวนผู้ประกันเป็นข้อมูลผู้ประกันตน ณ เดือนธันวาคมของทุกปี (สปส. 2559)

มิติที่ 2

ผู้ที่มาขอรับสิทธิว่างงานนั้น มีเพียงร้อยละ 50 ที่กลับเข้ามาทำงานภายในระยะเวลา 1 ปี โดยกลุ่มที่ออกจากงานเพราะหมดสัญญาจ้างมีระยะเวลาว่างงานสั้นที่สุด โดยเฉลี่ยกลุ่มที่ออกจากงานโดยไม่สมัครใจกลับมาทำงานเร็วกว่ากลุ่มที่ลาออกโดยสมัครใจ แม้ว่าจะสามารถขอรับสิทธิประโยชน์ได้นานกว่า นอกจากนี้ เมื่อควบคุมปัจจัยที่เกี่ยวข้องให้คงที่ พบว่าแรงงานที่มีอายุมาก เป็นผู้หญิง และว่างงานเกิน 1 ปี จะมีโอกาสที่จะกลับเข้ามาทำงานน้อยกว่าแรงงานกลุ่มอื่น ๆ

การที่ผู้ว่างงานจะกลับเข้าสู่ตลาดแรงงานได้นั้นย่อมมาจากการที่นายจ้างมีตำแหน่งงานว่าง ผู้ว่างงานสมัครงาน นายจ้างเสนองานและค่าจ้าง และลูกจ้างตกลงใจเลือกงานนั้น ๆ ดังนั้น ระยะเวลาในการว่างงานจึงขึ้นกับปัจจัยทั้งทางด้านอุปสงค์และอุปทานของแรงงาน รวมทั้งภาวะและโครงสร้างของตลาดแรงงาน และปัจจัยเชิงสถาบันที่มีส่วนสร้างแรงจูงใจให้ลูกจ้างหา (หรือไม่หา) งานทำ

วรรณกรรมทางเศรษฐศาสตร์แรงงานจำนวนมาก ได้ศึกษาเรื่องปัจจัยที่มีผลกระทบต่อระยะเวลาการว่างงาน (ตัวอย่างเช่น Nickell, 1979; Koop and Ruhm, 1993; Blanchard and Diamond, 1994; Bover et al., 2002; และ Lalive, 2008) โดยการเติบโตของอุตสาหกรรมบางประเภท การเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีในการผลิต และค่าจ้างที่บริษัทต้องจ่าย ล้วนเป็นปัจจัยที่กำหนดว่านายจ้างต้องการแรงงานเพิ่มขึ้นหรือไม่ และต้องการแรงงานที่มีทักษะอย่างไร สำหรับตัวลูกจ้างเอง นอกจากค่าจ้าง ก็อาจจะมีปัจจัยอื่น ๆ ที่ทำให้ตัดสินใจว่าจะทำงานหรือไม่ เช่น รายได้ของสมาชิกอื่น ๆ ของครอบครัว สุขภาพ ผู้ที่มีเด็กหรือคนแก่ในบ้านที่ต้องการคนดูแลก็ต้องคำนวณว่าหากไปทำงานและต้องจ้างคนอื่นมาทำงานในบ้านแทน ค่าจ้างที่ได้จะคุ้มกับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นหรือไม่ นอกจากนี้ งานศึกษาในต่างประเทศยังพบว่า การขยายเวลาในการให้สิทธิประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานหรือการให้เงินทดแทนที่สูงขึ้น มีส่วนทำให้แรงงานว่างงานนานขึ้น

รูปที่ 3 ความน่าจะเป็นที่แรงงานยังคงว่างงานเมื่อเวลาผ่านไปแบ่งตามเหตุผลการออกจากงาน

ความน่าจะเป็นที่แรงงานยังคงว่างงานเมื่อเวลาผ่านไปแบ่งตามเหตุผลการออกจากงาน

ที่มา: คณะผู้วิจัยคำนวณจากข้อมูลผู้ขอรับสิทธิกรณีว่างงานรายคนซึ่งออกจากงานในปี 2557 ถึง ต.ค. 2559 และทราบว่ากลับเข้างานหรือไม่จนถึง ก.พ. 2560

จากข้อมูลของ สปส. ที่นำมาใช้ในการศึกษานี้ เราทราบระยะเวลาที่ว่างงาน สาเหตุการออกจากงาน และคุณลักษณะของแรงงานอื่น ๆ เช่น เพศ อายุ อุตสาหกรรมของงานสุดท้าย วันที่เริ่มลงทะเบียนในประกันสังคม วันที่เริ่มงาน เราจึงสามารถศึกษาผลของปัจจัยเหล่านี้ต่อระยะเวลาที่แรงงานว่างงานได้ รูปที่ 3 แสดงความสัมพันธ์ระหว่างสาเหตุที่แรงงานออกจากงานและช่วงว่างงาน โดยแกนตั้ง คือ ความน่าจะเป็นที่แรงงานยังคงว่างงานเมื่อเวลาผ่านไป ส่วนแกนนอนเป็นจำนวนวันนับจากที่แรงงานออกจากงาน ณ วันแรก ความน่าจะเป็นดังกล่าวจึงมีค่าเท่ากับหนึ่ง และเมื่อเวลาผ่านไปเราเห็นค่าความน่าจะเป็นที่จะยังว่างงานค่อย ๆ ลดลง เพราะแรงงานทยอยกลับเข้าทำงาน

เส้นประสีแดงแสดงความน่าจะเป็นที่ยังคงว่างงานของกลุ่มที่ออกเพราะหมดสัญญาจ้าง ซึ่งการที่เส้นนี้อยู่ต่ำลงมามากสะท้อนว่าแรงงานกลุ่มนี้กลับเข้างานเร็วกว่าอีกสองกลุ่มอย่างชัดเจน หากเปรียบเทียบโอกาสที่แรงงานยังคงว่างงาน ณ วันที่ 97 (วันสุดท้ายที่ได้รับสิทธิสำหรับกลุ่มสมัครใจลาออก) ความน่าจะเป็นที่ยังคงว่างงานของกลุ่มหมดสัญญาจ้างอยู่ที่ 0.63 ในขณะที่ความน่าจะเป็นดังกล่าวของอีก 2 กลุ่มอยู่ประมาณ 0.8 และเมื่อเวลาผ่านไป 1 ปี กลุ่มหมดสัญญาจ้างมีความน่าจะเป็นที่จะว่างงานเหลืออยู่เพียง 0.35 นั่นคือ ร้อยละ 65 ของแรงงานที่ออกจากงานได้กลับเข้างาน สำหรับกลุ่มถูกเลิกจ้าง (เส้นทึบสีเขียว) และลาออกโดยสมัครใจ (เส้นประยาวสีน้ำเงิน) นั้น กลับเข้างานแล้วเพียงร้อยละ 49 และ 47 ตามลำดับ

เป็นที่น่าสังเกตว่ากลุ่มที่ถูกเลิกจ้าง แม้จะสามารถขอรับสิทธิประโยชน์ได้มากกว่าและนานกว่า ก็ยังมีอัตราการกลับเข้าทำงานที่เร็วกว่ากลุ่มที่สมัครใจลาออก ซึ่งอาจจะสะท้อนว่าผู้ที่โดนให้ออกโดยไม่คาดคิดนั้นมีความเดือดร้อนทางการเงินและต้องการทำงานมากกว่าผู้ที่ออกอย่างตั้งใจ นอกจากนี้ จะเห็นได้ว่าหากแรงงานว่างงานเกิน 1 ปี อัตราการกลับเข้าทำงานจะค่อนข้างต่ำซึ่งสะท้อนจากกราฟความน่าจะเป็นที่มีความชันใกล้ศูนย์ของทุกสาเหตุการออกจากงาน ข้อเท็จจริงนี้สอดคล้องกับงานศึกษาในต่างประเทศที่พบว่าบริษัทก็ไม่ค่อยอยากจ้างคนที่ว่างงานนาน ๆ กลับเข้ามาทำงานเพราะเกรงว่าทักษะอาจจะล้าหลัง

นอกจากนี้ เราได้ใช้แบบจำลอง Cox Proportional Hazard เพื่อประมาณค่าผลของคุณลักษณะต่าง ๆ ของแรงงานทีละคุณลักษณะโดยควบคุมปัจจัยอื่น ๆ ให้คงที่ ดังแสดงผลในตารางที่ 2 ตัวเลขในแถวแรก คือ ค่าประมาณของความน่าจะเป็นของแรงงานที่ออกจากงานยังคงว่างงานเมื่อเวลาผ่านไป 97 วัน 187 วัน และ 1 ปี ของกลุ่มอ้างอิง ซึ่งกำหนดให้เป็นกลุ่มที่สมัครใจลาออกจากงาน มีประสบการณ์ในตลาดแรงงาน 8 ปี เป็นแรงงานชาย อายุ 30–34 ปี และอุตสาหกรรมสุดท้ายก่อนออกจากงาน คือ ภาคการผลิต (ประสบการณ์ในตลาดแรงงานประมาณโดยใช้ข้อมูลที่แรงงานเริ่มลงทะเบียนเข้าระบบประกันสังคมหรือเริ่มงาน) ส่วนแถวอื่น ๆ เป็นการกำหนดให้คุณลักษณะของแรงงานทุกอย่างเหมือนกลุ่มอ้างอิง ยกเว้นคุณลักษณะที่กำลังพิจารณา เพื่อดูว่าความน่าจะเป็นดังกล่าวจะมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร

ตารางที่ 2 ผลการประมาณการอิทธิพลของปัจจัยต่าง ๆ ต่อความน่าจะเป็นที่แรงงานยังคงว่างงาน

ผลการประมาณการอิทธิพลของปัจจัยต่าง ๆ ต่อความน่าจะเป็นที่แรงงานยังคงว่างงาน

ที่มา: คณะผู้วิจัยคำนวณจากข้อมูลผู้ขอรับสิทธิกรณีว่างงานรายคนซึ่งออกจากงานในปี 2557 ถึง ต.ค. 2559 และทราบว่ากลับเข้างานหรือไม่จนถึง ก.พ. 2560

จากตารางนี้เราจะเห็นว่าปัจจัยที่มีผลต่อโอกาสในการกลับเข้างานอย่างชัดเจน ได้แก่ เพศ อายุ และสาเหตุที่ออกจากงาน โดยผลของอายุของแรงงานจะเห็นอย่างชัดเจนเมื่อระยะเวลาว่างงานผ่านไปหนึ่งปี (คอลัมน์สุดท้าย) แรงงานชายที่อายุ 30–34 ปีมีโอกาสที่จะยังว่างงานร้อยละ 52 ขณะที่แรงงานอายุ 50–54 ปีมีโอกาสที่จะว่างงานถึงร้อยละ 72 และร้อยละ 76 สำหรับแรงงานชายและหญิงตามลำดับ ประสบการณ์ทำงานที่เพิ่มขึ้นช่วยให้แรงงานกลับเข้างานได้เร็วขึ้นแต่ผลกระทบไม่มากนัก ส่วนอุตสาหกรรมที่ออกจากงานแทบจะไม่มีผลอะไร

มิติที่ 3

สัดส่วนที่ลูกจ้างจะกลับมาทำงานภายในช่วงเวลาที่ศึกษาเกือบทุกภาคธุรกิจอยู่เพียงร้อยละ 50–52 โดยลูกจ้างที่ออกจากภาคการผลิตและบริการมักจะกลับเข้าสู่ภาคธุรกิจเดิม อย่างไรก็ตาม ภายในภาคการผลิต ความแตกต่างระหว่างภาพของแต่ละหมวดอุตสาหกรรมย่อยค่อนข้างสูง เช่น ขณะที่การผลิตอาหารมีทั้งแรงงานย้ายเข้าและออก แต่การผลิตสิ่งพิมพ์แทบไม่มีแรงงานย้ายเข้า นอกจากนี้ ยังพบว่าร้อยละ 12 ของลูกจ้างที่กลับเข้างาน กลับไปทำงานกับนายจ้างเดิม

หากแบ่งภาคธุรกิจสุดท้ายที่ลูกจ้างทำงานออกเป็น 8 ภาคใหญ่ ๆ ตามตารางที่ 3 จะเห็นว่าลูกจ้างส่วนมากออกมาจากภาคการผลิต ซึ่งก็สะท้อนตามสัดส่วนผู้ประกันตน แต่หากเปรียบเทียบสัดส่วนที่ลูกจ้างจะกลับมาทำงานภายในช่วงเวลาที่ศึกษา สัดส่วนนี้อยู่ที่เพียงร้อยละ 50–52 เกือบทุกภาคธุรกิจ ส่วนคอลัมน์ที่ 3 คำนวณว่า สำหรับลูกจ้างที่กลับเข้างานนั้นกลับเข้าภาคธุรกิจเดิมหรือไม่ พบว่าลูกจ้างในภาคการผลิตและบริการกลับเข้าทำงานในภาคธุรกิจเดิมมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 63 และร้อยละ 54 ตามลำดับ ขณะที่ลูกจ้างในภาคเกษตรและเหมืองแร่ มีแนวโน้มจะเคลื่อนย้ายไปภาคธุรกิจอื่น

ตารางที่ 3 สัดส่วนผู้ยื่นขอสิทธิที่สามารถกลับเข้าไปทำงานและภาคธุรกิจที่กลับเข้างาน

สัดส่วนผู้ยื่นขอสิทธิที่สามารถกลับเข้าไปทำงานและภาคธุรกิจที่กลับเข้างาน

ที่มา: คณะผู้วิจัยคำนวณจากข้อมูลผู้ขอรับสิทธิกรณีว่างงานรายคนซึ่งออกจากงานในปี 2557 ถึง ต.ค. 2559 และทราบว่ากลับเข้างานหรือไม่จนถึง ก.พ. 2560

อย่างไรก็ตาม ภาคการผลิต การค้า และบริการเป็นภาคเศรษฐกิจที่ใหญ่ และมีความแตกต่างระหว่างหมวดย่อยอุตสาหกรรมภายในภาคธุรกิจค่อนข้างสูง ภาคการผลิตมีการเคลื่อนย้ายระหว่างหมวดย่อยอุตสาหกรรมภายในภาคมากกว่าการค้าและบริการ ในบางหมวดย่อยอุตสาหกรรม เช่น การผลิตอาหารและเครื่องดื่ม และอุปกรณ์สำหรับเครื่องอิเลคทรอนิกส์ ลูกจ้างที่ออกมามักจะได้งานในอุตสาหกรรมเดิม ซึ่งอาจจะเป็นเพราะนายจ้างต้องการลูกจ้างที่มีประสบการณ์หรือทักษะที่เฉพาะเจาะจง แต่ในอุตสาหกรรมที่ธุรกิจมีแนวโน้มชะลอตัว เช่น การผลิตสิ่งพิมพ์ เทปภาพ เทปเสียง พบว่าแทบจะไม่มีแรงงานย้ายเข้า แรงงานส่วนหนึ่งจากอุตสาหกรรมเหล่านี้ย้ายออกนอกภาคการผลิต ซึ่งจากข้อมูล สปส. ภาคการค้าและบริการเป็นภาคธุรกิจที่สำคัญในการรองรับคนเหล่านี้

นอกจากนี้ เรายังพบว่ามีลูกจ้างร้อยละ 12 ของจำนวนคนที่กลับเข้าทำงาน กลับไปทำงานกับนายจ้างเดิม (ดูตารางที่ 4) โดยเกินครึ่งของลูกจ้างที่ให้เหตุผลว่าออกจากงานเพราะหมดสัญญาจ้างกลับไปทำงานที่บริษัทเดิม กลุ่มที่ออกจากงานโดยไม่สมัครใจมีสัดส่วนที่จะกลับเข้าทำงานที่ใกล้เคียงกับอุตสาหกรรมเดิมมากกว่าอีกสองกลุ่ม หากดูว่าลูกจ้างที่กลับ ไปยังนายจ้างเดิมอยู่ในอุตสาหกรรมใดบ้าง เราพบว่าเกือบทุกอุตสาหกรรมมีลูกจ้างที่กลับไปยังนายจ้างเดิม แต่ลูกจ้างกลุ่มนี้ส่วนมากอยู่ในธุรกิจการผลิตอาหารและเครื่องดื่ม ค้าขาย ผลิตน้ำตาล และก่อสร้าง

ตารางที่ 4 สัดส่วนของภาคธุรกิจและนายจ้างของผู้ที่กลับงานแยกตามสาเหตุการออกจากงาน

สัดส่วนของภาคธุรกิจและนายจ้างของผู้ที่กลับงานแยกตามสาเหตุการออกจากงาน

ที่มา: คณะผู้วิจัยคำนวณจากข้อมูลผู้ขอรับสิทธิกรณีว่างงานรายคนซึ่งออกจากงานในปี 2557 ถึง ต.ค. 2559 และทราบว่ากลับเข้างานหรือไม่จนถึง ก.พ. 2560

บทสรุปและนัยเชิงนโยบาย

โครงการประกันการว่างงานนั้นมีขึ้นเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ว่างงานขณะที่กำลังหางานใหม่ทำ ขณะเดียวกันในการกำหนดสิทธิผลประโยชน์ ระยะเวลาในการจ่ายเงินทดแทน เงื่อนไขในการจ่ายเงินสมทบและการรับสิทธิ ก็ต้องมีการชั่งน้ำหนักว่าหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ที่ตั้งขึ้นนั้นมีความเป็นธรรมต่อผู้ประกันตนทั้งหมดเพียงใด เป็นการสร้างแรงจูงใจให้ผู้ว่างงานไม่รีบหางานทำหรือไม่ และช่วยให้ระบบประกันมีความยั่งยืนหรือไม่

ภาพที่ชัดเจนของโครงการประกันว่างงานจากข้อมูลชุดนี้ คือ โครงการนี้ได้ช่วยเหลือผู้ว่างงานจำนวนมาก แต่ผู้มาขอรับสิทธิประโยชน์นั้นเกือบร้อยละ 90 เป็นผู้ที่ออกจากงานโดยสมัครใจ สัดส่วนแรงงานอายุไม่เกิน 40 ค่อนข้างมาก และร้อยละ 12 ของผู้ที่กลับเข้างานได้กลับไปยังนายจ้างเดิม การเข้า ๆ ออก ๆ จากงานและมายื่นขอรับสิทธินั้นเป็นเรื่องที่สามารถทำได้ภายใต้ข้อกฎหมายปัจจุบัน แต่หากเกิดขึ้นซ้ำ ๆ ก็เป็นเรื่องที่น่ากังวล เพราะอาจจะก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมกับผู้ประกันตนอื่น ๆ ยกตัวอย่างเช่น หากเปรียบเทียบลูกจ้าง 2 คนซึ่งได้เงินเดือนเดือนละ 10,000 บาท คนแรก ทำงาน 20 ปีแล้วจึงลาออก อีกคนหนึ่งทำงานปีละ 8 เดือนและออกมายื่นขอสิทธิทุก ๆ ช่วงที่ว่างงาน ในกรณีนี้ เงินสมทบรวมจากลูกจ้างและนายจ้างอยู่ที่เดือนละ 100 บาท หากคิดในระยะเวลา 20 ปี ลูกจ้างคนแรกมีการส่งเงินสมทบเข้ามาทั้งหมด 100x12x20 = 24,000 บาท และรับเงินทดแทน 9,000 บาท (ร้อยละ 30 ของค่าจ้างจำนวน 90 วัน) ส่วนคนที่สอง ส่งเงินสมทบ 100 x 8 x 20 = 16,000 บาท แต่ได้รับเงินทดแทน 9,000 x 20 ปี = 180,000 บาท

คำถามที่ตามมาก็คือ โครงการประกันการว่างงานควรให้สิทธิประโยชน์กับคนกลุ่มนี้หรือไม่ หลาย ๆ ประเทศ เช่น ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย เกาหลี สหรัฐอเมริกา ไม่ได้ประกันการว่างงานสำหรับกรณีสมัครใจออกงาน เพราะเห็นว่าระบบประกันควรจะมีไว้เพื่อช่วยเหลือผู้ที่ตกงานโดยไม่คาดคิดเท่านั้น โครงการของแต่ละประเทศก็มีรายละเอียดที่แตกต่างกัน ยกตัวอย่างเช่น ของประเทศญี่ปุ่น ลูกจ้างที่จะมีสิทธิได้รับเงินทดแทนกรณีว่างงานต้องส่งเงินสมทบไม่น้อยกว่า 12 เดือน (ของไทยใช้เกณฑ์ 6 เดือน) สำหรับของประเทศอินโดนีเซีย ลูกจ้างที่ส่งเงินสมทบมาอย่างน้อย 6 เดือน มีสิทธิรับเงินทดแทน 90 วัน และหากส่งเงินสมทบเกิน 10 ปี จะสามารถได้รับเงินทดแทนถึง 240 วัน

ขณะเดียวกันบางประเทศ เช่น ออสเตรเลีย ก็ยังมีการช่วยเหลือผู้ว่างงานโดยสมัครใจ แต่เป็นการช่วยเหลือผ่านระบบสวัสดิการสังคม ไม่ใช่ระบบประกันว่างงาน โดยเงินช่วยเหลือและระยะเวลาที่ให้ความช่วยเหลือก็มีสัดส่วนตามระดับความเดือดร้อนของผู้ว่างงาน ซึ่งรัฐประเมินจากรายได้ สินทรัพย์ สุขภาพ จำนวนบุตร นอกจากนี้ หากผู้ว่างงานที่ว่างงานเกิน 1 ปี ยอมย้ายถิ่นฐานไปยังภูมิภาคที่มีความต้องการแรงงานสูง ก็จะสามารถขอขยายเวลาในการรับสิทธิได้

กรณีประเทศไทย เรื่องการให้สิทธิประโยชน์กับผู้ที่ออกจากงานโดยสมัครใจเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันมาตั้งแต่ต้น (วรวรรณ และคณะ 2550) มีผู้ให้เหตุผลว่าลูกจ้างบางคนแม้จะรายงานว่าออก “โดยสมัครใจ” แต่จริง ๆ แล้วอาจจะถูกกลั่นแกล้งหรือบีบให้ออกจากงานโดยไม่สมัครใจ เพราะนายจ้างนั้นมีแรงจูงใจอยากให้ลูกจ้างออกจากงานโดยสมัครใจมากกว่า เพื่อที่นายจ้างจะได้ไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยตาม พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ดังนั้น ก่อนที่จะพิจารณาว่าการให้เงินช่วยเหลือแรงงานโครงการประกันการว่างงานควรให้สิทธิประโยชน์กับคนบางกลุ่มหรือไม่ ควรจะต้องศึกษาเพิ่มเติมว่าผู้ที่รายงานว่าออกโดยสมัครใจนั้น จริง ๆ ออกโดยสาเหตุใด หรือทำไมถึงมีผู้ออกจากงานโดยสมัครใจจำนวนมากทั้ง ๆ ที่การมีงานทำน่าจะได้เงินเดือนสูงกว่าเงินทดแทนกรณีว่างงาน อย่างไรก็ดี การลดทอนสิทธิประโยชน์ที่เคยให้เป็นสิ่งที่ทำได้ค่อนข้างยาก โครงการประกันว่างงานอาจจะพิจารณาปรับเปลี่ยนกฎเกณฑ์เพื่อให้เป็นธรรมกับผู้ประกันทั้งระบบมากขึ้น ตัวอย่างเช่น สำหรับกรณีสมัครใจออกจากงาน ผู้มีสิทธิจะต้องส่งเงินสมทบเป็นเวลาที่นานขึ้น หรือปรับอัตราสิทธิผลประโยชน์ทดแทนให้มีสัดส่วนต่างกันตามระยะเวลาที่ลูกจ้างจ่ายเงินสมทบ

ทั้งนี้ ภาพบางภาพจากข้อมูลชุดนี้อาจจะไม่ได้สะท้อนภาพของตลาดแรงงานไทยทั้งหมด ทั้งภาพเรื่องสัดส่วนลูกจ้างที่ไม่กลับเข้ามาในระบบและภาพการเคลื่อนย้ายของแรงงาน เพราะข้อมูลชุดนี้มีเฉพาะผู้ประกันตนที่มายื่นขอรับสิทธิประโยชน์กรณีว่างงาน เราพบว่าสัดส่วนของลูกจ้างที่ไม่กลับมาเข้าในระบบประกันสังคมค่อนข้างสูง แม้ว่าจะเป็นแรงงานที่อายุไม่มากนัก แต่สิ่งที่ตอบไม่ได้ก็คือ สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้กลับเข้างานนั้น เป็นผู้ว่างงานจริง ๆ เป็นผู้มีปัญหาสุขภาพ หรือย้ายไป informal sector ซึ่งแต่ละกรณีก็ชี้ถึงบทบาทที่รัฐอาจจะเข้ามาช่วยเหลือที่ต่างกัน สำหรับภาพของการเคลื่อนย้ายแรงงาน ภาพที่อาจจะขาดหายไป คือ ในส่วนของแรงงานที่ย้ายงานโดยไม่ได้มีช่วงว่างงานหรือไม่ได้มาขอรับสิทธิ

หากในอนาคตเราสามารถใช้ข้อมูลผู้ประกันตนทั้งหมด และนำข้อมูลอื่น ๆ ของ สปส. มาร่วมวิเคราะห์ด้วย เช่น ข้อมูลผู้ประกันตนภาคสมัครใจ ข้อมูลการขอรับสิทธิประโยชน์รักษาพยาบาล และเบี้ยชราภาพ น่าจะทำให้เข้าใจภาพการทำงานของแรงงานไทยตลอดช่วงชีวิตได้ดีขึ้น ท้ายนี้ ตัวแปรสำคัญที่ข้อมูล สปส. ยังไม่มี คือ เรื่องทักษะของแรงงานและค่าจ้างจริงสำหรับ ผู้ที่มีค่าจ้างเกิน 15,000 บาท หาก สปส. สามารถเก็บข้อมูลนี้ได้ก็จะเป็นประโยชน์ต่อการพยากรณ์ผลกระทบเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายได้ดีขึ้น เช่น การขยายฐานเงินสมทบ หรือการดูว่าทักษะใดเป็นที่ต้องการในตลาดแรงงาน

เอกสารอ้างอิง

Autor, David H., and David Dorn. (2013): “The Growth of Low-Skill Service Jobs and the Polarization of the US Labor Market.” American Economic Review, 103 (5): 1553–97.

Blanchard, O. J., & Diamond, P. (1994): “Ranking, unemployment duration, and wages.” The Review of Economic Studies, 61(3), 417–434.

Bover et al, 2002.

Koop, G., & Ruhm, C. J. (1993): “Econometric estimation of proportional hazard models.” Journal of Economics and Business, 45(5), 421–430.

Lalive, R. (2008): “How do extended benefits affect unemployment duration? A regression discontinuity approach.” Journal of econometrics, 142(2), 785–806.

Lathapipat, D., & Poggi, C. (2016): “From many to one: Minimum wage effects in Thailand”, PIER Discussion Paper No. 41.

Nickell, S. (1979): “Estimating the probability of leaving unemployment.” Econometrica: Journal of the Econometric Society, 1249–1266.

วรวรรณ ชาญด้วยวิทย์ และคณะ. (2550). บทที่ 6 การประเมินผลนโยบายการประกันการว่างงาน. ในสมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ (บรรณาธิการ), การประเมินนโยบายสาธารณะด้านสังคมด้วยวิธีการเศรษฐมิติ (พิมพ์ครั้งที่ 1), (น. 261–383). กรุงเทพฯ: แผนงานพัฒนานโยบายสาธารณะเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ.

สำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน (2557): รายงานประจำปี 2557

สำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน (2558): รายงานประจำปี 2558

สำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน (2559): รายงานประจำปี 2559

note

คณะผู้วิจัยขอขอบคุณสำนักงานประกันสังคมที่ได้อนุเคราะห์ข้อมูลสำหรับงานวิจัยชิ้นนี้


  1. ช่วงเริ่มต้นเป็นสถานประกอบการที่มีลูกจ้าง 20 คนขึ้นไป แต่ในปี 2545 เป็นต้นมาได้ปรับเป็นสถานประกอบการที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 1 คนขึ้นไป↩
  2. นอกจากผู้ประกันตนภาคบังคับ สปส. ยังมีผู้ประกันตนภาคสมัครใจในอีก 2 กรณี คือ ผู้ประกันตนมาตรา 39 เป็นลูกจ้างที่เคยเป็นผู้ประกันตนมาตรา 33 มาก่อน ปัจจุบันไม่ได้ทำงานกับนายจ้างที่อยู่ในระบบประกันสังคม อีกกรณี คือ ผู้ประกันตนมาตรา 40 เป็นผู้ที่ทำงานนอกระบบ แต่ผู้ประกันตนภาคสมัครใจจะไม่ได้รับความคุ้มครองในกรณีว่างงาน และคณะผู้วิจัยไม่ได้มีข้อมูลของผู้ประกันตนเหล่านี้↩
นฎา วะสี
นฎา วะสี
สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์
จิรายุ จันทรสาขา
จิรายุ จันทรสาขา
ธนาคารแห่งประเทศไทย
ปุญญวิชญ์ เศรษฐ์สมบูรณ์
ปุญญวิชญ์ เศรษฐ์สมบูรณ์
ธนาคารแห่งประเทศไทย
Topics: Labor and Demographic Economics
Tags: thai social security systemunemployment durationunemployment insurance
ข้อคิดเห็นที่ปรากฏในบทความนี้เป็นความเห็นของผู้เขียน ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับความเห็นของสถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์

สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์

273 ถนนสามเสน แขวงวัดสามพระยา เขตพระนคร กรุงเทพฯ 10200

โทรศัพท์: 0-2283-6066

Email: pier@bot.or.th

เงื่อนไขการให้บริการ | นโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2568 สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์

เอกสารเผยแพร่ทุกชิ้นสงวนสิทธิ์ภายใต้สัญญาอนุญาต Creative Commons Attribution-NonCommercial-ShareAlike 3.0 Unported license

Creative Commons Attribution NonCommercial ShareAlike

รับจดหมายข่าว PIER

Facebook
YouTube
Email