Research
Discussion Paper
PIERspectives
aBRIDGEd
PIER Blog
Events
Conferences
Research Workshops
Policy Forums
Seminars
Exchanges
Community
PIER Research Network
Visiting Fellows
Funding and Grants
About Us
Our Organization
Announcements
PIER Board
Staff
Work with Us
Contact Us
TH
EN
Research
Research
Discussion Paper
PIERspectives
aBRIDGEd
PIER Blog
Thailand and the Middle-Income Trap: An Analysis from the Global Value Chain Perspective
Discussion Paper ล่าสุด
Thailand and the Middle-Income Trap: An Analysis from the Global Value Chain Perspective
ค่าเงินบาทผันผวน: “ตัวปรับสมดุล” หรือ “ตัวป่วน” เศรษฐกิจไทย
aBRIDGEd ล่าสุด
ค่าเงินบาทผันผวน: “ตัวปรับสมดุล” หรือ “ตัวป่วน” เศรษฐกิจไทย
Events
Events
Conferences
Research Workshops
Policy Forums
Seminars
Exchanges
Confidence and College Applications: Evidence from a Randomized Intervention
งานสัมมนาล่าสุด
Confidence and College Applications: Evidence from a Randomized Intervention
The Impact of Climate Change on Thai Households
งานสัมมนาล่าสุด
The Impact of Climate Change on Thai Households
สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์
สถาบันวิจัยเศรษฐกิจ
ป๋วย อึ๊งภากรณ์
Puey Ungphakorn Institute for Economic Research
Community
Community
PIER Research Network
Visiting Fellows
Funding and Grants
PIER Research Network
PIER Research Network
Funding & Grants
Funding & Grants
About Us
About Us
Our Organization
Announcements
PIER Board
Staff
Work with Us
Contact Us
Staff
Staff
ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในการพัฒนาฐานข้อมูลเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สินเกษตรกรไทย
ประกาศล่าสุด
ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในการพัฒนาฐานข้อมูลเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สินเกษตรกรไทย
aBRIDGEdabridged
Making Research Accessible
QR code
Year
2023
2022
2021
2020
...
Topic
Development Economics
Macroeconomics
Financial Markets and Asset Pricing
Monetary Economics
...
/static/230b1cc487ef6011651e0d4f8b179907/41624/cover.jpg
30 กันยายน 2564
20211632960000000

นโยบายการเงินแบบบูรณาการ รังสรรค์พลังจากการผสานเครื่องมือ

ก้าวสู่การดำเนินนโยบายที่รอบด้าน เท่าทันและสอดรับกับบริบทใหม่
นโยบายการเงินแบบบูรณาการ รังสรรค์พลังจากการผสานเครื่องมือ
excerpt

ท่ามกลางโครงสร้างเศรษฐกิจที่ซับซ้อนและมีความเชื่อมโยงสูงระหว่างภาคส่วนต่าง ๆ ประกอบกับการแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่ส่งผลกระทบรุนแรงต่อเศรษฐกิจเป็นวงกว้าง เป็นแรงผลักดันให้ธนาคารกลางในหลายประเทศต้องเร่งประยุกต์ใช้เครื่องมือที่หลากหลายเพื่อรับมือกับวิกฤตที่เกิดขึ้น การพัฒนากรอบแนวคิด Integrated Policy Framework (IPF) มาวิเคราะห์การผสมผสานเครื่องมืออย่างเป็นระบบจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อให้สามารถใช้เครื่องมือแก้ปัญหาได้ตรงจุดและจัดลำดับการใช้เครื่องมือได้อย่างเหมาะสม โดยไม่คาดหวังผลลัพธ์จากเครื่องมือใดเครื่องมือหนึ่งมากเกินไป บทความนี้จะนำเสนอการผสมผสานเครื่องมือเชิงนโยบายที่เหมาะสมในบริบทของไทย เพื่อตอบโจทย์ความท้าทายที่เศรษฐกิจต้องเผชิญในระยะต่อไป

การผสมผสานเครื่องมือเชิงนโยบาย (IPF) เป็นแนวทางในการดำเนินนโยบายของธนาคารกลางที่มีการประยุกต์ใช้ในหลายประเทศ เพื่อตอบโจทย์ความท้าทายของผู้ดำเนินนโยบายที่มีมากขึ้นจากความเชื่อมโยงของภาคเศรษฐกิจและการเงินที่ซับซ้อน นอกจากนี้ กลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ (Emerging markets: EMs) รวมถึงไทย ยังต้องเผชิญกับความผันผวนของเงินทุนเคลื่อนย้ายและอัตราแลกเปลี่ยนมากขึ้นตั้งแต่ช่วงวิกฤตการเงินโลก ซึ่งธนาคารกลางคงไม่สามารถให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายเพียงเครื่องมือเดียวแบกรับภาระ (overburden) ในการแก้ปัญหาทุกอย่างได้ เราจึงเห็นธนาคารกลางในกลุ่มประเทศ EMs ผสมผสานเครื่องมืออื่น อาทิ การดูแลค่าเงิน (FX intervention) เพื่อดูแลความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน หรือนโยบายดูแลเสถียรภาพระบบการเงิน (Macroprudential policy: MaPP) เพื่อจัดการความเสี่ยงที่สะสมขึ้นในภาคการเงิน บทบาทของ IPF จึงทวีความสำคัญยิ่งขึ้น และช่วยให้ธนาคารกลางสามารถผสมผสานเครื่องมือที่หลากหลาย ซึ่งจะเพิ่มประสิทธิภาพของการดำเนินนโยบายเพื่อบรรลุเป้าหมายของธนาคารกลางในการดูแลเสถียรภาพของเศรษฐกิจและระบบการเงิน

วิกฤต COVID-19 ยิ่งเป็นแรงผลักดันให้ธนาคารกลางต้องเร่งประยุกต์ใช้เครื่องมือที่หลากหลายเพื่อรับมือกับวิกฤตที่เกิดขึ้น เพราะส่งผลกระทบรุนแรงเป็นวงกว้างและซ้ำเติมความเปราะบางทางเศรษฐกิจที่มีอยู่เดิมให้รุนแรงขึ้น กิจกรรมทางเศรษฐกิจต้องหยุดชะงักส่งผลกระทบต่อฐานะทางการเงินของทุกภาคส่วนเศรษฐกิจ ขณะที่ความไม่แน่นอนของการระบาดส่งผลให้ตลาดการเงินผันผวน เราจึงเห็นธนาคารกลางหลายแห่งขยายขอบเขตของเครื่องมือไปดำเนินมาตรการทางการเงินใหม่ ๆ ที่นอกเหนือจากมาตรการปกติ (unconventional measures) รวมถึงขยายความร่วมมือไปยังหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สามารถประคับประคองเศรษฐกิจให้ผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปได้1

การดำเนินนโยบายแบบผสมผสาน หรือ IPF นั้นมีลักษณะสำคัญหลายประการ ซึ่งช่วยให้ผู้ดำเนินนโยบายสามารถเลือกผสมผสานเครื่องมือในการแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุด สอดคล้องกับบริบทของประเทศ และสามารถจัดลำดับการใช้เครื่องมือได้อย่างเหมาะสม ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินนโยบายในภาพรวมและลดผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ โดยมีรายละเอียดที่ต้องพิจารณา ดังนี้

  1. การชั่งน้ำหนักผลดีผลเสียของการใช้เครื่องมือ (policy trade-offs) เพื่อประเมินทางเลือกของการดำเนินนโยบายที่ก่อให้เกิดผลประโยชน์สุทธิ (net benefit) สูงสุด และความจำเป็นในการใช้เครื่องมืออื่นมาช่วยลดต้นทุนที่เกิดขึ้น เช่น การคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ในระดับต่ำเป็นเวลานานเพื่อสนับสนุนเป้าหมายด้านเสถียรภาพของเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้ออาจกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรม search for yield ซึ่งจะกระทบเสถียรภาพการเงินในภาพรวม การใช้ MaPP เข้ามาดูแลความเสี่ยงในภาคการเงินจึงอาจมีความจำเป็นเพื่อลด trade-offs ดังกล่าว
  2. ผลข้างเคียงต่อประสิทธิผลของเครื่องมืออื่น (policy interactions) ในการใช้เครื่องมือเชิงนโยบายหลายเครื่องมือพร้อมกัน เนื่องจากบางเครื่องมืออาจช่วยเสริมประสิทธิภาพซึ่งกันและกัน หรืออาจลดทอนประสิทธิภาพของอีกเครื่องมือหนึ่งได้
  3. ข้อจำกัดของแต่ละเครื่องมือ (policy constraints) การพึ่งพาเครื่องมือใดเครื่องมือหนึ่งมากเกินไป (overburden) อาจทำให้เครื่องมือถึงขีดจำกัดและหมดประสิทธิภาพลง ซึ่งอาจส่งผลข้างเคียงอันไม่พึงประสงค์ต่อเศรษฐกิจได้ นอกจากนี้ บางเครื่องมืออาจมีข้อจำกัดเรื่องระยะเวลาที่ใช้ในการเริ่มดำเนินมาตรการ (implementation lags) จึงอาจไม่สามารถเข้ามาจัดการกับปัญหาได้ทันการณ์ รวมถึงไม่เหมาะสำหรับใช้ตอบโจทย์เป้าหมายระยะสั้น
  4. บริบทเฉพาะของประเทศ (country-specific issues) โดยเฉพาะโครงสร้างทางเศรษฐกิจและระบบการเงิน รวมถึงปัญหาที่แตกต่างกันของแต่ละประเทศ ซึ่งจะช่วยให้สามารถดำเนินนโยบายที่เหมาะสมและสอดคล้องตามบริบทของประเทศได้

จะเห็นได้ว่าการสร้างกรอบ IPF ไม่ได้มีแนวทางที่ตายตัวแต่เกิดจากการคำนึงถึงปัจจัยต่าง ๆ อย่างรอบด้านในการผสมผสานเครื่องมือ รวมไปถึงบริบททางเศรษฐกิจด้วย ผู้ดำเนินนโยบายจึงต้องอาศัยการพัฒนาองค์ความรู้และเครื่องมือในการวิเคราะห์ (analytical tools) ที่สามารถประเมินการใช้เครื่องมือที่หลากหลายร่วมกัน เพื่อให้สามารถประยุกต์ใช้ IPF ให้เกิดประสิทธิผลสูงสุดได้ คำถามสำคัญคือ เรามีเครื่องมือเชิงนโยบาย (policy toolkits) อะไรบ้าง และจะสามารถออกแบบ IPF ในบริบทของไทยได้อย่างไร

การออกแบบ IPF ในบริบทของประเทศไทย

ในห้วงสองทศวรรษที่ผ่านมา แม้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะใช้อัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นเครื่องมือหลักในการส่งสัญญาณการดำเนินนโยบายการเงินภายใต้กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อแบบยืดหยุ่น แต่ก็อาศัยเครื่องมือเชิงนโยบายอื่นที่หลากหลายมาอย่างต่อเนื่องเพื่อช่วยตอบโจทย์ความท้าทายต่อเศรษฐกิจไทย ดังนั้นเพื่อให้สามารถผสมผสานเครื่องมือได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผู้ดำเนินนโยบายจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับลักษณะเฉพาะของแต่ละเครื่องมือ ซึ่งรวมถึง trade-offs และข้อจำกัดที่ต้องเผชิญ ตลอดจนบริบทที่เหมาะสม รายละเอียดของเครื่องมือต่าง ๆ ใน toolkit สรุปได้ดังตารางที่ 1

ตารางที่ 1 สรุปลักษณะสำคัญของเครื่องมือเชิงนโยบายของไทย

สรุปลักษณะสำคัญของเครื่องมือเชิงนโยบายของไทย

  1. อัตราดอกเบี้ยนโยบาย เป็นเครื่องมือหลักของการดำเนินนโยบายการเงินที่อาศัยกลไกการส่งผ่านผลต่อภาวะการเงินเพื่อดูแลเสถียรภาพเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อในระยะปานกลาง ตลอนจนรักษาเสถียรภาพระบบการเงินในระยะยาว ทั้งนี้ การใช้อัตราดอกเบี้ยนโยบายต้องคำนึงถึง trade-offs ระหว่างการดูแลเป้าหมายด้านต่าง ๆ เช่น การขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อดูแลความเสี่ยงในภาคการเงินเฉพาะจุดจะส่งผลให้ภาวะการเงินโดยรวมตึงตัวด้วยลักษณะของเครื่องมือที่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง (blunt instrument) ซึ่งจะกระทบการขยายตัวทางเศรษฐกิจได้ ขณะเดียวกัน เครื่องมือนี้ยังมีข้อจำกัดที่สำคัญคือ หากอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ในระดับ Effective lower bound (ELB) การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเติมอาจไม่เกิดการส่งผ่าน หรืออาจส่งผลข้างเคียงอันไม่พึงประสงค์ได้ ทำให้มีความจำเป็นต้องใช้เครื่องมืออื่นเข้ามาเสริม

  2. นโยบายดูแลเสถียรภาพระบบการเงิน (Macroprudential policy: MaPP) เป็นเครื่องมือเพื่อดูแลความเสี่ยงในภาคการเงินเฉพาะจุด (pockets of risks) เพื่อป้องกันการลุกลามเป็นความเสี่ยงเชิงระบบจนกระทบเศรษฐกิจเป็นวงกว้าง รวมถึงเพิ่มความทนทาน (resiliency) ให้กับภาคการเงินในการรองรับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ การใช้ MaPP จึงมีข้อดีในการเป็นทางเลือกให้ผู้ดำเนินนโยบายสามารถจัดการความเสี่ยงได้อย่างตรงจุดและมีประสิทธิภาพ โดยมีความจำเป็นมากขึ้นหากอัตราดอกเบี้ยนโยบายต้องอยู่ในระดับต่ำเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจเป็นหลัก เช่น การปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยผ่านการปรับอัตราส่วน loan-to-value (LTV) ในปี 2019 เพื่อป้องกันการเก็งกำไรในตลาดอสังหาริมทรัพย์ อย่างไรก็ดี การดำเนิน MaPP มีความท้าทายหลายประการ อาทิ ผลข้างเคียงต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจจากการจำกัดกิจกรรมในภาคการเงิน นอกจากนี้ ยังเผชิญข้อจำกัดด้าน regulatory gap โดยมีผลบังคับใช้กับสถาบันการเงินที่อยู่ภายใต้การกำกับเท่านั้น ทำให้ความเสี่ยงอาจรั่วไหลไปยังภาคส่วนที่อยู่นอกการกำกับ (policy leakage) ความเสี่ยงต่อชื่อเสียงของธนาคารกลาง (reputation risk) หากมาตรการไม่ได้ประสิทธิผลตามที่คาดหวังและจำเป็นต้องผ่อนคลายมาตรการในอนาคต รวมถึงการเริ่มดำเนินมาตรการที่มักใช้ระยะเวลานาน (implementation lags)2 เนื่องจากมาตรการอาจส่งผลกระทบมากต่อบางภาคส่วนเศรษฐกิจ ข้อจำกัดเหล่านี้ทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายอาจต้องมีบทบาทในการดูแลการสะสมความเสี่ยงในระบบการเงินในบางช่วงเวลา

  1. นโยบายอัตราแลกเปลี่ยน (Exchange rate policy) หรือการดูแลค่าเงิน (FX intervention) เป็นเครื่องมือช่วยดูแลไม่ให้อัตราแลกเปลี่ยนผันผวนเกินไปจนส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ อย่างไรก็ดี การดูแลค่าเงินมี trade-offs เนื่องจากอาจส่งเสริมให้ภาคธุรกิจมีพฤติกรรมเสี่ยงขึ้น (moral hazard) ได้ ทำให้ธุรกิจไม่ปรับตัวและละเลยการบริหารความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน นอกจากนี้ยังเพิ่มต้นทุนต่อธนาคารกลาง รวมทั้งมีข้อจำกัดเนื่องจากเพิ่มความเสี่ยงที่จะถูกระบุเป็นประเทศที่บิดเบือนค่าเงินของสหรัฐอเมริกา (currency manipulator) โดยเฉพาะในกรณีไทยที่มีแรงกดดันค่าเงินบาทด้านแข็งค่าจากการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดอย่างต่อเนื่อง และปัญหาเชิงโครงสร้างในตลาดอัตราแลกเปลี่ยน ทำให้มีความจำเป็นต้องดูแลค่าเงินเพื่อลดความผันผวนของค่าเงินในระยะสั้น

  2. มาตรการเงินทุนเคลื่อนย้าย (capital flow measures: CFMs) เป็นหนึ่งใน toolkit ที่ผู้ดำเนินนโยบายสามารถเลือกใช้เพื่อจัดการความผันผวนของเงินทุนเคลื่อนย้ายและอัตราแลกเปลี่ยนได้ ทั้งนี้ แม้เป็นมาตรการที่เห็นประสิทธิผลในระยะสั้น แต่อาจสร้างความเสี่ยงต่อชื่อเสียงของประเทศ (reputation risk) ได้จากผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ โดยในกรณีไทยในช่วงที่ผ่านมาได้มีการดำเนินมาตรการเพื่อสร้างสมดุลของเงินทุนเคลื่อนย้าย เช่น การส่งเสริมให้นักลงทุนไทยทั้งรายย่อยและนักลงทุนสถาบันออกไปลงทุนหลักทรัพย์ในต่างประเทศมากขึ้น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนการผลักดันการสร้างระบบนิเวศใหม่ของตลาดอัตราแลกเปลี่ยน (FX ecosystem) ที่จะช่วยแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างในตลาดอัตราแลกเปลี่ยนเพื่อลดแรงกดดันต่อค่าเงินบาทอย่างตรงจุดและยั่งยืน

  3. มาตรการทางการเงิน เพื่อดูแลสภาพคล่องและบรรเทาภาระหนี้ให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของ COVID-19 ซึ่งมาตรการนี้มีบทบาทสำคัญในช่วงวิกฤต เนื่องจากตอบโจทย์ปัญหาในบริบทของไทยที่มีปัญหาความเสี่ยงด้านเครดิต รวมทั้งมีความยืดหยุ่นในการออกแบบมาตรการให้สามารถช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบได้ตรงจุด เช่น มาตรการสินเชื่อฟื้นฟู มาตรการพักทรัพย์ พักหนี้ ตลอดจนมาตรการพักชำระหนี้และปรับโครงสร้างหนี้ อย่างไรก็ดี การดำเนินมาตรการต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อ stakeholders เช่น สถานะของสถาบันการเงิน และความจำเป็นที่จะต้องอาศัยความร่วมมือจากหน่วยงานภาครัฐ อาทิ ประสานกับบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ในการค้ำประกันสินเชื่อให้กับผู้กู้อย่างเหมาะสมเพื่อเพิ่มประสิทธิผลของมาตรการสินเชื่อฟื้นฟู และประสานกับกรมสรรพากรเพื่อยกเว้นภาษีตีโอนทรัพย์ชำระหนี้เพื่อสนับสนุนมาตรการพักทรัพย์ พักหนี้ ซึ่งความร่วมมือจากภาครัฐมีส่วนสำคัญที่ช่วยเสริมให้มาตรการเข้าถึงกลุ่มเปราะบางและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น3

ทั้งนี้ บริบทของเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันสร้างความท้าทายแก่ผู้ดำเนินนโยบายมากขึ้น โดยเฉพาะจากปัญหาเชิงโครงสร้างที่ถูกซ้ำเติมจากการระบาดของ COVID-19 การออกแบบ IPF ให้เหมาะสมกับปัญหาและโครงสร้างของเศรษฐกิจจึงมีความจำเป็นมากขึ้น บริบทเศรษฐกิจที่สำคัญ ได้แก่

  1. การฟื้นตัวแบบ K-shaped ที่ทำให้การใช้อัตราดอกเบี้ยนโยบายเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ เนื่องจากครัวเรือนและธุรกิจในกลุ่มเปราะบาง (K ขาล่าง) มีความเสี่ยงด้านเครดิตสูง จึงต้องอาศัยมาตรการทางการเงินที่ตรงจุดที่ดำเนินการผ่านสถาบันการเงินซึ่งเป็นแหล่งระดมทุนหลักของภาคเอกชนไทย
  2. อัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำจากปัจจัยเชิงโครงสร้าง อาทิ พัฒนาการของเทคโนโลยีการผลิต ซึ่งลดทอนความสัมพันธ์ระหว่างอัตราเงินเฟ้อและภาคเศรษฐกิจ (Flattening Phillips curve) ทำให้การส่งผ่านอัตราดอกเบี้ยนโยบายไปยังอัตราเงินเฟ้อน้อยกว่าในอดีต
  3. ความผันผวนของเงินทุนเคลื่อนย้ายและอัตราแลกเปลี่ยนที่อาจกระทบการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และ
  4. หนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงจากการบริโภคที่ขยายตัวผ่านการก่อหนี้มาเป็นเวลานาน (debt-driven growth) และถูกซ้ำเติมด้วยวิกฤต COVID-19

อย่างไรก็ดี การใช้ MaPP และอัตราดอกเบี้ยนโยบายมาดูแลปัญหาหนี้ครัวเรือนต้องเผชิญ trade-offs ที่จะกระทบการขยายตัวทางเศรษฐกิจซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญในภาวะวิกฤตในปัจจุบัน นอกจากนี้ การดำเนินนโยบายในอนาคตยังต้องเผชิญความท้าทายอีกมาก อาทิ จากอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงที่ระดับดุลยภาพ (r-star) ที่มีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำตามศักยภาพในการผลิตของประเทศที่ลดต่ำลง และการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ รวมถึงการเข้ามาของเทคโนโลยีทางการเงินใหม่ ๆ ที่จะเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ของระบบการเงิน (new financial landscape) ซึ่งอาจเพิ่มข้อจำกัดในการใช้อัตราดอกเบี้ยนโยบายในระยะต่อไป และทำให้การใช้เครื่องมือเชิงนโยบายแบบผสมผสานยิ่งมีความสำคัญมากขึ้น

การยกระดับแบบจำลองเศรษฐกิจเพื่อสนับสนุนการดำเนินนโยบายภายใต้ IPF

ความเชื่อมโยงระหว่างเครื่องมือเชิงนโยบายต่าง ๆ ทำให้กรอบและเครื่องมือในการวิเคราะห์ ที่สามารถประเมินผลลัพธ์ต่อเศรษฐกิจจากการผสมผสานนโยบายร่วมกันได้มีความจำเป็นอย่างยิ่ง อย่างไรก็ดี แบบจำลองเศรษฐกิจที่ธนาคารกลางส่วนใหญ่ใช้วิเคราะห์นโยบายโดยทั่วไปมีลักษณะสำคัญ คือ

  1. มีอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นเครื่องมือเดียวในการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจ จึงไม่สอดคล้องกับแนวทางการดำเนินนโยบายด้วยเครื่องมือที่หลากหลายของธนาคารกลาง และ
  2. โครงสร้างแบบจำลองขาดความเชื่อมโยงไปสู่บางภาคส่วน เช่น ภาคการเงิน ทำให้ไม่สามารถต่อยอดไปสู่การวิเคราะห์นโยบายอื่น ๆ ได้ และกลายเป็นข้อจำกัดหนึ่งของการประสานนโยบายในทางปฏิบัติ

บทความ Amatyakul et al. (2021) จึงได้ริเริ่มพัฒนาแบบจำลองเศรษฐกิจมหภาคของไทยที่เชื่อมโยงภาคเศรษฐกิจจริง ภาคการเงิน และภาคการคลังเข้าด้วยกัน ดังแสดงในรูปที่ 1 ทำให้มีช่องทางสำหรับจำลองการผสมผสานเครื่องมือเชิงนโยบายที่หลากหลาย โดยได้พัฒนาภาคการเงินให้มีองค์ประกอบสำคัญ คือ

  1. การขยายตัวของสินเชื่อ
  2. ปริมาณหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้หรือหนี้เสีย (non-performing loans: NPLs) ซึ่ง 2 ปัจจัยนี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
  3. อัตราดอกเบี้ยสำหรับการกู้ยืมของครัวเรือนและธุรกิจ ซึ่งขึ้นกับทั้งนโยบายการเงินและความเสี่ยงด้านเครดิตเป็นสำคัญ และ
  4. ราคาอสังหาริมทรัพย์ที่มักเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อการขยายตัวของสินเชื่อ
รูปที่ 1: โครงสร้างแบบจำลอง

โครงสร้างแบบจำลอง

ที่มา: Amatyakul et al. (2021)

ภาคการเงินที่ปรากฏขึ้นในแบบจำลองเอื้อประโยชน์อย่างมากต่อการเชื่อมโยงไปสู่นโยบายต่าง ๆ ของธนาคารกลาง ซึ่งดำเนินการผ่านสถาบันการเงินหรือตลาดการเงินเป็นหลัก นอกจากนี้ องค์ประกอบข้างต้นมีบทบาทสำคัญในการสะท้อนปฏิสัมพันธ์ (feedback loop) ระหว่างภาคเศรษฐกิจจริงและภาคการเงิน ซึ่งมักทวีความรุนแรงขึ้นในภาวะวิกฤต อีกทั้งยังมีประโยชน์ต่อการติดตามความเสี่ยงต่อเสถียรภาพระบบการเงินและการประสานนโยบายเพื่อลดความเสี่ยงดังกล่าว ขณะเดียวกัน แบบจำลองยังประกอบด้วยภาคการคลัง ทำให้สามารถวิเคราะห์การประสานนโยบายการเงินการคลังท่ามกลางวิกฤต COVID-19 ที่ผ่านมาได้4

นอกจากนี้ บทความข้างต้นได้จำลองความสัมพันธ์ของตัวแปรในลักษณะที่ไม่เป็นเชิงเส้น (nonlinearity) ในหลากหลายแง่มุมที่สะท้อนคุณลักษณะสำคัญของระบบเศรษฐกิจการเงินไทยที่ควรคำนึงถึงโดยเฉพาะในภาวะวิกฤต ตัวอย่างเช่น

  1. ข้อจำกัดด้าน ELB ที่อาจลดทอนประสิทธิผลของการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งเพิ่มความจำเป็นในการผสมผสานนโยบายในยามวิกฤต
  2. กรณีที่ครัวเรือนและธุรกิจก่อหนี้เกินตัว ซึ่งอาจส่งผลลบต่อการบริโภคและการลงทุนจากภาระการจ่ายคืนหนี้ที่สูงขึ้น
  3. สถาบันการเงินที่อาจเริ่มชะลอการปล่อยกู้ (หุบร่ม) หาก NPLs เพิ่มสูงขึ้นมาก
  4. NPLs มีโอกาสที่จะเร่งขึ้นมากหากเศรษฐกิจหดตัวรุนแรง
  5. เงินบาทที่แข็งค่าขึ้นเร็วจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และ
  6. ภาวะที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำเป็นเวลานานที่อาจกระตุ้นให้สถาบันการเงินปล่อยสินเชื่อแก่ผู้กู้ที่เสี่ยงมากขึ้น และส่งผลให้ NPLs เร่งขึ้นได้ในอนาคต

ทั้งนี้ กลไก nonlinearity มักเกิดขึ้นในภาวะที่ไม่ปกติและมีความไม่แน่นอนสูง และหากเกิดขึ้นพร้อม ๆ กัน ความเสี่ยงด้านลบต่อเศรษฐกิจจะทวีคูณและรุนแรงยิ่งขึ้น จนเป็นจุดเปราะบางของเศรษฐกิจที่ควรต้องหลีกเลี่ยงให้ได้

ด้วยองค์ประกอบข้างต้น แบบจำลองนี้จึงเอื้อต่อการประเมินความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะที่เป็นผลจากการสะสมความเปราะบางและความเสี่ยงในภาคการเงิน ซึ่งจะช่วยเพิ่มมิติของการผสมผสานนโยบายเพื่อลดความเสี่ยงดังกล่าวทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

การประยุกต์ใช้แบบจำลองใหม่เพื่อวิเคราะห์การผสมผสานนโยบาย

แบบจำลองของ Amatyakul et al. (2021) ได้ช่วยขยายขอบเขตการวิเคราะห์เศรษฐกิจให้สอดคล้องกับการดำเนินนโยบายแบบผสมผสานในโลกความเป็นจริง ด้วยการจำลองโครงสร้างเศรษฐกิจที่ซับซ้อนและมีความเชื่อมโยงระหว่างภาคส่วนต่าง ๆ อย่างเป็นระบบ นอกจากนี้ ยังรองรับการประเมินประสิทธิผลของเครื่องมือเชิงนโยบายต่าง ๆ ได้แก่ FX intervention5 MaPP รวมไปถึงมาตรการทางการเงินบางประเภทที่ได้มีการดำเนินการเพื่อรับมือกับ COVID-19 ในช่วงที่ผ่านมา และยังสามารถประเมินผลข้างเคียงจากการใช้เครื่องมือต่าง ๆ ได้อีกด้วย

บทความนี้ได้ประยุกต์ใช้แบบจำลองดังกล่าวในการวิเคราะห์การดำเนินนโยบายแบบผสมผสานผ่านสถานการณ์จำลอง (scenarios) โดยมีฉากหลังเป็นการฟื้นตัวจากสถานการณ์ COVID-19 ในระยะข้างหน้าท่ามกลางความท้าทายต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มฟื้นตัวช้าและเปราะบางสูง ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่เป็นปัจจัยกดดันการฟื้นตัวในระยะถัดไป รวมไปถึงความผันผวนในตลาดการเงิน โดยแบบจำลองจะแสดงผลกระทบที่เกิดกับตัวแปรทางเศรษฐกิจต่าง ๆ ในรูปแบบของการกระจายตัวของความน่าจะเป็น (probability distribution) ซึ่งจะทำให้เห็นทั้งแนวโน้มของผลลัพธ์ที่มีโอกาสเกิดขึ้นมากที่สุด (central projection) และความเสี่ยงในด้านบวกและลบ ทั้งนี้ รายละเอียดและการประเมินประสิทธิผลของนโยบายต่าง ๆ สรุปได้ดังตารางที่ 2

ตารางที่ 2: สรุปมาตรการที่ใช้ใน scenario ต่าง ๆ

สรุปมาตรการที่ใช้ใน scenario ต่าง ๆ

หมายเหตุ: มาตรการผ่อนคลายกฎเกณฑ์ของสถาบันการเงิน เช่น การปรับปรุงหลักเกณฑ์การจัดชั้นและการกันสำรองสำหรับลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 และเข้ารับการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ซึ่งส่งผลให้ NPLs ไม่เร่งขึ้นในระยะสั้น

สถานการณ์ที่ 1: การผสานนโยบายเพื่อรับมือกับเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้าและมีความเสี่ยงสูง

จากรูปที่ 2 ในกรณีฐาน (สีฟ้า) ซึ่งใช้อัตราดอกเบี้ยนโยบายเพียงเครื่องมือเดียวในการรับมือกับวิกฤต ความเปราะบางที่เกิดขึ้นในภาคเศรษฐกิจจริงมีแนวโน้มที่จะลุกลามไปยังภาคการเงิน ดังจะเห็นได้จากสินเชื่อ (credit growth) ที่ชะลอตัวมากและ NPLs ที่พุ่งสูงขึ้น ซึ่งในท้ายที่สุดจะวกกลับมาซ้ำเติมภาคเศรษฐกิจจริงอีกครั้งจากผลของ feedback loop นอกจากนี้ มีความเป็นไปได้ที่ผลกระทบจะรุนแรงจนเกิดกลไก nonlinearity เช่น ระดับของหนี้เสียสร้างปัญหาต่อสถานะของสถาบันการเงินจนนำไปสู่การ “หุบร่ม” ซึ่งจะยิ่งซ้ำเติมเศรษฐกิจมากขึ้น เศรษฐกิจในกรณีฐานจึงมีความเสี่ยงด้านลบ (tail risk) ในระยะข้างหน้าสูงมาก การใช้อัตราดอกเบี้ยนโยบายเพียงอย่างเดียวอาจต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวได้

รูปที่ 2: ผลต่อเศรษฐกิจจากการผสานมาตรการทางการเงิน

ผลต่อเศรษฐกิจจากการผสานมาตรการทางการเงิน

หมายเหตุ: (1) แผนภาพรูปพัด (Fan Chart) แสดงประมาณการเศรษฐกิจในกรณีที่ไม่มีมาตรการทางการเงิน เส้นสีฟ้าเข้มแสดงค่ามัธยฐาน ขณะที่แถบสีฟ้าเข้มและอ่อนแสดงถึงความน่าจะเป็น ณ ระดับ 40% และ 90% ตามลำดับ ส่วนเส้นประสีเหลืองแสดงถึงระดับความน่าจะเป็น ณ ระดับ 90% ในกรณีมีมาตรการ (2) ตัวแปรประเภท Gap วัดจากส่วนต่างระหว่างระดับ (level) และแนวโน้ม (trend) ของตัวแปรนั้น ๆที่มา: Amatyakul et al. (2021)

ดังนั้น เครื่องมือแรกที่จะเข้ามาผสมผสานเพื่อบรรเทาความรุนแรงของ feedback loop และป้องกันเศรษฐกิจไม่ให้เข้าสู่จุดเปราะบางที่จะทำให้เกิด nonlinearity คือ มาตรการทางการเงิน ได้แก่ มาตรการสินเชื่อฟื้นฟูและการผ่อนคลายกฎเกณฑ์ของสถาบันการเงิน (รายละเอียดในตารางที่ 2) ซึ่งเครื่องมือจะเข้าไปแก้ปัญหาโดยตรงทั้งการเพิ่มสภาพคล่องและบรรเทาปัญหาหนี้เสีย ผลจากแบบจำลองพบว่า กรณีที่มีการใช้เครื่องมือร่วมดังกล่าว (เส้นประสีเหลือง) จะทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวได้เร็วขึ้น ลดการพึ่งพาอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และลดความเสี่ยงด้านลบได้อย่างมาก

สถานการณ์ที่ 2: การจัดการกับปัญหาหนี้ภายหลังการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ

หนี้ครัวเรือนไทยอยู่ในระดับสูงมาตั้งแต่ก่อนวิกฤต COVID-19 และถูกซ้ำเติมอย่างมากในช่วงวิกฤตที่นำไปสู่การถูกเลิกจ้างและลดชั่วโมงการทำงาน ทำให้ครัวเรือนยิ่งมีรายได้ไปชำระคืนหนี้ลดลง เป็นหนึ่งในความเสี่ยงสำคัญต่อเสถียรภาพระบบการเงิน หากหนี้ครัวเรือนเร่งสูงขึ้นไปถึงจุดที่เกิดกลไก nonlinearity จนครัวเรือนมีปัญหาในการชำระหนี้และกระทบการบริโภค อาจเป็นปัจจัยกดดันกิจกรรมทางเศรษฐกิจให้ลดลงต่อเนื่องในระยะยาวได้ ซึ่งสะท้อนจากผลจากแบบจำลองในรูปที่ 3 ในกรณีฐาน (อัตราดอกเบี้ยนโยบาย+มาตรการทางการเงิน) ที่พบว่า ความเสี่ยงด้านลบต่อ output gap ในปี 2030 ค่อนข้างสูง

รูปที่ 3: ผลต่อเศรษฐกิจจากผสานมาตรการ MaPP

ผลต่อเศรษฐกิจจากผสานมาตรการ MaPP

ที่มา: Amatyakul et al. (2021)

ในการจัดการกับปัญหานี้ ธนาคารกลางต้องพยายามลดระดับหนี้ครัวเรือนลงมาอยู่ในระดับที่เหมาะสม โดยอาจปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นบ้างเพื่อชะลอการก่อหนี้ (lean against the wind) หรือเลือกใช้เครื่องมือ MaPP มาผสมผสาน โดยธนาคารกลางจะเผชิญกับ trade-offs ระหว่าง (1) ผลเสียต่อการขยายตัวของสินเชื่อและเศรษฐกิจในระยะสั้น กับ (2) เสถียรภาพของเศรษฐกิจที่ดีขึ้นในระยะยาวจากภาระหนี้ที่ลดลง ซึ่งเป็นความท้าทายอย่างมากต่อผู้ดำเนินนโยบายเนื่องจากเศรษฐกิจยังมีความเปราะบางสูงในระยะสั้น อย่างไรก็ดี หากธนาคารกลางผสมผสาน MaPP ในจังหวะที่เหมาะสมเมื่อเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวเข้าใกล้ศักยภาพมากขึ้น จะทำให้เกิดผลลัพธ์ต่อเศรษฐกิจที่ดีขึ้นในระยะยาวโดยที่มีต้นทุนในระยะสั้นไม่มากนัก ทั้งนี้ หากประเมินว่าผลต่อเศรษฐกิจในระยะสั้นนั้นมากเกินไป ธนาคารกลางอาจดำเนินการร่วมกับการคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระดับต่ำนานขึ้นเพื่อลดทอนผลกระทบจากการขยายตัวของสินเชื่อที่ลดลง ผลจากแบบจำลองตามตารางที่ 2 พบว่า การใช้เครื่องมือ MaPP เพิ่มเติม แม้จะมี trade-offs ต่อแนวโน้มการฟื้นตัวในระยะสั้นบ้าง (แนวโน้ม output gap ในรูปที่ 3) แต่จะสามารถลดความเสี่ยงที่เศรษฐกิจจะหดตัวรุนแรงหรือ tail risk ได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยเมื่อเทียบกรณีที่มีมาตรการ MaPP (distribution สีเหลือง) กับกรณีฐาน (distribution สีฟ้า) ความน่าจะเป็นที่ output gap จะต่ำกว่า -5% ในปี 2030 ลดลงถึง 1 ใน 3 สะท้อนเสถียรภาพของเศรษฐกิจที่ดีขึ้นในระยะยาว ในทางกลับกัน หากธนาคารกลางเริ่มดำเนินการมาตรการ MaPP เพื่อลดหนี้ตั้งแต่ช่วงที่เศรษฐกิจยังซบเซา อาจนำไปสู่ความเสียหายต่อเศรษฐกิจได้มาก6

สถานการณ์ที่ 3: การบูรณาการนโยบายในด้านอื่นเพื่อสร้างแรงสนับสนุนที่เพียงพอต่อการดูแลเศรษฐกิจและรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด

จากผลการศึกษาข้างต้นแสดงให้เห็นว่าการผสมผสานเครื่องมือต่าง ๆ มีบทบาทสำคัญต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ แต่ด้วยวิกฤตที่รุนแรงและยืดเยื้อ การผสานนโยบายอาจจำเป็นต้องขยายขอบเขตไปยังนโยบายด้านอื่น ๆ เช่น นโยบายการคลัง นโยบายอัตราแลกเปลี่ยน เป็นต้น

รูปที่ 4: ผลต่อเศรษฐกิจจากการผสานมาตรการทางการคลัง

ผลต่อเศรษฐกิจจากการผสานมาตรการทางการคลัง

ที่มา: Amatyakul et al. (2021)

กรณีศึกษาแรกดังแสดงในรูปที่ 4 นำเสนอการใช้มาตรการด้านการคลังเพิ่มเติมตามข้อสมมติในตารางที่ 2 พบว่า เมื่อเปรียบเทียบกับกรณีฐาน (อัตราดอกเบี้ยนโยบาย + มาตรการทางการเงิน + MaPP) นโยบายการคลังมีบทบาทในการกระตุ้นให้เศรษฐกิจกลับสู่ระดับศักยภาพ อีกทั้งช่วยลดความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจในระยะสั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ธนาคารกลางสามารถขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (normalize) ได้เร็วขึ้นมาก ทั้งนี้ แม้ว่าระดับหนี้สาธารณะจะปรับสูงขึ้น ภาครัฐสามารถทยอยปรับลดหนี้ในภายหลังในช่วงที่เศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัวได้ดีแล้ว โดยในระยะสั้น อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่อยู่ในระดับต่ำมีส่วนช่วยให้ต้นทุนการกู้ยืมและภาระหนี้ของภาครัฐไม่เร่งขึ้นเร็วนัก ลดโอกาสที่ภาครัฐจะต้องรัดเข็มขัดมากในระยะยาว ดังนั้น นโยบายการเงินการคลังที่สอดประสานไปในทิศทางเดียวกันจึงช่วยบรรเทาข้อจำกัดของนโยบายทั้งสองลงได้ และช่วยให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายสามารถ normalize เพื่อดูแลความเสี่ยงของเศรษฐกิจในระยะข้างหน้าได้เร็วขึ้น

รูปที่ 5: ผลต่อเศรษฐกิจในกรณีที่เงินบาทแข็งค่าเร็วและกรณีที่ใช้ FX Intervention มากขึ้น

ผลต่อเศรษฐกิจในกรณีที่เงินบาทแข็งค่าเร็วและกรณีที่ใช้ FX Intervention มากขึ้น

ที่มา: Amatyakul et al. (2021)

อีกกรณีที่น่าสนใจคือ เศรษฐกิจมีโอกาสเผชิญกับเหตุการณ์ฉับพลัน (shock) ที่ไม่คาดคิดได้เสมอ การเตรียมเครื่องมือใน toolkit ไว้ให้พร้อมและครอบคลุมกับสถานการณ์จึงเป็นเรื่องสำคัญ ดังตัวอย่างในรูปที่ 5 ในช่วงระหว่างการฟื้นตัว เศรษฐกิจอาจได้รับแรงกระแทกจากเงินบาทที่แข็งค่าเร็วเกินไป (กรณีสีฟ้า) จนกระทั่งได้รับผลกระทบรุนแรงจากกลไก nonlinearity ซึ่งจะซ้ำเติมภาคการส่งออกในยามที่เศรษฐกิจอ่อนแอเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว อีกทั้งปัญหาข้างต้นจะเพิ่มภาระให้กับเครื่องมือเชิงนโยบายอื่น ๆ มากขึ้น เช่น อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ต้องเลื่อนการ normalize ออกไปอีก อย่างไรก็ดี หากธนาคารกลางมีการใช้เครื่องมือ FX intervention เพื่อชะลอการแข็งค่าเร็วของเงินบาท (กรณีสีเหลือง) ก็จะมีส่วนช่วยประคองเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง รวมถึงแบ่งเบาภาระจากเครื่องมือเชิงนโยบายอื่น ๆ เพื่อไม่ให้เผชิญขีดจำกัด

โดยสรุป เราสามารถเรียนรู้จากบทเรียนในการจำลองการดำเนินนโยบายข้างต้นว่า การผสมผสานเครื่องมือจะต้องมุ่งไปที่ประสิทธิภาพในการบรรลุเป้าหมายของธนาคารกลาง โดยพยายามให้เกิดผลข้างเคียงต่อเศรษฐกิจต่ำ และไม่สร้างภาระต่อเครื่องมือใดเครื่องมือหนึ่งมากเกินไป ผลจากการประเมิน scenario ต่าง ๆ ชี้ให้เห็นถึงหลักการสำคัญของการผสมผสานนโยบายใน 3 ด้าน ได้แก่

  1. ใช้เครื่องมือที่ตรงจุดเพื่อยับยั้งบาดแผลและนำพาเศรษฐกิจออกจากจุดเปราะบางให้เร็วที่สุด
  2. ใช้เครื่องมือในจังหวะเวลาที่เหมาะสมโดยพิจารณาผลได้ผลเสียทั้งในปัจจุบันและอนาคต และ
  3. ใช้เครื่องมืออย่างรู้ขีดจำกัดและไม่ควรให้แบกรับภาระมากเกินไป

ก้าวสู่การดำเนินนโยบายการเงินแบบบูรณาการภายใต้กรอบ IPF

การผสมผสานเครื่องมือเชิงนโยบายเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ในการดูแลเศรษฐกิจ ธนาคารแห่งประเทศไทยในฐานะธนาคารกลางของประเทศเป็นอีกหนึ่งองค์กรที่ได้สะสมองค์ความรู้และมีการพัฒนาเครื่องมือเชิงนโยบายต่าง ๆ มาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงศึกษาข้อจำกัดและผลข้างเคียงของแต่ละเครื่องมืออย่างรอบด้าน การสร้างกรอบ IPF และเครื่องมือการวิเคราะห์อย่างเป็นระบบจะช่วยเสริมให้การดำเนินโยบายต่าง ๆ เอื้อต่อกันและเป็นไปในทิศทางเดียวกันมากขึ้น ซึ่งจะเป็นการรังสรรค์พลังที่ดีที่สุดภายใต้ข้อจำกัดที่ผู้ดำเนินนโยบายกำลังเผชิญอยู่ โดยสามารถสรุปเป็นหลักการ ”ตรงจุด ถูกเวลา บูรณาการ” เพื่อใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติได้

นอกจากการพัฒนาเครื่องมือในการวิเคราะห์นโยบายแล้ว ความสามารถในการนำกรอบมาปฏิบัติใช้ได้จริงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่จะทำให้สามารถใช้ประโยชน์จาก IPF ได้อย่างเต็มที่ โดยในทางปฏิบัติ การดำเนินนโยบายต่าง ๆ มักอยู่ภายใต้อำนาจและบทบาทหน้าที่ขององค์กรหรือคณะกรรมการที่หลากหลาย การประสานนโยบายให้ดำเนินไปในทิศทางเดียวกันจึงทำได้ยากหรืออาจต้องใช้เวลานาน รวมทั้งอาจสร้างความสับสนให้กับสาธารณชนได้ ดังนั้น การออกแบบโครงสร้างสถาบัน (institutional arrangement) เพื่อเชื่อมโยงการดำเนินนโยบายของแต่ละภาคส่วนเข้าไว้ด้วยกัน ควบคู่กับการสื่อสารเพื่อสร้างความเข้าใจระหว่างผู้ดำเนินนโยบายและกับสาธารณชนจะมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อให้ดำเนินนโยบายได้อย่างราบรื่นและทันการณ์ โดยตระหนักถึงข้อจำกัดและ trade-offs ของแต่ละเครื่องมืออย่างรอบด้าน ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว การผสมผสานนโยบายที่ไม่เป็นอุปสรรคต่อกัน จะช่วยรังสรรค์พลังและก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดอย่างยั่งยืนต่อเศรษฐกิจไทย

เอกสารอ้างอิง

Amatyakul, P., T. Apaitan, S. Hiruntiaranakul and N. Nookhwun (2021), “Revisiting Thailand's Monetary Policy Model for an Integrated Policy Analysis,” PIER Discussion Paper, forthcoming.

Bank for International Settlements (2020): “Monetary Policy Frameworks in EMEs: Inflation Targeting, the Exchange Rate and Financial Stability,” BIS Annual Economic Report 2019, Chapter II.

C. Borio and P. Disyatat, “Integrated Policy Frameworks: the Constraints of Policy Horizons and Adjustment Frequencies,” SUERF Policy Briefs, 2021.

International Monetary Fund (2020): “Toward an integrated policy framework”, IMF Policy Paper, October.


  1. องค์กรระหว่างประเทศอย่าง Bank for International Settlements (BIS) หรือ International Monetary Fund (IMF) ต่างให้ความสนใจและศึกษาหลักคิดและแนวทางในการดำเนินนโยบายแบบ IPF มาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะสำหรับกลุ่มประเทศ EMs โดย BIS (2019) ได้วิเคราะห์ถึงคุณลักษณะสำคัญของกลุ่มประเทศ EMs ที่นำไปสู่การผสมผสานเครื่องมือเพื่อจัดการกับความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนและเงินทุนเคลื่อนย้าย ขณะที่ IMF (2020) นำเสนอกรอบการวิเคราะห์ (analytical framework) สำหรับการผสมผสานเครื่องมือเพื่อก่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด↩
  2. Borio and Disyatat (2021) พูดถึงข้อจำกัดต่าง ๆ ในการการประยุกต์ใช้กรอบ IPF เพื่อผสมผสานเครื่องมือเชิงนโยบายในทางปฏิบัติ โดยนำเสนอ 2 ประเด็นสำคัญ คือ ระยะเวลาของการส่งผ่านผลของนโยบายไปสู่ผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจที่มุ่งหวัง (policy horizon) และความถี่ในการปรับนโยบาย (adjustment frequency)↩
  3. นอกจากนี้ การผ่อนคลายเกณฑ์ต่าง ๆ อาทิ เกณฑ์การดำรงสินทรัพย์สภาพคล่อง (LCR) เกณฑ์การจัดชั้นและการกันสำรองสำหรับลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 และเข้ารับการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ เอื้อให้สถาบันการเงินสามารถช่วยเหลือลูกหนี้ได้มากขึ้น ↩
  4. ในส่วนของภาคการคลัง มีองค์ประกอบสำคัญคือ (1) ภาวะการขาดดุลงบประมาณของภาครัฐ ซึ่งมีผลโดยตรงต่อเศรษฐกิจ และ (2) ระดับของหนี้ภาครัฐต่อ GDP ซึ่งเป็นข้อจำกัดสำคัญประการหนึ่งของการดำเนินนโยบายการคลัง↩
  5. แบบจำลองนำเสนอ FX intervention ในรูปแบบของ policy rule คล้ายกับ Taylor rule ของอัตราดอกเบี้ย โดยตอบสนองต่อทั้งการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน และการเบี่ยงเบนของค่าเงินออกจากปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ↩
  6. การรับมือกับปัญหาหนี้ครัวเรือนสูงในระยะสั้น อาจต้องเลือกใช้เครื่องมือที่มีต้นทุนต่อเศรษฐกิจน้อยเข้ามาผสมผสาน เช่น มาตรการปรับโครงสร้างหนี้ เป็นต้น↩
ข้อคิดเห็นที่ปรากฏในบทความนี้เป็นความเห็นของผู้เขียน ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับความเห็นของสถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์
Topics: Monetary EconomicsOthers
Tags: monetary policyintegrated policy frameworkbank of thailand
นุวัต หนูขวัญ
นุวัต หนูขวัญ
สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์
นลิน หนูขวัญ
นลิน หนูขวัญ
ธนาคารแห่งประเทศไทย
ณัฐนิชา เทพพรพิทักษ์
ณัฐนิชา เทพพรพิทักษ์
ธนาคารแห่งประเทศไทย
พงศ์พิชย์ อมาตยกุล
พงศ์พิชย์ อมาตยกุล
ธนาคารแห่งประเทศไทย
ศวพล หิรัญเตียรณกุล
ศวพล หิรัญเตียรณกุล
ธนาคารแห่งประเทศไทย
ทศพล อภัยทาน
ทศพล อภัยทาน
ธนาคารแห่งประเทศไทย

สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์

273 ถนนสามเสน แขวงวัดสามพระยา เขตพระนคร กรุงเทพฯ 10200

โทรศัพท์: 0-2283-6066

Email: pier@bot.or.th

เงื่อนไขการให้บริการ | นโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2566 สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์

เอกสารเผยแพร่ทุกชิ้นสงวนสิทธิ์ภายใต้สัญญาอนุญาต Creative Commons Attribution-NonCommercial-ShareAlike 3.0 Unported license

Creative Commons Attribution NonCommercial ShareAlike

รับจดหมายข่าว PIER

Facebook
YouTube
Email