การลุกลามของวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ กับผลกระทบต่อการลงทุนจากต่างชาติในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่

excerpt
การลุกลามของวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจจากประเทศหนึ่งไปสู่อีกประเทศหนึ่ง เป็นประเด็นที่ควรได้รับความสนใจอย่างมากโดยเฉพาะในยุคที่ประเทศทั่วโลกมีความเกี่ยวข้องกันในมิติต่าง ๆ ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ การเงิน และการลงทุน การศึกษานี้จึงได้ทำการวิเคราะห์การลุกลามของวิกฤตเศรษฐกิจ หรือ economic contagion ระหว่างประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกากับประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่จำนวน 18 ประเทศ โดยผลการศึกษาพบว่า ระดับของการลุกลามมีความแตกต่างกันในแต่ละประเทศและมีความผันผวนตามช่วงเวลาที่เปลี่ยนไป โดยหากประเทศยิ่งมีการพึ่งพาสหรัฐฯ มาก ก็ยิ่งมีการลุกลามทางเศรษฐกิจในระดับสูงตาม นอกจากนี้ ผลกระทบของการลุกลามของวิกฤตเศรษฐกิจต่อการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ พบว่าส่งผลในแง่ดีต่อบางประเทศ แต่ก็สามารถสร้างผลเสียให้แก่บางประเทศได้เช่นกัน ขึ้นอยู่กับความสามารถในการพลิกวิกฤตที่เกิดขึ้นให้เป็นโอกาสในการดึงดูดเงินลงทุนจากต่างประเทศ
เมื่อกล่าวถึงคำว่าการลุกลาม เรามักจะนึกถึงการลุกลามที่เกิดขึ้นจากแพร่ระบาดของโรคติดต่อในเชิงวิทยาศาสตร์สุขภาพ เช่น โรคซาร์ส โรคติดเชื้อโควิด-19 เป็นต้น แต่ในทำนองเดียวกันการลุกลามสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกด้านรวมไปถึงด้านเศรษฐกิจ เมื่อนำคำว่าการลุกลามมารวมกับคำว่าวิกฤตเศรษฐกิจ จะได้เป็นคำว่า “การลุกลามของวิกฤตเศรษฐกิจ” หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า economic contagion โดยในที่นี้เรามองวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในประเทศหนึ่งเสมือนเป็นโรคร้าย ที่พร้อมจะแพร่ระบาดหรือลุกลามไปสู่ประเทศอื่นๆ ที่อยู่ใกล้เคียงหรือไปสู่ประเทศที่มีความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจต่อกัน โดยหากยิ่งประเทศต้นเหตุมีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจโลกมากแล้ว การลุกลามในครั้งนี้ย่อมแพร่ไปในวงกว้างอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ในปี 2008 ได้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่ในสหรัฐฯ จากการปล่อยสินเชื่อด้อยคุณภาพโดยมีอสังหาริมทรัพย์เป็นหลักประกัน ตลอดจนการแสวงหาผลกำไรของสถาบันการเงินผ่านการออกตราสารทางการเงินในรูปแบบใหม่ๆ ที่มีความเสี่ยงสูง การตัดสินใจโดยไม่ได้พิจารณาบนพื้นฐานความเป็นจริงและมุ่งเน้นที่การเก็งกำไรในอสังหาริมทรัพย์ นำมาสู่การล่มสลายกันเป็นโดมิโน่ของหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้งราคาอสังหาริมทรัพย์ที่ตกต่ำลงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ตลาดหุ้นที่ร่วงลงอย่างหนัก ผู้คนเริ่มสูญเสียความสามารถในการใช้จ่าย ธุรกิจเกิดการล้มละลาย นำมาสู่ภาวะเศรษฐกิจหดตัวและปัญหาการว่างงานที่สูงขึ้นในสหรัฐฯ และเนื่องจากสหรัฐฯ เป็นประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจโลก จึงทำให้เกิดผลกระทบต่อประเทศต่างๆ ทั้งทางตรงและทางอ้อมเป็นวงกว้าง การลงทุนโดยตรงของสหรัฐฯ ในประเทศต่างๆ ลดลงอย่างรวดเร็ว ตลอดจนการนำเข้าสินค้าจากประเทศอื่นๆ ก็ลดลงตามไปด้วย ส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นอกจากผลในทางตรงแล้วเมื่อประเทศคู่ค้าหลักของสหรัฐฯ เกิดภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวก็ได้สร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจต่อประเทศคู่ค้าในลำดับถัดไปและทำให้เกิดผลกระทบเป็นวงกว้าง
งานวิจัยในอดีตที่ผ่านมาได้เสนอแนวทางต่างๆ เพื่อวัดการลุกลามของวิกฤตเศรษฐกิจและได้ค้นพบหลักฐานเชิงประจักษ์มากมายว่าการเชื่อมต่อของเศรษฐกิจโลกในปัจจุบันนี้ได้นำมาซึ่งการส่งต่อผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจต่าง ๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ในงานวิจัยฉบับนี้เราได้มุ่งเน้นทำการศึกษาผลกระทบของการลุกลามของวิกฤตเศรษฐกิจสหรัฐฯ ต่อการลงทุนโดยตรงในประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่1 (emerging economies) ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศที่กำลังอยู่ในช่วงการเปลี่ยนผ่านไปสู่ประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ โดยแม้จะยังมีสถานะทางเศรษฐกิจไม่เทียบเท่าประเทศที่พัฒนาแล้ว แต่นับได้ว่ามีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจสูง และมีการพัฒนามาไกลจากการเป็นประเทศยากจน โดยประเทศไทยเองก็นับว่าเป็นหนึ่งในกลุ่มนี้ ซึ่งประเทศในกลุ่มนี้นับว่าเป็นประเทศคู่ค้าที่สำคัญของสหรัฐฯ อีกทั้งยังเป็นจุดหมาย (destination) แห่งการลงทุนของสหรัฐฯ อีกด้วย ดังนั้นการเกิดวิกฤตเศรษฐกิจในสหรัฐฯ ย่อมส่งผลต่อประเทศเศรษฐกิจใหม่เหล่านี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
การศึกษาในอดีตจำนวนไม่น้อยให้ความสนใจเกี่ยวกับการลุกลามของวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาต่างๆ และได้เสนอวิธีการวัดระดับการลุกลามที่หลากหลายแตกต่างกัน แต่อย่างไรก็ตามการประเมินผลกระทบของการลุกลามของวิกฤตทางเศรษฐกิจต่อการลงทุนจากต่างชาติในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ยังมีอยู่ไม่มาก โดยสาเหตุประการหนึ่งเกิดจากข้อมูลที่มีอยู่อย่างจำกัดทำให้การวิเคราะห์เชิงปริมาณยังเป็นไปได้ยาก (Liu et al., 2020) ประกอบกับข้อจำกัดด้านเครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา ซึ่งการศึกษาในอดีตที่ผ่านมามักนิยมกำหนดให้ตัวแปรหุ่น (dummy) เป็นตัวแทนของการเกิดวิกฤตเศรษฐกิจเพื่อใช้วิเคราะห์ผลกระทบของการลุกลามของวิกฤตเศรษฐกิจ เช่น การศึกษาของ Calvo & Reinhart (1996), Karolyi (2003), Dornbusch et al. (2000) และ Dornean et al. (2012) เป็นต้น โดยกำหนดให้ตัวแปรหุ่นมีค่าเท่ากับ 1 ในช่วงที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจและเป็น 0 ในช่วงสถานการณ์ปกติ อย่างไรก็ตามการกำหนดค่าการลุกลามของวิกฤตเศรษฐกิจให้อยู่ในรูปของตัวแปรหุ่นยังไม่สามารถสะท้อนทิศทางและขนาดของการลุกลามได้
ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาจึงได้มีงานวิจัยหลายๆ งานที่พยายามแก้ปัญหาข้างต้นโดยเสนอแนวทางในการหาขนาดของการลุกลามผ่านการหาค่าความสัมพันธ์ หรือในทางเทคนิคคือการพิจารณาจากค่าการขึ้นอยู่แก่กันที่ปลายหางล่าง (lower tail dependence) ซึ่งเป็นการหาความสัมพันธ์ในช่วงสภาวะเศรษฐกิจไม่ดีหรือในระหว่างการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยระหว่างประเทศที่เป็นต้นกำเนิดของวิกฤตกับประเทศที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งเป็นวิธีการที่ถูกพิสูจน์ด้วยงานวิจัยเชิงประจักษ์หลากหลายงานว่าสามารถสะท้อนค่าขนาดของการลุกลามทางวิกฤตเศรษฐกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ (Cech, 2006; Rodriguez, 2007; Shamiri et al., 2011; Nikoloulopoulos et al., 2012; Maneejuk & Yamaka, 2019) ดังนั้นในการศึกษานี้ผู้วิจัยจึงประยุกต์ใช้แนวคิดดังกล่าวเพื่อประเมินขนาดของการลุกลามทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ต่อประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่
ในส่วนก่อนหน้าได้อธิบายถึงแนวความคิดใหม่ในการวัดการลุกลามของวิกฤตเศรษฐกิจโดยพิจารณาจากค่าความสัมพันธ์หรือค่าการขึ้นอยู่แก่กันที่ปลายหางล่าง ซึ่งการหาค่าความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรสามารถทำได้หลายวิธี แต่ในงานศึกษานี้ได้เลือกใช้วิธีการที่เรียกว่าคอปูลา (copula) ซึ่งเป็นฟังก์ชันการแจกแจงร่วมของตัวแปรสุ่มหลายตัวแปร (multivariate cumulative distribution function) ทำหน้าที่ในการเชื่อมโยงตัวแปรสุ่มที่มีการแจกแจงแบบสม่ำเสมอในช่วง เข้าด้วยกัน (Nelsen, 2006) คอปูลาถูกใช้อย่างแพร่หลายในการศึกษาทางด้านการเงิน เช่น การหาความสัมพันธ์ในเชิงโครงสร้างระหว่างตลาดทางการเงิน การอธิบายการขึ้นอยู่แก่กันของหลักทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่าง ๆ ตลอดจนการจัดการพอร์ตโฟลิโอ (portfolio) เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ในงานศึกษานี้จะเลือกใช้คอปูลา 2 ตัวแปร (bivariate copula) เนื่องจากในการหาขนาดของการลุกลามทางเศรษฐกิจจะประเมินจากประเทศสหรัฐฯ กับแต่ละประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ ดังนั้นคอปูลา 2 ตัวแปรจึงถูกนำมาใช้ในครั้งนี้ โดยคอปูลาจะทำหน้าที่ในการเชื่อมโยงการแจกแจงของตัวแปรการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ กับประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่เข้าด้วยกันผ่านคอปูลาฟังก์ชัน จากนั้นพิจารณาที่ค่าความสัมพันธ์ที่ปลายหางล่าง โดยหากมีค่าเท่ากับ 0 แสดงว่าไม่มีความสัมพันธ์ที่ปลายหางล่างระหว่างการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ กับประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ หรือไม่มีการลุกลามของวิกฤตเศรษฐกิจนั่นเอง
นอกเหนือไปจากการใช้คอปูลา 2 ตัวแปรในการหาขนาดของการลุกลามของวิกฤตเศรษฐกิจระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่แล้ว งานศึกษานี้ยังได้เสนอแนวคิดแบบจำลองคอปูลาเชิงพลวัตร (dynamic copula) เพื่อหาระดับการลุกลามของวิกฤตเศรษฐกิจในแต่ละช่วงเวลาด้วย โดยได้ใช้ข้อมูลอนุกรมเวลาครอบคลุมปี 2005–2020 ดังนั้นภายใต้แนวคิดคอปูลาเชิงพลวัตร เราจึงสามารถหาขนาดของการลุกลามของวิกฤตเศรษฐกิจในแต่ละหน่วยของเวลาได้
จากการใช้แบบจำลองคอปูลาแบบค่าคงที่ในการประเมินขนาดของการลุกลามของวิกฤตเศรษฐกิจสหรัฐฯต่อเศรษฐกิจของประเทศเกิดใหม่ ผลการศึกษาสามารถแสดงได้ตามภาพที่ 1 โดยจากภาพจะพบว่าขนาดของการลุกลามที่ใหญ่ที่สุดเกิดขึ้นในประเทศแอฟริกาใต้ด้วยค่าการลุกลามของวิกฤตเศรษฐกิจที่เท่ากับ 0.93 (1 คือค่าสูงสุด) ถัดมาคือประเทศโมร็อกโกที่เท่ากับ 0.73 โดยแอฟริกาใต้นับเป็นประเทศคู่ค้าในกลุ่มประเทศแถบแอฟริกาที่สำคัญที่สุดของสหรัฐฯ อีกทั้งยังเป็นประเทศที่มีบริษัทเอกชนจำนวนมากของสหรัฐฯ เข้าไปลงทุน การเกิดวิกฤตเศรษฐกิจในสหรัฐฯ ย่อมส่งผลกระทบต่อแอฟริกาใต้ในหลายมิติ แต่ด้านที่สำคัญที่สุดคงหลีกหนีไม่พ้นด้านการส่งออก ซึ่งพบว่าอุปสงค์ต่อสินค้าจากประเทศแอฟริกาใต้ลดลงจากพิษของวิกฤตเศรษฐกิจ ส่งผลให้การส่งออกลดลงทั้งในมิติของราคาและปริมาณเช่นเดียวกับประเทศคู่ค้าอื่นๆ ของสหรัฐฯ นอกจากนี้คือผลทางด้านการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่ชะลอตัวลงจากพิษของวิกฤตเศรษฐกิจ ความแตกต่างของการลงทุนโดยตรงในประเทศแถบแอฟริกากับประเทศในถิ่นอื่นๆ คือการลงทุนจากต่างชาติมักเกี่ยวข้องกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในประเทศ เช่น การพัฒนาระบบการผลิตไฟฟ้าภายในประเทศ และระบบคมนาคมขนส่ง เป็นต้น และโครงการที่เข้าถึงทรัพยากรธรรมชาติต่างๆ เช่น การขอสัมปทานเพื่อสำรวจและขุดหาแร่ธาตุ เป็นต้น ดังนั้นผลที่เกิดขึ้นจากวิกฤตเศรษฐกิจในครั้งนี้ย่อมส่งผลต่อแอฟริกาใต้ทั้งทางตรงและทางอ้อม
นอกจากความสัมพันธ์ทางด้านการค้าและการลงทุนแล้ว สหรัฐฯ ยังได้ให้ความช่วยเหลือแก่แอฟริกาใต้เพื่อพัฒนาประเทศในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ ด้านสุขภาพ และการศึกษา ผ่านโครงการมากมาย เช่น the President’s Emergency Plan for AIDS Relief (PEPFAR) ซึ่งเป็นโครงการที่สหรัฐฯ ได้เข้าไปลงทุนช่วยเหลือเพื่อแก้ปัญหาด้านโรคเอดส์ในแอฟริกาใต้ รวมไปถึงข้อตกลงทางการค้าและการลงทุนต่างๆ ที่สหรัฐฯ ทำร่วมกับแอฟริกาใต้ รวมไปถึงร่วมกับกลุ่มประเทศที่มีแอฟริกาใต้เป็นสมาชิกเพื่อให้ประโยชน์ในด้านการค้า การลงทุน และด้านภาษีแก่ประเทศแอฟริกาใต้ เช่น Trade and Investment Framework Agreement (TIFA) และ Trade, Investment, and Development Cooperative Agreement (TIDCA) เป็นต้น จะเห็นได้ว่าแอฟริกาใต้มีการขึ้นอยู่กับสหรัฐฯ เป็นอย่างมากในมิติต่างๆ ทั้งด้านเศรษฐกิจตลอดจนการรับความช่วยเหลือในรูปเงินช่วยเหลือและประโยชน์อื่นๆ จากสหรัฐฯ ดังนั้นเมื่อเกิดช่วงเวลาที่ยากลำบากในสหรัฐฯ ดังเช่นวิกฤตในปี 2008–09 จึงสร้างผลกระทบต่อแอฟริกาใต้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ในส่วนก่อนหน้าเราได้แสดงขนาดของการลุกลามของวิกฤตเศรษฐกิจสหรัฐฯในรูปแบบค่าคงที่ (static term) แต่อย่างไรก็ตามขนาดของการลุกลามอาจเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ในแต่ละช่วงเวลา ดังนั้นในส่วนนี้จึงได้นำเสนอผลการประมาณขนาดของการลุกลามของวิกฤตเศรษฐกิจสหรัฐฯต่อ 18 ประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ ในรูปแบบเชิงพลวัติ (dynamic term) ตลอดช่วงปี 2005–2020 ดังภาพที่ 2a และ 2b โดยแต่ละภาพจะแสดงขนาดของการลุกลามของวิกฤตเศรษฐกิจระหว่างสหรัฐฯ กับแต่ละประเทศ โดยที่แกนตั้ง (แกน Y) จะแสดงขนาดของการลุกลามของวิกฤตเศรษฐกิจและแกนนอน (แกน X) แทนเวลา
ในภาพรวมจะสามารถสังเกตุได้ว่าระดับความสัมพันธ์ที่ปลายหางล่าง (lower tail dependence) ของทุกประเทศมีค่ามากกว่าศูนย์ แสดงถึงการลุกลามของวิกฤตเศรษฐกิจระหว่างประเทศสหรัฐฯ กับประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่นั้นมีอยู่จริง แต่ทว่าขนาดของการลุกลามมีความผันผวนขึ้นลงตามเวลา โดยสามารถสรุปเป็นประเด็นที่น่าสนใจได้ดังนี้
- ระดับการลุกลามทางเศรษฐกิจไม่มีความคงที่และแปรเปลี่ยนไปตลอดระยะเวลา ซึ่งเป็นการยืนยันให้เห็นว่าสมมุติฐานที่ว่าการลุกลามไม่คงที่และแตกต่างกันในแต่ละช่วงระยะเวลานั้นเป็นจริง ดังนั้นการที่งานวิจัยนี้เลือกใช้แบบจำลองคอปูลาเชิงพลวัตรจึงมีความเหมาะสมในกรณีนี้
- หลังจากเกิดวิกฤต 2008–09 พบว่าระดับการลุกลามทางเศรษฐกิจมีแนวโน้มสูงขึ้นในหลายประเทศ สะท้อนภาพของการเชื่อมโยงหรือเกี่ยวข้องกันทางเศรษฐกิจที่เพิ่มมากขึ้นภายหลังจากการเกิดวิกฤต โดยสาหตุหนึ่งอาจมาจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ มีการใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (Quantitative Easing: QE) เพื่อรับมือกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่เกิดขึ้น ซึ่งมาตรการนี้ก็ได้สร้างความผันผวนให้กับตลาดเงินและตลาดทุนทั่วโลกรวมถึงกลุ่มประเทศเกิดใหม่ด้วย Çepni et al. (2021) กล่าวว่ามีเงินลงทุนไหลเข้าสู่กลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่จำนวนมากหลังจากมีการใช้มาตรการ QE
หลังจากที่ประมาณขนาดของการลุกลามทางเศรษฐกิจสหรัฐฯในเชิงพลวัตรแล้วจากขั้นก่อนหน้า ในส่วนนี้จะนำค่าการลุกลามทางเศรษฐกิจมาต่อยอดเพื่อศึกษาผลกระทบของการลุกลามของวิกฤตเศรษฐกิจต่อการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ภายใต้แบบจำลองถดถอยเชิงเส้น โดยกำหนดให้การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศเป็นตัวแปรตามและการลุกลามทางเศรษฐกิจเป็นตัวแปรต้น ร่วมกับตัวแปรควบคุม ได้แก่ อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศเศรษฐกิจใหม่ ระดับการเปิดการค้า ดัชนีราคาผู้บริโภค และอัตราแลกเปลี่ยนที่แท้จริง โดยภาพที่ 3 แสดงค่าสัมประสิทธิ์ (coefficient) หรือขนาดของผลกระทบของการลุกลามทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่มีต่อ FDI ของแต่ละประเทศแสดงด้วยจุดสีดำ และเส้นสีแดงคือช่วงความเชื่อมั่นที่ 95% โดยจากการศึกษาทั้ง 18 ประเทศพบว่ามีเพียง 8 ประเทศที่การลุกลามทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่งผลอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติต่อ FDI ซึ่งชื่อของประเทศเหล่านั้นจะถูกคลุมด้วยแถบสีเขียว ดังแสดงในภาพที่ 3
จากผลการศึกษา หากพิจารณาเพียงประเทศที่ได้รับผลอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (คลุมด้วยแถบสีเขียว) พบว่าแม้ขนาดของผลกระทบจะมีขนาดเล็ก (พิจารณาจากขนาดของ coefficients) แต่อย่างไรก็ตามผลกระทบที่เกิดขึ้นมีได้ทั้งทิศทางบวกและลบ กล่าวคือการลุกลามของวิกฤตเศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่งผลทางลบต่อการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ หรือ FDI ในประเทศแอฟริกาใต้ อินโดนีเซีย โคลัมเบีย และบัลกาเรีย ในขณะที่การลุกลามของวิกฤตเศรษฐกิจกลับส่งผลดีต่อ FDI ของประเทศจีน ไทย ฟิลิปปินส์ และโมร็อกโก อย่างที่ทราบกันดีว่าสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศมหาอำนาจของโลก อีกทั้งยังเป็นนายทุนใหญ่ที่มักเสาะแสวงหาแหล่งวัตถุดิบใหม่ หรือสภาพแวดล้อมใหม่ที่เหมาะสมต่อการลงทุนอยู่เสมอ แต่ทว่าเมื่อสหรัฐฯ เกิดวิกฤตเศรษฐกิจจนทำให้เศรษฐกิจภายในประเทศเกิดการชะลอตัว ย่อมส่งผลกระทบต่อแผนการลงทุนในอนาคตของบรรษัทข้ามชาติของสหรัฐอเมริกาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยทำให้เงินลงทุนที่ไหลออกจากประเทศไปยังประเทศที่เป็นจุดหมายอย่างประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ถูกจำกัด และยังสร้างผลในทางอ้อมต่อประเทศคู่ค้าของสหรัฐฯ ที่เป็นประเทศนักลงทุนให้ลดการลงทุนในประเทศอื่นๆ จากสภาพเศรษฐกิจที่ไม่สู้ดีอีกด้วย (Ucal et al., 2011; Fan et al., 2020)
อย่างไรก็ตาม การลุกลามของวิกฤตเศรษฐกิจก็อาจสามารถสร้างโอกาสในการลงทุนให้แก่บางประเทศได้ อ้างอิงจากแนวคิดของ Krugman (2000) และ Thu (2019) ที่กล่าวว่าการเทขายหุ้น ตราสารหนี้และกองทุน เพื่อถือเงินสดมักจะเกิดขึ้นในช่วงที่เกิดวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ และเงินทุนเหล่านี้จะถูกเคลื่อนย้ายไปยังตลาดอื่นๆ ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า ทำให้เม็ดเงินลงทุนถูกโยกย้ายไปสู่บางประเทศที่นักลงทุนมองว่าสามารถสร้างประโยชน์ให้แก่พวกเขาได้ นอกจากนี้วิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นยังถือเป็นโอกาสของกลุ่มประเทศเศรษฐกิจใหม่ที่จะมีการปรับนโยบายการลงทุนต่างๆ เพื่อดึงดูดเงินลงทุนจากต่างประเทศและเกิดเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจ แต่ทั้งหมดนี้ก็ต้องอยู่ภายใต้พื้นฐานทางเศรษฐกิจที่ดีและสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการลงทุนในแต่ละประเทศร่วมด้วย
บทความนี้ได้นำเสนอแนวความคิดใหม่ในการวัดขนาดของการลุกลามจากวิกฤตเศรษฐกิจ (economic contagion) โดยใช้แนวคิดแบบจำลองคอปูลา (copula) ประมาณขนาดของการลุกลามทั้งในรูปแบบเชิงสถิต (static) และเชิงพลวัตร (dynamic) โดยมุ่งเน้นที่วิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในประเทศสหรัฐอเมริกาตลอดระยะเวลาตั้งแต่ปี 2005–2020 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงวิกฤตการณ์ทางการเงิน 2008–09 ซึ่งนับเป็นวิกฤตทางการเงินที่สำคัญและสร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจตลอดจนสร้างความผันผวนแก่การเคลื่อนย้ายเงินลงทุนไปทั่วโลก ซึ่งผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่าการลุกลามของวิกฤตเศรษฐกิจนั้นมีอยู่จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อประเทศคู่ค้าและประเทศที่พึ่งพิงการลงทุนจากภายนอกอย่างประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ ที่ย่อมได้รับผลกระทบจากวิกฤตที่เกิดขึ้นนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
อย่างไรก็ตาม พิษจากวิกฤตเศรษฐกิจที่วัดจากระดับของการลุกลามนั้นมีระดับที่แตกต่างกันไปในแต่ละประเทศและมีลักษณะผันผวนตามช่วงเวลาที่เปลี่ยนไป โดยหากประเทศยิ่งมีเศรษฐกิจที่พึ่งพิงสหรัฐฯ มากก็ยิ่งมีการลุกลามทางเศรษฐกิจในระดับสูงตาม ดังเช่นกรณีของประเทศแอฟริกาใต้ แต่อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาที่ผลกระทบของการลุกลามวิกฤตเศรษฐกิจต่อการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ กลับพบว่าส่งผลในแง่ดีต่อบางประเทศ แต่ก็สามารถสร้างผลเสียให้เกิดขึ้นต่อบางประเทศได้เช่นกัน ขึ้นอยู่กับว่าประเทศใดจะมีความพร้อมและสามารถพลิกวิกฤตที่เกิดขึ้นนั้นให้เป็นโอกาสและดึงดูดเงินลงทุนให้เข้ามาได้แทน
ในท้ายที่สุด ผู้วิจัยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการศึกษานี้จะสามารถให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการรับมือกับวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต อีกทั้งเครื่องมือที่ใช้ในการประเมินระดับการลุกลามนี้จะสามารถถูกต่อยอดไปใช้ในการประเมินวิกฤตการณ์ที่จะเกิดขึ้นหรือกำลังเกิดขึ้นได้อย่างเช่น วิกฤตการณ์โควิด-19 และวิกฤตราคาน้ำมัน เป็นต้น
เอกสารอ้างอิง
- จำนวน 18 ประเทศ ได้แก่ อาร์เจนตินา บราซิล บัลแกเรีย ชิลี จีน โคลัมเบีย อียิปต์ ฮังการี อินเดีย อินโดนีเซีย เม็กซิโก โมรอคโค ฟิลิปปินส์ โปแลนด์ รัสเซีย แอฟริกาใต้ และไทย↩