Research
Discussion Paper
PIERspectives
aBRIDGEd
PIER Blog
Events
Conferences
Research Workshops
Policy Forums
Seminars
Exchanges
Research Briefs
Community
PIER Research Network
Visiting Fellows
Funding and Grants
About Us
Our Organization
Announcements
PIER Board
Staff
Work with Us
Contact Us
TH
EN
Research
Research
Discussion Paper
PIERspectives
aBRIDGEd
PIER Blog
Exchange Rate Effects on Firm Performance: A NICER Approach
Discussion Paper ล่าสุด
Exchange Rate Effects on Firm Performance: A NICER Approach
ผลกระทบของการขึ้นค่าเล่าเรียนต่อการตัดสินใจเรียนมหาวิทยาลัย
aBRIDGEd ล่าสุด
ผลกระทบของการขึ้นค่าเล่าเรียนต่อการตัดสินใจเรียนมหาวิทยาลัย
Events
Events
Conferences
Research Workshops
Policy Forums
Seminars
Exchanges
Research Briefs
Joint NSD-PIER Applied Microeconomics Research Workshop
งานประชุมเชิงปฏิบัติการต่อไป
Joint NSD-PIER Applied Microeconomics Research Workshop
Special Economic Zones and Firm Performance: Evidence from Vietnamese Firms
งานสัมมนาล่าสุด
Special Economic Zones and Firm Performance: Evidence from Vietnamese Firms
สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์
สถาบันวิจัยเศรษฐกิจ
ป๋วย อึ๊งภากรณ์
Puey Ungphakorn Institute for Economic Research
Community
Community
PIER Research Network
Visiting Fellows
Funding and Grants
PIER Research Network
PIER Research Network
Funding & Grants
Funding & Grants
About Us
About Us
Our Organization
Announcements
PIER Board
Staff
Work with Us
Contact Us
Staff
Staff
Call for Papers: PIER Research Workshop 2025
ประกาศล่าสุด
Call for Papers: PIER Research Workshop 2025
aBRIDGEdabridged
Making Research Accessible
QR code
Year
2025
2024
2023
2022
...
Topic
Development Economics
Macroeconomics
Financial Markets and Asset Pricing
Monetary Economics
...
/static/7b8adf639547eebd296767ff3e018c07/41624/cover.jpg
23 มีนาคม 2566 (ปรับปรุงล่าสุด 4 มิถุนายน 2567)
202316795296000001717459200000

ค่าเงินบาทผันผวน: “ตัวปรับสมดุล” หรือ “ตัวป่วน” เศรษฐกิจไทย

การปล่อยให้อัตราแลกเปลี่ยนผันผวนตามกลไกตลาดนั้น ส่งผลดีหรือไม่ต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจและเสถียรภาพด้านราคาของประเทศไทย?
พิม มโนพิโมกษ์นุวัต หนูขวัญเจตวัฒน์ ภัทรรังรอง
ค่าเงินบาทผันผวน: “ตัวปรับสมดุล” หรือ “ตัวป่วน” เศรษฐกิจไทย
excerpt

อัตราแลกเปลี่ยนเป็นกลไกราคาที่สำคัญในการช่วยรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่รวมถึงไทยที่เศรษฐกิจเชื่อมโยงกับต่างประเทศสูง งานวิจัยของ Manopimoke et al. (2024) ได้ศึกษาถึงที่มาของความผันผวนค่าเงินบาท และผลกระทบที่มีต่อเศรษฐกิจและเงินเฟ้อไทยในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา โดยผลการศึกษาพบว่า ค่าเงินบาทถูกขับเคลื่อนโดย shock ที่ไม่เกี่ยวข้องกับปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจสูงถึง 61% อย่างไรก็ดี ปัจจัยดังกล่าวไม่ได้เป็นต้นเหตุของความผันผวนต่อเศรษฐกิจไทย (source of shock) เนื่องจากส่งผลต่อเศรษฐกิจและเงินเฟ้อค่อนข้างจำกัด ในขณะที่เศรษฐกิจและเงินเฟ้อไทยนั้นผันผวนจาก shock ที่มาจากปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจทั้งภายในและนอกประเทศเป็นหลัก ซึ่งการศึกษานี้พบว่าการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทมีส่วนช่วยปรับสมดุล (shock absorber) ให้กับเศรษฐกิจไทยได้ในระดับหนึ่ง โดยเฉพาะในกรณีที่เศรษฐกิจไทยเผชิญกับ shock ต่ออุปสงค์ในประเทศ (domestic demand) ดังนั้น การปล่อยให้ค่าเงินบาทมีความยืดหยุ่นและเคลื่อนไหวได้ตามปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ อาจส่งผลดีต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจมากกว่าการตรึงอัตราแลกเปลี่ยนให้คงที่ โดยผลการศึกษามีนัยต่อการทำความเข้าใจอัตราแลกเปลี่ยนในเชิงลึกและการกำหนดนโยบายดูแลค่าเงินที่เหมาะสม

ความเคลื่อนไหวของ “อัตราแลกเปลี่ยน” นับเป็นประเด็นที่สำคัญ เนื่องจากอัตราแลกเปลี่ยนเป็นตัวแปรที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจในวงกว้าง เช่น การนำเข้าและส่งออกสินค้า ความเชื่อมั่นต่อการลงทุนในประเทศ รวมถึงอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ โดยในบริบทของไทย ภายหลังจากวิกฤตต้มยำกุ้งในปี 1997 ประเทศไทยได้ปรับมาใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนลอยตัวแบบมีการจัดการ (managed float) ทำให้ค่าเงินบาทผันผวนขึ้นในบางเวลา เช่น ในปี 2022 เงินบาทอ่อนค่า 14% จนแตะระดับ 38 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. แต่กลับมาแข็งค่า 12% โดยใช้ระยะเวลาเพียง 3 เดือน ซึ่งค่าเงินบาทที่ผันผวนนี้เกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย มีทั้งปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ เช่น การเปลี่ยนแปลงของปัจจัยด้านอุปสงค์และอุปทานทั้งจากภายในและภายนอกประเทศ การปรับนโยบายการเงินของประเทศไทยและกลุ่มประเทศเศรษฐกิจหลัก รวมไปถึงปัจจัยในตลาดอัตราแลกเปลี่ยนที่ไม่เกี่ยวข้องกับปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ เช่น การเปลี่ยนแปลงของ risk sentiment ของนักลงทุนในตลาดการเงินโลกที่อาจส่งผลกระทบมายังตลาดการเงินและเศรษฐกิจไทยได้ผ่านความเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยน

นักเศรษฐศาสตร์มักเชื่อว่า การดำเนินนโยบายเพื่อดูแลอัตราแลกเปลี่ยนที่เหมาะสมนั้น ควรคำนึงถึงที่มาของความผันผวนค่าเงิน ตลอดจนผลกระทบต่อเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ ตามหลักทฤษฎีแล้ว หากทางการปล่อยให้อัตราแลกเปลี่ยนเคลื่อนไหวได้โดยเสรี อัตราแลกเปลี่ยนจะทำหน้าที่เป็นกลไกราคาที่ช่วยรักษาสมดุลให้เศรษฐกิจได้เมื่อค่าเงินบาทถูกขับเคลื่อนโดยปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ (fundamental shock) โดยการเป็น shock absorber1 ที่ช่วยลดทอนผลกระทบของ shock ต่อเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ เช่น เมื่อเกิดวิกฤตการเงินโลกที่ทำให้เศรษฐกิจไทยชะลอลง เงินบาทจะอ่อนค่าและช่วยทำให้เศรษฐกิจขยายตัวต่อไปได้อย่างสม่ำเสมอผ่านการส่งออกที่สูงขึ้น หรือในกรณีที่เศรษฐกิจขยายตัวอยู่ในระดับที่สูงจนเงินเฟ้อเร่ง ค่าเงินบาทที่แข็งค่าจากการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยนโยบาย จะทำให้ราคาสินค้านำเข้าถูกลงจนช่วยลดทอนแรงกดดันต่อเงินเฟ้อไปได้ อย่างไรก็ตาม หากอัตราแลกเปลี่ยนผันผวนจาก shock ที่ไม่สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ (non-fundamental shock) อัตราแลกเปลี่ยนอาจกลายเป็น source of shock ที่จะสร้างความผันผวนต่อเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ ซึ่งในกรณีนี้ ธนาคารกลางอาจต้องเข้ามามีบทบาทในการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจโดยการแทรกแซงค่าเงิน

อย่างไรก็ดี งานวิจัยเชิงประจักษ์ในหลายประเทศยังไม่มีข้อสรุปที่แน่ชัดว่าการปล่อยให้อัตราแลกเปลี่ยนเคลื่อนไหวได้โดยเสรีนั้น จะทำให้อัตราแลกเปลี่ยนทำหน้าที่เป็น shock absorber ได้สมบูรณ์หรือไม่ ยกตัวอย่างเช่น งานศึกษาของ Clarida & Gali (1994) ที่พบว่าในกรณีของสหราชอาณาจักรและแคนาดา อัตราแลกเปลี่ยนถูกขับเคลื่อนด้วยปัจจัยด้านอุปสงค์เป็นสำคัญและสามารถทำหน้าที่เป็น shock absorber ได้ดี อย่างไรก็ตาม ผลการศึกษาของ Artis & Ehrmann (2006) และ Farrant & Peersman (2006) กลับพบว่า สำหรับประเทศสหราชอาณาจักร แคนาดา ยุโรป รวมถึงญี่ปุ่น อัตราแลกเปลี่ยนไม่ได้เคลื่อนไหวตามปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ จึงเป็นตัวสร้างความผันผวนต่อเศรษฐกิจแทนที่จะทำหน้าที่เป็นตัวช่วยปรับสมดุล ดังนั้น งานศึกษาเชิงประจักษ์ที่มุ่งทำความเข้าใจบทบาทของอัตราแลกเปลี่ยนต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจยังมีความจำเป็น โดยเฉพาะงานศึกษาที่ให้มุมมองจากประเทศกำลังพัฒนา เนื่องจากประเทศเหล่านี้มักเป็นเศรษฐกิจเปิดที่ได้รับผลกระทบจาก shock ต่างประเทศค่อนข้างมาก และงานวิจัยดังกล่าวยังมีอยู่จำกัด2

งานวิจัยของ Manopimoke et al. (2024) ได้มุ่งวิเคราะห์ปัจจัยขับเคลื่อนของค่าเงินบาทในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา และศึกษาบทบาทของค่าเงินบาทต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจและเงินเฟ้อไทย3 โดยจุดเด่นของงานศึกษานี้เมื่อเทียบกับงานศึกษาในอดีตคือ การประเมินบทบาทของค่าเงินว่าทำหน้าที่เป็น “ตัวปรับสมดุล” (shock absorber) หรือ “ตัวป่วน” (source of shock) ของเศรษฐกิจไทย ผ่านการวัด (quantify) ผลประโยชน์สุทธิว่าอัตราแลกเปลี่ยนช่วยลดหรือกลับเป็นการเพิ่มความผันผวนของเศรษฐกิจและเงินเฟ้อจากการปล่อยให้ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวตามกลไกตลาด โดยอาศัยวิธี counterfactual analysis ที่คำนึงถึงทั้ง “ผลประโยชน์” จากการที่ค่าเงินบาทสามารถเคลื่อนไหวและดูดซับผลกระทบของ fundamental shock รวมถึง “ผลเสีย” จากการปล่อยให้ค่าเงินบาทเป็นต้นตอของความผันผวนเศรษฐกิจที่มาจาก non-fundamental shock ซึ่งการสรุปบทบาทของค่าเงินบาทว่าเป็น shock absorber นั้นจะประเมินผ่านการชั่งน้ำหนักระหว่าง benefit และ cost ดังกล่าว นอกจากนี้ งานศึกษานี้มุ่งศึกษาผลประโยชน์ที่อาจแตกต่างกันไปตาม shock แต่ละประเภท (shock dependence) ซึ่งมีนัยต่อแนวนโยบายการดูแลค่าเงินที่เหมาะสม

ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวตามปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจเป็นหลักหรือไม่?

Manopimoke et al. (2024) ใช้แบบจำลอง Structural Vector Autoregressive (SVAR) เพื่อศึกษาปัจจัยขับเคลื่อนของค่าเงินบาทตั้งแต่ปี 2000Q1 ถึง 2022Q3 โดยได้สกัดปัจจัยขับเคลื่อนออกมาทั้งสิ้น 8 shock โดยกลุ่มแรกเป็นปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจทั้งในและนอกประเทศ (domestic and global fundamental shock) ได้แก่

  1. domestic demand
  2. domestic supply
  3. domestic monetary policy
  4. foreign demand
  5. foreign supply
  6. foreign monetary policy
  7. shock อื่น ๆ (other)

ส่วนกลุ่มที่สองเป็นปัจจัยที่ไม่เกี่ยวข้องกับปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ ได้แก่ 8. non-fundamental shock4 ทั้งนี้ งานวิจัยนี้ใช้ข้อมูลเศรษฐกิจมหภาคของสหรัฐฯ และราคาน้ำมันดิบโลกแทนตัวแปรเศรษฐกิจมหภาคต่างประเทศ5

ผลการศึกษาในตารางที่ 1 พบว่า ค่าเงินบาทถูกขับเคลื่อนจาก non-fundamental shock เป็นสำคัญ โดยอาจเกิดจากการเก็งกำไรระยะสั้นในตลาดการเงิน หรือการเปลี่ยนแปลงของ risk sentiment ของนักลงทุน ที่อาจเป็นผลสืบเนื่องมาจากการปรับมุมมองเกี่ยวกับเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ รวมถึงการดำเนินนโยบายการเงินของไทยหรือประเทศคู่ค้าจากปัจจัยที่ไม่คาดคิด เช่น ข่าวที่เกี่ยวข้องกับการเกิดรัฐประหารในประเทศ หรือข่าวเกี่ยวกับนโยบายการเปิดประเทศของประเทศจีน เป็นต้น ซึ่ง non-fundamental shock เหล่านี้สามารถอธิบายความผันผวนของค่าเงินบาทได้สูงถึง 61% อย่างไรก็ดี ปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจเองก็ถือว่ามีบทบาทในการกำหนดค่าเงินบาทอยู่ไม่น้อยที่ 39% โดย domestic shock อธิบายค่าเงินบาทได้มากกว่า global shock ถึง 2 เท่า ทั้งนี้ shock ที่เกี่ยวเนื่องกับปัจจัยพื้นฐานในประเทศเกือบทั้งหมดมาจากปัจจัยด้านอุปสงค์ ขณะที่ shock ที่มาจากปัจจัยพื้นฐานต่างประเทศนั้นมาจากทั้งปัจจัยด้านอุปสงค์และอุปทาน

ตารางที่ 1: สัดส่วนของ shock ต่าง ๆ ในการอธิบายความผันผวนของค่าเงินบาท เศรษฐกิจ และเงินเฟ้อไทย
VariablesDomestic Fundamental ShockForeign (US) Fundamental ShockNon-fundamental Shock
USD/THB Exchange Rate26%13%61%
Real GDP Growth54%45%2%
Inflation33%65%2%
หมายเหตุ: ตารางแสดงผล median forecast error variance decomposition ของตัวแปรด้านเศรษฐกิจมหภาคของไทยในระยะเฉลี่ย 8 ไตรมาสข้างหน้า จาก 500 draw โดย rescale ให้ผลรวมของทุก shock เท่ากับ 100%

อย่างไรก็ดี แม้ว่า non-fundamental shock จะเป็นตัวแปรสำคัญที่ขับเคลื่อนค่าเงินบาทในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา แต่ปัจจัยที่ขับเคลื่อนค่าเงินบาทอาจแตกต่างกันในแต่ละช่วงเวลาได้ตามบริบทของเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลก รวมถึงภาวะของตลาดการเงินที่เปลี่ยนแปลงไป โดยสะท้อนจากเหตุการณ์ที่น่าสนใจในรูปที่ 1 ได้แก่

  1. การอ่อนค่าของค่าเงินบาทในไตรมาสที่ 3 ของปี 2015 เป็นผลจาก non-fundamental shock เป็นส่วนใหญ่ตามความกังวลในตลาดการเงินในภูมิภาคเอเชียภายหลังจีนลอยตัวค่าเงินหยวน
  2. ในช่วงวิกฤต COVID-19 การเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทเป็นผลจาก fundamental shock เป็นสำคัญ โดยในช่วงเริ่มต้นของวิกฤตในปี 2020 การอ่อนค่าของค่าเงินบาทมาจากปัจจัยด้านอุปสงค์ทั้งภายในและภายนอกประเทศที่หดตัวลงจากมาตรการการควบคุมการแพร่ระบาดต่าง ๆ รวมถึงปัจจัยด้านอุปทานในประเทศจากความชะงักงันที่เกิดขึ้นในภาคการผลิต
  3. ในปี 2022 ปัจจัยพื้นฐานที่มาจากต่างประเทศกลับมีบทบาทมากขึ้นต่อการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาท โดยเฉพาะจาก foreign supply shock ที่มาจากราคาน้ำมันโลกที่สูงขึ้นจากความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน และ US monetary policy shock จากการเร่งปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ6
รูปที่ 1: ที่มาของการเปลี่ยนแปลงของค่าเงินบาทเทียบดอลลาร์ สรอ. โดยจำแนกตาม shock ประเภทต่าง ๆ

ที่มาของการเปลี่ยนแปลงของค่าเงินบาทเทียบดอลลาร์ สรอ. โดยจำแนกตาม shock ประเภทต่าง ๆ

หมายเหตุ: รูปแสดงผล historical shock decomposition ของการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทต่อดอลลาร์ สรอ. โดย Base สะท้อนการเปลี่ยนแปลงของค่าเงินในกรณีที่ไม่มี shock ใด ๆ เกิดขึ้น เส้นสีดำแสดงการเปลี่ยนแปลงค่าเงินบาท

การเปลี่ยนแปลงของค่าเงินบาทจาก non-fundamental shock กระทบต่อเศรษฐกิจและเงินเฟ้อไทยอย่างไร?

อัตราแลกเปลี่ยนอาจเป็นต้อตอของความผันผวนที่สำคัญต่อเศรษฐกิจไทย เนื่องจาก non-fundamental shock อธิบายความผันผวนของค่าเงินบาทได้สูงถึง 61% แต่ผลการศึกษาในตารางที่ 1 พบว่าการเปลี่ยนแปลงของค่าเงินบาทที่เกิดขึ้นจาก shock ที่ไม่เกี่ยวข้องกับปัจจัยพื้นฐานกลับอธิบายความผันผวนของเศรษฐกิจและเงินเฟ้อไทยได้น้อยมาก โดยอธิบายได้เพียง 2% นอกจากนี้ ผลการศึกษาในรูปที่ 2 แสดงให้เห็นว่า เมื่อเกิด non-fundamental shock ที่ทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น 1% จะทำให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวลดลง 0.03% ในขณะที่เงินเฟ้อปรับลดลงเพียง 0.06% ภายในเวลา 1 ปี7 ซึ่งผลกระทบที่ค่อนข้างน้อยนี้ทำให้ความผันผวนของค่าเงินบาทจาก non-fundamental shock ไม่ส่งกระทบต่อเศรษฐกิจและเงินเฟ้อไทยนัก

รูปที่ 2: ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและเงินเฟ้อไทยจากค่าเงินบาทที่ถูกขับเคลื่อนโดย non-fundamental shock

ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและเงินเฟ้อไทยจากค่าเงินบาทที่ถูกขับเคลื่อนโดย non-fundamental shock

หมายเหตุ: รูปแสดงผล impulse response ของ non-fundamental shock ต่อการเติบโตของเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ โดยเส้นสีน้ำเงินแสดง median response ขณะที่เส้นสีเขียวแสดงผล ณ percentile ที่ 16 และ 84 จาก 500 draw โดย rescale ให้ median response ของค่าเงินบาทภายหลังจากการเกิด shock 1 ปีเปลี่ยนแปลงเท่ากับ 1% โดยแกนนอนแสดงจำนวนไตรมาสภายหลังการเกิด shock

ค่าเงินบาทที่เคลื่อนไหวตามปัจจัยพื้นฐานทำหน้าที่ shock absorber ได้ดีเพียงใด?

ปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจทั้งจากในประเทศและต่างประเทศเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจและเงินเฟ้อไทย โดยจากตารางที่ 1 จะเห็นได้ว่า การเติบโตของเศรษฐกิจถูกขับเคลื่อนโดยปัจจัยพื้นฐานนอกประเทศ 45% โดยส่วนใหญ่เป็นปัจจัยทางด้านอุปสงค์ ขณะที่ปัจจัยพื้นฐานในประเทศอธิบายความผันผวนของเศรษฐกิจไทยถึง 54% โดยมากกว่าครึ่งมาจากปัจจัยด้านอุปทาน ส่วนหนึ่งเป็นผลจากเศรษฐกิจไทยที่หดตัวแรงจากมหาอุทกภัยในปี 2011 สำหรับเงินเฟ้อไทยเคลื่อนไหวจากปัจจัยพื้นฐานจากต่างประเทศเป็นหลักถึง 65% ทั้งนี้ การที่เศรษฐกิจและเงินเฟ้อไทยอ่อนไหวต่อปัจจัยต่างประเทศสอดคล้องกับลักษณะโครงสร้างของเศรษฐกิจไทยที่พึ่งพาภาคต่างประเทศสูง ยกตัวอย่างเช่น ในช่วงที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยหดตัวรุนแรงจากปัจจัยภายนอกในปี 2008–2009 ที่เกิดวิกฤตการเงินโลกและปี 2020–2022 จากวิกฤต COVID-19 ขณะที่เงินเฟ้อไทยเร่งตัวสูงขึ้นมากและมีความผันผวนในสองช่วงเวลานี้เช่นกันจากการเปลี่ยนแปลงของราคาน้ำมันโลก

การที่เศรษฐกิจและเงินเฟ้อไทยได้รับผลกระทบจาก fundamental shock ในสัดส่วนที่สูง นำมาสู่คำถามว่า อัตราแลกเปลี่ยนทำหน้าที่เป็น shock absorber ได้ดีเพียงใด? ในงานศึกษาที่ผ่านมาของประเทศไทย Ananchotikul & Thaksadipong (2011) พบว่าค่าเงินบาททำหน้าที่เป็น shock absorber ได้ดีในระดับหนึ่ง เพราะถึงแม้ว่าค่าเงินบาทสามารถช่วยลดทอนผลกระทบจาก shock ต่ออุปสงค์โลกรวมถึง shock ต่ออัตราการค้า (terms of trade) ของประเทศไทย แต่ค่าเงินบาทนั้นมักไม่เปลี่ยนแปลงเมื่อเผชิญกับ oil price shock อย่างไรก็ตาม งานศึกษาดังกล่าวศึกษาบทบาทของการเป็น shock absorber ของค่าเงินบาทต่อ shock จากต่างประเทศเท่านั้น ทั้ง ๆ ที่ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวจาก domestic shock ในสัดส่วนไม่น้อย รวมถึงไม่ได้มีการประเมินว่าการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทดังกล่าวช่วยลดความผันผวนของเศรษฐกิจได้มากน้อยเพียงใด

Manopimoke et al. (2024) ได้วิเคราะห์ความสามารถของอัตราแลกเปลี่ยนในการเป็น shock absorber เมื่อเศรษฐกิจและเงินเฟ้อไทยเผชิญกับ shock ที่มาจากปัจจัยพื้นฐานทั้งจากในและต่างประเทศ ผ่านการเปรียบเทียบระหว่าง

  1. การตอบสนองของเศรษฐกิจและเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นจริง โดยอัตราแลกเปลี่ยนสามารถเคลื่อนไหวเพื่อตอบสนองต่อ fundamental shock ได้
  2. กรณีที่กำหนดให้อัตราแลกเปลี่ยนถูกตรึงให้คงที่และไม่สามารถตอบสนองต่อ shock ได้ ผลต่างของสองกรณีซึ่งแสดงในรูปที่ 3 สามารถบ่งชี้ว่าอัตราแลกเปลี่ยนมีบทบาทเป็น shock absorber หรือไม่ และมากน้อยเพียงใด โดยหากผลต่างติดลบ เท่ากับว่าในกรณีที่เกิดขึ้นจริง เศรษฐกิจและเงินเฟ้อได้รับผลกระทบจาก shock น้อยลงเมื่อเทียบกับกรณีที่อัตราแลกเปลี่ยนถูกตรึงให้คงที่ จึงอาจกล่าวได้ว่า อัตราแลกเปลี่ยนกำลังทำหน้าที่ช่วยดูดซับผลกระทบของ shock อยู่

ผลการศึกษาพบว่า บทบาทของการเป็น shock absorber ดังกล่าวจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับประเภทของ shock โดยบทบาทของการเป็น shock absorber จะชัดเจนในกรณีที่เศรษฐกิจเผชิญกับ shock ต่ออุปสงค์ในประเทศ กล่าวคือ หากเศรษฐกิจเผชิญกับ domestic demand shock ที่ทำให้เศรษฐกิจชะลอตัว ในกรณีปกติ เงินบาทจะอ่อนค่าและบรรเทาการชะลอลงของเศรษฐกิจ ขณะที่ในกรณีที่ค่าเงินบาทไม่เปลี่ยนแปลง เราจะเห็นเศรษฐกิจไทยหดตัวรุนแรงขึ้น ซึ่งการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทสามารถช่วยลดผลกระทบจาก shock ดังกล่าวต่อเศรษฐกิจไทยได้เกือบ 1 ใน 10 กล่าวคือ หาก shock ทำให้อัตราการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจไทยลดลง 1.8% แต่อัตราแลกเปลี่ยนไม่สามารถทำหน้าที่เป็น shock absorber เราอาจเห็นเศรษฐกิจไทยชะลอลงหรือหดตัวเพิ่มขึ้นเป็น 2.0% นอกจากนี้ ค่าเงินบาทมีคุณสมบัติเป็น shock absorber เช่นเดียวกันเมื่อเกิด shock ที่มาจากปัจจัยพื้นฐานต่างประเทศทั้งด้านอุปสงค์ อุปทาน และนโยบายการเงิน แต่ประโยชน์ดังกล่าวมีอยู่ค่อนข้างน้อย8 ทั้งนี้ กลไกการเป็น shock absorber ในกรณีของ domestic demand shock ที่ชัดเจนอาจมาจากการตอบสนองของธนาคารกลางด้วยการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายไปในทิศทางที่เอื้อให้ค่าเงินบาทช่วยดูดซับผลกระทบของ shock อย่างไรก็ตาม จะสังเกตได้ว่าค่าเงินบาทเคลื่อนไหวในทิศทางที่จะไปเพิ่มการตอบสนองของเศรษฐกิจและเงินเฟ้อเมื่อ domestic monetary policy shock เกิดขึ้น หรือเป็น shock amplifier ซึ่งบ่งชี้ถึงบทบาทของอัตราแลกเปลี่ยนในฐานะกลไกการส่งผ่านผลของนโยบายการเงินของไทย

ค่าเงินบาทมีบทบาทในการลดทอนความผันผวนของเงินเฟ้อไทยเช่นกันในกรณีที่เงินเฟ้อไทยสูงจาก domestic demand shock โดยในสถานการณ์ดังกล่าว เงินบาทจะแข็งค่าเพื่อช่วยลดทอนแรงกดดันของเงินเฟ้อได้ถึงเกือบ 1 ใน 7 หรือ 15% ซึ่งการที่ผลการศึกษานี้ไม่พบบทบาทของค่าเงินในลักษณะที่เป็น shock absorber ให้กับเงินเฟ้อที่ผันผวนขึ้นจาก shock ประเภทอื่นน่าจะเป็นผลจากปัจจัยเชิงโครงสร้างของไทย เช่น exchange rate pass through ของไทยที่อยู่ในระดับต่ำ ซึ่งส่วนหนึ่งอธิบายได้จากการบริโภคสินค้าของคนไทยพึ่งพาการนำเข้าไม่สูงมากนัก รวมถึงนโยบายการเงินที่สามารถดูแลเสถียรภาพด้านราคาได้อย่างมีประสิทธิภาพในช่วงที่ผ่านมา ด้วยการยึดเหนี่ยวเงินเฟ้อคาดการณ์ระยะปานกลางให้อยู่ในกรอบเป้าหมาย

รูปที่ 3: ความสามารถของอัตราแลกเปลี่ยนในการช่วยดูดซับ shock แบ่งตาม fundamental shock ประเภทต่าง ๆ

ความสามารถของอัตราแลกเปลี่ยนในการช่วยดูดซับ shock แบ่งตาม fundamental shock ประเภทต่าง ๆ

หมายเหตุ: รูปแสดงผลต่างของ response ของเศรษฐกิจและเงินเฟ้อเมื่อเกิด fundamental shock โดยเปรียบเทียบระหว่างกรณีที่เกิดขึ้นจริงกับกรณีที่กำหนดให้อัตราแลกเปลี่ยนถูกตรึงให้คงที่ และพิจารณา response ณ เวลาที่เกิด shock ขึ้น ทั้งนี้ ค่าที่เป็นลบ (บวก) แสดงว่าการตอบสนองของเศรษฐกิจและเงินเฟ้อต่อ shock ในกรณีที่เกิดขึ้นจริงมีขนาดเล็กกว่า (ใหญ่กว่า) ซึ่งแสดงว่าอัตราแลกเปลี่ยนทำหน้าที่เป็น shock absorber (shock amplifier)

สุดท้ายแล้ว การเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทเป็นผลดีหรือผลเสียต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจไทยมากกว่ากัน?

การประเมินให้ชัดว่า เศรษฐกิจไทยได้หรือเสียประโยชน์มากกว่ากันจากการที่ปล่อยให้ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวได้ตามกลไกตลาดนั้น ต้องอาศัยการวิเคราะห์ที่ลึกขึ้นโดยคำนึงถึงทั้งประโยชน์จากการที่ค่าเงินบาทสามารถเคลื่อนไหวและดูดซับผลกระทบของ fundamental shock ได้ รวมถึงผลเสียที่มาจากการปล่อยให้ค่าเงินบาทเป็นต้นตอของความผันผวนเศรษฐกิจจาก non-fundamental shock งานวิจัยนี้ทำการประเมินประโยชน์สุทธิดังกล่าวผ่าน counterfactual analysis แสดงในรูปที่ 4 โดยเริ่มต้นจากการคำนวณผลเสียที่เกิดจาก non-fundamental shock โดยการเปรียบเทียบความผันผวนของเศรษฐกิจและเงินเฟ้อไทยในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงกับกรณีที่ค่าเงินไม่ตอบสนองต่อ non-fundamental shock ที่เกิดขึ้น หลังจากนั้นจึงประเมินบทบาทการเป็น shock absorber ของค่าเงินบาท โดยเปรียบเทียบกับความผันผวนของเศรษฐกิจและเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นจริงกับกรณีที่ธนาคารกลางตรึงค่าเงินบาทให้คงที่โดยไม่ให้ทำหน้าที่เป็น shock absorber ต่อ fundamental shock สุดท้ายจึงคำนวณผลประโยชน์สุทธิโดยพิจารณากรณีที่ค่าเงินบาทไม่ตอบสนองต่อทั้ง fundamental และ non-fundamental shock

ผลการศึกษาพบว่า เศรษฐกิจไทยในช่วงที่ผ่านมาได้รับประโยชน์จากการการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาท เนื่องจากมีส่วนช่วยลดความผันผวนของเศรษฐกิจไทยได้ โดยค่าความผันผวนของเศรษฐกิจไทยอยู่ที่ประมาณ 4.1% ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา จากรูปที่ 4 จะเห็นได้ว่า ค่าเงินบาทที่มาจาก non-fundamental shock เป็นต้นทุนต่อเศรษฐกิจไทย ทำให้เศรษฐกิจไทยผันผวนขึ้น 0.06% แต่ผลเสียดังกล่าวถือว่าไม่สูงนักและสอดคล้องกับผลในตารางที่ 1 อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยจะผันผวนขึ้นประมาณ 0.12% ในกรณีที่สมมติให้ค่าเงินบาทไม่สามารถช่วยดูดซับผลกระทบของ fundamental shock ไปสู่เศรษฐกิจได้ โดยสุทธิแล้ว หากธนาคารกลางตรึงให้ค่าเงินบาทคงที่ไม่ตอบสนองต่อ shock ต่าง ๆ ก็จะทำให้ความผันผวนของเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นดังแสดงในแท่งสีฟ้า ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่า ค่าเงินบาทที่เคลื่อนไหวผันผวนตามกลไกตลาดนั้นกำลังเอื้อประโยชน์โดยการช่วยลดความผันผวนของเศรษฐกิจผ่านการเป็น shock absorber มากกว่าที่จะส่งผลเสียเมื่อค่าเงินบาทถูกขับเคลื่อนโดย non-fundamental shock อย่างไรก็ตาม ความเคลื่อนไหวของค่าเงินมีบทบาทจำกัดสำหรับเงินเฟ้อ เนื่องจากผลการศึกษาพบว่าค่าเงินบาทที่เคลื่อนไหวจากทั้ง non-fundamental และ fundamental shock ไม่ได้มีส่วนในการเพิ่มหรือลดความผันผวนของเงินเฟ้อเท่าใดนัก

รูปที่ 4: ผลประโยชน์สุทธิของอัตราแลกเปลี่ยนต่อความผันผวนของเศรษฐกิจและเงินเฟ้อไทย

ผลประโยชน์สุทธิของอัตราแลกเปลี่ยนต่อความผันผวนของเศรษฐกิจและเงินเฟ้อไทย

หมายเหตุ: รูปแสดงผลต่างของค่าความผันผวน (annualized standard deviation) ของการเติบโตทางเศรษฐกิจ (ซ้าย) และเงินเฟ้อ (ขวา) โดยเปรียบเทียบระหว่างข้อมูลจริงกับค่าความผันผวนที่คำนวณจากผล counterfactual สามกรณี (1) สมมติให้ไม่มี non-fundamental shock แสดงในแท่งสีแดง (2) สมมติให้อัตราแลกเปลี่ยนไม่ตอบสนองต่อ fundamental shock แสดงในแท่งสีเขียว (3) สมมติให้อัตราแลกเปลี่ยนไม่ตอบสนองต่อ shock ใด ๆ แสดงในแท่งสีฟ้า

ประโยชน์ของค่าเงินบาทที่ยืดหยุ่นสามารถเห็นได้ในช่วงที่ประเทศไทยเผชิญกับภาวะวิกฤต (รูปที่ 5) เช่น ในช่วง global financial crisis และน้ำท่วมใหญ่ในปี 2011 การอ่อนค่าของเงินบาทช่วยให้อัตราการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจไทยสูงขึ้นได้ประมาณ 0.1–0.2% ในช่วงวิกฤต COVID-19 ก็เช่นเดียวกัน การอ่อนค่าของค่าเงินบาทในช่วงครึ่งแรกของปี 2020 และกลางปี 2021 ช่วยลดทอนผลกระทบของ shock ที่เกิดขึ้นต่อการเติบโตของเศรษฐกิจได้ถึงประมาณ 0.1% โดยหากเงินบาทไม่ได้อ่อนค่าลงในช่วงนี้ เศรษฐกิจไทยอาจหดตัวเพิ่มขึ้น ส่วนเหตุการณ์ล่าสุดที่เศรษฐกิจโลกได้รับผลกระทบจากสงครามรัสเซียและยูเครน เงินบาทที่อ่อนค่าลงมากตามราคาน้ำมันโลกที่ปรับสูงขึ้นและการเร่งปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ ก็มีส่วนสำคัญต่อการรักษาสมดุลของเศรษฐกิจไทย โดยพบว่า หากเงินบาทถูกตรึงไว้ให้คงที่ เศรษฐกิจไทยอาจฟื้นตัวช้าลงและและมีความเสี่ยงขาต่ำที่สูงขึ้น

รูปที่ 5: อัตราการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจไทย ในกรณีที่ค่าเงินบาทถูกตรึงให้คงที่

อัตราการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจไทย ในกรณที่ค่าเงินบาทถูกตรึงให้คงที่

หมายเหตุ: รูปแสดงการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในกรณีที่เกิดขึ้นจริง (แท่งสีเทา) และในกรณีสมมติที่ตรึงค่าเงินบาทให้คงที่ (ขีดสีแดง) โดยเส้นสีแดงแสดงค่า median และ เส้นสีดำแสดงค่า ณ percentile ที่ 16 และ 84 จาก 500 draw ทั้งนี้ ผลในช่วง global financial crisis (GFC) เป็นค่าเฉลี่ย 2008Q4–2009Q1 ช่วงน้ำท่วมใหญ่ (flood) 2011Q4 ส่วนช่วง COVID-19 แบ่งออกเป็นสองช่วง รอบแรกเป็นค่าเฉลี่ย 2020Q1–2020Q2 รอบสองเป็นค่าเฉลี่ย 2021Q2–2021Q3 สำหรับช่วงสงครามรัสเซียและยูเครนเป็นค่าเฉลี่ย 2022Q1–2022Q3

ข้อสรุปและนัยเชิงนโยบาย

ค่าเงินบาทในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา เคลื่อนไหวโดย shock ที่หลากหลายและผันผวนมากในบางช่วง สร้างความท้าทายต่อผู้ดำเนินนโยบายในการรักษาเสถียรภาพของเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ งานศึกษานี้พบว่า ค่าเงินบาทเป็นกลไกหนึ่งที่มีบทบาทช่วยปรับสมดุลให้กับเศรษฐกิจไทย โดยการทำหน้าที่เป็น shock absorber ต่อ fundamental shock ได้ดีในระดับหนึ่ง และไม่ได้เป็น source of shock ต่อเศรษฐกิจไทยในกรณีค่าเงินบาทเคลื่อนไหวจาก non-fundamental shock ซึ่งการตีความผลการศึกษานี้มีได้สองด้าน ด้านหนึ่งอาจสะท้อนว่านโยบายการดูแลค่าเงินของ ธปท. มีความเหมาะสมในช่วงที่ผ่านมาเพราะช่วยดูแลค่าเงินบาทในกรณีเกิด non-fundamental shock ให้ไม่ผันผวนจนเกินไปที่จะกลายเป็นตัวสร้างความผันผวนต่อเศรษฐกิจ แต่ในอีกด้านหนึ่งก็มีความเป็นไปได้ว่า หากค่าเงินบาทสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างเสรีตามปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจมากขึ้น ค่าเงินบาทอาจสามารถทำหน้าที่เป็น shock absorber ได้ดียิ่งขึ้น

อีกข้อค้นพบที่สำคัญในบทความนี้คือ ประสิทธิภาพของค่าเงินในการลดทอนผลกระทบของ shock ต่อเศรษฐกิจนั้น แตกต่างกันไปตามประเภทของแต่ละ shock ดังนั้น ในการพิจารณานโยบายการดูแลค่าเงินที่เหมาะสม ผู้ดำเนินนโยบายควรคำนึงถึงที่มาของความผันผวนของเศรษฐกิจและค่าเงินในแต่ละช่วงเวลาเป็นสำคัญด้วย และอาจต้องใช้นโยบายด้านอื่น ๆ ประกอบในการดูแลความผันผวนของวัฏจักรเศรษฐกิจ รวมถึงการดูแลเสถียรภาพด้านราคา นอกจากนี้ เนื่องจาก non-fundamental shock มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนค่าเงินบาท การทำความเข้าใจผลกระทบที่แท้จริงของ shock ดังกล่าวที่มีต่อเศรษฐกิจและเงินเฟ้อไทย จึงยังมีความสำคัญมาก และต้องอาศัยงานวิเคราะห์ที่ละเอียดและลงลึกในระดับภาคส่วนเศรษฐกิจหรือรายหมวดธุรกิจจนไปถึงงบการเงินในระดับรายบริษัท โดยเฉพาะภาคส่วนที่มีความเปราะบาง ซึ่งอาจทำให้เข้าใจบทบาทของอัตราแลกเปลี่ยนต่อเศรษฐกิจในมุมมองที่น่าสนใจและไม่ปรากฎในระดับมหภาค

เอกสารอ้างอิง

Ananchotikul, N., & Thaksadipong, K. (2011). อัตราแลกเปลี่ยนของไทยทำหน้าที่เป็น Shock Absorber ได้ดีเพียงใด? (Focused and Quick No. 37). Bank of Thailand.
Artis, M., & Ehrmann, M. (2006). The exchange rate–a shock-absorber or source of shocks? A study of four open economies. Journal of International Money and Finance, 25(6), 874–893.
Clarida, R., & Gali, J. (1994). Sources of real exchange-rate fluctuations: How important are nominal shocks? Carnegie-Rochester Conference Series on Public Policy, 41, 1–56.
Corsetti, G., Keuster, K., Müller, G. J., & Schmidt, S. (2021). The exchange rate insulation puzzle.
Farrant, K., & Peersman, G. (2006). Is the exchange rate a shock absorber or a source of shocks? New empirical evidence. Journal of Money, Credit and Banking, 939–961.
Gopinath, G., & Gourinchas, P.-O. (2022). How Countries Should Respond to the Strong Dollar [IMF Blog]. International Monetary Fund.
Hofmann, B., Mehrotra, A., Sandri, D., & others. (2022). Global exchange rate adjustments: drivers, impacts and policy implications. Bank for International Settlements.
Manopimoke, P., Nookhwun, N., & Pattararangrong, J. (2024). Exchange Rate in Emerging Markets: Shock Absorber or Source of Shock? (Discussion Paper No. 220). Puey Ungphakorn Institute for Economic Research.
Nookhwun, N. (2019). Estimates of Exchange Rate Passthrough for Thailand (Focused and Quick No. 141). Bank of Thailand.

  1. ลักษณะสำคัญของอัตราแลกเปลี่ยนในการเป็น shock absorber คือความรวดเร็วในการปรับเปลี่ยนตามภาวะตลาด ขณะที่ตัวแปรด้านราคาอื่น ๆ ในระบบเศรษฐกิจ เช่น ราคาสินค้าและค่าจ้างแรงงาน ไม่สามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็วเท่า จึงก่อให้เกิดความหนืดที่นักเศรษฐศาสตร์เรียกกันว่า nominal rigidities↩
  2. งานวิจัยส่วนใหญ่ศึกษาบทบาทของค่าเงินในประเทศที่พัฒนาแล้ว ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากแนวคิดที่จะใช้สกุลเงินเดียวกัน (Optimum Currency Area) เพราะการใช้สกุลเงินเดียวกันจะทำให้สูญเสียความสามารถในการใช้อัตราแลกเปลี่ยนเป็น shock absorber ในการปรับสมดุลให้ระบบเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ↩
  3. นอกจากศึกษากรณีของประเทศไทย กลุ่มตัวอย่างของงานวิจัยนี้ยังครอบคลุมไปถึงประเทศตลาดเกิดใหม่ในเอเชียและละตินอเมริกาอีก 9 ประเทศ↩
  4. ภายใต้นโยบายการดูแลค่าเงินแบบ managed float ความเคลื่อนไหวของค่าเงินในส่วนที่มาจาก non-fundamental shock ส่วนหนึ่งอาจเป็นผลจากการเข้าแทรกแซงค่าเงินผ่านการซื้อหรือขายเงินตราต่างประเทศของธนาคารกลาง↩
  5. การเปลี่ยนแปลงของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกเป็นผลจาก foreign shock ที่อาจเป็นได้ทั้ง foreign demand shock ที่สะท้อนการปรับเพิ่มขึ้นหรือลดลงของราคาน้ำมันตามอุปสงค์โลก และ foreign supply shock ที่อาจสะท้อนการเปลี่ยนแปลงของปริมาณการผลิตน้ำมัน↩
  6. ผลในส่วนของปัจจัยขับเคลื่อนเงินบาทในช่วงปี 2022 สอดคล้องไปกับ Gopinath & Gourinchas (2022) และ Hofmann et al. (2022) ที่เห็นว่าการอ่อนค่าของสกุลเงินทั่วโลกเทียบกับดอลลาร์ สรอ. เป็นผลจากปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจเป็นหลัก↩
  7. ผลกระทบของอัตราแลกเปลี่ยนต่อเงินเฟ้อที่ค่อนข้างน้อยสอดรับกับผลการศึกษาของ Nookhwun (2019) ที่พบว่า exchange rate pass through หรือการส่งผ่านของอัตราแลกเปลี่ยนไปสู่ราคาสินค้าและบริการในตะกร้าเงินเฟ้อไทยอยู่ในระดับต่ำ↩
  8. บทบาท shock absorber ที่ค่อนข้างน้อยในกรณีของ foreign demand shock สอดคล้องกับ Corsetti et al. (2021) ที่พบว่า ค่าเงินที่เคลื่อนไหวเสรีไม่ได้ช่วยลดผลกระทบของ shock จากต่างประเทศในกรณีของยุโรป โดยเป็นผลจากนโยบายการเงินที่ให้ความสำคัญกับการดูแลอัตราเงินเฟ้อ และพยายามควบคุมการเคลื่อนไหวของค่าเงิน ส่วนในกรณีของ foreign supply shock ค่าเงินบาททำหน้าที่เป็น shock absorber เช่นกัน โดยเมื่อเศรษฐกิจไทยเผชิญกับราคาน้ำมันที่สูงขึ้นซึ่งทำให้ terms of trade ของประเทศแย่ลง ค่าเงินบาทจะอ่อนค่าลง ซึ่งผลที่ได้ขัดกับกรณีของประเทศตลาดเกิดใหม่หลายประเทศใน Manopimoke et al. (2024) ที่พบว่าอัตราแลกเปลี่ยนกลายเป็น shock amplifier↩
พิม มโนพิโมกษ์
พิม มโนพิโมกษ์
ธนาคารแห่งประเทศไทย
นุวัต หนูขวัญ
นุวัต หนูขวัญ
สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์
เจตวัฒน์ ภัทรรังรอง
เจตวัฒน์ ภัทรรังรอง
สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์
Topics: MacroeconomicsInternational FinanceMonetary Economics
Tags: exchange rateshock absorberstructural var
ข้อคิดเห็นที่ปรากฏในบทความนี้เป็นความเห็นของผู้เขียน ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับความเห็นของสถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์

สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์

273 ถนนสามเสน แขวงวัดสามพระยา เขตพระนคร กรุงเทพฯ 10200

โทรศัพท์: 0-2283-6066

Email: pier@bot.or.th

เงื่อนไขการให้บริการ | นโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2568 สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์

เอกสารเผยแพร่ทุกชิ้นสงวนสิทธิ์ภายใต้สัญญาอนุญาต Creative Commons Attribution-NonCommercial-ShareAlike 3.0 Unported license

Creative Commons Attribution NonCommercial ShareAlike

รับจดหมายข่าว PIER

Facebook
YouTube
Email