Research
Discussion Paper
PIERspectives
aBRIDGEd
PIER Blog
Events
Conferences
Research Workshops
Policy Forums
Seminars
Exchanges
Research Briefs
Community
PIER Research Network
Visiting Fellows
Funding and Grants
About Us
Our Organization
Announcements
PIER Board
Staff
Work with Us
Contact Us
TH
EN
Research
Research
Discussion Paper
PIERspectives
aBRIDGEd
PIER Blog
Not Over the Hill: Exploring the Digital Divide among Vulnerable Older Adults in Thailand
Discussion Paper ล่าสุด
Not Over the Hill: Exploring the Digital Divide among Vulnerable Older Adults in Thailand
ใครคือผู้กำหนดทิศทางค่าจ้างของแรงงานไทย: ภาครัฐ หรือภาคเอกชน?
aBRIDGEd ล่าสุด
ใครคือผู้กำหนดทิศทางค่าจ้างของแรงงานไทย: ภาครัฐ หรือภาคเอกชน?
Events
Events
Conferences
Research Workshops
Policy Forums
Seminars
Exchanges
Research Briefs
International Policy Forum on Climate Finance
งานประชุมเชิงนโยบายล่าสุด
International Policy Forum on Climate Finance
Joint NSD-PIER Applied Microeconomics Research Workshop
งานประชุมเชิงปฏิบัติการล่าสุด
Joint NSD-PIER Applied Microeconomics Research Workshop
สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์
สถาบันวิจัยเศรษฐกิจ
ป๋วย อึ๊งภากรณ์
Puey Ungphakorn Institute for Economic Research
Community
Community
PIER Research Network
Visiting Fellows
Funding and Grants
PIER Research Network
PIER Research Network
Funding & Grants
Funding & Grants
About Us
About Us
Our Organization
Announcements
PIER Board
Staff
Work with Us
Contact Us
Staff
Staff
Call for Papers: PIER Research Workshop 2025
ประกาศล่าสุด
Call for Papers: PIER Research Workshop 2025
aBRIDGEdabridged
Making Research Accessible
QR code
Year
2025
2024
2023
2022
...
Topic
Development Economics
Macroeconomics
Financial Markets and Asset Pricing
Monetary Economics
...
/static/ff72aadca355a373def6eb3b55df5e3c/41624/cover.jpg
19 เมษายน 2567
20241713484800000

มองผลกระทบค่าเงินผ่านราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ไทย

การแข็งค่าของเงินบาททำให้ราคาหุ้นบริษัทส่งออกปรับลดลง สะท้อนกำไรที่อาจแย่ลงในมุมมองของนักลงทุน
เขมกร ศรีจรรยานนท์
มองผลกระทบค่าเงินผ่านราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ไทย
excerpt

งานศึกษานี้ประเมินผลกระทบของอัตราแลกเปลี่ยนต่อมูลค่าของบริษัทกลุ่มส่งออกนำเข้า ด้วยข้อมูลราคาหุ้นของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งผลกระทบดังกล่าวสะท้อนการคาดการณ์ของนักลงทุน และอาจอนุมานได้ถึงผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนต่อผลการดำเนินกิจการในมุมมองของนักลงทุน จากหลักฐานเชิงประจักษ์พบว่าอัตราแลกเปลี่ยน สัมพันธ์กับราคาหุ้นบริษัทส่งออก และสัมพันธ์ที่ระดับต่างกันในแต่ละภาคอุตสาหกรรม นอกจากนี้ พลวัติของความสัมพันธ์ดังกล่าวสะท้อนว่านักลงทุนจะยิ่งให้น้ำหนักผลกระทบมากขึ้นหากเงินบาทอยู่ในระดับแข็งค่ามาก ยิ่งไปกว่านั้น จากความสัมพันธ์ระหว่างราคาหุ้นและอัตราแลกเปลี่ยนที่มีนัยสำคัญในหลายช่วงเวลา อาจอนุมานได้ว่านักลงทุนมองว่าบริษัทส่งออกยังไม่มีการปรับตัวต่อความเสี่ยงจากค่าเงิน

เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่เงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วมักมีเสียงเรียกร้องจากผู้ประกอบการรวมถึงหน่วยงานภาครัฐให้ ธปท. ดูแลอัตราแลกเปลี่ยนเพื่อลดทอนผลกระทบที่อาจมีต่อภาคการส่งออก โดยผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนต่อภาคส่งออกมี 2 ช่องทางหลัก ได้แก่

  1. ช่องทางปริมาณการส่งออก (trade channel) โดยผลกระทบส่งผ่านทางด้านราคาสินค้า
  2. ผลจากการแปลงมูลค่า (valuation effect) ผ่านการแปลงค่ารายรับหรือทรัพย์สินและหนี้สินในสกุลเงินต่างประเทศสู่สกุลท้องถิ่น

อย่างไรก็ดี การศึกษาเชิงประจักษ์หลายงานพบว่าผลกระทบของอัตราแลกเปลี่ยนต่อปริมาณการส่งออก (FX Elasticity of Export Volume) หรือช่องทาง trade channel มีแนวโน้มลดลงในช่วงหลัง (Ahmed Hannan et al., 2015; Leigh et al., 2015) จากทั้งการที่ห่วงโซ่การผลิตโลกโยงใยกันมากขึ้น และการซื้อขายมักถูกทำในรูปสกุลเงินหลักไม่กี่สกุล

สำหรับไทย การค้าขายระหว่างประเทศส่วนมากใช้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ (ดอลลาร์ สรอ.) เป็น invoicing currency1 ทำให้ผู้ประกอบการส่วนใหญ่มี exposure กับอัตราแลกเปลี่ยน หรือค่าเงินผ่านการแปลงรายรับและรายจ่ายในรูปดอลลาร์ สรอ. เป็นรูปเงินบาท (valuation effect) จึงเป็นคำถามที่น่าสนใจว่าอัตราแลกเปลี่ยนส่งผลกระทบต่อรายได้ผู้ประกอบการอย่างไรผ่านกลไกดังกล่าว (valuation effect)

ความท้าทายหนึ่งในการการตอบคำถามนี้คือข้อมูลงบการเงินของภาคธุรกิจมีเพียงรายไตรมาส และใช้เวลานานก่อนจะมีการรายงานจนอาจไม่ทันการณ์ต่อการประเมินผลกระทบต่อเศรษฐกิจ บทความนี้แก้ไขปัญหาเหล่านี้ด้วยการศึกษาผลกระทบของอัตราแลกเปลี่ยนต่อการคาดการณ์รายได้บริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ ผ่านราคาหุ้น ซึ่งเป็นการใช้ประโยชน์จากการประเมินผลกระทบในมุมมองของนักวิเคราะห์และนักลงทุนในตลาดต่อผลประกอบการหรือมูลค่าของแต่ละบริษัท โดยแม้ว่าการเปลี่ยนแปลงในราคาหุ้นอาจไม่ใช่ตัวแปรที่ดีที่สุดที่สะท้อนแนวโน้มรายได้หรือกำไรของบริษัท แต่ตัวแปรดังกล่าวสามารถสะท้อนผลกระทบที่นักวิเคราะห์และนักลงทุนคาดการณ์ต่อผลดำเนินกิจการและแนวโน้มงบดุลของบริษัทในอนาคตได้ทันท่วงที รวมถึงมีแนวโน้มปนเปื้อนจากการบิดเบือนข้อมูลน้อยกว่าข้อมูลงบดุล เนื่องจากบริษัทอาจมีการตกแต่งบัญชีภายใต้มาตรฐานการรายงานทางการเงิน

ค่าเงินส่งผลต่อภาคส่งออกอย่างไร ?

อัตราแลกเปลี่ยนเป็นตัวแปรทางเศรษฐกิจตัวหนึ่งที่มีความสำคัญ เนื่องจากส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในวงกว้าง นักเศรษฐศาสตร์และผู้กำหนดนโยบายมักจะติดตามการเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยนอย่างสม่ำเสมอ เพื่อประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการส่งออกสินค้าซึ่งเป็นเครื่องยนต์หลักของประเทศกำลังพัฒนารวมทั้งไทย

งานศึกษาในต่างประเทศหลายชิ้นพบว่า อัตราแลกเปลี่ยนมีความสัมพันธ์กับการเติบโตทางเศรษฐกิจ จากช่องทางปริมาณการส่งออก (trade channel) โดยงานศึกษาในอดีตที่ผ่านมามักจะวัดผลกระทบของอัตราแลกเปลี่ยนในสองมิติ ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน (อ่อนค่าหรือแข็งค่า) และความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งในงานศึกษา Freund & Pierola (2012), Di Nino et al. (2011), Eichengreen & Gupta (2013), และ Nicita (2013) ที่ศึกษาการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน พบว่าอัตราแลกเปลี่ยนที่อ่อนค่าจะส่งผลให้ปริมาณการส่งออกปรับเพิ่มขึ้นเนื่องจากราคาสินค้าในมุมของผู้ซื้อปรับลดลง

สำหรับงานศึกษาที่วิเคราะห์ผลกระทบของความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน เช่น Clark et al. (2004) พบว่าความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนมีความสัมพันธ์เชิงลบกับปริมาณการส่งออกในภาพรวม แต่ขนาดของผลกระทบมีความแตกต่างกัน และไม่พบความสัมพันธ์ที่ชัดเจนเมื่อเจาะลึกลงไปในรายประเทศและรายสินค้า ขณะที่งานศึกษา Chit et al. (2010) พบว่าความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนส่งผลลบต่อการส่งออกของกลุ่มประเทศเกิดใหม่ในอาเซียน รวมถึงประเทศไทย

อย่างไรก็ดี การศึกษาหลัง Global Financial Crisis (GFC) จากข้อมูลกว่า 46 ประเทศ ทั้งกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วและกำลังพัฒนารวมถึงไทย พบว่า trade channel มีความสำคัญลดลง สะท้อนจากผลกระทบของอัตราแลกเปลี่ยนต่อปริมาณการส่งออกที่มีแนวโน้มลดลง ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการที่ห่วงโซ่การผลิตโลกมีความเชื่อมโยงกันมากขึ้น (Ahmed Hannan et al., 2015; Leigh et al., 2015) และการส่งออกนำเข้าที่ถูกทำในรูปเงินสกุลหลักไม่กี่สกุลโดยเฉพาะสกุลดอลลาร์ สรอ. (Boz et al., 2022; Gopinath, 2015)

ผลการศึกษาดังกล่าวสอดคล้องกับกรณีของไทยที่พบว่าความสัมพันธ์ระหว่างดัชนีค่าเงินที่แท้จริงกับปริมาณการส่งออกปรับลดลงมากกว่าครึ่งในระยะหลัง (Bank of Thailand, 2018) ทำให้การศึกษาในช่วงหลังให้ความสำคัญกับ valuation effect มากขึ้น เช่น Barbiero (2021) ศึกษาผลกระทบของค่าเงินต่อกำไรของบริษัทในภาคอุตสาหกรรมของฝรั่งเศสซึ่งมี invoicing currency ในสกุลต่างประเทศ รวมทั้งนัยต่อภาคเศรษฐกิจจริง ขณะที่ Adams & Verdelhan (2022) ศึกษาผลกระทบของค่าเงินต่องบดุลและอัตราผลตอบแทนหุ้นรายบริษัทในหกสกุลหลัก

สำหรับไทย งานศึกษา valuation effect ของค่าเงินยังมีจำกัด โดยความท้าทายหนึ่งในการตอบคำถามนี้คือข้อจำกัดด้านข้อมูล ทั้งในเรื่องของความถี่ของข้อมูลงบการเงินของภาคธุรกิจที่มีเพียงรายไตรมาส ความยาวของข้อมูลที่มีน้อยและไม่ต่อเนื่องซึ่งมาจากการเข้ามาของผู้เล่นใหม่และการหายไปของผู้เล่นเดิม และความล่าช้าของข้อมูลที่ใช้เวลานานก่อนจะมีการรายงานจนอาจไม่ทันการณ์ต่อการประเมินผลกระทบต่อเศรษฐกิจ บทความนี้จึงก้าวข้ามข้อจำกัดด้านข้อมูล โดยศึกษาผลของ valuation effect ของไทยผ่านราคาหุ้น ซึ่งสะท้อนการคาดการณ์รายได้บริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ ดังเช่นการศึกษาของ Dominguez & Tesar (2006) และ Adams & Verdelhan (2022) โดยเป็นการใช้ประโยชน์จากการประเมินผลกระทบในมุมมองของนักวิเคราะห์และนักลงทุนในตลาดต่อผลประกอบการแต่ละบริษัท ซึ่งมีความถี่และคุณภาพของข้อมูลสูง

ค่าเงินกับราคาหุ้น

ความสัมพันธ์ของมูลค่าบริษัทและค่าเงิน (FX exposure) ได้ถูกศึกษามาอย่างยาวนาน (Adler & Dumas, 1984) Dominguez & Tesar (2006) ศึกษาผลของค่าเงินต่อมูลค่าบริษัทผ่านราคาหุ้น พบว่าค่าเงินกระทบต่อราคาหุ้นในหลายบริษัท ซึ่งผลกระทบจะแตกต่างกันตามตัวแปรค่าเงินที่ใช้วิเคราะห์และลักษณะของบริษัท นอกจากนี้ผลกระทบดังกล่าวยังมีพลวัติที่เปลี่ยนแปลงไปตามช่วงเวลาโดยขึ้นกับการปรับตัวของบริษัท

Dominguez & Tesar (2006) ยังได้ศึกษาผลกระทบของค่าเงินต่อราคาหุ้นไทยและพบว่าการอ่อนค่าของเงินบาททำให้บริษัทส่วนใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์มีมูลค่าลดลง ขณะที่ Adams & Verdelhan (2022) ได้ศึกษาผลกระทบของค่าเงินต่องบดุลของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์เช่นกัน พบว่าค่าเงินส่งผลต่อรายการกำไรขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนในงบดุล และต่ออัตราผลตอบแทนในหุ้นของบริษัท โดยผลกระทบต่อราคาหุ้นจะขึ้นอยู่กับทิศทางการส่งผ่านในงบดุล สิ่งหนึ่งที่เห็นได้จากสองงานศึกษาที่กล่าวมา คือการพยายามเชื่อมโยงทิศทางและขนาดของผลกระทบจากค่าเงินต่อมูลค่าบริษัท กับลักษณะเฉพาะของบริษัทนั้น ๆ เพื่อพยายามอธิบายเหตุผลทางเศรษฐศาสตร์

ทั้งนี้ Dominguez & Tesar (2006) พบว่าค่าเงินมีผลกระทบแพร่หลายในบริษัทที่มีกิจกรรมทางเศรษฐกิจกับต่างประเทศและในบริษัทขนาดเล็ก ขณะที่ Adams & Verdelhan (2022) พบว่าค่าเงินที่แข็งค่าทำให้อัตราผลตอบแทนดัชนีหุ้นกลุ่มบริษัทปรับลดลง หากกลุ่มบริษัทดังกล่าวบันทึกการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนในงบดุลจากการแข็งค่าของค่าเงิน อย่างไรก็ดี ด้วยข้อจำกัดของข้อมูลทำให้การระบุลักษณะเฉพาะหรือการจัดกลุ่มบริษัทมีความท้าทาย บทความนี้จึงได้พยายามจัดกลุ่มบริษัทที่คาดว่าจะมี FX exposure ให้แม่นยำมากขึ้นผ่านการใช้ข้อมูลกรมศุลกากร ในการกำหนดบริษัทส่งออกนำเข้า ผ่านการคำนวณมูลค่าการส่งออกสุทธิรายปี

ในการวิเคราะห์ผลกระทบของอัตราแลกเปลี่ยนต่อราคาหุ้น บทความนี้ประยุกต์ใช้แบบจำลองพื้นฐาน Capital Asset Pricing Model (CAPM) ซึ่งสอดคล้องกับงานศึกษาของ Dominguez & Tesar (2006) และ Adams & Verdelhan (2022) โดยแบบจำลอง CAPM มีข้อสมมติว่าหากตลาดมีประสิทธิภาพ ผลตอบแทนส่วนเกิน (excess return) ของหุ้นจะถูกกำหนดจากความเสี่ยงที่ไม่สามารถกระจายได้ (non-diversifiable risk) เช่น ความเสี่ยงจากการเคลื่อนไหวของตลาด เนื่องจากงานศึกษานี้ต้องการศึกษาผลกระทบของค่าเงินต่อราคาหุ้น จึงได้เพิ่มปัจจัยอื่นที่เกี่ยวข้องกับค่าเงินเข้าไปด้วย เช่น การเปลี่ยนแปลงของค่าเงินบาท และความผันผวนของค่าเงินบาท และผู้วิจัยได้สร้างดัชนีราคากลุ่มบริษัทนำเข้าหรือส่งออกเพื่อเป็นตัวแปรต้นในการศึกษาผลกระทบต่อผลตอบแทนตามแบบจำลอง CAPM

กระบวนการสร้างดัชนีราคากลุ่มบริษัทส่งออกหรือนำเข้า (Portfolio Construction)

การสร้างดัชนีราคาของกลุ่มบริษัทส่งออกหรือนำเข้า (RtR_tRt​) เพื่อนำมาวิเคราะห์ตามแบบจำลอง CAPM ที่ได้กล่าวมา จำเป็นต้องจัดกลุ่มบริษัทนำเข้าส่งออกจากบริษัททั้งหมดในตลาดหลักทรัพย์ทั้งตลาด The Stock Exchange of Thailand (SET) และตลาด Market for Alternative Investment (MAI) เพื่อสร้างดัชนีราคา ทั้งนี้ การกำหนดว่าบริษัทใดเป็นผู้ส่งออกหรือผู้นำเข้าค่อนข้างท้าทาย เช่น บริษัทหนึ่ง ๆ อาจเป็นทั้งผู้ส่งออกและนำเข้า โดยมีทั้งการส่งออกสินค้า การนำเข้าวัตถุดิบ รวมทั้งการนำเข้าอาจเป็นการนำเข้าเครื่องจักรมาใช้งานซึ่งเป็นรายจ่ายเพียงครั้งเดียว การจัดกลุ่มบริษัทที่ไม่รัดกุมอาจทำให้การวิเคราะห์คลาดเคลื่อนได้ ดังนั้น บทความนี้จะจัดกลุ่มผู้ส่งออกนำเข้าเฉพาะบริษัทที่มีมูลค่าการส่งออกสุทธิจากกรมศุลกากรตลอดช่วงเวลาที่ศึกษา โดยบริษัทที่จะถูกจัดเป็นผู้ส่งออกจะต้องมีมูลค่าส่งออกสุทธิเป็นบวกตลอดช่วง และบริษัทที่จะถูกจัดเป็นผู้นำเข้าจะต้องมีมูลค่าส่งออกสุทธิเป็นลบตลอดช่วง จากการจัดกลุ่มดังกล่าวทำให้สามารถแบ่งกลุ่มบริษัทในตลาดได้ตามรูปที่ 1

รูปที่ 1: จำนวนบริษัทในแต่ละกลุ่มในตลาดหลักทรัพย์ไทย ที่เป็นผู้นำเข้า/ส่งออก
ที่มา: ข้อมูลจากกรมศุลกากร และ SETSMART คำนวณโดยผู้เขียนหมายเหตุ: ข้อมูลมูลค่าส่งออกนำเข้ารายปีระหว่างปี 2010–2022 ขณะที่ในปี 2023 กำหนดให้มูลค่าดังกล่าวเท่ากับปี 2022 เนื่องจากความล่าช้าของข้อมูล

เมื่อจัดกลุ่มบริษัทได้แล้ว ดัชนีราคา (รูปที่ 2) จะถูกสร้างขึ้นมาจากราคาหุ้นของบริษัทในกลุ่มนั้น ๆ ความสำคัญของขั้นตอนนี้คือการกำหนดน้ำหนักของหุ้นแต่ละตัวในดัชนี ซึ่งโดยปกติมักจะใช้เพียงมูลค่าตลาดของบริษัทนั้น ๆ ในการถ่วงน้ำหนัก เช่นใน Adams & Verdelhan (2022) อย่างไรก็ดี เนื่องจากงานศึกษานี้ต้องการวิเคราะห์ถึงผลกระทบจากค่าเงินต่อผู้ส่งออกนำเข้า กระบวนการสร้างดัชนีราคาจึงได้นำมูลค่าการส่งออกนำเข้าสุทธิเข้าไปถ่วงน้ำหนักพร้อมกับมูลค่าตลาดด้วย เพื่อให้ดัชนีดังกล่าวสะท้อนลักษณะของผู้ส่งออกนำเข้าให้ได้มากที่สุด ตัวอย่างเช่น ในดัชนีราคาของกลุ่มผู้ส่งออก หากผู้ส่งออกรายนั้นมีมูลค่าการส่งออกสุทธิน้อย น้ำหนักที่ได้จะถูกลดทอนลง หรืออาจกล่าวได้ว่าดัชนีราคานี้สะท้อนการ overweight บริษัทที่มีมูลค่าการส่งออกสุทธิมากหรือมีขนาดมูลค่าตลาดที่สูง

รูปที่ 2: ดัชนีราคาจำแนกตามกลุ่มบริษัท ดัชนี SET และค่าเงินบาท
ที่มา: ข้อมูลจาก Bloomberg, SETSMART และกรมศุลกากร; คำนวณโดยผู้เขียน หมายเหตุ: Exporter/Importer Portfolio Index คำนวณจากการถ่วงน้ำหนักราคาหุ้นบริษัทนั้น ๆ ด้วยมูลค่าตลาดและมูลค่าส่งออกนำเข้าสุทธิที่ทำการปรับสัดส่วน ∣มูลค่าส่งออก−มูลค่านำเข้า∣มูลค่าส่งออก+มูลค่านำเข้า\frac{|\text{มูลค่าส่งออก} - \text{มูลค่านำเข้า}|}{\text{มูลค่าส่งออก} + \text{มูลค่านำเข้า}}มูลค่าส่งออก+มูลค่านำเข้า∣มูลค่าส่งออก−มูลค่านำเข้า∣​

ผลของค่าเงินต่อราคาหุ้นสะท้อนอะไร?

ระดับของค่าเงินสำคัญต่อราคาหุ้นมากกว่าความผันผวน

จากรูปที่ 2 พบว่าดัชนีราคากลุ่มบริษัทส่งออกนำเข้าเคลื่อนไหวตามดัชนีตลาดเป็นหลัก ขณะที่ความสัมพันธ์กับการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทไม่ชัดเจนนัก แต่หากควบคุมการเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดผ่านแบบจำลอง CAPM พื้นฐานตามตารางที่ 1 จะสรุปได้ว่า

  1. การแข็งค่าของเงินบาททำให้ดัชนีราคากลุ่มบริษัทส่งออกปรับลดลง แต่ไม่พบผลกระทบในกลุ่มบริษัทนำเข้า
  2. ไม่พบผลกระทบของความผันผวนของค่าเงินบาทต่อทั้งดัชนีราคากลุ่มบริษัทส่งออกและนำเข้า
ตารางที่ 1: ค่าสัมประสิทธิ์แสดงผลของการเปลี่ยนแปลงดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ค่าเงิน และความผันผวนของค่าเงิน ต่อผลตอบแทนรายสัปดาห์ของดัชนีราคาบริษัทนำเข้าหรือส่งออก

ค่าสัมประสิทธิ์แสดงผลของการเปลี่ยนแปลงดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ค่าเงิน และความผันผวนของค่าเงิน ต่อผลตอบแทนรายสัปดาห์ของดัชนีราคาบริษัทนำเข้าหรือส่งออก

ที่มา: ประมาณค่าและคำนวณโดยผู้เขียนหมายเหตุ: ค่าสัมประสิทธิ์ที่แสดงในตารางถูกประมาณค่าโดยมีสมการหลักดังนี้ Rt=α+β1⋅ΔSET index+β2FX risk+εtR_t = \alpha + \beta_1 \cdot \Delta \text{SET index} + \beta_2 \text{FX risk} + \varepsilon_tRt​=α+β1​⋅ΔSET index+β2​FX risk+εt​ โดย RtR_tRt​ คืออัตราผลตอบแทนรายสัปดาห์ของดัชนีราคาของกลุ่มบริษัทส่งออกหรือนำเข้า ΔSET index\Delta \text{SET index}ΔSET index คืออัตราผลตอบของดัชนีราคาตลาด SET และ FX risk\text{FX risk}FX risk คือการเปลี่ยนแปลงหรือความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนรายสัปดาห์ (สำหรับการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน เครื่องหมายบวกหมายถึงค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเทียบเงินดอลลาร์ สรอ. ขณะที่ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนคำนวณด้วยวิธี Exponential Weighted Moving Average (EWMA)) ทั้งนี้ อัตราผลตอบแทนทั้งหมดถูกคำนวณในรูปลอการิทึม สมการดังกล่าวประมาณค่าจากข้อมูลรายสัปดาห์ระหว่าง ม.ค. 2010 – มิ.ย. 2023

หากพิจารณาตามมุมมองแบบจำลอง CAPM อาจกล่าวได้ว่า การเปลี่ยนแปลงค่าเงินเป็นความเสี่ยงที่ไม่สามารถกระจายได้ในกลุ่มบริษัทส่งออก ขณะที่ไม่พบลักษณะดังกล่าวในกลุ่มบริษัทนำเข้า จึงอนุมานได้ว่านักลงทุนอาจคาดการณ์ว่าค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นมีแนวโน้มกระทบต่อรายได้ผู้ส่งออก ซึ่งผลดังกล่าวเป็นความเสี่ยงที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ทำให้กำหนดราคาของหุ้นส่งออกต่ำลงเมื่อเงินบาทแข็งค่า ขณะที่ในด้านผู้นำเข้าผลดังกล่าวไม่ชัดเจน โดยหากพิจารณาในรายบริษัท พบว่าดัชนีราคาของกลุ่มบริษัทนำเข้าประกอบด้วยกลุ่มพลังงานเป็นหลัก ซึ่งการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นมักจะขึ้นกับแนวโน้มราคาน้ำมันโลกมากกว่าอัตราแลกเปลี่ยน

ทั้งนี้ จากผลการศึกษาในตาราง 1 พบว่า หากเงินบาทแข็งค่าขึ้น 10% ราคาหุ้นกลุ่มส่งออกจะปรับลดลงประมาณ 3 % ขณะที่ราคาหุ้นกลุ่มนำเข้าจะปรับเพิ่มขึ้นเพียงไม่ถึง 1% และไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ

นักลงทุนให้น้ำหนักของผลกระทบจากค่าเงินบาทต่อผู้ส่งออกมากขึ้น ในช่วงที่เงินบาทอยู่ในระดับแข็งค่ามาก

จากการพิจารณาการเคลื่อนไหวของค่า β2\beta_2β2​ จากสมการ baseline ผ่านการประมาณค่าแบบ rolling windows ระยะ 52 สัปดาห์ พบว่า ความรุนแรงของผลกระทบค่าเงินบาทขึ้นกับระดับของอัตราแลกเปลี่ยน โดยผลกระทบของค่าเงินบาทต่อราคาหุ้นกลุ่มส่งออกมีความรุนแรงมากขึ้นเกือบสองเท่าในช่วงที่เงินบาทอยู่ที่ระดับแข็งค่ามาก สะท้อนว่าตลาดหรือนักลงทุนจะให้น้ำหนักของผลกระทบค่าเงินบาทเพิ่มขึ้นช่วงที่เงินบาทอยู่ในระดับแข็งค่า (รูปที่ 3)

รูปที่ 3: scatter plot ระหว่างระดับค่าเงินบาทและ 52-week rolling β2\beta_2β2​

scatter plot ระหว่างระดับค่าเงินบาทและ 52-week rolling $\beta_2$

ที่มา: ประมาณค่าและคำนวณโดยผู้เขียนหมายเหตุ: β2\beta_2β2​ ประมาณค่าโดยใช้การเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนเป็น FX risk และประมาณค่าในลักษณะ rolling window 52 สัปดาห์ จากข้อมูลรายสัปดาห์ระหว่าง ม.ค. 2010 – มิ.ย. 2023

นักลงทุนมองว่าบริษัทส่งออกยังไม่สามารถป้องกันความเสี่ยงจากค่าเงินได้ทั้งหมด

การประเมินผลกระทบจากค่าเงินผ่านราคาหุ้นสามารถสะท้อนพฤติกรรมการปรับตัวบริษัทส่งออกในตลาดหลักทรัพย์ได้บ้าง โดยหากพบว่าค่า β2\beta_2β2​ มีแนวโน้มขยับเข้าสู่ค่าศูนย์ จะหมายความว่าอัตราแลกเปลี่ยนมีผลต่อราคาหุ้นหรือการคาดการณ์รายได้บริษัทน้อยลง และอาจสามารถอนุมานได้ว่านักลงทุนมองว่าบริษัทส่งออกสามารถจัดการความเสี่ยงจากค่าเงินได้ มากขึ้น เช่น อาจนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศเพิ่มขึ้นเพื่อลดแรงกดดันจากค่าเงิน (operational hedge) หรืออาจทำการซื้อขายในรูปสกุลเงินท้องถิ่นมากขึ้น (local currency invoicing) จนทำให้นักลงทุนไม่คิดว่าค่าเงินมีผลต่อกำไรของบริษัท อย่างไรก็ดี จากรูปที่ 4 ไม่พบว่า β2\beta_2β2​ มีแนวโน้มอยู่ที่ค่าศูนย์ ตลอดทั้งช่วงที่บาทแข็งและบาทอ่อน โดยค่าดังกล่าวเคลื่อนไหวสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงค่าเงินในบางจังหวะ จึงอนุมานได้ว่าบริษัทส่งออกยังไม่มีการปรับตัวต่อความเสี่ยงจากค่าเงินในมุมมองของนักลงทุน ทั้งนี้ พลวัติของ β2\beta_2β2​ อาจขึ้นกับปัจจัยอื่นนอกเหนือจากการปรับตัวของบริษัทส่งออกได้ด้วย เช่น ภาวะเศรษฐกิจโลก ณ ขณะนั้น

รูปที่ 4: 52-week rolling β2\beta_2β2​ และค่าเงินบาท
ที่มา: ข้อมูลจาก Bloomberg ประมาณค่าและคำนวณโดยผู้เขียน

กลุ่มอุตสาหกรรมชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เกษตร และอุตสาหกรรมอาหาร ได้รับผลกระทบจากค่าเงินมากกว่ากลุ่มอื่น

เมื่อแยกพิจารณาบริษัทในกลุ่มส่งออกเป็นรายภาคอุตสาหกรรมตามการจำแนกของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และคำนวณดัชนีราคาของแต่ละภาคอุตสาหกรรมโดยใช้การถ่วงน้ำหนักเช่นเดียวกับการศึกษาข้างต้น ผลการศึกษาในรูปที่ 5 พบว่าอัตราผลตอบแทนของดัชนีราคาในภาคเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร และภาคเทคโนโลยี ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของค่าของเงินบาทอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่ไม่พบความสัมพันธ์ดังกล่าวในกลุ่มที่เหลือ โดยในภาคเทคโนโลยีที่มีความอ่อนไหวต่อค่าเงินสูงกว่ากลุ่มอื่น คาดว่าเนื่องจากบริษัทส่งออกในภาคนี้มีเพียงเฉพาะบริษัทผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีมูลค่าการส่งออกสูงเมื่อเทียบกับภาคอื่น ๆ จึงมีแนวโน้มโดนผลกระทบจากค่าเงินสูงกว่า ขณะที่ภาคเกษตรและอุตสาหกรรมอาหารที่พบความอ่อนไหวต่อค่าเงิน คาดว่าเนื่องจากภาคดังกล่าวส่งออกสินค้าที่มีความคล้ายกันและสามารถทดแทนกันได้สูง ทำให้การปรับราคาอาจทำได้ยากเพราะอาจสูญเสียส่วนแบ่งการตลาด ส่งผลให้แนวโน้มกำไรปรับแย่ลงง่ายกว่าหากค่าเงินแข็งค่า

รูปที่ 5: β2\beta_2β2​ รายภาคอุตสาหกรรม
ที่มา: ประมาณค่าและคำนวณโดยผู้เขียน

บทสรุปและนัยเชิงนโยบาย

งานศึกษาพบว่าราคาหุ้นกลุ่มส่งออกมีความสัมพันธ์กับค่าเงินบาท โดยหากเงินบาทปรับแข็งค่า ราคาหุ้นกลุ่มส่งออกปรับลดลง ซึ่งการลดลงของราคาดังกล่าวสามารถอนุมานถึงมุมมองของนักลงทุนต่อผลประกอบการของบริษัทส่งออกที่อาจแย่ลงจากเงินบาทที่แข็งค่า ทั้งนี้ ในมุมมองของนักลงทุนความผันผวนของค่าเงินมีความสำคัญน้อยกว่าการเปลี่ยนแปลงของระดับค่าเงิน นอกจากนี้ งานศึกษายังพบอีกว่า

  • นักลงทุนจะยิ่งให้น้ำหนักผลกระทบของค่าเงินต่อบริษัทส่งออกมากขึ้น หากเงินบาทอยู่ในระดับแข็งค่ามาก
  • ราคาหุ้นของบริษัทส่งออกในตลาดหลักทรัพย์ที่ได้รับผลกระทบจากค่าเงินส่วนมากเป็น 1) กลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร ซึ่งเป็นกลุ่มที่ปรับราคาสินสินค้าได้ยากเนื่องจากสินค้ามีความคล้ายกันและสามารถทดแทนกันได้สูง และ 2) กลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีมูลค่าการส่งออกสูง
  • นักลงทุนมองว่าบริษัทส่งออกยังไม่สามารถป้องกันความเสี่ยงจากค่าเงินได้ทั้งหมด จึงเป็นคำถามที่น่าสนใจว่าพฤติกรรมบริหารความเสี่ยงค่าเงินของผู้ประกอบการไทยเป็นอย่างไร มีข้อจำกัดหรือไม่ ซึ่งควรมีการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อส่งเสริมให้ผู้ประกอบการสามารถบริหารความเสี่ยงได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

ทั้งนี้ ผลการศึกษาสะท้อนมุมมองของนักลงทุนมากกว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นจริง ผลดังกล่าวจึงควรตีความด้วยความระมัดระวังภายใต้สมมติฐานที่กำหนด และแม้ว่าผลการศึกษาได้ชี้ให้เห็นถึงความเป็นไปได้ของการส่งผ่านผลจากอัตราแลกเปลี่ยนสู่ภาคเศรษฐกิจจริง แต่นัยของผลกระทบจะขึ้นกับภาวะเศรษฐกิจโลกโดยรวม ณ ขณะนั้น เนื่องจากปัจจัยหลักที่กระทบภาคการส่งออกไทยมาจากอุปสงค์ต่างประเทศเป็นสำคัญ ขณะที่ผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนเป็นเพียงส่วนน้อยเมื่อเทียบกับปัจจัยอื่น ดังนั้น หากต้องการวิเคราะห์นัยต่อเศรษฐกิจจากผลกระทบของอัตราแลกเปลี่ยน จำเป็นต้องศึกษาในรายละเอียดเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

Adams, P., & Verdelhan, A. (2022). Exchange Rate Risk in Public Firms. Working paper, MIT Sloan.
Adler, M., & Dumas, B. (1984). Exposure to currency risk: definition and measurement. Financial Management, 41–50.
Ahmed Hannan, S., Appendino, M., & Ruta, M. (2015). Depreciations without exports? Global value chains and the exchange rate elasticity of exports. Global Value Chains and the Exchange Rate Elasticity of Exports (August 11, 2015). World Bank Policy Research Working Paper, 7390.
Bank of Thailand. (2018). Monetary Policy Report. Bank of Thailand.
Barbiero, O. (2021). The valuation effects of trade (Working Paper No. 21–11). FRB of Boston.
Boz, E., Casas, C., Georgiadis, G., Gopinath, G., Le Mezo, H., Mehl, A., & Nguyen, T. (2022). Patterns of invoicing currency in global trade: New evidence. Journal of International Economics, 136, 103604.
Chit, M. M., Rizov, M., & Willenbockel, D. (2010). Exchange rate volatility and exports: New empirical evidence from the emerging East Asian economies. World Economy, 33(2), 239–263.
Clark, P. B., Wei, S.-J., Tamirisa, N. T., Sadikov, A. M., & Zeng, L. (2004). A new look at exchange rate volatility and trade flows. In A new look at exchange rate volatility and trade flows. International Monetary Fund.
Di Nino, V., Eichengreen, B., & Sbracia, M. (2011). Real exchange rates, trade, and growth: Italy 1861-2011. Bank of Italy Economic History Working Paper, 10.
Dominguez, K. M., & Tesar, L. L. (2006). Exchange rate exposure. Journal of International Economics, 68(1), 188–218.
Eichengreen, B., & Gupta, P. (2013). The real exchange rate and export growth: are services different? (Working Paper No. 17). Bank of Korea.
Freund, C., & Pierola, M. D. (2012). Export surges. Journal of Development Economics, 97(2), 387–395.
Gopinath, G. (2015). The International Price System (Working Paper No. 21646; Working Paper Series). National Bureau of Economic Research.
Leigh, D., Lian, W., Poplawski-Ribeiro, M., & Tsyrennikov, V. (2015). Exchange Rates and Trade Flows: Disconnected?, October 2015 World Economic Outlook. International Monetary Fund.
Nicita, A. (2013). Exchange rates, international trade and trade policies. International Economics, 135, 47–61.

  1. จากข้อมูลกรมศุลกากรพบว่าผู้ส่งออกนำเข้าไทยซื้อขายสินค้าในรูปเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ ประมาณร้อยละ 80 ในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา↩
เขมกร ศรีจรรยานนท์
เขมกร ศรีจรรยานนท์
ธนาคารแห่งประเทศไทย
Topics: Financial Market and Asset PricingInternational Trade
Tags: foreign exchangestock returnexport firmsstock market
ข้อคิดเห็นที่ปรากฏในบทความนี้เป็นความเห็นของผู้เขียน ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับความเห็นของสถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์

สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์

273 ถนนสามเสน แขวงวัดสามพระยา เขตพระนคร กรุงเทพฯ 10200

โทรศัพท์: 0-2283-6066

Email: pier@bot.or.th

เงื่อนไขการให้บริการ | นโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2568 สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์

เอกสารเผยแพร่ทุกชิ้นสงวนสิทธิ์ภายใต้สัญญาอนุญาต Creative Commons Attribution-NonCommercial-ShareAlike 3.0 Unported license

Creative Commons Attribution NonCommercial ShareAlike

รับจดหมายข่าว PIER

Facebook
YouTube
Email