นโยบายสาธารณะกับหนี้ภาครัฐ : ปัญหาการ “มองสั้น” ของรัฐไทย
excerpt
บทความนี้วิเคราะห์ปัญหาการ "มองสั้น" ในนโยบายสาธารณะของไทย โดยชี้ให้เห็นถึงความแพร่หลายของปัญหานี้ผ่านตัวอย่างนโยบายต่างๆ และสัญญาณอันตรายของการมองสั้นเชิงระบบที่ปรากฏในรูปแบบการขาดดุลการคลังเรื้อรัง ผู้เขียนแสดงให้เห็นถึงต้นทุนและค่าเสียโอกาสสำคัญของประเทศหากปล่อยให้สถานการณ์นี้ดำเนินต่อไป พร้อมวิเคราะห์สาเหตุและกลไกสถาบันที่เกี่ยวข้องผ่านการเปรียบเทียบกับแนวทางของประเทศพัฒนาแล้ว นอกจากนี้ ผู้เขียนยังได้เสนอแนวทางการสร้างกลไกติดตามวินัยการคลังที่มีประสิทธิภาพสำหรับประเทศไทย ผ่านการพัฒนาระบบนิเวศที่เสริมพลังภาคประชาสังคมในการผลักดันนโยบายที่มีวิสัยทัศน์ระยะยาวเพื่อนำไปสู่การพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน
การ "มองสั้น" ในการกำหนดนโยบายสาธารณะเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการพัฒนา ในกรณีของประเทศไทย หนึ่งในตัวอย่างที่ชัดเจนของปัญหาการมองสั้นนี้คือ นโยบายด้านภาษีของประเทศในช่วงสามทศวรรษที่ผ่านมา
เมื่อย้อนกลับไป ในปี 1990 ธนาคารโลกได้จัดประเภทให้ 85 ประเทศเป็นประเทศรายได้ปานกลาง หลังจากนั้นราวสามทศวรรษ มีเพียง 22 ประเทศที่สามารถยกระดับตนเองสู่การเป็นประเทศรายได้สูงได้สำเร็จ ในกลุ่มประเทศที่ประสบความสำเร็จนี้ ราวร้อยละ 55 เป็นเกาะขนาดเล็ก ร้อยละ 18 เป็นประเทศในทวีปยุโรปซึ่งได้รับประโยชน์จากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป และร้อยละ 14 เป็นประเทศที่มีรายได้หลักจากทรัพยากรน้ำมัน เหลือเพียง 3 ประเทศที่มีโมเดลการพัฒนาใกล้เคียงกับประเทศไทย ได้แก่ เกาหลีใต้ ชิลี และอุรุกวัย
เมื่อพิจารณาพัฒนาการด้านภาษีของ 3 ประเทศนี้ พบว่ามีลักษณะร่วมกันที่สำคัญ คือ การเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของรายได้จากภาษี โดยสาธารณรัฐเกาหลีมีรายได้จากภาษีเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 17 เป็นร้อยละ 22 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ในขณะที่ทั้งชิลีและอุรุกวัยมีการเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 13 เป็นร้อยละ 20 ของ GDP (รูปที่ 1) อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาสถานการณ์ของประเทศไทย พบว่ามีความแตกต่างอย่างน่าสนใจ นั่นคือรายได้จากภาษีของไทยลดลงจากร้อยละ 17 เหลือเพียงร้อยละ 16 ของ GDP ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่ขัดแย้งกับสมมติฐานทั่วไปที่ว่า ประเทศที่มีการพัฒนาทางเศรษฐกิจและมีการลดลงของเศรษฐกิจนอกระบบ ควรมีรายได้จากภาษีที่เพิ่มขึ้น
หมายเหตุ: รวมรายได้ภาษีทั้งหมดและใช้ข้อมูลล่าสุดที่ครอบคลุมทุกประเทศที่มา: เรียบเรียงจาก อธิภัทร (2022) และใช้ข้อมูลล่าสุดจาก United Nation University (UNU)
ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อปรากฏการณ์นี้คือ "ช่องว่างเชิงนโยบาย" หรือ policy gap ในช่วงสามทศวรรษที่ผ่านมา ประเทศไทยได้มีการปรับโครงสร้างภาษีสำคัญหลายครั้ง แต่แทบทั้งหมดมุ่งเน้นไปที่การลดภาระภาษีให้แก่ภาคธุรกิจและครัวเรือน ซึ่งเป็นนโยบายที่ได้รับความนิยมและง่ายต่อการดำเนินการในทางการเมือง มีการปรับโครงสร้างภาษีสำคัญเพียงครั้งเดียวที่เป็นการเพิ่มรายได้ให้รัฐ นั่นคือการเปลี่ยนจากภาษีการค้าเป็นภาษีมูลค่าเพิ่มในปี 1992 (รูปที่ 2)
หมายเหตุ: รวมรายได้ภาษีทั้งหมดและใช้ข้อมูลล่าสุดที่ครอบคลุมทุกประเทศที่มา: เรียบเรียงจาก อธิภัทร (2022)
ผลลัพธ์ของนโยบายดังกล่าวส่งผลให้ในปัจจุบัน รายได้ของรัฐบาลไทยเพียงพอแค่สำหรับรายจ่ายประจำและการชำระหนี้เท่านั้น การลดลงของรายได้ภาษีนี้สะท้อนให้เห็นถึงปัญหา "การมองสั้น" ในการกำหนดนโยบายของรัฐบาลไทย ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องได้รับการพิจารณาอย่างจริงจังในการวางแผนพัฒนาประเทศในอนาคต การแก้ไขปัญหาการ "มองสั้น" นี้จำเป็นต้องอาศัยการปรับเปลี่ยนโครงสร้างและกลไกในการกำหนดนโยบายสาธารณะของประเทศไทย โดยมุ่งเน้นการสร้างสมดุลระหว่างผลประโยชน์ระยะสั้นและความยั่งยืนในระยะยาว ซึ่งเป็นประเด็นหลักของบทความนี้
"การมองสั้น" ในบริบทนโยบาย หมายถึงการดำเนินนโยบายที่มุ่งเน้นผลระยะสั้น โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบระยะยาวอย่างเพียงพอ ซึ่งมักจะมาจากนักการเมืองเป็นหลัก โดยมีตัวอย่างนโยบายที่เน้นผลประโยชน์ระยะสั้นที่สำคัญ ดังนี้
- มาตรการคืนภาษีสรรพสามิตรถคันแรก แม้จะช่วยกระตุ้นยอดขายรถยนต์ในระยะสั้น แต่งานวิจัยของ Muthitacharoen et al. (2019) ชี้ว่าในระยะยาว โครงการนี้เพิ่มแนวโน้มการผิดนัดชำระหนี้ของผู้ร่วมโครงการอย่างมีนัยสำคัญ
- การพักชำระหนี้เกษตรกร Ratanavararak & Chantarat (2023) ชี้ว่าในช่วงปี พ.ศ. 2557–2566 มีการพักหนี้เกษตรกรถึง 13 มาตรการใหญ่ อย่างไรก็ตาม มาตรการเหล่านี้ไม่สามารถแก้ปัญหาหนี้ได้อย่างยั่งยืน เกษตรกรที่เข้าร่วมมาตรการมียอดหนี้สูงขึ้น มีแนวโน้มเป็นหนี้เสียสูงขึ้น และมีโอกาสกลับเข้าไปพักหนี้ซ้ำ สะท้อนถึงปัญหา moral hazard หรือกล่าวคือ นโยบายสร้างแรงจูงใจที่เป็นผลเสีย หรือเพิ่มความเสี่ยงต่อผู้เข้าร่วมเอง
- การอุดหนุนราคาน้ำมันดีเซล แม้จะช่วยลดต้นทุนขนส่งในระยะสั้น แต่ในระยะยาว Del Granado et al. (2012) ชี้ว่านโยบายนี้ไม่ส่งเสริมการปรับตัวสู่การขนส่งที่สะอาดและมีประสิทธิภาพ
สิ่งที่น่ากังวลคือ เรากำลังเห็นสัญญาณอันตรายของการมองสั้นเชิงระบบ ที่ปรากฏในรูปแบบของการขาดดุลการคลังเรื้อรัง ในรอบสองทศวรรษที่ผ่านมา รัฐบาลไทยประสบภาวะขาดดุลแทบทุกปี โดยขนาดของการขาดดุลที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและในปัจจุบันสูงกว่าในอดีตอย่างมีนัยสำคัญนี้อาจสะท้อนถึงขนาดที่รุนแรงขึ้นของปัญหาการกำหนดนโยบายที่ขาดวิสัยทัศน์ระยะยาว (รูปที่ 3)
หมายเหตุ: ดุลการคลังรวมถึงดุลงบประมาณและดุลนอกงบประมาณ และไม่รวมการกู้ยืมฉุกเฉินภายใต้กฎหมายพิเศษที่มา: การวิเคราะห์ของผู้เขียนจากข้อมูลของสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
หากปล่อยให้การมองสั้นทางนโยบายดำเนินต่อไป เราจะต้องแบกรับต้นทุนสำคัญในระยะยาว โดยแบ่งเป็น 3 ด้านสำคัญ
ปัจจุบันประเทศไทยได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ BBB+ อย่างไรก็ตาม เมื่อวิเคราะห์เปรียบเทียบกับประเทศที่มีอันดับต่ำกว่าเราหนึ่งระดับ (BBB) พบว่าในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา หนี้สาธารณะของไทยได้เพิ่มสูงขึ้นจนเกินระดับของประเทศเหล่านั้น (รูปที่ 4) ยิ่งไปกว่านั้น สัดส่วนภาระดอกเบี้ยต่อรายได้สุทธิ ซึ่งเป็นเครื่องชี้วัดสำคัญที่องค์กรจัดอันดับความน่าเชื่อถือใช้ในการประเมิน มีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นเกิน 10% ในอีก 1-2 ปีข้างหน้า สถานการณ์นี้เป็นสัญญาณเตือนว่าภาคการคลังไม่ได้เป็นจุดแข็งของไทยเหมือนในอดีต ซึ่งชี้ถึงความจำเป็นที่รัฐบาลจะต้องดำเนินนโยบายการคลังอย่างระมัดระวัง และให้ความสำคัญมากยิ่งขึ้นต่อวินัยการคลัง เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อต้นทุนการระดมทุนทั้งในภาครัฐและเอกชน
ที่มา: การวิเคราะห์ของผู้เขียนจากข้อมูลของ Fitch IMF และสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
การขาดดุลการคลังเรื้อรังส่งผลให้รัฐบาลมีภาระหนี้เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันอยู่ที่ราว 10% ของงบประมาณทั้งหมด และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 15% ในอีก 5 ปีข้างหน้า (รูปที่ 5) การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วนี้จะซ้ำเติมความยืดหยุ่นทางการคลังซึ่งเป็นปัญหาสำคัญอยู่แล้ว เนื่องจากรายจ่ายที่ยากต่อการลดทอน เช่น ค่าตอบแทนบุคลากร ค่าสวัสดิการ และการชำระหนี้ คิดเป็น 70% ของงบประมาณทั้งหมด ส่งผลอย่างมากต่อขีดความสามารถของรัฐบาลในการสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ และการรับมือต่อวิกฤตในอนาคต
ที่มา: สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
หลักฐานเชิงประจักษ์ชี้ว่าประเทศที่มีการใช้นโยบายประชานิยมอย่างแพร่หลาย ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของการมองสั้นทางนโยบาย มักเป็นประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำสูง (รูปที่ 6) ความสัมพันธ์นี้ชี้ว่าการมองสั้นเชิงนโยบายไม่เพียงส่งผลเสียต่อเสถียรภาพทางการคลังและการเติบโตทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังอาจทวีความรุนแรงของปัญหาความเหลื่อมล้ำ ในทางกลับกัน ความเหลื่อมล้ำที่สูงก็อาจยิ่งกระตุ้นความต้องการนโยบายประชานิยมระยะสั้นมากขึ้น สร้างวงจรอุบาทว์ (vicious cycle) ที่ยากจะหลุดพ้น จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องตัดวงจรนี้ โดยการแก้ไขปัญหาการมองสั้นเชิงนโยบายอย่างเร่งด่วน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมที่รุนแรงมากขึ้นในอนาคต
หมายเหตุ:1) วัดความแพร่หลายของของนโยบายประชานิยมจากสัดส่วนคะแนนเสียง (%) ของพรรคประชานิยม 2) นิยามพรรคประชานิยมว่าเป็นพรรคที่ (ก) มักเน้นนโยบายระยะสั้นที่ดึงดูดใจประชาชนในทันที แต่อาจไม่ยั่งยืนทางการเงินหรือสถาบัน และ (ข) มีชื่อเสียงในการวิพากษ์วิจารณ์หรือปฏิเสธผู้เชี่ยวชาญทางเศรษฐกิจและสถาบันที่มีอยู่ซึ่งสนับสนุนความยั่งยืน และ 3) ข้อมูลของประเทศส่วนใหญ่มาจากช่วงปี 2016–2017 ขึ้นอยู่กับวันเลือกตั้งระดับชาติในประเทศยุโรปต่าง ๆ ที่มา: การวิเคราะห์ของผู้เขียนจากข้อมูลของ Stoetzer et al. (2023) , European Social Survey และ Standardized World Income Inequality Database
อะไรคือสาเหตุที่ทำให้นักการเมืองมักจะมองสั้น? การตอบคำถามนี้ต้องพิจารณาทั้งด้านอุปสงค์และอุปทานของการดำเนินนโยบายสาธารณะที่มุ่งผลระยะสั้น ในด้านอุปสงค์หรือความต้องการของประชาชน Guiso et al. (2017) ชี้ว่าความไม่เพียงพอของสวัสดิการและการขาดความเชื่อมั่นต่อรัฐเป็นปัจจัยสำคัญ นั่นคือเมื่อประชาชนไม่มั่นใจในสภาพความเป็นอยู่และความเพียงพอของระบบสวัสดิการของรัฐ สาธารณชนก็มีแนวโน้มที่จะต้องการได้รับผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นทันที จากนโยบายหาเสียงต่าง ๆ แนวโน้มนี้นำไปสู่การให้ความสำคัญต่อพันธะสัญญาของนักการเมือง ประชาชนมักจะให้น้ำหนักกับมาตรการที่ให้ผลประโยชน์ชัดเจนในระยะสั้น มากกว่านโยบายที่นักเศรษฐศาสตร์บอกว่าให้ผลดีในระยะยาวแต่ไม่เห็นผลทันที (รูปที่ 7)
ที่มา: การวิเคราะห์ของผู้เขียน
ในด้านอุปทานหรือการตอบสนองของนักการเมืองและรัฐบาลนั้นมักถูกขับเคลื่อนโดยสองปัจจัยหลัก ได้แก่
- วงจรการเลือกตั้ง ซึ่งสร้างแรงจูงใจให้นักการเมืองต้องการนโยบายประเภท quick win โดยไม่สนใจผลกระทบระยะยาวเพียงพอ
- ความอ่อนแอของกลไกสถาบัน เมื่อสถาบันที่ควรทำหน้าที่ถ่วงดุลและตรวจสอบไม่เข้มแข็งพอ การดำเนินนโยบายระยะสั้นก็สามารถเกิดขึ้นได้ง่าย
ทั้งอุปสงค์และอุปทานนี้สร้างวงจรที่ทำให้การมองสั้นในนโยบายสาธารณะเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงได้ยาก ซึ่งหลายประเทศได้ประสบปัญหานี้เช่นกัน แม้แต่ในระบอบประชาธิปไตยที่ได้รับการออกแบบมาอย่างดี ก็ยังจำเป็นต้องมีกลไกเชิงสถาบันเพื่อป้องกันผลลัพธ์ทางนโยบายที่ไม่พึงประสงค์ ในประเทศพัฒนาแล้ว จึงมักมีการออกแบบกลไกเพื่อสร้างธรรมาภิบาลทางการคลัง (fiscal governance) โดยประกอบด้วย 2 องค์ประกอบหลัก
องค์ประกอบแรกคือกฎการคลัง ซึ่งเป็นเกณฑ์ทางการคลังที่รัฐต้องยึดถือปฏิบัติ เปรียบเสมือนเครื่องมือที่สร้างพันธสัญญา (commitment device) ให้แก่รัฐบาล เช่น การกำหนดสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP เช่น เกาหลีใต้และไทย หรือการกำหนดให้มีการจัดทำงบการคลังสมดุล (balanced budget) ในช่วงวาระของรัฐบาล เช่น สหราชอาณาจักรและสิงคโปร์ โดยกฎการคลังเกี่ยวกับงบการคลังสมดุลและหนี้สาธารณะได้ถูกนำมาใช้มากที่สุดในประเทศต่าง ๆ (รูปที่ 8)
ที่มา: การวิเคราะห์ของผู้เขียนจากข้อมูลของ Davoodi et al. (2022)
องค์ประกอบที่สองคือกลไกติดตามวินัยการคลัง ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปแบบของสถาบันการคลังอิสระ (fiscal councils/independent fiscal institutions) เช่น Congressional Budget Office (CBO) ในสหรัฐอเมริกา และ Office of Budget Responsibility (OBR) ในสหราชอาณาจักร ปัจจุบันราว 50 ประเทศทั่วโลกมีการจัดตั้งสถาบันการคลังอิสระแล้ว และที่น่าสนใจคือสัดส่วนของประเทศกำลังพัฒนาที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา (รูปที่ 9)
ที่มา: การวิเคราะห์ของผู้เขียนจากข้อมูลของ Davoodi et al. (2022)
ภายใต้กลไกเพื่อสร้างธรรมมาภิบาลทางการคลังของประเทศพัฒนาแล้ว (รูปที่ 10) กฎการคลังทำหน้าที่กำหนดขอบเขตทางการคลัง และกลไกติดตามวินัยการคลังทำหน้าที่ประเมินวินัยการคลัง รวมถึงตรวจสอบการปฏิบัติตามกฎการคลังของรัฐบาล ในประเทศได้ให้สถาบันการคลังอิสระเป็นกลไกติดตามวินัยการคลัง ซึ่งการทำหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพจะต้องไม่เพียงพิจารณาว่ารัฐบาลปฏิบัติตามตัวบทกฎหมายเท่านั้น แต่ต้องวิเคราะห์ว่าการกระทำของรัฐบาลนั้นสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกฎการคลังและหลักการความยั่งยืนทางการคลังในระยะยาวหรือไม่ นอกจากนี้สถาบันการคลังอิสระยังมีบทบาทสำคัญในการสื่อสารผลการศึกษาด้านนโยบายสู่ภาคประชาสังคม เพื่อสร้างความตระหนักรู้และกระตุ้นให้เกิดการกดดันต่อนักการเมืองให้คำนึงถึงความยั่งยืนทางการคลัง หน้าที่ของรัฐบาลในกลไกนี้คือการเปิดเผยข้อมูลและจัดสรรทรัพยากรที่เพียงพอแก่การทำงานของกลไกติดตามวินัยการคลัง
ที่มา: การวิเคราะห์ของผู้เขียน
ความท้าทายสำคัญประการหนึ่งของการกำกับวินัยการคลังก็คือ แนวโน้มของรัฐบาลที่มักจะประมาณการทางการคลังในแง่ดีเกินจริง (overoptimism) ไม่ว่าจะเป็นการคาดการณ์การเพิ่มขึ้นของรายได้ภาษีอย่างมีนัยสำคัญ ความสามารถในการลดรายจ่ายของตนเอง ซึ่งส่งผลให้ในท้ายที่สุด รัฐไม่สามารถปฏิบัติตามกฎการคลังที่วางไว้ได้จริง หลักฐานเชิงประจักษ์ชี้ว่าสถาบันการคลังอิสระมีบทบาทสำคัญในการลดทอนการมองโลกในแง่ดีเกินจริงของรัฐบาล โดย Beetsma et al. (2019) แสดงให้เห็นว่า ในประเทศที่มีสถาบันการคลังอิสระ ความคลาดเคลื่อนในการประมาณการ (mean absolute forecasting error) อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจและดุลการคลังเบื้องต้น ต่ำกว่าประเทศที่ไม่มีสถาบันดังกล่าวอย่างเห็นได้ชัด การที่ตัวเลขประมาณการมีความใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากขึ้นนี้ ส่งผลให้รัฐบาลมีแนวโน้มที่จะปฏิบัติตามกฎการคลังมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยพบว่าตัวเลขการขาดดุลการคลังจะลดลงประมาณร้อยละ 1–1.5 ของ GDP ทั้งในกลุ่มตัวอย่างประเทศยุโรปและทั่วโลก หลักฐานเชิงประจักษ์นี้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของสถาบันการคลังอิสระในการส่งเสริมวินัยทางการคลังของประเทศ
หมายเหตุ: 1) สำหรับความคลาดเคลื่อนในการประมาณการ กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยประเทศในสหภาพยุโรปทั้งหมด ซึ่งทุกประเทศมีกฎการคลัง ช่วงเวลาที่ศึกษาคือปี 1995–2015 การทดสอบ t-test เพื่อทดสอบความเท่ากันของค่าเฉลี่ยในสองกลุ่มถูกปฏิเสธที่ระดับนัยสำคัญ 1% ในทุกกรณี และ 2)งานวิจัยนิยามการปฏิบัติตามกฎ (Rule compliance) ว่าเป็นความแตกต่างระหว่างเพดานกฎการคลัง (F) และเครื่องชี้วัดที่เกี่ยวข้อง (F) ภายใต้กฎนั้น (F - F) โดยแสดงเป็น % ของ GDPที่มา: Beetsma et al. (2019)
สำหรับประเทศไทย เรามีพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ที่ได้สร้างกรอบวินัยการคลังเพื่อเป็นกลไกจัดการปัญหาการมองสั้นของนักการเมือง กรอบวินัยการคลังนี้ประกอบด้วย 3 องค์ประกอบสำคัญ ได้แก่ คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ กฎการคลัง และการบริหารความเสี่ยงระยะยาว (รูปที่ 12) พ.ร.บ. นี้นับเป็นก้าวสำคัญในการสร้างกรอบธรรมาภิบาลทางการคลัง โดยเน้นการสร้างความสมดุลระหว่างการกำกับวินัยการคลังและความยืดหยุ่นในการดำเนินนโยบายการคลัง
ที่มา: การวิเคราะห์ของผู้เขียน
กรอบวินัยการคลังนี้นับเป็นก้าวสำคัญในการสร้างกรอบธรรมาภิบาลทางการคลังของประเทศไทย โดยกรอบนี้มุ่งเน้นการสร้างสมดุลระหว่างการกำกับวินัยการคลังและความยืดหยุ่นในการดำเนินนโยบาย โดยให้อำนาจคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐในการกำหนดกฎการคลังต่างๆ นอกจากนี้ ยังพยายามปิดช่องโหว่จากพฤติกรรมนักการเมืองในอดีต เช่น การกำหนดเพดานการชดเชยค่าใช้จ่ายจากกิจกรรมกึ่งการคลัง การควบคุมงบกลาง และการก่อหนี้ผูกพัน ถือว่าประสบความสำเร็จระดับหนึ่งในการป้องกันนโยบายระยะสั้นที่ไม่คำนึงถึงความยั่งยืน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังคงเผชิญความท้าทายด้านวินัยการคลังที่สำคัญหลายประการ (รูปที่ 13) ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดในช่วงที่ผ่านมา คือ
- การหาเสียงด้วยนโยบายที่อาจคุกคามเสถียรภาพการคลัง โดยในการเลือกตั้งปี 2566 ที่ผ่านมา วงเงินนโยบายหาเสียงของพรรคการเมืองใหญ่อยู่ที่ราว 7–10% ของ GDP (TDRI, 2023)
- การใช้ creative accounting เพื่อหลีกเลี่ยงการผิดกฎการคลัง ซึ่งสร้างคำถามสำคัญต่อความยั่งยืนทางการคลัง ตัวอย่างเช่น การโยกย้ายงบประมาณที่รัฐจะใช้ชำระหนี้ที่ติดค้างกับสถาบันการเงินของรัฐจากกิจกรรมกึ่งการคลังต่างๆ เพื่อนำมาสนับสนุนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น
- การขาดเครื่องชี้นำทิศทางการคลังที่น่าเชื่อถือ โดยกรอบการคลังระยะปานกลาง (Medium-Term Fiscal Framework: MTFF) มีการปรับเปลี่ยนถึง 4 ครั้งในรอบ 12 เดือน (กันยายน 2566 ถึง สิงหาคม 2567) เพื่อรองรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น ซึ่งสะท้อนถึงการขาดแผนการสร้างเสถียรภาพการคลังระยะยาวของประเทศ
หมายเหตุ: แสดงต้นทุนของนโยบายของพรรคการเมืองที่ใช้เงินมากที่สุด 3 นโยบายของ 3 พรรคการเมืองใหญ่ ที่มา: TDRI, FPO, ThaiPublica
ปัจจัยสำคัญที่อยู่เบื้องหลังความท้าทายเหล่านี้คือการที่ประเทศไทยขาด "กลไกติดตามวินัยการคลัง" ที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งส่งผลให้ภาคประชาสังคมไม่สามารถกดดันรัฐบาลได้อย่างมีประสิทธิผล กลไกวินัยการคลังที่ดีในบริบทของไทยควรประกอบด้วย 3 คุณสมบัติ ได้แก่
- สามารถควบคุมวินัยของรัฐบาลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ไม่จำกัดอิสระของรัฐบาลมากเกินไป คงอธิปไตยการดำเนินนโยบายการคลังแก่รัฐบาล
- มีกลไกที่ไม่ซับซ้อนเพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าใจและมีส่วนร่วมได้ (รูปที่ 14)
ที่มา: การวิเคราะห์ของผู้เขียน
จุดอ่อนสำคัญของกรอบการคลังปัจจุบันคือ การที่คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ ซึ่งประกอบด้วยบุคลากรของรัฐบาลเป็นส่วนใหญ่ ทำหน้าที่ติดตามวินัยการคลังของรัฐเอง ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาความขัดแย้งทางผลประโยชน์ (conflict of interest) นอกจากนี้สถาบันอื่น ๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน เช่น สำนักงบประมาณของรัฐสภา (Thai PBO) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ต่างก็มีข้อจำกัดในการทำหน้าที่ติดตามวินัยการคลังอย่างมีประสิทธิภาพ (รูปที่ 15)
ที่มา: การวิเคราะห์ของผู้เขียน
การวิเคราะห์ประสบการณ์ของต่างประเทศพบว่า แรงผลักดันสำคัญที่นำมาสู่การจัดตั้งสถาบันการคลังอิสระมักเกิดจากวิกฤตเศรษฐกิจหรือสงคราม (55% ของทั้งหมด) (รูปที่ 16) อย่างไรก็ตาม น่าสนใจว่าเกือบครึ่งหนึ่ง (45%) เกิดจากการที่สังคมเรียกร้องให้รัฐบาลมีความรับผิดชอบทางการคลังมากขึ้น ตัวอย่างที่ดีคือประเทศชิลี ซึ่งเสียงเรียกร้องจากประชาชนให้รัฐมีความโปร่งใสและความรับผิดชอบมากขึ้น เป็นปัจจัยสำคัญที่กดดันนักการเมืองและนำไปสู่การจัดตั้ง Autonomous Fiscal Chile ในปี 2019
ที่มา: การวิเคราะห์ของผู้เขียนจาก fiscal councils ของประเทศพัฒนาแล้ว 20 ประเทศ
เมื่อพิจารณาระบบนิเวศที่เกี่ยวข้องกับการเสริมพลัง (empower) ภาคประชาสังคมของไทยในการผลักดันนโยบายที่มองไกล (รูปที่ 17) สิ่งที่ทำให้สร้างความหวังคือ ในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา เราเห็นภาคประชาสังคมที่ตื่นตัวมากขึ้นอย่างต่อเนื่องในเรื่องการยกระดับความรับผิดชอบของรัฐบาล เราเห็นความพยายามของหลายองค์กร เช่น WeVis ศูนย์ความรู้นโยบายสาธารณะเพื่อการเปลี่ยนแปลง (101Pub) ThaiPBS Rocket Media Lab และศูนย์ความรู้เพื่อการต่อต้านคอร์รัปชันและเสริมสร้างธรรมาภิบาลในระดับภูมิภาค (KRAC) ซึ่งอยู่ในช่วงกลางน้ำ ทำหน้าที่อย่างทุ่มเทในการวิเคราะห์และสื่อสารให้สังคมได้เข้าใจผลกระทบที่รอบด้านของนโยบายต่าง ๆ แม้ว่าประเทศไทยยังไม่มีสถาบันการคลังอิสระ แต่การพัฒนาระบบนิเวศทั้งต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำให้แข็งแกร่งนี้ นับเป็นก้าวสำคัญที่จะนำไปสู่การสร้างกลไกติดตามวินัยการคลังที่มีประสิทธิภาพ และผลักดันนโยบายที่มองไกลในอนาคต
ที่มา: การวิเคราะห์ของผู้เขียน
ประเทศไทยกำลังยืนอยู่บนทางแยกการคลังที่สำคัญ ภาระดอกเบี้ยหนี้สาธารณะของประเทศมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จากระดับ 1.1% ต่อ GDP ในปัจจุบัน สู่ระดับสูงสุดในรอบ 3 ทศวรรษภายในเวลาเพียง 3 ปีข้างหน้า และจะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าภายใน 5 ปี (รูปที่ 18) สถานการณ์นี้เกิดขึ้นท่ามกลางความท้าทายทั้งในด้านการติดกับดักรายได้ปานกลางและการเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ หากเราไม่ดำเนินการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบตั้งแต่วันนี้ วิกฤตครั้งหน้าอาจเกิดขึ้นในจังหวะที่เราอ่อนแอที่สุด และต้นทุนในการแก้ปัญหาจะยิ่งทวีความรุนแรง
เพื่อก้าวข้ามวังวนของการมองสั้นเชิงนโยบาย ประเทศไทยจำเป็นต้องสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการกำหนดนโยบายที่มีวิสัยทัศน์ระยะยาว การพัฒนากลไกติดตามวินัยการคลังที่มีประสิทธิภาพ เช่น การจัดตั้งสถาบันการคลังอิสระ ควบคู่ไปกับการเสริมสร้างความเข้มแข็งของภาคประชาสังคม จะเป็นก้าวสำคัญในการสร้างดุลยภาพระหว่างผลประโยชน์ระยะสั้นและความยั่งยืนในระยะยาว
ที่มา: การวิเคราะห์ของผู้เขียนจากข้อมูลของ CEIC และสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง