Research
Discussion Paper
PIERspectives
aBRIDGEd
PIER Blog
Events
Conferences
Research Workshops
Policy Forums
Seminars
Exchanges
Research Briefs
Community
PIER Research Network
Visiting Fellows
Funding and Grants
About Us
Our Organization
Announcements
PIER Board
Staff
Work with Us
Contact Us
TH
EN
Research
Research
Discussion Paper
PIERspectives
aBRIDGEd
PIER Blog
Saving and Dissaving Behaviour in an Aged Society
Discussion Paper ล่าสุด
Saving and Dissaving Behaviour in an Aged Society
กลไกและความท้าทายของ Negative Income Tax และ Earned Income Tax Credit
aBRIDGEd ล่าสุด
กลไกและความท้าทายของ Negative Income Tax และ Earned Income Tax Credit
Events
Events
Conferences
Research Workshops
Policy Forums
Seminars
Exchanges
Research Briefs
BOT Symposium 2025: Towards Safer and More Inclusive Digital Finance
งานประชุมวิชาการต่อไป
BOT Symposium 2025: Towards Safer and More Inclusive Digital Finance
การประชุมเครือข่ายนักวิจัยนโยบายด้านการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำครั้งที่ 6 “เครื่องมือการเงินและการคลัง: กุญแจสำคัญของการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ”
งานประชุมเชิงนโยบายล่าสุด
การประชุมเครือข่ายนักวิจัยนโยบายด้านการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำครั้งที่ 6 “เครื่องมือการเงินและการคลัง: กุญแจสำคัญของการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ”
สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์
สถาบันวิจัยเศรษฐกิจ
ป๋วย อึ๊งภากรณ์
Puey Ungphakorn Institute for Economic Research
Community
Community
PIER Research Network
Visiting Fellows
Funding and Grants
PIER Research Network
PIER Research Network
Funding & Grants
Funding & Grants
About Us
About Us
Our Organization
Announcements
PIER Board
Staff
Work with Us
Contact Us
Staff
Staff
ประกาศรับสมัครทุนสถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ ประจำปี 2568 รอบที่ 2 (ประเภททั่วไป)
ประกาศล่าสุด
ประกาศรับสมัครทุนสถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ ประจำปี 2568 รอบที่ 2 (ประเภททั่วไป)
aBRIDGEdabridged
Making Research Accessible
QR code
Year
2025
2024
2023
2022
...
Topic
Development Economics
Macroeconomics
Monetary Economics
Financial Markets and Asset Pricing
...
/static/f171e931a67cc689fca1122040465fc9/41624/cover.jpg
27 สิงหาคม 2568
20251756252800000

กลไกและความท้าทายของ Negative Income Tax และ Earned Income Tax Credit

การเลือกรายงานรายได้ของแรงงานนอกระบบจะลดทอนประสิทธิภาพของการกระจายรายได้
พิทวัส พูนผลกุลพรพจ ปรปักษ์ขามนฎา วะสี
กลไกและความท้าทายของ Negative Income Tax และ Earned Income Tax Credit
excerpt

ในช่วงที่ผ่านมาหลายภาคส่วนได้กล่าวถึงนโยบายสวัสดิการในรูปแบบของ Negative Income Tax (NIT) และ Earned Income Tax Credit (EITC) มากขึ้น บทความนี้จะอธิบายว่าแนวคิด NIT และ EITC คืออะไร มีกลไกการทำงานอย่างไร และทำไมการนำแนวคิดดังกล่าวไปปฏิบัติจึงเป็นไปได้ยากในบริบทที่รัฐมีขีดจำกัดในการตรวจสอบข้อมูลรายได้หรือการที่มีแรงงานจำนวนมากอยู่นอกระบบ

Negative Income Tax และ Earned Income Tax Credit คืออะไร ?

Negative Income Tax (NIT)

Negative Income Tax หรือที่เรียกกันสั้น ๆ ว่า NIT คือ การให้เงินช่วยเหลือจากรัฐสำหรับผู้ที่มีรายได้ต่ำกว่าเกณฑ์หรือไม่มีรายได้ โดยเงินช่วยเหลือนั้นจะค่อย ๆ ถูกลดระดับลงเมื่อผู้ยื่นภาษีมีรายได้เพิ่มขึ้น การได้รับเงินช่วยเหลือจากรัฐผ่าน NIT นี้เปรียบเสมือนมุมกลับของภาษีเงินได้ทั่วไป (positive income tax) ที่ผู้ยื่นภาษีมักจะต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้นเมื่อรายได้เพิ่มขึ้น

แนวคิด NIT ได้รับความสนใจกันอย่างแพร่หลายจากข้อเสนอของ Milton Friedman (Friedman, 1962) โดย Friedman เห็นว่าโครงการสวัสดิการทั้งหลายของสหรัฐอเมริกาในขณะนั้นไม่สร้างแรงจูงใจให้คนมีรายได้เพิ่มขึ้น เพราะถูกออกแบบให้ผู้มีรายได้สูงถึงระดับหนึ่งจะไม่สามารถรับสวัสดิการได้เลย แนวคิด NIT จึงเสนอสวัสดิการที่ค่อย ๆ ลดลงอย่างค่อยเป็นค่อยไปเมื่อคนมีรายได้เพิ่มขึ้น และให้สวัสดิการในรูปของเงินสด (in-cash) แทนการให้สวัสดิการในรูปแบบสิ่งของ เช่น อาหาร หรือบริการต่าง ๆ (in-kind) เพราะน่าจะมีประสิทธิภาพมากกว่า เนื่องจากผู้ได้รับสวัสดิการมีอิสระที่จะนำเงินไปใช้ได้ตรงตามความต้องการของตนเอง นอกจากนี้ Friedman ยังเสนอไปถึงการยกเลิกโครงการสวัสดิการทั้งหมดและให้หน่วยงานจัดเก็บภาษีอากรของสหรัฐอเมริกา (Internal Revenue Service: IRS) เป็นผู้บริหารจัดการทั้งฝั่งรายรับและรายจ่าย (อ่านเพิ่มเติมใน Moffitt (2003) และ Saez (2002))

แนวคิด NIT มีการกำหนดเกณฑ์สองอย่าง คือ เกณฑ์รายได้ขั้นต่ำและอัตราภาษี (ทางลบ) ซึ่งมูลค่าเงินที่ NIT เติมให้จะคิดจากอัตราภาษีคูณกับส่วนต่างระหว่างรายได้กับเกณฑ์รายได้ขั้นต่ำ เช่น จากตัวอย่างตามตารางที่ 1 หากเกณฑ์รายได้เป็น 3,000 บาท และอัตราภาษีทางลบเป็น 50% คนที่ไม่ทำงานเลยก็จะได้รับเงิน 1,500 บาท (50% ของ 3,000 - 0) ขณะที่ผู้ที่มีรายได้ 1,000 บาท จะได้รับเงินช่วยเหลืออีก 1,000 บาท (50% ของ 3,000 - 1,000) ในกรณีตัวอย่างนี้ เท่ากับว่า NIT มีการประกันรายได้อยู่ที่ 1,500 บาท

ตารางที่ 1: ตัวอย่างรายได้และเงินเติมกรณี NIT (บาท)

รายได้เงินช่วยเหลือรายได้รวม
01,5001,500
1,0001,0002,000
2,0005,002,500
3,00003,000
4,00004,000
5,00005,000

แม้แนวคิด NIT จะถูกกล่าวถึงอยู่บ่อยครั้ง แต่สหรัฐอเมริกาเคยทดลองใช้จริงในเพียงรัฐบางรัฐเท่านั้น โดยอยู่ภายใต้โครงการ Income Maintenance Experiments ช่วงทศวรรษ 1960 และ 1970 และไม่เคยได้นำมาใช้จริงทั้งประเทศ ส่วนหนึ่งเพราะผลจากการทดลองดังกล่าวทำให้เกิดความกังวลเรื่องผลกระทบเชิงลบต่อแรงจูงใจในการทำงานและความกังวลว่าจะต้องใช้งบประมาณมาก (Munnell, 1986)

Earned Income Tax Credit (EITC)

นโยบายที่คล้าย NIT แต่มีการใช้จริงในสหรัฐอเมริกา คือนโยบาย Earned Income Tax Credit หรือ EITC โดยมีความต่างที่สำคัญ คือ

  1. EITC ไม่ให้เงินช่วยเหลือกับผู้ที่ไม่มีรายได้จากการทำงานเลย แต่จะให้เงินสมทบเมื่อเริ่มมีรายได้ ขณะที่ NIT ยังมีการให้เงินช่วยเหลือต่อผู้ที่ไม่มีรายได้ โดยผู้สนับสนุน EITC เชื่อว่า EITC จะสร้างแรงจูงใจให้คนเข้าสู่ระบบแรงงาน และในระยะยาวจะสามารถพึ่งพาตนเองได้แทนที่จะเลือกไม่ทำงานและรอรับเงินจากรัฐดังเช่น NIT
  2. EITC มีอัตราเงินช่วยเหลือที่ต่างกันขึ้นกับระดับช่วงรายได้ โดยผู้ที่อยู่ในช่วงรายได้ต่ำจะได้รับเงินช่วยเหลือในอัตราที่มากกว่า การคิดเงินสมทบของ EITC มักจะแบ่งเป็นสามช่วง ตัวอย่างเช่น
    • ช่วง phase in (รายได้ต่ำกว่า 3,000 บาท) เงินช่วยเหลือคิดเป็นอัตราคงที่ที่ 50% ของรายได้ แรงงานงานที่มีรายได้ต่ำกว่า 3,000 บาท ก็จะได้รับเงินเติมจากรัฐ 50 บาทเมื่อมีรายได้เพิ่มขึ้นทุก ๆ 100 บาท
    • ช่วง plateau (รายได้ 3,000–5,000 บาท) อัตราเงินช่วยเหลืออยู่ที่ 50% ของ cutoff คือ 3,000 บาท ตลอดช่วง
    • ช่วง phase out เป็นช่วงที่รัฐจะทยอยถอนเงินที่เติมให้ เช่น หากรายได้เพิ่มมากกว่า 5,000 บาท ก็จะได้รับเงินลดลง โดยสมมติให้ phase out ที่อัตรา 25% ก็จะได้เงินลดลง 25 บาททุก ๆ รายได้ 100 บาทที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้จะไม่ได้รับเงินเติมเลยเมื่อมีรายได้ 11,000 บาทขึ้นไป เป็นต้น

ตารางที่ 2: ตัวอย่างรายได้และเงินช่วยเหลือกรณี EITC

ช่วงรายได้เงินช่วยเหลือรายได้รวม
000
Phase in1,0005001,500
2,0001,0003,000
3,0001,5004,500
Plateau4,0001,5005,500
5,0001,5006,500
Phase out6,0001,2507,250
7,0001,0008,000
8,0007508,750
9,0005009,500
10,00025010,250
11,000011,000

ทั้งนี้ ในทางปฏิบัติ EITC มักจะมีการกำหนดเกณฑ์คุณสมบัติอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ผู้ที่จะได้รับสวัสดิการจะต้องมีรายได้จากการลงทุนไม่เกินเกณฑ์ อัตราเงินช่วยเหลือในกลุ่มช่วงรายได้เดียวกันก็ต่างไปตามสถานะครอบครัว เช่น เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวหรือไม่ จำนวนบุตร เป็นต้น (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่)

รูปที่ 1 แสดงรายได้ก่อนและหลังมีการเติมเงินผ่านนโยบาย NIT และ EITC (รูปซ้าย) รวมถึงแสดงมูลค่าเงินที่รัฐเติมให้สำหรับแรงงานที่มีระดับรายได้แตกต่างกัน (รูปขวา) โดยสามารถปรับข้อสมมติเกณฑ์รายได้ อัตราภาษีทางลบ (กรณี NIT) รวมถึงอัตรา phase-in และ phase-out (กรณี EITC)

รูปที่ 1: รายได้และเงินช่วยเหลือจากนโยบาย NIT และ EITC

NITEITC
เกณฑ์รายได้:3000 บาท
อัตราภาษีทางลบ:50 %
หมายเหตุ: interactive chart ทั้งหมดในบทความนี้ พัฒนาโดยคุณศิรณัฐ จองดี

กลไกการทำงานของ NIT และ EITC เมื่อรัฐรู้รายได้ที่แท้จริงของแรงงาน

ในส่วนนี้ เราขอเล่าถึงกลไกการทำงานของ NIT และ EITC ในบริบทของประเทศพัฒนาแล้วที่รัฐรู้รายได้ที่แท้จริงของแรงงาน โดยส่วนมากนายจ้างเป็นผู้รายงานรายได้ของแรงงาน ซึ่งในบริบทดังกล่าว NIT หรือ EITC มีกลไกการทำงานผ่านช่องทางหลัก ๆ สองช่องทาง คือ

ช่องทางรายได้ส่วนเพิ่มที่แท้จริง

รายได้ส่วนเพิ่มที่แท้จริง (effective marginal income) คือ รายได้ที่เพิ่มขึ้นจากการทำงานเพิ่มขึ้นหนึ่งหน่วย (เช่น หนึ่งชั่วโมง) โดยรายได้ในที่นี้ คิดรวมทั้งรายได้ทั้งจากการทำงานและเงินช่วยเหลือจากรัฐ1 ในทางทฤษฎีนั้น แรงงานจะอยากปรับชั่วโมงการทำงานเพิ่มขึ้นหรือลดลง ก็ขึ้นกับว่า effective marginal income เป็นเท่าใด เพราะหากรายได้ส่วนเพิ่มน้อย การพักผ่อนเพิ่มขึ้นก็อาจจะทำให้มีความสุขมากกว่า แต่หากรายได้ส่วนเพิ่มนี้สูง การนำรายได้ที่เพิ่มไปจับจ่ายใช้สอย ก็อาจจะชดเชยกับการพักผ่อนที่น้อยลงได้ effective marginal income จึงเป็นเสมือนค่าเสียโอกาสในการไม่ทำงาน ณ ชั่วโมงนั้น ๆ

สมมติว่าแรงงานได้รายได้ชั่วโมงละ 100 บาท หากไม่มีนโยบายภาษีหรือเงินช่วยเหลือใด ๆ effective marginal income ต่อชั่วโมงก็จะเป็น 100 บาทเช่นกัน อย่างไรก็ดี ในกรณีของ NIT ที่มีเกณฑ์รายได้และอัตราภาษีทางลบตามตัวอย่างข้างต้น การทำงานเพิ่มหนึ่งชั่วโมงในช่วงที่รายได้ต่ำกว่าเกณฑ์แม้จะสร้างรายได้เพิ่ม 100 บาท แต่รัฐก็จะลดเงินช่วยเหลือลง 50 บาท ทำให้ effective marginal income เพิ่มขึ้นเพียง 50 บาท ในกรณีของ EITC หากนโยบายเป็นไปตามตัวอย่างข้างต้น effective marginal income ในช่วง phase-in จะคิดเป็น 150 บาท ซึ่งสูงกว่า effective marginal income ในกรณีที่ไม่มีนโยบาย หลังจากนั้น effective marginal income จะมีค่าเท่ากับกรณีไม่มีนโยบายในช่วง plateau และต่ำกว่ากรณีไม่มีนโยบายในช่วง phase-out ดังนั้น ช่วง phase-out ของ EITC จะมีลักษณะคล้ายกับ NIT (รูปที่ 2)

รูปที่ 2: รายได้ เงินช่วยเหลือ และ effective marginal income จากนโยบาย NIT และ EITC

NITEITC
เกณฑ์รายได้:3000 บาท
อัตราภาษีทางลบ:50 %

ช่องทางพฤติกรรมตอบสนองของแรงงานต่อนโยบาย

แรงงานสามารถปรับพฤติกรรมการทำงานได้ในสองรูปแบบ ได้แก่

  1. การเลือกที่จะทำงานหรือไม่ทำงานเลย (extensive margin)
  2. การเพิ่มหรือลดชั่วโมงการทำงาน (intensive margin) กรณีที่ทำงานอยู่แล้ว

โดยปัจจัยที่กำหนดพฤติกรรมทั้งสองรูปแบบมาจาก marginal effective income ที่กล่าวไปข้างต้น รวมถึงปัจจัยอื่น ๆ เช่น ต้นทุนในการที่ต้องไปจ้างคนอื่นมาดูแลลูกแทน ค่าเดินทางไปกลับเพื่อทำงาน ข้อจำกัดในการปรับชั่วโมงทำงานอย่างอิสระ รวมถึงการให้น้ำหนักกับความสุขจากการพักผ่อนและการบริโภคของคนกลุ่มต่าง ๆ

ในทางทฤษฎีนั้น การปรับพฤติกรรมการทำงานของแรงงานเมื่อค่าจ้างเปลี่ยนไป (elasticity of labor supply) เป็นสิ่งที่รัฐต้องคำนึงถึงในการออกแบบนโยบายภาษีและเงินโอนที่เหมาะสม เพราะแม้นโยบายจะให้เงินช่วยเหลือกับกลุ่มคนจน (equity gain) แต่หากนโยบายส่งผลให้ marginal effective income ลดลงจนแรงงานทำงานลดลงมาก (efficiency cost) ก็จะส่งผลเสียต่อสวัสดิการสังคมในภาพรวม (social welfare) รวมถึงย่อมทำให้รัฐเก็บภาษีได้น้อยลงไปด้วย ตัวอย่างนโยบายที่สะท้อนผลเสียต่อแรงจูงใจในการทำงาน คือนโยบายเกณฑ์การเริ่มเก็บภาษีเงินได้สำหรับแม่บ้านในประเทศญี่ปุ่นที่ 1.03 ล้านเยน ส่งผลให้มีแม่บ้านจำนวนมากเลือกที่จะทำงานมีรายได้ที่น้อยกว่าเกณฑ์ดังกล่าวเพียงเล็กน้อย ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้วอาจจะอยากที่จะทำงานมากขึ้นหากมีการเปลี่ยนเกณฑ์รายได้ดังกล่าว

ในบริบทของ NIT และ EITC นั้น การกำหนดเกณฑ์ต่าง ๆ ล้วนกระทบแรงจูงใจและการปรับพฤติกรรมของแรงงาน เช่น หากกลุ่มคนที่กำลังจะตัดสินใจทำงานหรือไม่ทำงานมีแนวโน้มที่จะปรับพฤติกรรมสูง (high elasticity for extensive margin) ในกรณีนี้ นโยบาย EITC น่าจะมีความเหมาะสมมากกว่า เพราะมีเงื่อนไขว่าต้องทำงาน และจูงใจด้วย marginal effective income ในช่วง phase-in ที่สูงกว่ากรณีที่ไม่มีนโยบาย หรือในกรณีที่แรงงานมีแนวโน้มที่จะปรับชั่วโมงการทำงานสูง (high elasticity for intensive margin) นโยบาย EITC ควรอัตราการลดเงินช่วยเหลือในช่วง phase-out ให้ไม่สูงเกินไปนัก เพื่อไม่ให้ลดแรงจูงใจในการทำงาน มิเช่นนั้นกลุ่มที่อยู่ในช่วงเริ่มต้นของ phase-out ของ EITC ก็อาจจะทำงานลดลงเพื่อให้มีรายได้เข้าเกณฑ์ช่วง plateau พอดี

นโยบาย NIT และ EITC เมื่อรัฐตรวจสอบรายได้ของแรงงานนอกระบบไม่ได้

ในส่วนที่หนึ่งและสอง เรากล่าวถึงบริบทที่แรงงานทุกคนอยู่ในระบบและส่วนใหญ่เป็นการยื่นภาษีเงินได้จากทั้งฝั่งนายจ้างและลูกจ้าง อย่างไรก็ดี ในประเทศกำลังพัฒนา แรงงานในระบบที่รัฐสามารถตรวจสอบรายได้คิดเป็นสัดส่วนน้อย ในกรณีของไทย แรงงานในระบบคิดเป็นเพียงประมาณ 1 ใน 3 ของแรงงานรวม และยังมีแรงงานนอกระบบที่เหลืออีก 2 ใน 3 ของแรงงานรวมที่รัฐอาจไม่สามารถรู้รายได้ที่แท้จริง ซึ่งทำให้กลไกการทำงานของ NIT และ EITC จะต่างออกไป

ความสามารถในการซ่อนรายได้ของแรงงานนอกระบบ ทำให้การตอบสนองต่อนโยบายทั้ง NIT และ EITC มีทางเลือกมากขึ้น นอกจากเลือกว่าจะทำงานหรือไม่ จะปรับชั่วโมงการทำงานอย่างไร ยังสามารถเลือกได้ว่าจะรายงานรายได้ให้กับภาครัฐอย่างไร ระบบ NIT และ EITC อาจสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนให้ข้อมูลที่เป็นเท็จเกี่ยวกับรายได้ของตนเองที่อยู่นอกระบบเพื่อให้ได้ผลประโยชน์สูงสุด

ดังที่ได้อธิบายก่อนหน้านี้ ระบบ NIT ให้เงินช่วยเหลือสูงที่สุดสำหรับบุคคลที่ไม่มีรายได้ และจะปรับลดเงินช่วยเหลือลงเมื่อบุคคลมีรายได้มากขึ้น หากรัฐไม่สามารถตรวจสอบรายได้ของแรงงานนอกระบบ แรงงานนอกระบบก็มีแรงจูงใจที่จะเลือกระบุว่าตนเองไม่มีรายได้เลยเมื่อกรอกแบบฟอร์มเสียภาษี เพื่อให้ได้รับเงินช่วยเหลือมากที่สุด ในขณะที่ก็ยังมีรายได้แท้จริงจากการทำงานนอกระบบเท่าเดิม รูปที่ 3 (เลือก NIT) แสดงรายได้ที่แรงงานนอกระบบได้รับจากการทำงานและเงินช่วยเหลือในกรณีที่เลือกระบุว่าตนเองไม่มีรายได้เลย (เส้นสีส้ม) ซึ่งเห็นได้ว่าจะมากกว่ารายได้เมื่อไม่มีนโยบายเสมอ (เส้นประสีดำ) และจะมากกว่าหรือเท่ากับรายได้กรณีมีนโยบายแต่รายงานรายได้ตามจริง (เส้นสีน้ำเงิน) จึงสะท้อนว่าแรงงานนอกระบบจะมีแรงจูงใจรายงานว่าตนเองไม่มีรายได้เสมอ

แรงงานนอกระบบในกรณีของ EITC ก็มีแรงจูงใจที่จะไม่เปิดเผยรายได้จริงเช่นกัน ในกรณีนี้ แรงงานจะได้เงินช่วยเหลือมากที่สุดหากรายงานรายได้เท่ากับเกณฑ์รายได้ขอบบนของช่วง phase-in แม้ว่ารายได้ที่แท้จริงจะสูงหรือต่ำกว่านั้นก็ตาม ซึ่งจากรูปที่ 3 (เลือก EITC) จะเห็นได้ว่าการเลือกให้ข้อมูลรายได้เท็จ ณ ระดับนี้ (เส้นสีส้ม) จะทำให้แรงงานในทุกระดับรายได้มีรายได้รวมเงินช่วยเหลือสูงกว่าหรือเท่ากับการแจ้งรายได้ตามความเป็นจริงเสมอ

รูปที่ 3: รายได้และเงินช่วยเหลือจากนโยบาย NIT และ EITC กรณีที่สามารถเลือกเปิดเผยรายได้

NITEITC
เกณฑ์รายได้:3000 บาท
อัตราภาษีทางลบ:50 %

ตัวอย่างจริงเกี่ยวกับแรงจูงใจในการเปิดเผยข้อมูล เมื่อรัฐตรวจสอบไม่ได้

การเลือกรายงานข้อมูลเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดจริง ๆ แล้วเป็นพฤติกรรมที่เห็นได้ทั่วไป ซึ่งในส่วนนี้จะขอยกตัวอย่างสองตัวอย่าง ตัวอย่างแรกเป็นกรณีของสหรัฐอเมริกา ที่แม้ว่าแรงงานทั้งหมดของสหรัฐอเมริกาจะอยู่ในระบบ แต่ก็มีกลุ่มผู้ประกอบอาชีพอิสระ (self-employed) ที่รัฐตรวจสอบรายได้ที่แท้จริงได้ยากกว่ากลุ่มที่เป็นลูกจ้างซึ่งมีนายจ้างเป็นผู้รายงานรายได้ Saez (2010) พบว่า EITC ทำให้แรงงานเหล่านี้จำนวนมากแจ้งรายได้เท่ากับเกณฑ์สูงสุดของจุด phase-in พอดี ซึ่งอาจจะมีสาเหตุจากการบิดเบือนรายได้เพื่อให้ได้เงินช่วยเหลือสูงสุดมากกว่าการปรับชั่วโมงการทำงานจริง (รูปที่ 4)

รูปที่ 4: การรายงานรายได้ในแต่ละระดับรายได้เทียบกับเกณฑ์ EITC ของสหรัฐอเมริกา

การรายงานรายได้ในแต่ละระดับรายได้เทียบกับเกณฑ์ EITC ของสหรัฐอเมริกา

ที่มา: Saez (2010)

ตัวอย่างที่สอง ในกรณีของไทย หากเราลองนึกถึงนโยบายลดหย่อนภาษีของรัฐผ่านมาตรการ Easy E-Receipt ที่ให้สิทธิลดหย่อนค่าซื้อสินค้าหรือบริการสูงสุดไม่เกิน 5 หมื่นบาท จะสังเกตได้ว่าผู้ซื้อมีสิทธิสามารถที่จะเลือกขอหรือไม่ขอ E-Receipt สำหรับลดหย่อนภาษีเงินได้ ฯ แต่เนื่องจากการขอ E-Receipt ช่วยให้สามารถลดหย่อนภาษีได้เพิ่มขึ้น มาตรการ Easy E-Receipt จึงเป็นนโยบายที่สร้างแรงจูงของผู้ซื้อให้พยายามขอ E-Receipt ให้มากที่สุดจนครบ 5 หมื่นบาท (incentive compatible) และคนส่วนใหญ่ก็น่าจะไม่ขอ E-Receipt เพิ่มเมื่อซื้อสินค้าบริการสูงกว่านั้น (และคงยิ่งจะไม่ขอ E-Receipt เพิ่มหากรัฐแจ้งว่าการมี E-Receipt เกิน 5 หมื่นบาท จะสามารถลดหย่อนภาษีได้ลดลง)

สองตัวอย่างนี้แสดงให้เห็นว่าประชาชนมีแรงจูงใจในการให้ข้อมูลที่ต่างไปเพื่อให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์สูงสุด โดยเฉพาะในกรณีที่รัฐตรวจสอบไม่ได้

ส่งท้าย

บทความนี้ได้อธิบายกลไกการทำงานและข้อจำกัดของนโยบายสวัสดิการในรูปแบบ NIT และ EITC และพอจะสรุปได้ว่านโยบายว่าจะสามารถกระจายรายได้ได้ดีเพียงใดนั้น ขึ้นอยู่กับการกำหนดเงื่อนไขว่าใครจะเป็นผู้รับสวัสดิการ รายได้ที่แท้จริงของแรงงานแต่ละกลุ่มเปลี่ยนไปอย่างไร แรงงานมีการปรับพฤติกรรมมากน้อยแค่ไหนเมื่อมีนโยบาย และที่สำคัญ รัฐสามารถตรวจสอบรายได้ที่แท้จริงได้หรือไม่

ในบริบทของประเทศกำลังพัฒนารวมถึงไทยที่รัฐไม่สามารถตรวจสอบรายได้ที่แท้จริงของแรงงานนอกระบบได้ แรงงานย่อมมีแรงจูงใจที่ให้ข้อมูลรายได้เพื่อให้ตนเองได้รับเงินช่วยเหลือสูงที่สุด ดังนั้น หากแรงงานนอกระบบที่รัฐตรวจสอบรายได้ที่แท้จริงไม่ได้มีจำนวนมาก รัฐก็ไม่สามารถกระจายรายได้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ กล่าวคือ เงินสวัสดิการจากรัฐไม่ได้ช่วยเหลือเฉพาะกลุ่มคนรายได้น้อยเท่านั้น แต่ต้องกระจายให้กับแรงงานนอกระบบจำนวนมาก (ซึ่งบางคนก็มีรายได้สูง แต่รายงานรายได้ต่ำกว่าความเป็นจริง) ประกอบกับข้อจำกัดทางการคลัง เมื่อต้องให้เงินคนจำนวนมาก แต่ละคนก็จะได้เงินช่วยเหลือในมูลค่าที่น้อยลง

สำหรับประเทศไทยนั้น หากจะปรับใช้แนวคิด NIT หรือ EITC จริง รัฐจำเป็นต้องหาวิธีตรวจสอบรายได้ที่แท้จริงของแรงงานนอกระบบให้ได้โดยไม่ต้องพึ่งพาการ self-report รวมถึงหากจะไปตามแนวคิดตั้งต้นของ Friedman จริง ๆ ระบบ NIT จะต้องเข้ามาแทนที่โครงการสวัสดิการทั้งหมด รวมถึงบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ อย่างไรก็ดี ระบบที่สมบูรณ์แบบดังกล่าวน่าจะเกิดขึ้นได้ยากในระยะเวลาอันสั้น ในระยะสั้น กลุ่มที่รัฐน่าจะสามารถตรวจสอบรายได้ที่แท้จริงและดึงเข้าระบบได้ก่อน น่าจะเป็นกลุ่มแรงงานที่มีนายจ้างในระบบแต่ตนเองยังไม่ได้อยู่ในระบบภาษี เช่น กลุ่มที่รับงานผ่าน platform ไม่ว่าจะเป็น ผู้ขับรถรับจ้าง ขายของ online และกลุ่มที่เป็นพนักงาน outsource ในระยะยาว แนวโน้มที่ประชาชนและธุรกิจมีการใช้ digital payment เป็นสื่อการชำระเงินมากขึ้นและลดการใช้เงินสดลง ก็น่าจะเป็นการสร้าง digital footprint ให้รัฐเริ่มตรวจสอบรายได้ที่แท้จริงของแรงงานนอกระบบเหล่านี้ได้มากขึ้น

ดังนั้น หากรัฐมีขีดจำกัดในการตรวจสอบรายได้ที่แท้จริง ประสิทธิภาพของเครื่องมือดังเช่น NIT และ EITC นั้นก็มีขีดจำกัดเช่นเดียวกัน

เอกสารอ้างอิง

Friedman, M. (1962). Capitalism and Freedom. Ethics, 74(1).
Moffitt, R. A. (2003). The negative income tax and the evolution of US welfare policy. Journal of Economic Perspectives, 17(3), 119–140.
Munnell, A. H. (1986). Lessons from the income maintenance experiments: An overview. Lessons from the Income Maintenance Experiments: Proceedings of a Conference Held in September 1986.
Saez, E. (2002). Optimal income transfer programs: intensive versus extensive labor supply responses. The Quarterly Journal of Economics, 117(3), 1039–1073.
Saez, E. (2010). Do taxpayers bunch at kink points? American Economic Journal: Economic Policy, 2(3), 180–212.

  1. ในกลุ่มที่ต้องเสียภาษี รายได้ที่แท้จริงจะเป็นรายได้จากการทำงานหลังหักภาษีบวกด้วยเงินช่วยเหลือจากรัฐ↩
พิทวัส พูนผลกุล
พิทวัส พูนผลกุล
สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์
พรพจ ปรปักษ์ขาม
พรพจ ปรปักษ์ขาม
National Graduate Institute for Policy Studies
นฎา วะสี
นฎา วะสี
สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์
Topics: Public EconomicsWelfare Economics
Tags: niteitcredistribution
ข้อคิดเห็นที่ปรากฏในบทความนี้เป็นความเห็นของผู้เขียน ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับความเห็นของสถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์

สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์

273 ถนนสามเสน แขวงวัดสามพระยา เขตพระนคร กรุงเทพฯ 10200

โทรศัพท์: 0-2283-6066

Email: pier@bot.or.th

เงื่อนไขการให้บริการ | นโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2568 สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์

เอกสารเผยแพร่ทุกชิ้นสงวนสิทธิ์ภายใต้สัญญาอนุญาต Creative Commons Attribution-NonCommercial-ShareAlike 3.0 Unported license

Creative Commons Attribution NonCommercial ShareAlike

รับจดหมายข่าว PIER

Facebook
YouTube
Email