Research
Discussion Paper
PIERspectives
aBRIDGEd
PIER Blog
Events
Conferences
Research Workshops
Policy Forums
Seminars
Exchanges
Research Briefs
Community
PIER Research Network
Visiting Fellows
Funding and Grants
About Us
Our Organization
Announcements
PIER Board
Staff
Work with Us
Contact Us
TH
EN
Research
Research
Discussion Paper
PIERspectives
aBRIDGEd
PIER Blog
Labor Force Transitions at Older Ages: Burnout, Recovery, and Reverse Retirement
Discussion Paper ล่าสุด
Labor Force Transitions at Older Ages: Burnout, Recovery, and Reverse Retirement
พฤติกรรมการออมในสังคมผู้สูงอายุ
aBRIDGEd ล่าสุด
พฤติกรรมการออมในสังคมผู้สูงอายุ
Events
Events
Conferences
Research Workshops
Policy Forums
Seminars
Exchanges
Research Briefs
BOT Symposium 2025: Towards Safer and More Inclusive Digital Finance
งานประชุมวิชาการต่อไป
BOT Symposium 2025: Towards Safer and More Inclusive Digital Finance
Challenges for Monetary Policy Amidst Changing Inflation Dynamics
งานประชุมเชิงนโยบายล่าสุด
Challenges for Monetary Policy Amidst Changing Inflation Dynamics
สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์
สถาบันวิจัยเศรษฐกิจ
ป๋วย อึ๊งภากรณ์
Puey Ungphakorn Institute for Economic Research
Community
Community
PIER Research Network
Visiting Fellows
Funding and Grants
PIER Research Network
PIER Research Network
Funding & Grants
Funding & Grants
About Us
About Us
Our Organization
Announcements
PIER Board
Staff
Work with Us
Contact Us
Staff
Staff
ประกาศรับสมัครทุนสถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ ประจำปี 2568 รอบที่ 2 (ประเภททั่วไป)
ประกาศล่าสุด
ประกาศรับสมัครทุนสถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ ประจำปี 2568 รอบที่ 2 (ประเภททั่วไป)
aBRIDGEdabridged
Making Research Accessible
QR code
Year
2025
2024
2023
2022
...
Topic
Development Economics
Macroeconomics
Monetary Economics
Financial Markets and Asset Pricing
...
/static/4d044c49ca8f021574643cd373a4b10e/41624/cover.jpg
9 กันยายน 2568
20251757376000000

พฤติกรรมการออมในสังคมผู้สูงอายุ

ความมั่นคงทางการเงินครัวเรือนไทย: เมื่อการออมขึ้นกับอายุ รุ่น และบริบทเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไป
นัฐพร โรจนหัสดินชินวัฒน์ หรยางกูร
พฤติกรรมการออมในสังคมผู้สูงอายุ
excerpt

งานวิจัยนี้วิเคราะห์พฤติกรรมการออมของครัวเรือนไทยจากข้อมูลสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือน (HSES) ระหว่างปี 2537–2564 ครอบคลุมกว่า 330,000 ครัวเรือน เพื่อศึกษาความแตกต่างของการออมตามช่วงอายุ รุ่นประชากร และปัจจัยทางเศรษฐกิจสังคม โดยวัดการออมในรูปของรายได้ที่เหลือจากการบริโภคจริงหลังปรับตามอัตราเงินเฟ้อ ผลการศึกษาพบว่า พฤติกรรมการออมของกลุ่มตัวอย่างมีลักษณะเป็นเส้นโค้งตัวยูคว่ำ (inverted-U curve) โดยมีจุดสูงสุดในช่วงอายุ 56–65 ปี แสดงถึงการสะสมทรัพย์สินในช่วงวัยกลางคนและเริ่มลดลงเมื่อเข้าสู่วัยหลังเกษียณ อย่างไรก็ตาม ครัวเรือนไทยยังคงมีการออมสุทธิเป็นบวกในช่วงวัยชรา ซึ่งขัดแย้งกับข้อสมมติของทฤษฎีวัฏจักรชีวิต ที่คาดว่าการออมจะลดลงเป็นศูนย์ในช่วงปลายชีวิต แต่สอดคล้องกับการศึกษาเชิงประจักษ์หลายงาน ปรากฏการณ์นี้อาจสะท้อนแรงจูงใจด้านมรดกหรือการเตรียมรับความเสี่ยงในอนาคต และเมื่อพิจารณาในมิติของรุ่นประชากร พบว่า Baby Boomers มีระดับการออมสูงกว่า Generation X และ Generation Y อย่างมีนัยสำคัญ แม้จะควบคุมปัจจัยทางเศรษฐกิจและสังคมแล้ว การศึกษานี้ยังพบความแตกต่างที่เด่นชัดตามระดับการศึกษา ครัวเรือนที่หัวหน้าครัวเรือนจบการศึกษาระดับปริญญาตรีสามารถออมทรัพย์ได้สูงกว่าทุกช่วงอายุและทุกรุ่นประชากรเมื่อเทียบกับกลุ่มที่ไม่มีวุฒิปริญญาตรี ในขณะที่ครัวเรือนที่พึ่งพารายได้จากการเกษตร กลับมีอัตราการออมที่ต่ำกว่าอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเทียบกับครัวเรือนที่ไม่พึ่งพารายได้จากการเกษตร โดยเฉพาะในกลุ่มที่ไม่มีวุฒิการศึกษาระดับสูง

งานวิจัยฉบับนี้ศึกษาพฤติกรรมการออม (savings) หรือการลดการออม (dissavings) ของครัวเรือนไทย โดยพิจารณาในมิติของช่วงอายุ กลุ่มรุ่นประชากร คือ Baby boomers, Generation X, และ Generation Y และช่วงเวลา โดยอาศัยข้อมูลจากแบบสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือนไทย (Household Socio-Economic Survey: HSES) ครอบคลุมระยะเวลาเกือบสามทศวรรษ ตั้งแต่ปี (พ.ศ. 2537–2564) มีจำนวนครัวเรือนมากกว่า 330,000 ตัวอย่างทั่วประเทศ ในบริบทปัจจุบันที่ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่ภาวะสังคมสูงวัยอย่างรวดเร็ว การทำความเข้าใจพฤติกรรมการออมของครัวเรือนในแต่ละช่วงวัยของกลุ่มประชากรจึงมีความสำคัญต่อการวิเคราะห์แนวโน้มทางเศรษฐกิจและสังคม โดยเฉพาะในบริบทของการเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจช่วยเป็นข้อมูลพื้นฐานสำหรับการออกแบบนโยบายในอนาคต เพื่อสนับสนุนความมั่นคงทางการเงินของครัวเรือนและลดความเปราะบางทางเศรษฐกิจ

การออมเป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดความมั่นคงทางการเงินของครัวเรือน ช่วยให้ครัวเรือนสามารถสะสมความมั่งคั่ง คงระดับการบริโภค เตรียมพร้อมต่อการเกษียณ และเตรียมพร้อมสำหรับความเสี่ยง ทั้งนี้พลวัตของการออมและการใช้จ่ายในแต่ละช่วงเวลา กลุ่มอายุ และกลุ่มประชากรต่าง ๆ ได้รับอิทธิพลจากปัจจัยทางเศรษฐกิจและสังคมหลายประการ งานวิจัยนี้มุ่งวิเคราะห์พฤติกรรมการออมของครัวเรือนไทยผ่านการวัด “ระดับการออมสุทธิ” (real saving level) เพื่อให้สามารถเปรียบเทียบข้ามช่วงเวลาได้ ผลลัพธ์เชิงประจักษ์ชี้ให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมการออมตามช่วงวัย (life-cycle effect) และความแตกต่างของแต่ละรุ่นประชากร (generational cohort)

คำถามหลักของการวิจัยนี้คือ พฤติกรรมการออมหรือการลดการออมของครัวเรือนในประเทศไทยแตกต่างกันไปตามช่วงอายุและกลุ่มประชากรหรือไม่ และปัจจัยใดเป็นตัวกำหนดความแตกต่างเหล่านั้น งานวิจัยนี้ใช้การวิเคราะห์ข้อมูลระยะยาวขนาดใหญ่ ทำให้เห็นถึงผลกระทบของช่วงเวลาต่าง ๆ (year effects) เพื่อศึกษาว่าปัจจัยทางเศรษฐกิจและสังคมมีผลต่อพฤติกรรมทางการเงินของครัวเรือนอย่างไร นอกจากนี้ ยังได้นำสองแนวคิดมาใช้เป็นกรอบวิเคราะห์ คือ

  1. ทฤษฎี Life-Cycle Hypothesis (LCH) ของ Modigliani & Brumberg (1954) ซึ่งแม้จะเป็นทฤษฎีพื้นฐานที่อธิบายการวางแผนทางการเงินของบุคคลในช่วงชีวิต แต่หลักฐานเชิงประจักษ์จำนวนมากพบว่า พฤติกรรมการออมในชีวิตจริงมักเบี่ยงเบนจากข้อคาดการณ์ของ LCH โดยเฉพาะในช่วงวัยหลังเกษียณ (Banks & Crawford, 2022; Beblo & Schreiber, 2022; Chen & Zhang, 2024; Karagöz, 2024) ที่ผู้สูงอายุยังคงสะสมทรัพย์สินแทนที่จะใช้จ่ายทรัพย์สินที่มีอยู่ ซึ่งอาจสะท้อนแรงจูงใจด้านมรดก (bequest motive) ความไม่แน่นอนด้านสุขภาพ (health expenditure shocks) และความเสี่ยงด้านอายุขัย (longevity risk) และ
  2. การวิเคราะห์พฤติกรรมการออมแบบกลุ่มประชากร (Cohort-Based Analysis) ของ Gibson & Scobie (2001) และ Deaton (1997) มาใช้เป็นกรอบวิเคราะห์ เพื่อให้เกิดความเข้าใจในพฤติกรรมการออมของครัวเรือนไทยในเชิงลึก

คำนิยามของการออมหรือการลดการออมที่ใช้ในงานวิจัย

ในงานวิจัยนี้ การออมถูกนิยามเป็นผลต่างระหว่างรายได้ทางการเงิน (financial income) ของครัวเรือนและค่าใช้จ่ายทางการเงิน (financial expenditure) ของครัวเรือน ซึ่งคือ “ระดับการออม” (saving level) หรือมูลค่าการออมในหน่วยเงินบาทต่อเดือนของครัวเรือน สามารถบ่งบอกจำนวนเงินที่เหลือเก็บได้จริงจากการใช้จ่ายในแต่ละเดือน (บาท/ครัวเรือน/เดือน) และปรับตามดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ให้เป็นมูลค่าคงที่ของปี 2562 เพื่อให้สามารถเปรียบเทียบข้ามช่วงเวลาได้1 วิธีการนี้คล้ายกับวิธีที่ใช้ในงานวิจัยก่อนหน้า เช่น Gibson & Scobie (2001) ซึ่งศึกษาพฤติกรรมการออมของครัวเรือนในนิวซีแลนด์ และ Deaton (1997) โดยอิงข้อมูลที่ไม่มีการติดตามรายบุคคล หรือข้อมูลสินทรัพย์โดยละเอียดเหมือนในหลายประเทศ

อย่างไรก็ตาม วิธีการนี้มีข้อจำกัดสำคัญ กล่าวคือ ไม่สามารถสะท้อนการสะสมความมั่งคั่ง (wealth accumulation) ได้โดยตรง และอาจได้รับผลกระทบจากข้อผิดพลาดในการรายงานรายได้และรายจ่ายในแบบสอบถาม การใช้ข้อมูลความมั่งคั่ง (wealth) เป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการประเมินพฤติกรรมการออม อย่างไรก็ตาม wealth อาจไม่ใช่ตัวชี้วัดที่เหมาะสมในบริบทของข้อมูล HSES เนื่องจากข้อจำกัดในการเก็บข้อมูลสินทรัพย์อย่างต่อเนื่องและละเอียดเพียงพอ การมีทรัพย์สินที่ไม่สามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ในระยะสั้น เช่น ที่ดินหรือที่อยู่อาศัย รวมถึงความเป็นไปได้ที่ wealth จะสะท้อนการรับมรดกหรือความเหลื่อมล้ำทางรุ่น มากกว่าพฤติกรรมการออมของครัวเรือนในช่วงชีวิต ผู้วิจัยจึงเลือกใช้ รายได้และรายจ่ายทางการเงิน เป็นเกณฑ์ในการคำนวณการออมแทนการสะสมความมั่งคั่ง (wealth accumulation) เนื่องจากเห็นว่าเป็นตัวแปรที่สามารถสะท้อนพฤติกรรมการออมที่เกิดขึ้นจริงในแต่ละช่วงชีวิตได้ดี นิยามนี้ช่วยให้ผู้วิจัยสามารถเปรียบเทียบพฤติกรรมการออมของกลุ่มครัวเรือนที่มีรายได้แตกต่างกัน รวมถึง ศึกษาการเปลี่ยนแปลงของอัตราการออมในแต่ละช่วงเวลาได้อย่างแม่นยำ ต่างจากการวัดการออมผ่านการสะสมสินทรัพย์ที่อาจได้รับอิทธิพลจากปัจจัยอื่น เช่น ราคาสินทรัพย์ที่เพิ่มขึ้น หรือมรดกที่ได้รับจากรุ่นก่อน

การออมในแต่ละช่วงอายุ รุ่นประชากร และ Life-Cycle Hypothesis

เพื่อตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่างช่วงอายุ รุ่นประชากร และพฤติกรรมการออม งานวิจัยนี้ใช้การประมาณค่าด้วยวิธี Ordinary Least Squares (OLS) โดยมีตัวแปรตามคือ “ระดับการออมสุทธิ” (real saving level) ตัวแปรอิสระหลักในการวิเคราะห์ ได้แก่ ช่วงอายุของหัวหน้าครัวเรือน2 และ dummy variables สำหรับรุ่นประชากร ได้แก่ Generation Y, Generation X และ Baby Boomers นอกจากนี้ ยังมีการควบคุมปัจจัยทางเศรษฐกิจและสังคมอื่น ๆ ได้แก่ ระดับการศึกษาของหัวหน้าครัวเรือน, เพศ, ภูมิภาค, สถานภาพสมรส, จำนวนบุตร, จำนวนสมาชิกในครัวเรือน, รายได้จากภาคเกษตร , การจ้างงานภาครัฐ และระดับหนี้สินของครัวเรือน

ผลของอายุที่มีต่ออัตราการออมของครัวเรือนไทยสอดคล้องกับ ทฤษฎี LCH (ดังแสดงในรูปที่ 1) ซึ่งเสนอว่าบุคคลจะมีแนวโน้มปรับพฤติกรรมการออมให้เหมาะสมกับแต่ละช่วงชีวิต โดยทั่วไป อัตราการออมจะเพิ่มขึ้นในช่วงวัยทำงานเมื่อรายได้เพิ่มขึ้น และจะลดลงเมื่อเข้าสู่วัยเกษียณซึ่งเป็นช่วงที่บุคคลเริ่มใช้เงินออมเพื่อการดำรงชีพ (inverted u-curve) อย่างไรก็ตาม ผลการศึกษานี้พบว่า อัตราการออมของครัวเรือนไทยไม่ได้ลดลงจนถึงระดับศูนย์ในช่วงวัยสูงอายุ โดยมีระดับสูงสุดในช่วงอายุประมาณ 56–65 ปี แต่หลังจากนั้นก็ยังคงอยู่ในระดับที่เป็นบวก บ่งชี้ว่าหัวหน้าครัวเรือนส่วนใหญ่ยังคงทำงานหรือมีรายได้หลังวัยเกษียณและยังคงมีพฤติกรรมการเก็บออมในวัยชรา ผลการวิเคราะห์สมการถดถอยพบว่าทุก ๆ อายุที่เพิ่มขึ้นหนึ่งปี อัตราการออมต่อรายได้จะเพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 0.43 แสดงให้เห็นว่าแม้จะควบคุมปัจจัยพื้นฐานต่าง ๆ แล้ว อายุยังคงมีบทบาทสำคัญในการกำหนดพฤติกรรมการออมของครัวเรือน นอกจากนี้ เมื่อดูผลการวิเคราะห์แยกตามกลุ่มประชากรรุ่นต่าง ๆ ก็มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ โดยเมื่อเปรียบเทียบกับ Generation Y ซึ่งเป็นกลุ่มอ้างอิง พบว่ากลุ่ม Baby Boomers และกลุ่ม Generation X มีอัตราการออมสูงกว่าเฉลี่ยร้อยละ 22.25 และร้อยละ 28.01 ตามลำดับ โดยผลนี้ได้จากการเปรียบเทียบกลุ่มประชากรที่อยู่ในช่วงอายุเดียวกัน3 การค้นพบนี้ชี้ให้เห็นว่าประสบการณ์ทางเศรษฐกิจในช่วงวัยทำงานของแต่ละรุ่นมีผลต่อพฤติกรรมทางการเงินในระยะยาว และจากพฤติกรรมที่กลุ่มคนรุ่นใหม่มีการออมที่น้อยลง อาจนำไปสู่ความไม่เพียงพอของเงินออมในวัยเกษียณได้4

รูปที่ 1: ค่าเฉลี่ยการออมในแต่ละช่วงระดับอายุของกลุ่มตัวอย่าง

ค่าเฉลี่ยการออมในแต่ละช่วงระดับอายุของกลุ่มตัวอย่าง

สาเหตุที่อัตราการออมของผู้สูงอายุไม่ได้ลดลงทั้งหมดอาจมาจากหลายปัจจัย ปัจจัยแรกคือ แรงจูงใจในการออมเชิงป้องกัน (precautionary saving motive) เนื่องจากผู้สูงอายุในประเทศไทยมีแนวโน้มที่จะเก็บเงินสำรองไว้สำหรับค่ารักษาพยาบาลและค่าใช้จ่ายฉุกเฉิน อีกทั้งระบบสวัสดิการของภาครัฐ เช่น เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ซึ่งอยู่ที่เพียง 500-1000 บาทต่อเดือน อาจไม่เพียงพอรองรับค่าใช้จ่ายในวัยเกษียณ ทำให้ครัวเรือนต้องออมเงินเพิ่มขึ้นเพื่อลดความเสี่ยงทางการเงินในอนาคต ปัจจัยที่สองคือ แรงจูงใจในการส่งต่อทรัพย์สินให้กับลูกหลาน (bequest motive) ซึ่งเป็นลักษณะที่โดดเด่นของวัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ งานวิจัยของ Horioka (2014) ชี้ให้เห็นว่าครัวเรือนในประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านให้ความสำคัญกับการถ่ายทอดทรัพย์สินระหว่างรุ่นมากกว่าครัวเรือนในประเทศตะวันตก สิ่งนี้อาจอธิบายได้ว่าทำไมผู้สูงอายุจึงยังคงออมเงิน แม้ว่าจะไม่มีความจำเป็นต้องใช้จ่ายเพื่อการดำรงชีพในอนาคต และปัจจัยที่สามคือ ขาดแคลนเครื่องมือทางการเงินที่ช่วยจัดสรรทรัพย์สินในวัยเกษียณ ในประเทศพัฒนาแล้ว ระบบบำนาญและผลิตภัณฑ์ทางการเงิน เช่น แผนบำนาญแบบรายงวด (annuities) มักถูกใช้เป็นกลไกช่วยกระจายเงินออมให้เพียงพอตลอดช่วงชีวิตหลังเกษียณ อย่างไรก็ตาม ในประเทศไทย ตลาดผลิตภัณฑ์บำนาญเหล่านี้ยังไม่แพร่หลาย ทำให้ครัวเรือนอาจจะเลือกที่จะถือครองเงินออมในรูปแบบสินทรัพย์สภาพคล่องหรือเงินสด แทนที่จะทยอยใช้จ่ายออกไปตามหลักการของ LCH

อย่างไรก็ดี หากพิจารณาถึงระดับรายได้ทางการเงินของครัวเรือนจะพบว่าระดับรายได้ของครัวเรือนในระดับอายุที่สูงนั้นอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำ กล่าวคือ ณ อายุ 65 รายได้ทางการเงินเฉลี่ยของครัวเรือน ณ มัธยฐาน อยู่ที่ระดับเพียงประมาณ 10,600 บาทต่อเดือน ดังนั้น แม้ว่าครัวเรือนจะมีอัตราการออมเป็นบวก แต่อาจมิได้สะท้อนถึงระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี เนื่องจากค่าใช้จ่ายที่ลดลงในวัยสูงอายุอาจเกิดจากข้อจำกัดในการบริโภคหรือการลดการใช้จ่ายเพื่อให้สอดคล้องกับรายได้ที่ลดลง แทนที่จะเป็นผลจากความสามารถในการออมที่เพิ่มขึ้น กล่าวคือ ครัวเรือนอาจยังออมได้เพียงเพราะบริโภคในระดับต่ำมากกว่าการมีรายได้ที่เพียงพอ

ความเหลื่อมล้ำในการออมตามระดับการศึกษา

ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่า ระดับการศึกษามีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญกับระดับการออมเฉลี่ยต่อเดือนของครัวเรือนในระยะยาว ดังแสดงในรูปที่ 2 โดยครัวเรือนที่หัวหน้าครัวเรือนสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไปจะมีระดับการออม (saving level) ที่สูงกว่าครัวเรือนที่หัวหน้าครัวเรือนไม่ได้จบปริญญาตรีอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในช่วงอายุ 40–59 ปี ซึ่งเป็นวัยทำงานหลัก

รูปที่ 2: ค่าเฉลี่ยการออมสำหรับกลุ่มตัวอย่างที่จบการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไป (เส้นสีเขียว) และไม่ได้จบการศึกษาระดับปริญญาตรี (เส้นสีเหลือง)

ค่าเฉลี่ยการออมสำหรับกลุ่มตัวอย่างที่จบการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไป (เส้นสีเขียว)  และไม่ได้จบการศึกษาระดับปริญญาตรี (เส้นสีเหลือง)

หากพิจารณาแต่ละกลุ่มประชากร ดังแสดงในรูปที่ 3 พบว่าในทุกกลุ่มประชากร กลุ่มที่จบการศึกษาในระดับปริญญาตรีขึ้นไปมีการออมที่สูงกว่ากลุ่มที่ไม่ได้จบการศึกษาระดับปริญญาตรีอย่างชัดเจน โดยในกลุ่ม Generation Y แม้ว่าจะยังไม่เข้าสู่วัยสูงอายุและมีข้อมูลจำกัดในช่วงอายุหลัง 40 ปี แต่ก็พบความแตกต่างที่เห็นได้ชัด เช่นเดียวกับในกลุ่ม Generation X และสำหรับกลุ่ม Baby Boomers แม้จะเข้าสู่วัยเกษียณแล้ว แต่กลุ่มที่จบปริญญาตรียังคงมีการออมในระดับสูง

รูปที่ 3: ค่าเฉลี่ยการออมสำหรับกลุ่มตัวอย่างในแต่ละกลุ่มประชากร

ค่าเฉลี่ยการออมสำหรับกลุ่มตัวอย่างในแต่ละกลุ่มประชากร

โดยสรุป ระดับการศึกษามีผลอย่างมากต่อพฤติกรรมการออมของครัวเรือนในประเทศไทย ไม่เพียงส่งเสริมให้เกิดการออมในระดับที่สูงขึ้น แต่ยังช่วยชะลอการใช้เงินออมในวัยเกษียณและลดความเสี่ยงจากการไม่มีเงินเพียงพอในอนาคต การศึกษานี้ชี้ให้เห็นถึงบทบาทสำคัญของนโยบายภาครัฐในการส่งเสริมการเข้าถึงการศึกษาระดับสูง รวมถึงการส่งเสริมความรู้ทางการเงิน เพื่อสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจในระยะยาวให้แก่ครัวเรือนในทุกกลุ่มประชากร

การออมและการพึ่งพารายได้จากการเกษตร

การวิเคราะห์พฤติกรรมการออมจำแนกตามอาชีพ โดยเฉพาะสถานะการพึ่งพารายได้จากการเกษตร สะท้อนถึงความแตกต่างด้านศักยภาพในการออมของครัวเรือนไทยอย่างชัดเจน ซึ่งความแตกต่างนี้อาจไม่ได้เกิดจากสถานะอาชีพเกษตรกรรมโดยตรง แต่สะท้อนถึงระดับรายได้ที่ต่ำกว่าโดยเปรียบเทียบ เมื่อเทียบกับกลุ่มอาชีพอื่น เมื่อพิจารณาพฤติกรรมการออมเชิงพรรณนา ทั้งกลุ่มตัวอย่างโดยรวม (ดังแสดงในรูปที่ 4) และแยกตามรุ่นประชากร พบว่าไม่ว่าครัวเรือนจะอยู่ในช่วงอายุใดหรือกลุ่มประชากรใด ครัวเรือนนอกภาคเกษตรกรรมมีระดับการออมเฉลี่ยสูงกว่าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจจะเป็นเพราะกลุ่มดังกล่าวมีรายรับที่สูงกว่า อีกทั้งยังมีการออมเงินเพิ่มขึ้นตามอายุอย่างชัดเจน และเมื่อพิจารณาในกลุ่ม Generation X และ Baby Boomers การออมของครัวเรือนนอกภาคเกษตรของกลุ่มตัวอย่างกลุ่มนี้เพิ่มขึ้นตามรูปแบบของทฤษฎีวัฏจักรชีวิต แต่กลุ่มที่พึ่งพาเกษตรกรรมมีระดับการออมที่ค่อนข้างต่ำและไม่เปลี่ยนแปลงมากนักตามอายุ ซึ่งอาจสะท้อนถึงข้อจำกัดด้านรายได้ ความผันผวนของอาชีพ และโครงสร้างต้นทุนที่ต่างจากภาคอื่น

รูปที่ 4: ค่าเฉลี่ยการออมสำหรับกลุ่มตัวอย่างที่พึ่งพารายได้จากภาคเกษตรกรรม (เส้นสีเขียว) และไม่พึ่งพารายได้จากภาคเกษตรกรรม (เส้นสีเหลือง)

ค่าเฉลี่ยการออมสำหรับกลุ่มตัวอย่างที่พึ่งพารายได้จากภาคเกษตรกรรม (เส้นสีเขียว) และไม่พึ่งพารายได้จากภาคเกษตรกรรม (เส้นสีเหลือง)

ข้อมูลจากแบบจำลองทางเศรษฐมิติ ยืนยันข้อสังเกตดังกล่าว โดยเมื่อเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มที่พึ่งพาและไม่พึ่งพาเกษตรในรุ่นประชากรเดียวกัน พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยผลดังกล่าวพบในทุกกลุ่มประชากรและทุกช่วงอายุ โดยเฉพาะในช่วงวัยทำงานตอนปลายและวัยเกษียณ ซึ่งเป็นช่วงที่ควรมีการสะสมเงินออมในระดับสูง ครัวเรือนที่ไม่พึ่งพารายได้จากภาคเกษตรสามารถรักษาระดับการออมได้อย่างต่อเนื่อง แม้ในช่วงหลังเกษียณ ในขณะที่กลุ่มที่พึ่งพารายได้เกษตรมักมีระดับการออมต่ำตลอดช่วงชีวิตการทำงาน ลักษณะเช่นนี้สะท้อนข้อจำกัดด้านรายได้และความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจของกลุ่มอาชีพเกษตรกรรม และชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นของมาตรการสนับสนุนเฉพาะกลุ่มในเชิงนโยบาย

ข้อจำกัดของงานวิจัย

  1. ความไม่สอดคล้องของการเก็บข้อมูลในแบบสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือน (HSES): ข้อจำกัดหลักของงานวิจัยนี้มาจากแบบสำรวจ HSES ซึ่งถึงแม้จะเป็นแบบสำรวจระยะยาวที่เก็บข้อมูลมาเกือบ 30 ปี แต่การเก็บข้อมูลในแต่ละรอบมีความไม่สม่ำเสมอ กล่าวคือ
  • มีการเปลี่ยนแปลงของตัวแปร: มีการเพิ่มตัวแปรใหม่หรือตัดตัวแปรบางอย่างออกไปในบางปี ซึ่งส่งผลต่อแนวทางการวิเคราะห์ข้อมูลและข้อสรุปที่สามารถทำได้
  • มีการบันทึกข้อมูลที่ไม่ต่อเนื่อง: ตัวแปรบางประเภทไม่มีการบันทึกอย่างต่อเนื่อง ทำให้ยากต่อการติดตามแนวโน้มพฤติกรรมการออมอย่างมีประสิทธิภาพในช่วงเวลาที่แตกต่างกัน
  1. ผลกระทบต่อข้อสรุป: ข้อสรุปของงานวิจัยนี้ขึ้นอยู่กับข้อมูลที่เข้าถึงได้และการจัดการข้อมูล
  • ความจำเป็นที่จะต้องตัดตัวแปรควบคุมบางตัวออกไป: ข้อมูลที่ขาดหายไปในช่วงเวลาหนึ่งทำให้ผู้วิจัยใส่ตัวแปรควบคุมได้จำกัด ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อการวิเคราะห์สมการถดถอย
  • ข้อจำกัดในการเปรียบเทียบ: ความแตกต่างในการเก็บข้อมูลระหว่างปีอาจทำให้ไม่สามารถตรวจสอบพฤติกรรมการออมในบางมิติที่สำคัญได้ เช่น การเปรียบเทียบผลการวิจัยกับคำนิยามการออมที่แตกต่างกัน (เช่น การใช้ข้อมูลความมั่งคั่ง) หรือผลกระทบของภาวะเศรษฐกิจต่อระดับการออมของครัวเรือนในแต่ละกลุ่มอาชีพ

บทสรุปและข้อเสนอแนะทางนโยบาย

ผลการศึกษานี้สะท้อนให้เห็นภาพรวมของพฤติกรรมการออมของครัวเรือนไทยในระยะยาวที่มีความซับซ้อนและแตกต่างกันไปตามอายุ รุ่นประชากร ระดับการศึกษา และอาชีพ โดยมีแนวโน้มในภาพรวมว่า อัตราส่วนการออมของครัวเรือนมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป ซึ่งสอดคล้องกับพัฒนาการทางเศรษฐกิจของประเทศ ความรู้ทางการเงินที่เพิ่มขึ้น และการขยายตัวของการเข้าถึงเครื่องมือทางการเงิน แม้พฤติกรรมโดยรวมจะสอดคล้องกับทฤษฎีวัฏจักรชีวิต (Life-Cycle Hypothesis: LCH) แต่ผลการวิเคราะห์เชิงปริมาณกลับพบว่า กลุ่มผู้สูงอายุในประเทศไทยยังคงมีพฤติกรรมการออมที่เป็นบวก และไม่ได้มีการลดการออมลงจนถึงระดับศูนย์หลังเกษียณดังที่ทฤษฎีคาดการณ์ไว้ ซึ่งอาจสะท้อนแรงจูงใจเรื่องการส่งต่อทรัพย์สิน ความไม่แน่นอนของระบบบำนาญ หรือค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพในบั้นปลายชีวิต

อีกทั้งงานวิจัยพบความแตกต่างของพฤติกรรมการออมระหว่างรุ่นประชากรอย่างมีนัยสำคัญ โดยกลุ่ม Baby Boomers และ Generation X มีแนวโน้มการออมที่สูงกว่า Generation Y อย่างต่อเนื่อง แม้จะควบคุมปัจจัยพื้นฐานด้านเศรษฐกิจและสังคมแล้วก็ตาม และยังพบความเหลื่อมล้ำอย่างชัดเจนในพฤติกรรมการออม โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบครัวเรือนที่หัวหน้าครัวเรือนมีการศึกษาระดับปริญญาตรี กับกลุ่มที่ไม่มีการศึกษาระดับดังกล่าว กลุ่มที่มีการศึกษาสูงสามารถสะสมความมั่งคั่งได้มากกว่าในทุกช่วงอายุ และยังคงมีอัตราการออมที่สูงแม้เข้าสู่วัยเกษียณ ข้อมูลดังกล่าวตอกย้ำว่า ระดับการศึกษาเป็นตัวกำหนดที่สำคัญของความมั่นคงทางการเงิน และส่งผลให้รูปแบบการออมของแต่ละรุ่นประชากรแตกต่างกันออกไป นอกจากนี้ ครัวเรือนที่พึ่งพารายได้จากภาคเกษตรกรรมซึ่งมีความผันผวนสูง ยังคงเผชิญข้อจำกัดด้านการสะสมทรัพย์สินอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในกลุ่มที่ไม่มีการศึกษาระดับสูง

จากข้อค้นพบดังกล่าว แสดงให้เห็นถึงความจำเป็นในการทำความเข้าใจให้มากขึ้นถึงพฤติกรรมการออมของประชากร เพื่อนำไปสู่การออกแบบนโยบายที่เข้าใจพลวัตของพฤติกรรมการออมและความไม่เท่าเทียมในการเข้าถึงโอกาสทางเศรษฐกิจ ซึ่งจะเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างระบบการเงินส่วนบุคคลที่มีเสถียรภาพ ซึ่งสอดรับกับการเข้าสู่สังคมสูงวัยของประเทศไทยในทศวรรษข้างหน้า

เอกสารอ้างอิง

Banks, J., & Crawford, R. (2022). Managing retirement incomes. Annual Review of Economics, 14(1), 181–204.
Beblo, M., & Schreiber, S. (2022). Leisure and housing consumption after retirement: new evidence on the life-cycle hypothesis. Review of Economics of the Household, 20(1), 305–330.
Chen, L., & Zhang, W. (2024). Savings trajectories and cohort differences among older Chinese couples. International Journal of Social Welfare, 33(4), 1094–1107.
Deaton, A. (1997). The analysis of household surveys: a microeconometric approach to development policy. The World Bank.
Gibson, J. K., & Scobie, G. M. (2001). Household saving behaviour in New Zealand: A cohort analysis (Techreport No. 01/18). New Zealand Treasury Working Paper.
Horioka, C. Y. (2014). Are Americans and Indians more altruistic than the Japanese and Chinese? Evidence from a new international survey of bequest plans. Review of Economics of the Household, 12, 411–437.
Karagöz, K. (2024). The effect of population ageing on savings: a time series analysis for Türkiye. Theoretical & Applied Economics, 31(4).
Modigliani, F., & Brumberg, R. (1954). Utility Analysis and the Consumption Function: An Interpretation of Cross-Section Data. In K. K. Kurihara (Ed.), Post Keynesian Economics. Rutgers University Press.

  1. ทั้งนี้ ไม่ได้จำกัดเฉพาะสมาชิกในวัยทำงานหรือผู้ที่มีอายุเกิน 18 ปี แต่พิจารณาการออมจากครัวเรือนที่มีรายได้จากหัวหน้าครัวเรือนเท่านั้น↩
  2. กรองข้อมูลเฉพาะครัวเรือนที่มีรายได้จากหัวหน้าครัวเรือนเท่านั้น↩
  3. การตรวจสอบปัญหา multicollinearity ด้วยค่า Variance Inflation Factor (VIF) พบว่า ตัวแปรอธิบายหลัก รวมถึงตัวแปรกลุ่มอายุและตัวแปรรุ่นประชากร ไม่มีระดับ multicollinearity ที่รุนแรง ซึ่งสนับสนุนความน่าเชื่อถือของค่าสัมประสิทธิ์ที่ประมาณค่าได้จากแบบจำลอง อย่างไรก็ตาม ผู้วิจัยตระหนักถึงข้อจำกัดเชิงเทคนิคที่เกิดจากความสัมพันธ์เชิงโครงสร้างระหว่างตัวแปรอายุ ช่วงเวลา และรุ่นประชากร (อายุ = ปีที่สำรวจ – ปีเกิด) ซึ่งทำให้ไม่สามารถแยกผลกระทบของทั้งสามตัวแปรได้อย่างสมบูรณ์ในเชิงสถิติ จึงได้เลือกใช้วิธีจำแนกกลุ่มย่อย (subgroup analysis) โดยประมาณค่าการออมในแต่ละ cohort แยกจากกัน และควบคุมกลุ่มอายุเป็นช่วง (categorical) ภายใน cohort เหล่านั้น แทนที่จะประมาณร่วมในโมเดลเดียวทั้งหมด↩
  4. การศึกษานี้ยังไม่ได้เปรียบเทียบอัตราการออมต่อรายได้ในแต่ละกลุ่มรุ่นประชากร ซึ่งเป็นอีกมิติที่ควรพิจารณาเพิ่มเติมเพื่อให้เข้าใจพฤติกรรมการออมอย่างรอบด้าน↩
นัฐพร โรจนหัสดิน
นัฐพร โรจนหัสดิน
มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
ชินวัฒน์ หรยางกูร
ชินวัฒน์ หรยางกูร
สำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า
Topics: Labor and Demographic Economics
Tags: savingaging
ข้อคิดเห็นที่ปรากฏในบทความนี้เป็นความเห็นของผู้เขียน ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับความเห็นของสถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์

สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์

273 ถนนสามเสน แขวงวัดสามพระยา เขตพระนคร กรุงเทพฯ 10200

โทรศัพท์: 0-2283-6066

Email: pier@bot.or.th

เงื่อนไขการให้บริการ | นโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2568 สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์

เอกสารเผยแพร่ทุกชิ้นสงวนสิทธิ์ภายใต้สัญญาอนุญาต Creative Commons Attribution-NonCommercial-ShareAlike 3.0 Unported license

Creative Commons Attribution NonCommercial ShareAlike

รับจดหมายข่าว PIER

Facebook
YouTube
Email