พฤติกรรมการออมในสังคมผู้สูงอายุ

excerpt
งานวิจัยนี้วิเคราะห์พฤติกรรมการออมของครัวเรือนไทยจากข้อมูลสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือน (HSES) ระหว่างปี 2537–2564 ครอบคลุมกว่า 330,000 ครัวเรือน เพื่อศึกษาความแตกต่างของการออมตามช่วงอายุ รุ่นประชากร และปัจจัยทางเศรษฐกิจสังคม โดยวัดการออมในรูปของรายได้ที่เหลือจากการบริโภคจริงหลังปรับตามอัตราเงินเฟ้อ ผลการศึกษาพบว่า พฤติกรรมการออมของกลุ่มตัวอย่างมีลักษณะเป็นเส้นโค้งตัวยูคว่ำ (inverted-U curve) โดยมีจุดสูงสุดในช่วงอายุ 56–65 ปี แสดงถึงการสะสมทรัพย์สินในช่วงวัยกลางคนและเริ่มลดลงเมื่อเข้าสู่วัยหลังเกษียณ อย่างไรก็ตาม ครัวเรือนไทยยังคงมีการออมสุทธิเป็นบวกในช่วงวัยชรา ซึ่งขัดแย้งกับข้อสมมติของทฤษฎีวัฏจักรชีวิต ที่คาดว่าการออมจะลดลงเป็นศูนย์ในช่วงปลายชีวิต แต่สอดคล้องกับการศึกษาเชิงประจักษ์หลายงาน ปรากฏการณ์นี้อาจสะท้อนแรงจูงใจด้านมรดกหรือการเตรียมรับความเสี่ยงในอนาคต และเมื่อพิจารณาในมิติของรุ่นประชากร พบว่า Baby Boomers มีระดับการออมสูงกว่า Generation X และ Generation Y อย่างมีนัยสำคัญ แม้จะควบคุมปัจจัยทางเศรษฐกิจและสังคมแล้ว การศึกษานี้ยังพบความแตกต่างที่เด่นชัดตามระดับการศึกษา ครัวเรือนที่หัวหน้าครัวเรือนจบการศึกษาระดับปริญญาตรีสามารถออมทรัพย์ได้สูงกว่าทุกช่วงอายุและทุกรุ่นประชากรเมื่อเทียบกับกลุ่มที่ไม่มีวุฒิปริญญาตรี ในขณะที่ครัวเรือนที่พึ่งพารายได้จากการเกษตร กลับมีอัตราการออมที่ต่ำกว่าอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเทียบกับครัวเรือนที่ไม่พึ่งพารายได้จากการเกษตร โดยเฉพาะในกลุ่มที่ไม่มีวุฒิการศึกษาระดับสูง
งานวิจัยฉบับนี้ศึกษาพฤติกรรมการออม (savings) หรือการลดการออม (dissavings) ของครัวเรือนไทย โดยพิจารณาในมิติของช่วงอายุ กลุ่มรุ่นประชากร คือ Baby boomers, Generation X, และ Generation Y และช่วงเวลา โดยอาศัยข้อมูลจากแบบสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือนไทย (Household Socio-Economic Survey: HSES) ครอบคลุมระยะเวลาเกือบสามทศวรรษ ตั้งแต่ปี (พ.ศ. 2537–2564) มีจำนวนครัวเรือนมากกว่า 330,000 ตัวอย่างทั่วประเทศ ในบริบทปัจจุบันที่ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่ภาวะสังคมสูงวัยอย่างรวดเร็ว การทำความเข้าใจพฤติกรรมการออมของครัวเรือนในแต่ละช่วงวัยของกลุ่มประชากรจึงมีความสำคัญต่อการวิเคราะห์แนวโน้มทางเศรษฐกิจและสังคม โดยเฉพาะในบริบทของการเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจช่วยเป็นข้อมูลพื้นฐานสำหรับการออกแบบนโยบายในอนาคต เพื่อสนับสนุนความมั่นคงทางการเงินของครัวเรือนและลดความเปราะบางทางเศรษฐกิจ
การออมเป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดความมั่นคงทางการเงินของครัวเรือน ช่วยให้ครัวเรือนสามารถสะสมความมั่งคั่ง คงระดับการบริโภค เตรียมพร้อมต่อการเกษียณ และเตรียมพร้อมสำหรับความเสี่ยง ทั้งนี้พลวัตของการออมและการใช้จ่ายในแต่ละช่วงเวลา กลุ่มอายุ และกลุ่มประชากรต่าง ๆ ได้รับอิทธิพลจากปัจจัยทางเศรษฐกิจและสังคมหลายประการ งานวิจัยนี้มุ่งวิเคราะห์พฤติกรรมการออมของครัวเรือนไทยผ่านการวัด “ระดับการออมสุทธิ” (real saving level) เพื่อให้สามารถเปรียบเทียบข้ามช่วงเวลาได้ ผลลัพธ์เชิงประจักษ์ชี้ให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมการออมตามช่วงวัย (life-cycle effect) และความแตกต่างของแต่ละรุ่นประชากร (generational cohort)
คำถามหลักของการวิจัยนี้คือ พฤติกรรมการออมหรือการลดการออมของครัวเรือนในประเทศไทยแตกต่างกันไปตามช่วงอายุและกลุ่มประชากรหรือไม่ และปัจจัยใดเป็นตัวกำหนดความแตกต่างเหล่านั้น งานวิจัยนี้ใช้การวิเคราะห์ข้อมูลระยะยาวขนาดใหญ่ ทำให้เห็นถึงผลกระทบของช่วงเวลาต่าง ๆ (year effects) เพื่อศึกษาว่าปัจจัยทางเศรษฐกิจและสังคมมีผลต่อพฤติกรรมทางการเงินของครัวเรือนอย่างไร นอกจากนี้ ยังได้นำสองแนวคิดมาใช้เป็นกรอบวิเคราะห์ คือ
- ทฤษฎี Life-Cycle Hypothesis (LCH) ของ Modigliani & Brumberg (1954) ซึ่งแม้จะเป็นทฤษฎีพื้นฐานที่อธิบายการวางแผนทางการเงินของบุคคลในช่วงชีวิต แต่หลักฐานเชิงประจักษ์จำนวนมากพบว่า พฤติกรรมการออมในชีวิตจริงมักเบี่ยงเบนจากข้อคาดการณ์ของ LCH โดยเฉพาะในช่วงวัยหลังเกษียณ (Banks & Crawford, 2022; Beblo & Schreiber, 2022; Chen & Zhang, 2024; Karagöz, 2024) ที่ผู้สูงอายุยังคงสะสมทรัพย์สินแทนที่จะใช้จ่ายทรัพย์สินที่มีอยู่ ซึ่งอาจสะท้อนแรงจูงใจด้านมรดก (bequest motive) ความไม่แน่นอนด้านสุขภาพ (health expenditure shocks) และความเสี่ยงด้านอายุขัย (longevity risk) และ
- การวิเคราะห์พฤติกรรมการออมแบบกลุ่มประชากร (Cohort-Based Analysis) ของ Gibson & Scobie (2001) และ Deaton (1997) มาใช้เป็นกรอบวิเคราะห์ เพื่อให้เกิดความเข้าใจในพฤติกรรมการออมของครัวเรือนไทยในเชิงลึก
ในงานวิจัยนี้ การออมถูกนิยามเป็นผลต่างระหว่างรายได้ทางการเงิน (financial income) ของครัวเรือนและค่าใช้จ่ายทางการเงิน (financial expenditure) ของครัวเรือน ซึ่งคือ “ระดับการออม” (saving level) หรือมูลค่าการออมในหน่วยเงินบาทต่อเดือนของครัวเรือน สามารถบ่งบอกจำนวนเงินที่เหลือเก็บได้จริงจากการใช้จ่ายในแต่ละเดือน (บาท/ครัวเรือน/เดือน) และปรับตามดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ให้เป็นมูลค่าคงที่ของปี 2562 เพื่อให้สามารถเปรียบเทียบข้ามช่วงเวลาได้1 วิธีการนี้คล้ายกับวิธีที่ใช้ในงานวิจัยก่อนหน้า เช่น Gibson & Scobie (2001) ซึ่งศึกษาพฤติกรรมการออมของครัวเรือนในนิวซีแลนด์ และ Deaton (1997) โดยอิงข้อมูลที่ไม่มีการติดตามรายบุคคล หรือข้อมูลสินทรัพย์โดยละเอียดเหมือนในหลายประเทศ
อย่างไรก็ตาม วิธีการนี้มีข้อจำกัดสำคัญ กล่าวคือ ไม่สามารถสะท้อนการสะสมความมั่งคั่ง (wealth accumulation) ได้โดยตรง และอาจได้รับผลกระทบจากข้อผิดพลาดในการรายงานรายได้และรายจ่ายในแบบสอบถาม การใช้ข้อมูลความมั่งคั่ง (wealth) เป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการประเมินพฤติกรรมการออม อย่างไรก็ตาม wealth อาจไม่ใช่ตัวชี้วัดที่เหมาะสมในบริบทของข้อมูล HSES เนื่องจากข้อจำกัดในการเก็บข้อมูลสินทรัพย์อย่างต่อเนื่องและละเอียดเพียงพอ การมีทรัพย์สินที่ไม่สามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ในระยะสั้น เช่น ที่ดินหรือที่อยู่อาศัย รวมถึงความเป็นไปได้ที่ wealth จะสะท้อนการรับมรดกหรือความเหลื่อมล้ำทางรุ่น มากกว่าพฤติกรรมการออมของครัวเรือนในช่วงชีวิต ผู้วิจัยจึงเลือกใช้ รายได้และรายจ่ายทางการเงิน เป็นเกณฑ์ในการคำนวณการออมแทนการสะสมความมั่งคั่ง (wealth accumulation) เนื่องจากเห็นว่าเป็นตัวแปรที่สามารถสะท้อนพฤติกรรมการออมที่เกิดขึ้นจริงในแต่ละช่วงชีวิตได้ดี นิยามนี้ช่วยให้ผู้วิจัยสามารถเปรียบเทียบพฤติกรรมการออมของกลุ่มครัวเรือนที่มีรายได้แตกต่างกัน รวมถึง ศึกษาการเปลี่ยนแปลงของอัตราการออมในแต่ละช่วงเวลาได้อย่างแม่นยำ ต่างจากการวัดการออมผ่านการสะสมสินทรัพย์ที่อาจได้รับอิทธิพลจากปัจจัยอื่น เช่น ราคาสินทรัพย์ที่เพิ่มขึ้น หรือมรดกที่ได้รับจากรุ่นก่อน
เพื่อตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่างช่วงอายุ รุ่นประชากร และพฤติกรรมการออม งานวิจัยนี้ใช้การประมาณค่าด้วยวิธี Ordinary Least Squares (OLS) โดยมีตัวแปรตามคือ “ระดับการออมสุทธิ” (real saving level) ตัวแปรอิสระหลักในการวิเคราะห์ ได้แก่ ช่วงอายุของหัวหน้าครัวเรือน2 และ dummy variables สำหรับรุ่นประชากร ได้แก่ Generation Y, Generation X และ Baby Boomers นอกจากนี้ ยังมีการควบคุมปัจจัยทางเศรษฐกิจและสังคมอื่น ๆ ได้แก่ ระดับการศึกษาของหัวหน้าครัวเรือน, เพศ, ภูมิภาค, สถานภาพสมรส, จำนวนบุตร, จำนวนสมาชิกในครัวเรือน, รายได้จากภาคเกษตร , การจ้างงานภาครัฐ และระดับหนี้สินของครัวเรือน
ผลของอายุที่มีต่ออัตราการออมของครัวเรือนไทยสอดคล้องกับ ทฤษฎี LCH (ดังแสดงในรูปที่ 1) ซึ่งเสนอว่าบุคคลจะมีแนวโน้มปรับพฤติกรรมการออมให้เหมาะสมกับแต่ละช่วงชีวิต โดยทั่วไป อัตราการออมจะเพิ่มขึ้นในช่วงวัยทำงานเมื่อรายได้เพิ่มขึ้น และจะลดลงเมื่อเข้าสู่วัยเกษียณซึ่งเป็นช่วงที่บุคคลเริ่มใช้เงินออมเพื่อการดำรงชีพ (inverted u-curve) อย่างไรก็ตาม ผลการศึกษานี้พบว่า อัตราการออมของครัวเรือนไทยไม่ได้ลดลงจนถึงระดับศูนย์ในช่วงวัยสูงอายุ โดยมีระดับสูงสุดในช่วงอายุประมาณ 56–65 ปี แต่หลังจากนั้นก็ยังคงอยู่ในระดับที่เป็นบวก บ่งชี้ว่าหัวหน้าครัวเรือนส่วนใหญ่ยังคงทำงานหรือมีรายได้หลังวัยเกษียณและยังคงมีพฤติกรรมการเก็บออมในวัยชรา ผลการวิเคราะห์สมการถดถอยพบว่าทุก ๆ อายุที่เพิ่มขึ้นหนึ่งปี อัตราการออมต่อรายได้จะเพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 0.43 แสดงให้เห็นว่าแม้จะควบคุมปัจจัยพื้นฐานต่าง ๆ แล้ว อายุยังคงมีบทบาทสำคัญในการกำหนดพฤติกรรมการออมของครัวเรือน นอกจากนี้ เมื่อดูผลการวิเคราะห์แยกตามกลุ่มประชากรรุ่นต่าง ๆ ก็มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ โดยเมื่อเปรียบเทียบกับ Generation Y ซึ่งเป็นกลุ่มอ้างอิง พบว่ากลุ่ม Baby Boomers และกลุ่ม Generation X มีอัตราการออมสูงกว่าเฉลี่ยร้อยละ 22.25 และร้อยละ 28.01 ตามลำดับ โดยผลนี้ได้จากการเปรียบเทียบกลุ่มประชากรที่อยู่ในช่วงอายุเดียวกัน3 การค้นพบนี้ชี้ให้เห็นว่าประสบการณ์ทางเศรษฐกิจในช่วงวัยทำงานของแต่ละรุ่นมีผลต่อพฤติกรรมทางการเงินในระยะยาว และจากพฤติกรรมที่กลุ่มคนรุ่นใหม่มีการออมที่น้อยลง อาจนำไปสู่ความไม่เพียงพอของเงินออมในวัยเกษียณได้4
สาเหตุที่อัตราการออมของผู้สูงอายุไม่ได้ลดลงทั้งหมดอาจมาจากหลายปัจจัย ปัจจัยแรกคือ แรงจูงใจในการออมเชิงป้องกัน (precautionary saving motive) เนื่องจากผู้สูงอายุในประเทศไทยมีแนวโน้มที่จะเก็บเงินสำรองไว้สำหรับค่ารักษาพยาบาลและค่าใช้จ่ายฉุกเฉิน อีกทั้งระบบสวัสดิการของภาครัฐ เช่น เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ซึ่งอยู่ที่เพียง 500-1000 บาทต่อเดือน อาจไม่เพียงพอรองรับค่าใช้จ่ายในวัยเกษียณ ทำให้ครัวเรือนต้องออมเงินเพิ่มขึ้นเพื่อลดความเสี่ยงทางการเงินในอนาคต ปัจจัยที่สองคือ แรงจูงใจในการส่งต่อทรัพย์สินให้กับลูกหลาน (bequest motive) ซึ่งเป็นลักษณะที่โดดเด่นของวัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ งานวิจัยของ Horioka (2014) ชี้ให้เห็นว่าครัวเรือนในประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านให้ความสำคัญกับการถ่ายทอดทรัพย์สินระหว่างรุ่นมากกว่าครัวเรือนในประเทศตะวันตก สิ่งนี้อาจอธิบายได้ว่าทำไมผู้สูงอายุจึงยังคงออมเงิน แม้ว่าจะไม่มีความจำเป็นต้องใช้จ่ายเพื่อการดำรงชีพในอนาคต และปัจจัยที่สามคือ ขาดแคลนเครื่องมือทางการเงินที่ช่วยจัดสรรทรัพย์สินในวัยเกษียณ ในประเทศพัฒนาแล้ว ระบบบำนาญและผลิตภัณฑ์ทางการเงิน เช่น แผนบำนาญแบบรายงวด (annuities) มักถูกใช้เป็นกลไกช่วยกระจายเงินออมให้เพียงพอตลอดช่วงชีวิตหลังเกษียณ อย่างไรก็ตาม ในประเทศไทย ตลาดผลิตภัณฑ์บำนาญเหล่านี้ยังไม่แพร่หลาย ทำให้ครัวเรือนอาจจะเลือกที่จะถือครองเงินออมในรูปแบบสินทรัพย์สภาพคล่องหรือเงินสด แทนที่จะทยอยใช้จ่ายออกไปตามหลักการของ LCH
อย่างไรก็ดี หากพิจารณาถึงระดับรายได้ทางการเงินของครัวเรือนจะพบว่าระดับรายได้ของครัวเรือนในระดับอายุที่สูงนั้นอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำ กล่าวคือ ณ อายุ 65 รายได้ทางการเงินเฉลี่ยของครัวเรือน ณ มัธยฐาน อยู่ที่ระดับเพียงประมาณ 10,600 บาทต่อเดือน ดังนั้น แม้ว่าครัวเรือนจะมีอัตราการออมเป็นบวก แต่อาจมิได้สะท้อนถึงระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี เนื่องจากค่าใช้จ่ายที่ลดลงในวัยสูงอายุอาจเกิดจากข้อจำกัดในการบริโภคหรือการลดการใช้จ่ายเพื่อให้สอดคล้องกับรายได้ที่ลดลง แทนที่จะเป็นผลจากความสามารถในการออมที่เพิ่มขึ้น กล่าวคือ ครัวเรือนอาจยังออมได้เพียงเพราะบริโภคในระดับต่ำมากกว่าการมีรายได้ที่เพียงพอ
ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่า ระดับการศึกษามีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญกับระดับการออมเฉลี่ยต่อเดือนของครัวเรือนในระยะยาว ดังแสดงในรูปที่ 2 โดยครัวเรือนที่หัวหน้าครัวเรือนสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไปจะมีระดับการออม (saving level) ที่สูงกว่าครัวเรือนที่หัวหน้าครัวเรือนไม่ได้จบปริญญาตรีอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในช่วงอายุ 40–59 ปี ซึ่งเป็นวัยทำงานหลัก
หากพิจารณาแต่ละกลุ่มประชากร ดังแสดงในรูปที่ 3 พบว่าในทุกกลุ่มประชากร กลุ่มที่จบการศึกษาในระดับปริญญาตรีขึ้นไปมีการออมที่สูงกว่ากลุ่มที่ไม่ได้จบการศึกษาระดับปริญญาตรีอย่างชัดเจน โดยในกลุ่ม Generation Y แม้ว่าจะยังไม่เข้าสู่วัยสูงอายุและมีข้อมูลจำกัดในช่วงอายุหลัง 40 ปี แต่ก็พบความแตกต่างที่เห็นได้ชัด เช่นเดียวกับในกลุ่ม Generation X และสำหรับกลุ่ม Baby Boomers แม้จะเข้าสู่วัยเกษียณแล้ว แต่กลุ่มที่จบปริญญาตรียังคงมีการออมในระดับสูง
โดยสรุป ระดับการศึกษามีผลอย่างมากต่อพฤติกรรมการออมของครัวเรือนในประเทศไทย ไม่เพียงส่งเสริมให้เกิดการออมในระดับที่สูงขึ้น แต่ยังช่วยชะลอการใช้เงินออมในวัยเกษียณและลดความเสี่ยงจากการไม่มีเงินเพียงพอในอนาคต การศึกษานี้ชี้ให้เห็นถึงบทบาทสำคัญของนโยบายภาครัฐในการส่งเสริมการเข้าถึงการศึกษาระดับสูง รวมถึงการส่งเสริมความรู้ทางการเงิน เพื่อสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจในระยะยาวให้แก่ครัวเรือนในทุกกลุ่มประชากร
การวิเคราะห์พฤติกรรมการออมจำแนกตามอาชีพ โดยเฉพาะสถานะการพึ่งพารายได้จากการเกษตร สะท้อนถึงความแตกต่างด้านศักยภาพในการออมของครัวเรือนไทยอย่างชัดเจน ซึ่งความแตกต่างนี้อาจไม่ได้เกิดจากสถานะอาชีพเกษตรกรรมโดยตรง แต่สะท้อนถึงระดับรายได้ที่ต่ำกว่าโดยเปรียบเทียบ เมื่อเทียบกับกลุ่มอาชีพอื่น เมื่อพิจารณาพฤติกรรมการออมเชิงพรรณนา ทั้งกลุ่มตัวอย่างโดยรวม (ดังแสดงในรูปที่ 4) และแยกตามรุ่นประชากร พบว่าไม่ว่าครัวเรือนจะอยู่ในช่วงอายุใดหรือกลุ่มประชากรใด ครัวเรือนนอกภาคเกษตรกรรมมีระดับการออมเฉลี่ยสูงกว่าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจจะเป็นเพราะกลุ่มดังกล่าวมีรายรับที่สูงกว่า อีกทั้งยังมีการออมเงินเพิ่มขึ้นตามอายุอย่างชัดเจน และเมื่อพิจารณาในกลุ่ม Generation X และ Baby Boomers การออมของครัวเรือนนอกภาคเกษตรของกลุ่มตัวอย่างกลุ่มนี้เพิ่มขึ้นตามรูปแบบของทฤษฎีวัฏจักรชีวิต แต่กลุ่มที่พึ่งพาเกษตรกรรมมีระดับการออมที่ค่อนข้างต่ำและไม่เปลี่ยนแปลงมากนักตามอายุ ซึ่งอาจสะท้อนถึงข้อจำกัดด้านรายได้ ความผันผวนของอาชีพ และโครงสร้างต้นทุนที่ต่างจากภาคอื่น
ข้อมูลจากแบบจำลองทางเศรษฐมิติ ยืนยันข้อสังเกตดังกล่าว โดยเมื่อเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มที่พึ่งพาและไม่พึ่งพาเกษตรในรุ่นประชากรเดียวกัน พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยผลดังกล่าวพบในทุกกลุ่มประชากรและทุกช่วงอายุ โดยเฉพาะในช่วงวัยทำงานตอนปลายและวัยเกษียณ ซึ่งเป็นช่วงที่ควรมีการสะสมเงินออมในระดับสูง ครัวเรือนที่ไม่พึ่งพารายได้จากภาคเกษตรสามารถรักษาระดับการออมได้อย่างต่อเนื่อง แม้ในช่วงหลังเกษียณ ในขณะที่กลุ่มที่พึ่งพารายได้เกษตรมักมีระดับการออมต่ำตลอดช่วงชีวิตการทำงาน ลักษณะเช่นนี้สะท้อนข้อจำกัดด้านรายได้และความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจของกลุ่มอาชีพเกษตรกรรม และชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นของมาตรการสนับสนุนเฉพาะกลุ่มในเชิงนโยบาย
- ความไม่สอดคล้องของการเก็บข้อมูลในแบบสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือน (HSES): ข้อจำกัดหลักของงานวิจัยนี้มาจากแบบสำรวจ HSES ซึ่งถึงแม้จะเป็นแบบสำรวจระยะยาวที่เก็บข้อมูลมาเกือบ 30 ปี แต่การเก็บข้อมูลในแต่ละรอบมีความไม่สม่ำเสมอ กล่าวคือ
- มีการเปลี่ยนแปลงของตัวแปร: มีการเพิ่มตัวแปรใหม่หรือตัดตัวแปรบางอย่างออกไปในบางปี ซึ่งส่งผลต่อแนวทางการวิเคราะห์ข้อมูลและข้อสรุปที่สามารถทำได้
- มีการบันทึกข้อมูลที่ไม่ต่อเนื่อง: ตัวแปรบางประเภทไม่มีการบันทึกอย่างต่อเนื่อง ทำให้ยากต่อการติดตามแนวโน้มพฤติกรรมการออมอย่างมีประสิทธิภาพในช่วงเวลาที่แตกต่างกัน
- ผลกระทบต่อข้อสรุป: ข้อสรุปของงานวิจัยนี้ขึ้นอยู่กับข้อมูลที่เข้าถึงได้และการจัดการข้อมูล
- ความจำเป็นที่จะต้องตัดตัวแปรควบคุมบางตัวออกไป: ข้อมูลที่ขาดหายไปในช่วงเวลาหนึ่งทำให้ผู้วิจัยใส่ตัวแปรควบคุมได้จำกัด ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อการวิเคราะห์สมการถดถอย
- ข้อจำกัดในการเปรียบเทียบ: ความแตกต่างในการเก็บข้อมูลระหว่างปีอาจทำให้ไม่สามารถตรวจสอบพฤติกรรมการออมในบางมิติที่สำคัญได้ เช่น การเปรียบเทียบผลการวิจัยกับคำนิยามการออมที่แตกต่างกัน (เช่น การใช้ข้อมูลความมั่งคั่ง) หรือผลกระทบของภาวะเศรษฐกิจต่อระดับการออมของครัวเรือนในแต่ละกลุ่มอาชีพ
ผลการศึกษานี้สะท้อนให้เห็นภาพรวมของพฤติกรรมการออมของครัวเรือนไทยในระยะยาวที่มีความซับซ้อนและแตกต่างกันไปตามอายุ รุ่นประชากร ระดับการศึกษา และอาชีพ โดยมีแนวโน้มในภาพรวมว่า อัตราส่วนการออมของครัวเรือนมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป ซึ่งสอดคล้องกับพัฒนาการทางเศรษฐกิจของประเทศ ความรู้ทางการเงินที่เพิ่มขึ้น และการขยายตัวของการเข้าถึงเครื่องมือทางการเงิน แม้พฤติกรรมโดยรวมจะสอดคล้องกับทฤษฎีวัฏจักรชีวิต (Life-Cycle Hypothesis: LCH) แต่ผลการวิเคราะห์เชิงปริมาณกลับพบว่า กลุ่มผู้สูงอายุในประเทศไทยยังคงมีพฤติกรรมการออมที่เป็นบวก และไม่ได้มีการลดการออมลงจนถึงระดับศูนย์หลังเกษียณดังที่ทฤษฎีคาดการณ์ไว้ ซึ่งอาจสะท้อนแรงจูงใจเรื่องการส่งต่อทรัพย์สิน ความไม่แน่นอนของระบบบำนาญ หรือค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพในบั้นปลายชีวิต
อีกทั้งงานวิจัยพบความแตกต่างของพฤติกรรมการออมระหว่างรุ่นประชากรอย่างมีนัยสำคัญ โดยกลุ่ม Baby Boomers และ Generation X มีแนวโน้มการออมที่สูงกว่า Generation Y อย่างต่อเนื่อง แม้จะควบคุมปัจจัยพื้นฐานด้านเศรษฐกิจและสังคมแล้วก็ตาม และยังพบความเหลื่อมล้ำอย่างชัดเจนในพฤติกรรมการออม โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบครัวเรือนที่หัวหน้าครัวเรือนมีการศึกษาระดับปริญญาตรี กับกลุ่มที่ไม่มีการศึกษาระดับดังกล่าว กลุ่มที่มีการศึกษาสูงสามารถสะสมความมั่งคั่งได้มากกว่าในทุกช่วงอายุ และยังคงมีอัตราการออมที่สูงแม้เข้าสู่วัยเกษียณ ข้อมูลดังกล่าวตอกย้ำว่า ระดับการศึกษาเป็นตัวกำหนดที่สำคัญของความมั่นคงทางการเงิน และส่งผลให้รูปแบบการออมของแต่ละรุ่นประชากรแตกต่างกันออกไป นอกจากนี้ ครัวเรือนที่พึ่งพารายได้จากภาคเกษตรกรรมซึ่งมีความผันผวนสูง ยังคงเผชิญข้อจำกัดด้านการสะสมทรัพย์สินอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในกลุ่มที่ไม่มีการศึกษาระดับสูง
จากข้อค้นพบดังกล่าว แสดงให้เห็นถึงความจำเป็นในการทำความเข้าใจให้มากขึ้นถึงพฤติกรรมการออมของประชากร เพื่อนำไปสู่การออกแบบนโยบายที่เข้าใจพลวัตของพฤติกรรมการออมและความไม่เท่าเทียมในการเข้าถึงโอกาสทางเศรษฐกิจ ซึ่งจะเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างระบบการเงินส่วนบุคคลที่มีเสถียรภาพ ซึ่งสอดรับกับการเข้าสู่สังคมสูงวัยของประเทศไทยในทศวรรษข้างหน้า
เอกสารอ้างอิง
- ทั้งนี้ ไม่ได้จำกัดเฉพาะสมาชิกในวัยทำงานหรือผู้ที่มีอายุเกิน 18 ปี แต่พิจารณาการออมจากครัวเรือนที่มีรายได้จากหัวหน้าครัวเรือนเท่านั้น↩
- กรองข้อมูลเฉพาะครัวเรือนที่มีรายได้จากหัวหน้าครัวเรือนเท่านั้น↩
- การตรวจสอบปัญหา multicollinearity ด้วยค่า Variance Inflation Factor (VIF) พบว่า ตัวแปรอธิบายหลัก รวมถึงตัวแปรกลุ่มอายุและตัวแปรรุ่นประชากร ไม่มีระดับ multicollinearity ที่รุนแรง ซึ่งสนับสนุนความน่าเชื่อถือของค่าสัมประสิทธิ์ที่ประมาณค่าได้จากแบบจำลอง อย่างไรก็ตาม ผู้วิจัยตระหนักถึงข้อจำกัดเชิงเทคนิคที่เกิดจากความสัมพันธ์เชิงโครงสร้างระหว่างตัวแปรอายุ ช่วงเวลา และรุ่นประชากร (อายุ = ปีที่สำรวจ – ปีเกิด) ซึ่งทำให้ไม่สามารถแยกผลกระทบของทั้งสามตัวแปรได้อย่างสมบูรณ์ในเชิงสถิติ จึงได้เลือกใช้วิธีจำแนกกลุ่มย่อย (subgroup analysis) โดยประมาณค่าการออมในแต่ละ cohort แยกจากกัน และควบคุมกลุ่มอายุเป็นช่วง (categorical) ภายใน cohort เหล่านั้น แทนที่จะประมาณร่วมในโมเดลเดียวทั้งหมด↩
- การศึกษานี้ยังไม่ได้เปรียบเทียบอัตราการออมต่อรายได้ในแต่ละกลุ่มรุ่นประชากร ซึ่งเป็นอีกมิติที่ควรพิจารณาเพิ่มเติมเพื่อให้เข้าใจพฤติกรรมการออมอย่างรอบด้าน↩