Research
Discussion Paper
PIERspectives
aBRIDGEd
PIER Blog
Events
Conferences
Research Workshops
Policy Forums
Seminars
Exchanges
Research Briefs
Community
PIER Research Network
Visiting Fellows
Funding and Grants
About Us
Our Organization
Announcements
PIER Board
Staff
Work with Us
Contact Us
TH
EN
Research
Research
Discussion Paper
PIERspectives
aBRIDGEd
PIER Blog
Not Over the Hill: Exploring the Digital Divide among Vulnerable Older Adults in Thailand
Discussion Paper ล่าสุด
Not Over the Hill: Exploring the Digital Divide among Vulnerable Older Adults in Thailand
China’s Economy, Structural Changes and the New Geoeconomic Landscape
PIER Blog ล่าสุด
China’s Economy, Structural Changes and the New Geoeconomic Landscape
Events
Events
Conferences
Research Workshops
Policy Forums
Seminars
Exchanges
Research Briefs
Central Bank Reviews
งานสัมมนาล่าสุด
Central Bank Reviews
International Policy Forum on Climate Finance
งานประชุมเชิงนโยบายล่าสุด
International Policy Forum on Climate Finance
สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์
สถาบันวิจัยเศรษฐกิจ
ป๋วย อึ๊งภากรณ์
Puey Ungphakorn Institute for Economic Research
Community
Community
PIER Research Network
Visiting Fellows
Funding and Grants
PIER Research Network
PIER Research Network
Funding & Grants
Funding & Grants
About Us
About Us
Our Organization
Announcements
PIER Board
Staff
Work with Us
Contact Us
Staff
Staff
Call for Papers: PIER Research Workshop 2025
ประกาศล่าสุด
Call for Papers: PIER Research Workshop 2025
PIER Blogblog
QR code
Year
2025
2024
2023
2022
...
/static/f3f5b1a36d298c0a995a1e3d6f1d0d5d/41624/cover.jpg
7 กรกฎาคม 2568
20251751846400000

เศรษฐกิจจีน การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง กับความท้าทายด้านภูมิเศรษฐศาสตร์

ภากร นันทอารีจินต์จุฑา สง่าแสง
เศรษฐกิจจีน การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง กับความท้าทายด้านภูมิเศรษฐศาสตร์
note

เมื่อวันศุกร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2568 ศาสตราจารย์จัสติน ยี่ฟู ลิน (Justin Yifu Lin) ได้บรรยายในหัวข้อ “China’s Economy, Structural Changes and the New Geoeconomic Landscape” ในงาน Academic Network ครั้งที่ 2 ซึ่งจัดขึ้นที่ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคเหนือ จังหวัดเชียงใหม่ ปัจจุบันศาสตราจารย์ลินดำรงตำแหน่งคณบดีของ The Institute of New Structural Economics แห่งมหาวิทยาลัยปักกิ่ง และเคยดำรงตำแหน่ง Chief Economist ของธนาคารโลกระหว่างปี พ.ศ. 2551–2555 บทความนี้เป็นบทสรุปสาระสำคัญของการบรรยายของศาสตราจารย์ลิน และไม่ได้แสดงถึงแนวคิดของผู้เขียนบทความ ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือสถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์

การเติบโตอย่างรวดเร็วของเศรษฐกิจจีนกว่าครึ่งศตวรรษ

หลังจากที่ประเทศจีนได้ดำเนินการปฏิรูปเศรษฐกิจครั้งใหญ่ในช่วงปลายทศวรรษ 1970 เศรษฐกิจจีนขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติต่อหัว (GDP per capita) ของจีนเพิ่มขึ้นจากเพียง 156 ดอลลาร์ ในปี ค.ศ. 1978 (ซึ่งถือว่าน้อยกว่าหนึ่งในสามของ GDP per capita ของประเทศไทยในขณะนั้น) เป็นเกือบ 50 เท่า การเติบโตที่รวดเร็วดังกล่าวทำให้จีนกลายเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของโลกหากพิจารณาจากระดับของ nominal GDP นอกจากนี้ หากพิจารณาในมิติของสัดส่วนของเศรษฐกิจจีนต่อเศรษฐกิจโลก พบว่าสัดส่วนของเศรษฐกิจจีนเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยเพิ่มจากประมาณ 4% ของ GDP โลกในปี ค.ศ. 2000 เป็น 16% ในปี ค.ศ. 2018 การขยายตัวทางเศรษฐกิจของจีนที่ค่อนข้างรวดเร็วนี้เป็นเครื่องพิสูจน์ถึง "การเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่" ของจีน

นอกจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจแล้ว เศรษฐกิจของจีนยังมีความสามารถในการฟื้นตัว (resilience) ที่ค่อนข้างสูง โดยในช่วงเวลาที่หลายประเทศในภูมิภาคได้รับผลกระทบที่รุนแรงจากวิกฤตการเงินในเอเชียในช่วงปี ค.ศ. 1997–98 เศรษฐกิจจีนในขณะนั้นยังคงมีเสถียรภาพ ในเวลาต่อมา เมื่อเศรษฐกิจโลกเผชิญวิกฤตการณ์ทางการเงินในปี ค.ศ. 2008 ประเทศจีนยังคงรักษาอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจไว้ได้ โดยอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจจีนเฉลี่ยในช่วง 7 ปีต่อมาอยู่ที่ประมาณ 9.4% ซึ่งเป็นผลดีต่อประเทศคู่ค้าของจีนรวมถึงประเทศไทย

การเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์เศรษฐกิจโลก และความตึงเครียดระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกา

ในช่วง 3 ทศวรรษที่ผ่านมาภูมิทัศน์เศรษฐกิจโลกมีการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างมาก โดยเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศ G8 ซึ่งได้แก่ สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี รัสเซีย ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และแคนาดา เคยมีสัดส่วนถึง 47% ของ GDP โลกในช่วงปี ค.ศ. 2000 แต่ในปี ค.ศ. 2018 ส่วนแบ่งนี้กลับลดลงอย่างมากมาอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 35% ของ GDP โลก ในขณะที่สัดส่วนของเศรษฐกิจจีนต่อเศรษฐกิจโลกเพิ่มขึ้นจาก 7% เป็น 17%

ศาสตราจารย์ลินชี้ว่าเมื่อพิจารณานโยบายต่างประเทศของประเทศสหรัฐอเมริกาที่ผ่านมา นโยบายเหล่านี้พยายามจำกัดการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศซึ่งเป็นคู่แข่งที่สำคัญของสหรัฐฯ สังเกตได้จากการที่สหรัฐฯ ดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้า (protectionist policy) กับบางประเทศ เช่น การดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้ากับประเทศจีนในช่วงของประธานาธิบดีทรัมป์และประธานาธิบดีไบเดน เช่นเดียวกับที่เคยมีการดำเนินนโยบายดังกล่าวกับประเทศญี่ปุ่น ในช่วงทศวรรษ 1980 นอกจากนี้ หลังจากที่เศรษฐกิจจีนขยายตัวอย่างรวดเร็วตั้งแต่ปี ค.ศ. 2000 สหรัฐฯ มีการสร้างฐานทัพในแถบเอเชียตะวันออกมากขึ้นในช่วงของประธานาธิบดีโอบามาซึ่งศาสตราจารย์ลินเชื่อว่าเป็นการพยายามกดดันจีนด้วยนโยบายทางการทหาร

แม้หลายฝ่ายจะมีความกังวลต่อความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ศาสตราจารย์ลินเชื่อว่าความขัดแย้งดังกล่าวจะเริ่มคลี่คลายหากเศรษฐกิจจีนยังขยายตัวอย่างต่อเนื่องและมีอิทธิพลมากขึ้น โดยหาก GDP per capita ของจีนเพิ่มขึ้นมาเป็นครึ่งหนึ่งของสหรัฐฯ เศรษฐกิจของจีนจะมีขนาดใหญ่เป็นสองเท่าของสหรัฐฯ เนื่องจากประเทศจีนมีประชากรมากกว่าสหรัฐฯ ถึงสี่เท่า หากสถานการณ์เป็นเช่นนี้ ก็ค่อนข้างยากที่สหรัฐฯ จะรักษาความเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจของโลก รวมถึงสหรัฐฯ เองก็จะได้รับประโยชน์จากฐานผู้บริโภคขนาดใหญ่ในจีน ซึ่งจะเป็นแหล่งรองรับสินค้าและนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่ผลิตโดยผู้ประกอบการในสหรัฐฯ

โดยทั่วไป การค้าระหว่างประเทศนั้นมีข้อดีหลายประการต่อประเทศต่างๆ โดยเฉพาะประเทศขนาดเล็ก ซึ่งไม่เพียงแต่สามารถเข้าถึงตลาดที่ใหญ่ขึ้น แต่ยังช่วยเพิ่มทางเลือกด้านสินค้าและบริการที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งนี้ ที่ผ่านมา สหรัฐฯ ก็ได้รับประโยชน์จากการทำการค้ากับประเทศจีนเช่นกัน ผ่านการนำเข้าสินค้าและวัตถุดิบซึ่งประเทศจีนสามารถผลิตได้ด้วยต้นทุนที่ค่อนข้างต่ำ ดังนั้น ทั้งสหรัฐฯ และจีนน่าจะเล็งเห็นถึงความสำคัญของการรักษาความสัมพันธ์ทางการค้าที่ดีระหว่างกัน

ศักยภาพของประเทศจีนในอนาคต

ที่ผ่านมา การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจมีบทบาทสำคัญในการช่วยให้จีนสามารถรับมือกับความท้าทายต่าง ๆ และหลีกเลี่ยงการเผชิญวิกฤตเศรษฐกิจ ตลอดจนสามารถรักษาการเติบโตทางเศรษฐกิจได้อย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ว่าหลายภาคส่วนจะมีความเชื่อว่าการขยายตัวของเศรษฐกิจจีนถึงจุดอิ่มตัวแล้ว แต่ประเทศจีนก็ยังมีศักยภาพที่จะทำให้เศรษฐกิจขยายตัวได้อย่างยั่งยืน โดยเฉพาะหากมีการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจที่มุ่งเน้นไปที่การพัฒนาเทคโนโลยี นวัตกรรม และการยกระดับอุตสาหกรรม (industrial upgrading) ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของโมเดลในการพัฒนาเศรษฐกิจที่ชื่อว่า “New Structural Economics”

การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง (structural transformation) มีความสำคัญมากต่อการรักษาการเติบโตทางเศรษฐกิจให้ต่อเนื่อง ในกรณีของประเทศไทย หากภาคเกษตรกรรมมีการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการทำการเกษตรมากขึ้น ก็จะมีส่วนช่วยสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยได้ ในกรณีของประเทศจีน สิ่งที่ต้องเร่งดำเนินการคือการยกระดับอุตสาหกรรมผ่านการวิจัยและพัฒนาภายในประเทศควบคู่กับการนำเข้าเทคโนโลยีขั้นสูง เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ทั้งนี้ เมื่อประเมินจากความสำเร็จของเยอรมนี เกาหลี และญี่ปุ่นในอดีตที่มีการยกระดับอุตสาหกรรมของประเทศ เศรษฐกิจจีนก็น่าจะสามารถเติบโตได้ที่ 8% ต่อปีในช่วงปี ค.ศ. 2019–2035 หากจีนสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างได้สำเร็จ

สุดท้ายนี้ ประเทศจีนมีความได้เปรียบโดยเปรียบเทียบ (comparative advantage) หลายประการซึ่งมีบทบาทอย่างมากในการช่วยให้จีนสามารถรักษาการขยายตัวทางเศรษฐกิจในอนาคตในระดับที่สูงกว่า 8% โดยปัจจัยที่มีความสำคัญมากโดยเฉพาะในช่วงหลังการปฏิวัติอุตสาหกรรมคือทรัพยากรมนุษย์ ปัจจุบัน ประเทศจีนมีบัณฑิตที่จบในสาขา STEM ปีละ 6 ล้านคน ซึ่งมากกว่าจำนวนบัณฑิตจบใหม่ในสาขา STEM ของทุกประเทศในกลุ่ม G8 รวมกันประมาณสองเท่า นอกจากนี้ ประเทศจีนยังมีความได้เปรียบจากการที่มีตลาดภายในประเทศที่ค่อนข้างใหญ่ ซึ่งมีบทบาทอย่างมากต่อการพัฒนาเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมใหม่ในประเทศ นอกจากนี้ จีนมีระบบการผลิตและห่วงโซ่อุปทานที่ครอบคลุมและมีประสิทธิภาพในการส่งเสริมนวัตกรรมทางเทคโนโลยี

ศาสตราจารย์ลินกล่าวสรุปในช่วงท้ายว่า ถึงแม้ว่าความท้าทายและความขัดแย้งระหว่างประเทศจีนกับประเทศอื่น ๆ โดยเฉพาะสหรัฐฯ ยังคงมีอยู่ แต่การเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนน่าจะยังคงเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนความต้องการสินค้าและบริการของโลก อย่างไรก็ดี จำเป็นอย่างยิ่งที่จะสนับสนุนให้สหรัฐฯ และจีนมีความสัมพันธ์อันดีระหว่างกัน ทั้งนี้ เพื่อรักษาสันติภาพของโลกและของภูมิภาค

ภากร นันทอารี
ภากร นันทอารี
นักศึกษาฝึกงาน
จินต์จุฑา สง่าแสง
จินต์จุฑา สง่าแสง
นักศึกษาฝึกงาน
ข้อคิดเห็นที่ปรากฏในบทความนี้เป็นความเห็นของผู้เขียน ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับความเห็นของสถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์

สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์

273 ถนนสามเสน แขวงวัดสามพระยา เขตพระนคร กรุงเทพฯ 10200

โทรศัพท์: 0-2283-6066

Email: pier@bot.or.th

เงื่อนไขการให้บริการ | นโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2568 สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์

เอกสารเผยแพร่ทุกชิ้นสงวนสิทธิ์ภายใต้สัญญาอนุญาต Creative Commons Attribution-NonCommercial-ShareAlike 3.0 Unported license

Creative Commons Attribution NonCommercial ShareAlike

รับจดหมายข่าว PIER

Facebook
YouTube
Email