การประเมินผลกระทบของมาตรการภาษีสองครั้งล่าสุดของสหรัฐฯ ต่อเงินเฟ้อ

note
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2568 ศาสตราจารย์อัลแบร์โต คาวัลโล (Alberto Cavallo) จาก Harvard Business School ได้บรรยายหัวข้อ “Tariffs and U.S. Inflation” ณ ธนาคารแห่งประเทศไทย การบรรยายครั้งนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของภูมิทัศน์ของเงินเฟ้อในสหรัฐฯ รวมถึงผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมของนโยบายภาษีนำเข้าใหม่ ศาสตราจารย์คาวัลโลเป็นหนึ่งในนักวิชาการแนวหน้าที่ศึกษาเรื่องพลวัตของเงินเฟ้อในโลกยุคใหม่ โดยเฉพาะผลของนโยบายการค้าประเภทต่าง ๆ เช่น ภาษีนำเข้า อีกทั้งยังเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง PriceStats แพลตฟอร์มที่รวบรวมข้อมูลราคาสินค้าออนไลน์รายวันจากทั่วโลก บทความนี้สรุปประเด็นหลักบางส่วนจากการบรรยายของศาสตราจารย์คาวัลโล และไม่ได้สะท้อนความคิดเห็นของผู้เขียน ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือสถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์แต่อย่างใด
ศาสตราจารย์คาวัลโลวิเคราะห์สถานการณ์เงินเฟ้อของสหรัฐฯ ในปัจจุบัน โดยอ้างอิงจากข้อมูลของ PriceStats เขาระบุว่าแม้สหรัฐฯ จะมีเงินเฟ้อต่อเนื่องมาตั้งแต่เดือนธันวาคม พ.ศ. 2567 แต่ระดับของเงินเฟ้อก็ยังอยู่ในระดับไม่น่ากังวลมากนัก ทว่าเมื่อเจาะลึกลงไปในระดับรายอุตสาหกรรม กลับพบข้อมูลที่อาจชี้จุดควรเฝ้าระวัง โดยเฉพาะในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2568 หลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าล่าสุด อุตสาหกรรมที่พึ่งพาการนำเข้าจากจีนเป็นหลัก เช่น เครื่องใช้ภายในบ้านและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ มีอัตราเงินเฟ้อที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาอย่างมีนัยสำคัญ ในทางตรงกันข้าม ภาคขนส่งรวมถึงราคาน้ำมันเชื้อเพลิงกลับมีอัตราเงินเฟ้อต่ำและทำให้สภาวะเงินเฟ้อโดยรวมดูไม่สูงมากนัก
เพื่อวิเคราะห์สถานการณ์ในปัจจุบัน ศาสตราจารย์คาวัลโลเปรียบเทียบสถานการณ์ปัจจุบันกับสิ่งที่เกิดขึ้นในสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนในช่วงปี พ.ศ. 2561–2562 โดยในปี พ.ศ. 2564 เขาตีพิมพ์งานวิจัยเรื่อง “Tariff Pass-Through at the U.S. Border and at the Store” ซึ่งมุ่งตอบคำถามสำคัญว่า “ใครคือผู้แบกรับภาระภาษีในท้ายที่สุด” ศาสตราจารย์คาวัลโลอธิบายสาเหตุที่สหรัฐฯ กลายเป็นฝ่ายที่ต้องแบกรับภาระภาษีแม้ผลกระทบต่อผู้บริโภคชาวอเมริกันจะไม่สูงมากนักไว้ดังนี้
สาเหตุแรกคือ ศาสตราจารย์คาวัลโลพบว่า ผู้นำเข้าสหรัฐฯ เป็นผู้รับภาระภาษีส่วนใหญ่ซึ่งตรงกันข้ามกับคำกล่าวอ้างของรัฐบาลทรัมป์ว่าผู้ส่งออกจีนจะเป็นฝ่ายแบกภาระภาษี ยกตัวอย่างเช่น ภาษีนำเข้า 20% จะทำให้ราคาสินค้าที่ผู้นำเข้าสหรัฐฯ ต้องจ่ายเพิ่มขึ้น 18.4% โดยเฉลี่ย ในขณะที่ผู้ส่งออกจีนแทบไม่ลดราคาลงเพื่อรักษาระดับการส่งออกของจีนเลย ศาสตราจารย์คาวัลโลตั้งสมมติฐานว่า สาเหตุอาจเป็นเพราะต้นทุนของผู้ส่งออกจีนตึงตัวอยู่แล้ว หรือผู้นำเข้าสหรัฐฯ ไม่สามารถหาสินค้าทดแทนสินค้าจีนได้ทำให้พวกเขาจำเป็นต้องนำเข้าสินค้าจีนต่อไปแม้ต้องเผชิญราคาที่สูงขึ้น
อย่างไรก็ตาม กำแพงภาษีที่สูงขึ้นอาจไม่ได้ทำให้ราคาสินค้าในขายปลีกสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเสมอไป ศาสตราจารย์คาวัลโลพบว่า ภาษีจะส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าขายปลีกอย่างมีนัยสำคัญเมื่อภาษีนั้นสูงมากพอหรือภาษีนั้นเป็นที่รู้จักในวงกว้าง ยกตัวอย่างเช่น ผู้ผลิตเครื่องซักผ้าสามารถขึ้นราคาเครื่องซักผ้าได้มากกว่าสินค้าชนิดอื่นที่ถูกตั้งกำแพงภาษีสูงใกล้เคียงกันแต่เป็นที่รู้จักน้อยกว่า เขาเสนอว่าเป็นเพราะบริษัทที่เป็นที่รู้จักในวงกว้างสามารถชี้แจงต่อผู้บริโภคได้ง่ายว่าทำไมจึงจำเป็นต้องขึ้นราคาสินค้า จึงสามารถลดโอกาสการเสียลูกค้าจากการปรับราคาสินค้าที่สูงขึ้นได้ นอกจากนี้ ภาษีในอัตราสูง เช่น 20% มักกระตุ้นให้มีการปรับราคา ขณะที่ภาษีที่ต่ำกว่า เช่น 10% มักมีผลกระทบเล็กน้อย
สาเหตุที่สองคือ บริษัทในสหรัฐฯ มีการ "เร่งนำเข้าสินค้าล่วงหน้า" ก่อนการปรับขึ้นภาษีจะมีผล และยอมรับภาระต้นทุนโดยหวังว่าภาษีจะมีผลเพียงชั่วคราว นอกจากนี้ ยังมีการเบี่ยงเบนแหล่งนำเข้า ส่งผลให้สัดส่วนการนำเข้าจากจีนลดลงจาก 90% เหลือ 70% พฤติกรรมเหล่านี้มีส่วนช่วยจำกัดการส่งผ่านต้นทุนไปยังผู้บริโภคสหรัฐฯ ในช่วงเวลาดังกล่าว
สาเหตุที่สามคือ ผู้ส่งออกของสหรัฐฯ ต้องลดราคาสินค้าประมาณ 7% เพื่อตอบโต้กับภาษีตอบโต้จากต่างประเทศ ซึ่งเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 15%
ศาสตราจารย์คาวัลโลคาดการณ์ว่าจะกำแพงภาษีระลอกปัจจุบันจะส่งผลกระทบต่างออกไปจากรอบที่ผ่าน ๆ มา เขาสันนิษฐานว่าผลของต้นทุนที่สูงขึ้นจากภาษีจะส่งผ่านไปยังผู้บริโภคในอัตราที่สูงและเร็วขึ้น ซึ่งศาสตราจารย์คาวัลโลสนับสนุนข้อสันนิษฐานนี้ด้วยเหตุผลหลายประการ ดังนี้
ความเชื่อของภาคธุรกิจที่เปลี่ยนไป กล่าวคือ เชื่อว่านโยบายภาษีรอบใหม่ของทรัมป์จะมีผลยาวนาน ต่างจากในอดีตที่เชื่อว่ากำแพงภาษีจะอยู่เพียงชั่วคราว เนื่องจากในสมัยที่ผ่านมาของรัฐบาลไบเดน สหรัฐฯ ยังคงภาษีบางส่วนจากยุครัฐบาลทรัมป์ไว้
สภาพแวดล้อมหลังการระบาดของโควิด-19 ที่ทำให้ภาคธุรกิจมีความยืดหยุ่นในการตั้งราคามากขึ้น และพร้อมปรับราคาให้สอดคล้องกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น
ขนาดของภาษีรอบปัจจุบันที่สูงกว่ารอบก่อนมาก โดยเฉพาะภาษีตอบโต้สินค้าจากจีนที่สูงถึง 125% ในขณะที่รอบแรกในยุครัฐบาลทรัมป์มีไม่ถึง 10% และเพิ่มขึ้นเป็น 20% ภายใต้รัฐบาลไบเดน
งานวิจัยล่าสุดของศาสตราจารย์คาวัลโล ซึ่งติดตามข้อมูลราคาสินค้าจากผู้ค้าปลีกรายใหญ่ของสหรัฐฯ แสดงให้เห็นว่ามีการปรับราคาสินค้านำเข้าที่ได้รับผลกระทบจากภาษีอย่างรวดเร็ว แม้จะเป็นการปรับขึ้นในระดับปานกลางก็ตาม
นอกจากนี้ ราคาสินค้าที่สูงขึ้นจากผลของภาษียังส่งผลกระทบลุกลามไปยังสินค้าภายในประเทศที่ไม่ได้อยู่ภายใต้ภาษีโดยตรง สะท้อนถึงแรงกดดันด้านต้นทุนที่กว้างขึ้น หรือการมีอำนาจการตั้งราคาที่สูงขึ้นของผู้ผลิตในประเทศ เมื่อตรวจสอบแหล่งที่มาของสินค้า พบว่าสินค้าจากจีนมีแนวโน้มราคาสูงขึ้นอย่างชัดเจน ขณะที่สินค้าจากแคนาดาและเม็กซิโกค่อนข้างคงที่ ซึ่งอาจสะท้อนการคาดการณ์ของตลาดว่าสหรัฐฯ มุ่งเป้าไปที่จีนเป็นหลัก หรืออาจมีข้อตกลงทางการค้ากับสองประเทศเพื่อนบ้าน
แม้จะมีผลกระทบเฉพาะจุดในบางกลุ่มสินค้า ศาสตราจารย์คาวัลโลเน้นย้ำว่า ผลรวมของภาษีต่ออัตราเงินเฟ้อในภาพรวมยังคงจำกัดอยู่ เว้นแต่จะเกิดแรงกระแทกทางเศรษฐกิจอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ราคาพลังงานที่พุ่งสูงขึ้น ซึ่งจะเปิดช่องให้ภาคธุรกิจใช้เป็นเหตุผลในการปรับขึ้นราคาสินค้าได้มากขึ้น นอกจากนี้ แม้ “shrinkflation” หรือการลดขนาดสินค้าจะเป็นที่พูดถึงในสื่อ ศาสตราจารย์คาวัลโลกลับไม่พบหลักฐานว่าปรากฏการณ์นี้แพร่หลาย ในทางตรงกันข้าม เขาชี้ให้เห็นถึง “cheapflation” หรือการที่สินค้าราคาถูกมีราคาสูงขึ้นเร็วกว่าสินค้าราคาสูง เนื่องจากผู้บริโภคเปลี่ยนพฤติกรรมไปซื้อของราคาถูกมากขึ้นในช่วงที่เงินเฟ้อสูง
ท้ายที่สุด ข้อค้นพบของศาสตราจารย์คาวัลโลบ่งชี้ว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ อาจไม่จำเป็นต้องกังวลมากนักเกี่ยวกับเงินเฟ้อที่เกิดจากภาษีนำเข้าในระยะสั้น ซึ่งอาจเปิดช่องให้มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในอนาคต อย่างไรก็ตาม ความไม่แน่นอนที่คงอยู่ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ผู้กำหนดนโยบายต้องคำนึงถึง สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม ผู้อ่านสามารถศึกษาจากบทความวิจัยของศาสตราจารย์คาวัลโลเรื่อง “Tracking the Short-Run Price Impact of U.S. Tariffs”