เพิ่มผลิตภาพเกษตรภาคเหนือตอนบนและเกษตรพื้นที่สูง มุ่งสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน
บทสรุปผู้บริหาร
ภาคเกษตรมีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจภาคเหนือทั้งด้านรายได้และการจ้างงาน แต่ประสบปัญหาและความท้าทายหลายประการ ได้แก่ ข้อจำกัดด้านพื้นที่และการเข้าถึงแหล่งน้ำ แรงงานในภาคเกษตรส่วนใหญ่สูงวัย เกษตรกรส่วนใหญ่เป็นรายย่อยและขาดองค์ความรู้ด้านตลาด การทำเกษตรอินทรีย์มีอุปสรรค การเข้าถึงแหล่งเงินทุนมีข้อจำกัด องค์ความรู้งานวิจัยการเกษตรขาดความต่อเนื่องและการบูรณาการ ตลอดจนนโยบายช่วยเหลือเกษตรกรที่ผ่านมาไม่ทำให้เกิดแรงจูงใจในการพัฒนาการผลิต
แนวทางการเพิ่มผลิตภาพเกษตรภาคเหนือตอนบนและเกษตรพื้นที่สูง ทำได้โดย
- คัดเลือกกลุ่มเกษตรกรที่มีศักยภาพเข้ามาพัฒนาให้เป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อน
- สร้างแรงจูงใจให้เกษตรกรเปิดรับและเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ผ่านแปลงสาธิต
- รวบรวมองค์ความรู้ที่กระจัดกระจายกันอยู่มาส่งต่อให้เกษตรกรรุ่นใหม่ และ
- ปรับเปลี่ยนวิถีเกษตรกรดั้งเดิมโดยรัฐเข้าไปดูแลอย่างต่อเนื่อง
บทบาทภาครัฐมีส่วนสำคัญในด้านต่าง ๆ โดย
- หน่วยงานในพื้นที่ต้องเข้าใจปัญหาเกษตรกรอย่างแท้จริง
- เพิ่มบทบาทองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้เข้ามาดูแลภาคเกษตร
- จัดให้มีตัวกลางในชุมชนดูแลเป็นพี่เลี้ยงและประสานงานให้เกษตรกรได้รับการสนับสนุนด้านต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง
- พัฒนาหน่วยงานที่ดูแลการรวมกลุ่มเกษตรกรให้สามารถรับรองศักยภาพของกลุ่มก่อนส่งต่อให้สถาบันการเงินเพื่อขอสนับสนุนเงินทุน
- จัดทำ big data ภาคเกษตรโดยเก็บข้อมูลจากอุปกรณ์ตรวจวัดรายแปลง
- รวบรวมนวัตกรรมและเทคโนโลยีการเกษตรมาอยู่ที่เดียวกันเพื่อให้เกษตรกรเข้าถึงและเลือกใช้
- ปรับเปลี่ยนนโยบายภาคเกษตรจากการช่วยเหลือปลายทางมาเน้นที่ต้นทาง เพื่อดึงดูดคนรุ่นใหม่เข้าสู่ภาคเกษตร และจูงใจให้เกษตรกรทำเกษตรในมาตรฐานสูงขึ้น และ
- ทุกภาคส่วนต้องบูรณาการร่วมมือกันในทุกด้าน รวมทั้งพัฒนาภาคเกษตรให้เชื่อมโยงกับภาคเศรษฐกิจอื่น เช่น ภาคการท่องเที่ยว ภาคอุตสาหกรรม
เกษตรกรมีข้อจำกัดด้านพื้นที่และการเข้าถึงแหล่งน้ำ พื้นที่ภาคเหนือตอนบนมีลักษณะทางกายภาพเป็นภูเขาและพื้นที่สูงเกือบร้อยละ 80 และมากกว่าครึ่งหนึ่งอยู่ในพื้นที่ป่า มีชุมชนดั้งเดิมกว่า 4,000 ชุมชน ส่วนหนึ่งเป็นชุมชนที่ตั้งอยู่ในเขตป่าอนุรักษ์จึงไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดิน ทำให้ขาดแรงจูงใจในการพัฒนาพื้นที่ เกิดปัญหาบุกรุกป่าและเผาพื้นที่ทำการเกษตร รวมทั้งมีข้อจำกัดทางกฎหมายทำให้ไม่สามารถสร้างแหล่งน้ำและระบบชลประทานเพื่อทำการเกษตรอย่างเป็นระบบได้ ส่งผลให้การเพิ่มประสิทธิภาพและควบคุมคุณภาพผลผลิตเกษตรทำได้จำกัด
แรงงานในภาคเกษตรส่วนใหญ่สูงวัย เกษตรกรส่วนใหญ่มีอายุมากกว่า 50 ปี ทำให้มีข้อจำกัดในการปรับตัวเรียนรู้เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ ซึ่งทำได้ยากและต้องใช้เวลานาน ขณะเดียวกันยังมีปัญหาขาดแคลนแรงงานในภาคเกษตร อย่างไรก็ดี เริ่มเห็นกลุ่มคนรุ่นใหม่กลับสู่ภาคเกษตรมากขึ้น และเมื่อเกิดวิกฤติโควิด-19 พบว่าภาคเกษตรเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยรองรับแรงงานคืนถิ่น
เกษตรกรส่วนใหญ่เป็นรายย่อย ทำการเกษตรเป็นแบบดั้งเดิมและพึ่งพิงพ่อค้าคนกลางเป็นหลัก โดยเกษตรกรยังไม่สามารถรวมกลุ่มเพื่อสร้างความเข้มแข็งต่อรองกับพ่อค้าคนกลางได้ มักแย่งกันขายเมื่อผลผลิตออกมามากทำให้ราคาตกต่ำ นอกจากนี้ การมีเกษตรกรรายย่อยจำนวนมาก ทำให้การเข้าไปส่งเสริมพัฒนาศักยภาพและจัดการประสิทธิภาพการผลิตทำได้ไม่ทั่วถึง
เกษตรกรขาดองค์ความรู้ด้านตลาด เกษตรกรไม่เห็นภาพรวมตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ จนถึงปลายน้ำ ส่วนใหญ่ให้ความสำคัญและมีความรู้เฉพาะในส่วนการผลิตเท่านั้น ยังขาดความเข้าใจตลาดอย่างแท้จริง บางครั้งมีสินค้าดีแต่ขายไม่เป็น หรือไม่รู้ว่าควรปรับปรุงสินค้าอย่างไร ยกตัวอย่างเช่น เกษตรกรมักจะไม่ได้บริโภคสินค้าที่ตนเองปลูก เช่น กาแฟ ผลไม้แปรรูป ส่งผลให้เกษตรกรปลูกพืชโดยขาดองค์ความรู้ด้านการตลาด ซึ่งค่อนข้างเป็นจุดอ่อนของเกษตรกร ทั้ง ๆ ที่การตลาดเป็นปัจจัยสำคัญที่จะนำไปสู่การสร้างรายได้ให้สูงขึ้น
การส่งเสริมเกษตรอินทรีย์โดยไม่ใช้สารเคมียังมีข้อจำกัด เนื่องจากประเทศไทยมีโรคพืชและแมลงมากทำให้จำเป็นต้องใช้สารเคมีช่วยในการทำเกษตร ขณะที่สารชีวภัณฑ์กําจัดวัชพืชและโรคพืชให้ประสิทธิผลที่น้อยกว่า นอกจากนี้ ผลผลิตเกษตรอินทรีย์ยังด้อยกว่าเกษตรสารเคมีในแง่ของขนาดผลผลิตที่อาจเล็กลง สีไม่สวย ความหวานลดลง ซึ่งตรงข้ามกับความต้องการของตลาดส่วนใหญ่ ทำให้ไม่สามารถขยายตลาดเกษตรอินทรีย์ได้มากนัก ดังนั้น การส่งเสริมมาตรฐานเกษตรส่วนใหญ่จึงอยู่บน GAP (Good Agricultural Practice) คือ การใช้สารเคมีอย่างปลอดภัยเป็นหลักเท่านั้น
การเข้าถึงแหล่งเงินทุนมีข้อจำกัดเนื่องจากหลักประกันไม่เพียงพอ สถาบันการเงินมีเงินทุนและพร้อมให้บริการแก่เกษตรกร แต่เกษตรกรส่วนหนึ่งไม่สามารถได้รับวงเงินตามที่ต้องการได้ เนื่องจากหลักประกันไม่เพียงพอ ขณะที่การรวมกลุ่มของเกษตรกรที่พบส่วนใหญ่ยังไม่เข้มแข็งทำให้ไม่ผ่านการพิจารณาสินเชื่อ
องค์ความรู้งานวิจัยการเกษตรขาดความต่อเนื่องและการบูรณาการ งานวิจัยหลายชิ้นตั้งโจทย์จากส่วนกลางและถูกนำไปรวบรวมไว้ที่ส่วนกลาง ทำให้ไม่ตอบโจทย์การเกษตรเชิงพื้นที่ที่มีความหลากหลาย
นโยบายช่วยเหลือเกษตรกรที่ผ่านมาไม่ทำให้เกิดแรงจูงใจในการพัฒนาการผลิต แต่กลับส่งผลให้เกษตรกรอ่อนแอและเคยชินกับการช่วยเหลือ ไม่ว่าจะเป็นนโยบายประกันราคา การช่วยเหลือต้นทุนการทำเกษตร รวมทั้งมาตรการพักชำระหนี้
เลือกพัฒนาเกษตรกรกลุ่มที่มีศักยภาพ ซึ่งเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนก่อน โดยสร้างให้เกษตรกรกลุ่มที่มี “หัวไวใจสู้” เป็นต้นแบบของความสำเร็จ และดึงดูดเกษตรกรอื่นเข้ามาพัฒนาร่วมกัน นอกจากนี้ ควรส่งเสริมกลุ่มเกษตรกรรุ่นใหม่ที่สนใจการพัฒนาตนเองและกล้าคิดกล้าทำ ซึ่งจะก่อให้เกิดประสิทธิผลมากกว่าการวางเป้าหมายเป็นเกษตรกรทั่วไป
สร้างแรงจูงใจผ่านแปลงสาธิตให้เกษตรกรเปิดรับและเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่มากขึ้น เทคโนโลยีและองค์ความรู้ใหม่ ๆ ต้องถูกทดสอบและประยุกต์ใช้จริงในแปลงสาธิต แสดงให้เกษตรกรเกิดความเชื่อมั่นหลังเห็นผลสำเร็จจริง จึงจะสร้างการยอมรับและขยายผลได้
ส่งมอบองค์ความรู้สู่เกษตรกรรุ่นใหม่ โดยรวบรวมองค์ความรู้ที่กระจัดกระจายมาอยู่บน platform ที่รวบรวมแนวทางปฏิบัติ (solution) ตามความต้องการของผู้ที่สนใจ มีระบบติดตาม (tracking) เพื่อการตรวจสอบย้อนกลับ ระบบควบคุม (monitoring) และมีพื้นที่ตลาด online ให้ผู้ที่สนใจทำการเกษตรสามารถเลือกนำไปปฏิบัติเองได้ เช่น การเพาะปลูกในพื้นที่เนินเขาสามารถเพาะปลูกอะไรได้บ้าง ด้วยวิธีการอย่างไร ใช้อุปกรณ์อะไร และหาซื้อได้จากที่ไหน เป็นต้น
ภาครัฐต้องเข้ามาดูแลการเปลี่ยนวิถีของเกษตรกรดั้งเดิมในระยะยาว โดยนำเกษตรกรเข้าร่วมโครงการโดยออกแบบกระบวนการให้เข้าไปทดลองปฏิบัติจริงเพื่อให้เห็นเป็นรูปธรรม หน่วยงานภาครัฐอาจต้องเป็นพี่เลี้ยงสอนซ้ำหลายครั้งกว่าเกษตรกรจะทำได้และกล้าลงมือทำจริง รวมทั้งต้องมีกระบวนการติดตามผลอย่างต่อเนื่องด้วย
หน่วยงานในพื้นที่ต้องเข้าใจปัญหาของเกษตรกรอย่างแท้จริง เนื่องจากการแก้ปัญหาในแต่ละชุมชนต้องอาศัยความเข้าใจบริบทของพื้นที่ ลักษณะของประชากร ระดับการพัฒนาที่มีอยู่เดิมและศักยภาพของชุมชน เพื่อตั้งเป้าหมายและออกแบบแรงจูงใจให้เหมาะสม โดยต้องหาวิธีให้เกษตรกรมั่นใจว่าจะได้รับผลตอบแทนจากสิ่งที่ทำ เช่น บางชุมชนมุ่งเป้าหมายให้เกิดความมั่นคงทางอาหาร บางชุมชนมุ่งสร้างรายได้เพิ่ม หรือยกระดับมาตรฐานการผลิต เป็นต้น
เพิ่มบทบาทองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ในภาคเกษตร เนื่องจากเป็นองค์กรที่ใกล้ชิดชุมชนและการดำเนินงานในพื้นที่มีความต่อเนื่อง ควรมีบทบาทสนับสนุนการสร้างผู้นำในชุมชนเพื่อดูแลภาคเกษตร แก้ไขปัญหาภาคเกษตรด้วยการจัดการข้อมูลและองค์ความรู้ในพื้นที่ ช่วยวางแผนบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติให้ยั่งยืน รวมทั้งเป็นผู้ประสานงานกับหน่วยงานภายนอกพื้นที่ และอาจมีตำแหน่งนักวิชาการเกษตรในระดับ อปท. ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นพี่เลี้ยงในท้องถิ่นที่จะต้องทำงานอย่างจริงจังเพื่อดูแลเกษตรกรในระยะยาว นอกจากนี้ ควรมี “นักจัดการตลาดชุมชน” ทำหน้าที่เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงและเป็นตัวกลาง (mediator) ผลักดันให้มีการเชื่อมโยงระหว่างเกษตรกรและภาคเอกชน เพื่อสร้างจุดขายและเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงตลาดของเกษตรกร
ควรมีหน่วยงานเฉพาะดูแลการรวมกลุ่มของเกษตรกรและเชื่อมโยงกับสถาบันการเงิน โดยเป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่บ่มเพาะกลุ่มเกษตรกรอย่างต่อเนื่อง ทั้งการให้ความรู้ด้านการจัดทำแผนการตลาดและแผนธุรกิจ เสริมสร้างความเชื่อมโยงภายในกลุ่ม พัฒนาระบบบัญชีให้ตรวจสอบได้ เพื่อให้กลุ่มมีความเข้มแข็งมากขึ้น พัฒนาให้หน่วยงานดังกล่าวจัดทำ MOU กับสถาบันการเงินเพื่อให้มีบทบาทช่วยคัดกรองและรับรองกลุ่มเกษตรกรที่มีศักยภาพ ก่อนส่งต่อให้สถาบันการเงินเพื่อขอสนับสนุนเงินทุน ซึ่งจะช่วยลดปัญหาการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของเกษตรกรได้
จัดทำระบบ big data ภาคเกษตร โดยภาครัฐอาจสนับสนุนอุปกรณ์ตรวจวัดต่าง ๆ ให้เกษตรกรใช้งาน เช่น อุปกรณ์วัดความชื้น ความเข้มแสง อุณหภูมิ เพื่อเก็บข้อมูลในระดับแปลงเพาะปลูก ซึ่งภาครัฐสามารถอุดหนุนได้เพราะอุปกรณ์ดังกล่าวปัจจุบันมีราคาถูกลงมาก และจะช่วยให้เกษตรกรสามารถทำเกษตรแบบแม่นยำมากขึ้น รวมทั้งให้อุปกรณ์ส่งข้อมูลมารวมที่ศูนย์กลาง ภาครัฐก็จะมีฐานข้อมูลที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ต่อได้
จัดให้มีศูนย์กลางรวบรวมนวัตกรรมและเทคโนโลยีการเกษตรที่มีอยู่ให้ครบทั้งห่วงโซ่อุปทาน ไม่ว่าจะเป็นด้านการผลิตและการจัดการ เพื่อให้เกษตรกรได้ศึกษาและเลือกใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีที่มีอยู่ได้อย่างเต็มที่ รวมทั้งส่งเสริมให้เกิด “นวัตกรรมเกษตรบริการ” เพื่อให้บริการด้านการเกษตรในขั้นตอนที่แต่ละรายมีความชำนาญ เพื่อให้เกิดการพัฒนาที่เร็วขึ้นแทนที่จะรอให้เกษตรกรเรียนรู้เอง รวมทั้งจะช่วยให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยีในระยะยาว
ควรเปลี่ยนนโยบายภาคเกษตรจากการช่วยเหลือปลายทางมาเน้นที่ต้นทาง โดยลดการอุดหนุนที่ปลายทางของปัญหา เช่น นโยบายประกันรายได้ ประกันราคา ช่วยเหลือต้นทุน ซึ่งไม่ช่วยให้เกิดการปรับตัว มาเป็นนโยบายที่ต้นทางโดยการดึงดูดให้คนรุ่นใหม่เข้ามาสู่ภาคเกษตร และจูงใจให้เกษตรกรปลูกพืชที่ได้มาตรฐานสูงขึ้นแทน
ทุกภาคส่วนต้องบูรณาการกัน ไม่ว่าจะเป็นตัวเกษตรกร ชุมชน หน่ายงานภาครัฐ ภาคเอกชน ต้องร่วมมือกันแก้ปัญหาของภาคเกษตร พัฒนาผลิตภาพ ถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีใหม่ วางแผนการผลิตโดยใช้การตลาดนำการผลิต สร้าง platform ให้เกษตรกรขายผลผลิตเพื่อเพิ่มช่องทางการตลาด รวมทั้งพัฒนาภาคเกษตรให้เชื่อมโยงกับภาคเศรษฐกิจอื่น เช่น ภาคการท่องเที่ยว ภาคอุตสาหกรรม