มุ่งสู่ Carbon Neutrality ด้วยกลไกราคาและตลาดคาร์บอน
เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2564 สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ ได้รับเกียรติจาก ดร.พงษ์วิภา หล่อสมบูรณ์ รองผู้อำนวยการ องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก มาบรรยายในงาน Policy Forum: Discourses on Sustainability ในหัวข้อ “มุ่งสู่ Carbon Neutrality ด้วยกลไกราคาและตลาดคาร์บอน”
ดร.พงษ์วิภา กล่าวถึงบทบาทของกลไกราคาและตลาดคาร์บอนในการช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก กลไกราคาจะเน้นการสร้างแรงจูงใจทางเศรษฐศาสตร์เพื่อให้ธุรกิจลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยทำให้การปล่อยก๊าซเรือนกระจกมีต้นทุน ซึ่งถือเป็นต้นทุนในการดำเนินงานของธุรกิจ สำหรับกลไกราคาคาร์บอนที่ใช้ภายนอกองค์กร สามารถแบ่งได้ออกเป็น โครงการลดก๊าซเรือนกระจก (project-based) ซึ่งไม่ได้มีการกำหนดเป้าหมายในการลดก๊าซเรือนกระจกไว้อย่างชัดเจน แต่เป็นตามความสมัครใจของแต่ละองค์กร โดยปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ลดได้ คือ คาร์บอนเครดิต (carbon credit) ซึ่งสามารถนำไปซื้อขายได้ ในขณะที่การลดก๊าซเรือนกระจกรายองค์กร (site-based) จะมีการกำหนดเป้าหมายในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ชัดเจนโดยรัฐหรือผู้มีอำนาจทางกฎหมาย ซึ่งเรียกว่า สิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (allowance) องค์กรใดที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำกว่าสิทธิที่ได้รับ จะสามารถขายส่วนต่างนี้ให้กับองค์กรที่ปล่อยเกินกว่าสิทธิได้ โดยการใช้สิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมีประสิทธิภาพมากกว่าคาร์บอนเครดิต เพราะใช้ต้นทุนที่ต่ำกว่าในการลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่เท่ากัน
ในส่วนของตลาดคาร์บอน ดร.พงษ์วิภา กล่าวว่า เป็นตลาดที่ใช้ในการซื้อขายคาร์บอนเครดิตและสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งมีหน่วยเป็นตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (tCO2e) และสามารถจำแนกได้หลายประเภท โดยในช่วงก่อนปี 2020 ตลาดทางการจะถูกรองรับด้วยพิธีสารเกียวโต (Kyoto Protocol) ในขณะที่หลังปี 2020 จะถูกรองรับด้วยความตกลงปารีส (Paris Agreement) ซึ่งได้มีการทำความร่วมมือการถ่ายโอนผลการลดก๊าซเรือนกระจกระหว่างประเทศ (Internationally Transferred Mitigation Outcomes: ITMOs) รวมไปถึงกำหนดวิธีการปรับบัญชีเพื่อหลีกเลี่ยงการนับซ้ำของ ITMOs
นอกจากนี้ ในปัจจุบัน ตลาดคาร์บอนในประเทศไทยเป็นตลาดภาคสมัครใจ และยังมีขนาดเล็ก ทำให้การซื้อขายคาร์บอนเครดิตในประเทศไทยยังมีจำกัดที่ประมาณ 10% ของคาร์บอนเครดิตที่ได้รับการรับรอง อย่างไรก็ดี ตลาดคาร์บอนของประเทศไทยในอนาคตคาดการณ์ว่ามีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง ราคาซื้อขายมีทิศทางเพิ่มขึ้น และมีโอกาสได้รับเงินทุนสนับสนุนจากต่างประเทศเพื่อทำโครงการลดก๊าซเรือนกระจกต่าง ๆ โดยเฉพาะโครงการขององค์กรปกครองท้องถิ่นหรือเมือง