ศ. ดร.กฤษฎ์เลิศ สัมพันธารักษ์ ศาสตราจารย์จาก University of California San Diego (UCSD) และที่ปรึกษาของสถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ ถือเป็นอีกหนึ่งบุคคลสำคัญของ PIER ที่มีบทบาทอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เริ่มก่อตั้งสถาบัน ท่านเริ่มต้นในฐานะที่ปรึกษา และต่อมาได้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสถาบันเป็นเวลา 2 ปีในช่วงปี 2562–2564 ก่อนจะกลับมาทำหน้าที่ที่ปรึกษาอีกครั้ง ด้วยการอยู่เคียงข้างสถาบันตั้งแต่วันแรก ศ. ดร.กฤษฎ์เลิศ ได้เห็นทุกช่วงของพัฒนาการ ตลอดเส้นทางการเติบโตของ PIER รวมทั้งเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนและพัฒนาองค์กรจนถึงปัจจุบัน
ช่วงที่สถาบันก่อตั้งมาได้ประมาณ 4 ปี ผมได้เข้ามาเป็นผู้อำนวยการสถาบัน รับงานต่อจาก ดร.ปิติ ซึ่งเป็นการรับงานแบบต่อเนื่อง เพราะที่จริงผมช่วย ดร.ปิติ มาตั้งแต่ตอนก่อตั้งสถาบัน เพราะฉะนั้นการที่มารับงานต่อเราก็รู้อยู่แล้วว่าตอนนั้นสถาบันเป็นอย่างไร ทิศทางจะไปทางไหน ซึ่งมันมีความต่อเนื่องค่อนข้างชัด
ในช่วงนั้น สถาบันถือว่าอยู่ตัวแล้วในระดับหนึ่ง คือเรามีผลิตภัณฑ์วิชาการที่ผลิตออกมาเเล้วสื่อสารกับวงการวิชาการ สาธารณชน และผู้ทำนโยบายอยู่หลายชิ้น ซึ่งคนรู้จักชื่อสถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ รู้จักผลิตภัณฑ์งานวิจัยที่เรามีแล้ว โดยเรามี PIER Discussion Paper ที่เป็นช่องทางสำหรับตีพิมพ์งานวิจัยให้นักวิชาการทั้งจากในและนอก PIER และนอก PIER มี aBRIDGEd ซึ่งเป็นผลงานที่ย่อยงานวิจัยเชิงลึกให้คนเข้าใจได้ง่ายขึ้น ในขณะเดียวกัน เราเป็นแพลตฟอร์มที่เชื่อมนักวิชาการไทยทั้งในและนอกประเทศเข้าด้วยกัน พร้อมกับมี Policy Forum ที่เชื่อมนักวิชาการเข้ากับผู้ดำเนินนโยบายด้วย
สิ่งที่ผมตั้งใจเข้ามาทำมากขึ้น คือ การขยาย network ของฝั่งนักวิชาการ ซึ่งไม่ใช่แค่การเชื่อมต่อนักวิชาการในไทยเท่านั้น แต่เราอยากขยาย network ให้นักวิชาการในไทยได้เชื่อมต่อกับนักวิชาการต่างประเทศด้วย เพราะเราถือว่างานวิจัยถ้าจะมีคุณภาพได้ก็คงต้องคุยกับนักวิจัยในระดับโลกที่เขามีมาตรฐานที่เป็นที่ยอมรับ การที่เชื่อมต่อกับนักวิชาการต่างประเทศจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ตั้งใจอยากจะทำ
อีกเป้าหมายหนึ่งที่อยากทำมากขึ้น คือ เมื่อแรกเริ่ม เรามีการเชื่อมต่อกับด้านนโยบายที่เป็นแกนหลักของธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นด้านนโยบายการเงิน นโยบายสถาบันการเงิน ในส่วนของนโยบายด้านอื่น ๆ อย่างด้านภาคเศรษฐกิจจริง โดยเฉพาะในเรื่อง informal sector เราก็อาจจะยังไม่ได้ดูมากในช่วงแรก ดังนั้น ในช่วงที่ 2 เราพยายามจะขยายการเชื่อมต่อกับนโยบายภาคเศรษฐกิจจริงมากขึ้น โดยมีการขยายเครือข่าย ไม่ใช่เฉพาะนักวิชาการ แต่เชื่อมต่อกับผู้ดำเนินนโยบาย มีการทำงานมากขึ้นกับสำนักงานภาคของธนาคารแห่งประเทศไทย และกับหน่วยงานภาครัฐอื่น ๆ ทั้งในกรุงเทพและส่วนภูมิภาคในช่วงนี้
สิ่งที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้คาดคิดซึ่งกระทบกับการทำงานของ PIER และทำให้ต้องปรับการทำงานค่อนข้างเยอะคือ โควิด 19 ที่เกิดขึ้นในช่วงปี 2020 เนื่องจากในช่วงแรก เราต้องการทำงานวิจัยที่ตอบโจทย์นโยบายงานวิจัยเชิงลึก แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นงานวิจัยที่อิงข้อมูล (evidence-based research) ข้อมูลหลายชุดที่เราใช้จึงเป็นข้อมูลที่ต้องมาทำที่ออฟฟิศ ซึ่งนักวิจัยไม่สามารถเข้ามาทำได้ในช่วงโควิด ก็ถือว่าเป็นความท้าทายและต้องแก้ปัญหากันว่าเราจะทำงานวิจัยอย่างไรในช่วงนั้น แต่ขณะเดียวกันเทคโนโลยีก็มาช่วยทำให้เราสามารถทำงานในช่วงนั้นได้ ทำให้เราฝึกการทำงานที่มีความคล่องตัวมากขึ้น
สิ่งที่คิดว่าสถาบันวิจัยมีได้โอกาสพัฒนาไปอีกขั้นจากช่วงวิกฤตโควิด คือ การทำงานที่มุ่งเน้นสู่การทำนโยบายมากขึ้นกว่าเดิม เพราะในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ งานวิจัยมีบทบาทสำคัญในการช่วยกำหนดนโยบาย โดยในช่วงนั้นเราจัดงาน Policy Forum ค่อนข้างเยอะ เพราะต้องการได้ความเข้าใจเชิงลึก (insight information) และข้อคิดเห็นจากหลายภาคส่วน ทั้งผู้ประกอบการภายนอกและผู้ทำนโยบายจากหน่วยงานอื่น ๆ เพื่อมาช่วยในการทำนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย รวมทั้งเพื่อช่วยตั้งโจทย์ให้นักวิจัยให้สอดคล้องกับความต้องการของการทำนโยบายได้มากขึ้นด้วย
นอกจากนี้ นักวิจัยเราได้ไปช่วยให้คำแนะนำ ได้อยู่ในคณะกรรมการหลายชุดของของรัฐบาลและผู้ทำนโยบายซึ่งทำให้เราสามารถสื่อสารทั้งผลการวิจัย หรือว่าองค์ความรู้ที่หลาย ๆ ครั้งอาจจะไม่ได้ถูกตีพิมพ์เป็นงานวิจัยและเป็นองค์ความรู้ที่นักวิจัยสั่งสมมา องค์ความรู้เหล่านั้นก็ได้ถูกถ่ายทอดและถูกนำไปเป็นประโยชน์ในการทำนโยบายด้วย
อยากเห็น PIER รักษาคุณภาพของงานวิจัย ไม่ใช่แค่รักษาอย่างเดียว แต่อยากเห็นคุณภาพของงานวิจัยที่ดีขึ้นด้วยในอนาคต เพราะปัจจุบันโลกเปลี่ยนไปเยอะ งานวิจัยด้านเศรษฐศาสตร์ก็ไม่ได้ใช้ความรู้เฉพาะในสาขาเศรษฐศาสตร์ ต้องใช้ความรู้จากศาสตร์อื่น ๆ เพิ่มขึ้นด้วย จึงอยากเห็น PIER ยังทำงานที่มีคุณภาพในขณะเดียวกันก็มีความกว้างและลึกมากขึ้น
นอกจากนี้ เราทราบกันว่า องค์ความรู้เป็นสิ่งสำคัญ โดยเราเน้นงานวิจัยที่เป็น evidence-based policy research และ academic research ซึ่งแปลว่าเราใช้ข้อมูลในอดีต แต่ว่าข้อมูลในอดีตอาจจะไม่สามารถตอบโจทย์โลกในอนาคตได้แม่นยำเหมือนแต่ก่อน เราจะทำงานอย่างไรให้งานวิจัยของเรายังเกี่ยวข้องและยังสามารถนำไปใช้ทำนโยบายได้ในโลกที่เปลี่ยนไปค่อนข้างเร็ว ดังนั้น จึงอยากเห็นงานวิจัยของ PIER เป็นงานวิจัยที่มองปัญหาในอนาคตด้วย ซึ่งถือว่าเป็นความท้าทายของงานวิจัยทางเศรษฐศาสตร์ และงานวิจัยของ PIER มาโดยตลอด และในโลกอนาคตที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนสูงนี้ อยากให้สังคมและผู้ดำเนินนโยบายมอง PIER ว่าเป็นสิ่งที่สามารถพึ่งพาได้เสมอ
ในโลกปัจจุบันและโลกอนาคตที่ความไม่แน่นอนสูง ผมอยากให้ PIER เป็นสิ่งที่แน่นอนในความไม่แน่นอนนี้ ก็คืออยากให้ PIER ผลิตงานวิจัยที่มีคุณภาพสูง เชื่อถือได้ และเป็นประโยชน์ต่อสังคมเหมือนอย่างที่ PIER ทำมาตลอด 10 ปีตั้งแต่ที่ก่อตั้งจนถึงปัจจุบัน
สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์
273 ถนนสามเสน แขวงวัดสามพระยา เขตพระนคร กรุงเทพฯ 10200
โทรศัพท์: 0-2283-6066
Email: pier@bot.or.th
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2568 สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์
เอกสารเผยแพร่ทุกชิ้นสงวนสิทธิ์ภายใต้สัญญาอนุญาต Creative Commons Attribution-NonCommercial-ShareAlike 3.0 Unported license
รับจดหมายข่าว PIER