ภาษีทรัมป์ 2.0 กับความท้าทายต่อภาคการส่งออกไทย

excerpt
การปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ต่อประเทศคู่ค้า และผลพวงจากการเจรจาการค้าที่เกิดขึ้น ส่งผลกระทบอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจและการค้าโลก รวมถึงไทยที่พึ่งพาการค้าระหว่างประเทศสูง บทความนี้วิเคราะห์ช่องทางต่าง ๆ ที่นโยบายภาษีของทรัมป์จะส่งผลต่อภาคการส่งออกไทย ผ่านการใช้หลายฐานข้อมูลเชิงลึกเพื่อชี้ให้เห็นถึงผลกระทบที่อาจแตกต่างกันออกไปในแต่ละกลุ่มสินค้า โดยพบว่าผลกระทบหลักจะตกอยู่กับผู้ส่งออกไทยที่ส่งสินค้าไปสหรัฐฯ ซึ่งอาจต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากการถูกแย่งตลาดและสินค้าสวมสิทธิ์ (transshipment) ขณะที่ผู้ส่งออกรายอื่น ๆ อาจได้รับผลกระทบผ่านความเชื่อมโยงระหว่างไทยกับประเทศต่าง ๆ ในห่วงโซ่การผลิตโลก และผ่านการแข่งขันในตลาดโลกที่สูงขึ้น ในระยะข้างหน้า การเปลี่ยนแปลงของห่วงโซ่การผลิตโลก (global supply chain reallocation) ที่จะโยกย้ายไปสู่ประเทศที่มีความได้เปรียบด้านราคา จะเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อภาคการส่งออกไทย ทำให้ภาครัฐและภาคเอกชนต้องเร่งปรับตัวเพื่อให้ภาคการส่งออกไทยแข่งขันได้และเติบโตอย่างยั่งยืนภายใต้ภูมิทัศน์การค้าโลกใหม่
มาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2561 ภายใต้ประธานาธิบดีทรัมป์ โดย ในช่วงเริ่มแรก สหรัฐฯ ขึ้นภาษีนำเข้ากับสินค้าจีนเป็นหลัก จนมาถึงปี 2568 จึงได้ประกาศขึ้นภาษีนำเข้ากับทุกประเทศคู่ค้าทั่วโลก เพื่อแก้ปัญหาการขาดดุลการค้าและตอบโต้มาตรการทางการค้าที่ไม่เป็นธรรมต่อสหรัฐฯ นโยบายภาษีนำเข้าดังกล่าวสร้างความกังวลต่อทุกประเทศคู่ค้ารวมถึงประเทศไทยซึ่งพึ่งพาการค้ากับสหรัฐฯ สูง จนนำไปสู่การเจรจาเพื่อลดภาษีนำเข้า ซึ่งทำให้หลายประเทศต้องยอมแลกด้วยเงื่อนไขต่าง ๆ เช่น การเปิดเสรีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ การลงทุนเพิ่มเติมในสหรัฐฯ เป็นต้น
สินค้าไทยที่ส่งออกไปสหรัฐฯ หลายสินค้าต้องเผชิญกับภาษีนำเข้าที่สูงขึ้น ประกอบด้วย
- สินค้าที่โดนภาษีเฉพาะอุตสาหกรรม หรือ sectoral tariff ได้แก่ ยานยนต์และชิ้นส่วน (ภาษี 25%) เหล็กและอลูมิเนียม (ภาษี 50%) สินค้าบางรายการที่ใช้เหล็กและอลูมิเนียมเป็นองค์ประกอบหลัก และทองแดง (ภาษี 50%) ซึ่งสินค้ากลุ่มนี้คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 13% ของมูลค่าการส่งออกไทยไปสหรัฐฯ
- สินค้าที่โดนภาษีตอบโต้ หรือ reciprocal tariff ซึ่งสินค้าไทยถูกจัดเก็บอยู่ที่ 19% ลดลงจากเดิมที่เคยประกาศไว้ก่อนหน้าที่ 36% ภาษีตอบโต้นี้ครอบคลุมสินค้าไทยสูงถึง 58% ของมูลค่าการส่งออกไทยไปสหรัฐฯ
นอกจากนี้ การส่งออกของไทยไปสหรัฐฯ ยังมีความเสี่ยงจากภาษีนำเข้าสินค้าที่เข้าข่ายสวมสิทธิ์ (transshipment) ที่สูงถึง 40% รวมถึงสินค้าบางรายการที่ยังอยู่ระหว่างการพิจารณา sectoral tariff เช่น อิเล็กทรอนิกส์ เซมิคอนดักเตอร์ ยา เป็นต้น รูปที่ 1 แสดงอัตรานำเข้าสินค้าไทยกลุ่มต่าง ๆ ภายหลังจากการปรับขึ้นภาษีนำเข้าของทรัมป์ โดยสินค้ากลุ่มเหล็กและโลหะโดนภาษีสูงสุด (43.4%)1 ตามด้วยสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม (29.5%) ยานยนต์และชิ้นส่วน (26.3%) ขณะที่กลุ่มสินค้าส่วนใหญ่ถูกจัดเก็บภาษีที่ประมาณ 20%
บทความนี้จะวิเคราะห์ถึงช่องทางต่าง ๆ ที่นโยบายภาษีของทรัมป์ จะส่งผลต่อภาคการส่งออกไทย โดยใช้ข้อมูลเชิงลึกหลายฐานข้อมูล ได้แก่ ข้อมูลส่งออกนำเข้าสินค้ารายธุรกรรมจากกรมศุลกากร ข้อมูลการค้าระหว่างประเทศจาก UN Comtrade และ USITC ตารางปัจจัยการผลิตและผลผลิตโลกที่จัดทำโดย OECD และข้อมูลสำรวจสำมะโนอุตสาหกรรมที่จัดทำโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ ข้อมูลเหล่านี้ช่วยให้เห็นถึงโครงสร้างการส่งออกไทยและความเชื่อมโยงกับห่วงโซ่การผลิตโลก รวมถึงทำให้สามารถประเมินผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมที่อาจแตกต่างกันออกไปในแต่ละกลุ่มสินค้า ซึ่งประกอบด้วย
- ผลโดยตรงต่อผู้ส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ จากภาษีนำเข้าที่สูงขึ้น โดยบทความนี้จะวิเคราะห์ผลกระทบผ่านช่องทางนี้เป็นหลัก
- ผลทางอ้อมผ่านความเชื่อมโยงระหว่างไทยกับประเทศต่าง ๆ ในห่วงโซ่การผลิตโลก และผ่านการแข่งขันในตลาดโลกที่สูงขึ้น
- ผลจากการเปลี่ยนแปลงของห่วงโซ่การผลิตโลกที่จะเกิดขึ้นในระยะต่อไป
นโยบายภาษีของทรัมป์กระทบผู้ส่งออกไทยที่จะต้องเผชิญกับภาษีนำเข้าที่สูงขึ้น ทำให้ความต้องการสินค้าจากผู้บริโภคและผู้ประกอบการในสหรัฐฯ ต่อสินค้าไทยลดลง และหากผู้ส่งออกต้องลดราคาสินค้าเพื่อรักษาส่วนแบ่งตลาดหรือคำสั่งซื้อของลูกค้า ก็จะส่งผลต่อกำไรของธุรกิจตามมา2
ทั้งนี้ ผลวิจัยของ Fajgelbaum et al. (2019) ที่ศึกษาผลกระทบของสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ในปี 2561–62 พบว่า ภาษีนำเข้าสินค้าจีนที่เพิ่มขึ้น 1% ทำให้ปริมาณการนำเข้าสินค้าจีนโดยสหรัฐฯ ลดลงได้ถึง 1.5% ผลกระทบผ่านช่องทางนี้เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจไทยที่ส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ กว่า 5,500 บริษัท ซึ่งมีมูลค่าการส่งออกไปสหรัฐฯ รวมกว่า 1.8 ล้านล้านบาท (18% ของมูลค่าการส่งออกรวมของไทยในปี 2567) และว่าจ้างแรงงานรวมกว่า 1.5 ล้านคน และในท้ายที่สุด จะส่งผลต่อเนื่องไปถึงผู้ประกอบการในประเทศที่อยู่ในห่วงโซ่การผลิตของสินค้าส่งออกเหล่านี้ อย่างไรก็ตาม ผลกระทบต่อกลุ่มสินค้า (sector) ต่าง ๆ อาจมีความแตกต่างกันออกไป ขึ้นกับหลายปัจจัย เช่น ระดับของการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ ความแตกต่างของภาษีนำเข้าที่จัดเก็บสินค้าไทยเทียบกับประเทศคู่แข่งสำคัญ ความเสี่ยงต่อภาษีสินค้า transshipment ไปจนถึงความสามารถในการรับมือกับ shock ของธุรกิจ โดยมีรายละเอียด ดังนี้
สินค้าส่งออกไทยส่วนใหญ่พึ่งพาตลาดสหรัฐฯ ค่อนข้างมาก ทำให้หลายกลุ่มสินค้าอาจได้รับผลกระทบมากจากนโยบายภาษีของทรัมป์ ตัวอย่างเช่น สินค้ากลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และอุปกรณ์ถ่ายภาพที่มีสัดส่วนการส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ สูงเกือบ 40% ต่อมูลค่าการส่งออกรวมของกลุ่มสินค้านั้น ๆ ขณะที่สินค้ากลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า รวมถึงเครื่องจักรและอุปกรณ์ พึ่งพาตลาดสหรัฐฯ คิดเป็น 30% และ 25% ของมูลค่าการส่งออกรวม ตามลำดับ (ตารางที่ 1) โดยทั้งสี่กลุ่มสินค้านี้มีมูลค่าการส่งออกไปสหรัฐฯ รวมกันคิดเป็นกว่า 58% ของมูลค่าการส่งออกรวมจากไทยไปสหรัฐฯ หรือ 10.5% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดของไทย นอกจากนี้ สินค้ากลุ่มเฟอร์นิเจอร์แม้จะมีมูลค่าการส่งออกไม่สูงนัก แต่พึ่งพาตลาดสหรัฐฯ มากกว่าครึ่งหนึ่ง อย่างไรก็ดี กลุ่มสินค้าส่งออกสำคัญของไทยอย่างยานยนต์และชิ้นส่วน และเกษตรแปรรูป มีสัดส่วนการส่งออกไปสหรัฐฯ ไม่ถึง 15%
หากพิจารณาข้อมูลอัตราภาษีนำเข้าล่าสุด (ณ วันที่ 5 กันยายน 2568) สินค้าไทยเผชิญกับภาษีนำเข้าที่ต่ำกว่าจีนมาก ซึ่งอาจช่วยให้สินค้าไทยสามารถดึงดูดผู้ซื้อในสหรัฐฯ และเข้าไปทดแทนสินค้าจีนได้บ้าง ขณะเดียวกัน ภาษีนำเข้าสินค้าไทยก็อยู่ในระดับใกล้เคียงกับประเทศเพื่อนบ้าน เข่น มาเลเซีย เวียดนาม ซึ่งมักส่งออกสินค้าคล้าย ๆ กัน จึงไม่ก่อให้เกิดความได้เปรียบหรือเสียเปรียบกันในการแข่งขันในตลาดสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม สินค้าส่งออกไทยบางอย่างมีความเสี่ยงที่จะถูกแย่งตลาดโดยประเทศคู่แข่งที่ถูกจัดเก็บภาษีต่ำกว่า เมื่อคำนวณเปรียบเทียบอัตราภาษีนำเข้าสินค้าไทยกับสินค้าของประเทศคู่แข่ง (ไม่รวมประเทศจีน) ดังแสดงในตารางที่ 1 จะพบว่าในกลุ่มสินค้าส่วนใหญ่ ภาษีนำเข้าที่ไทยถูกจัดเก็บนั้นไม่แตกต่างจากค่าเฉลี่ยของภาษีที่ประเทศคู่แข่งเผชิญเท่าใดนัก ยกเว้นสินค้ากลุ่มอุปกรณ์การแพทย์ รวมถึงยานยนต์และชิ้นส่วนที่ภาษีนำเข้าสินค้าไทยสูงกว่าคู่แข่งอยู่ที่ประมาณ 4% โดยสินค้าทั้งสองกลุ่มมีคู่แข่งสำคัญคือ EU และ เม็กซิโก3 ขณะที่กลุ่มยานยนต์และชิ้นส่วนซึ่งมีสินค้าส่งออกหลักคือล้อยางรถยนต์และรถบรรทุก ต้องแข่งกับประเทศในเอเชียเช่นเกาหลีและญี่ปุ่นด้วย ซึ่งโดนภาษีตอบโต้ต่ำกว่าไทย4
ความเสี่ยงสำคัญในเรื่องของการถูกแย่งตลาดจะมาจากกรณีที่เม็กซิโกและแคนาดาสามารถส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ โดยได้รับการละเว้นภาษีนำเข้า หากสามารถปฏิบัติตามเกณฑ์สัดส่วนมูลค่าวัตถุดิบภายในภูมิภาคที่ใช้ในการผลิตสินค้า หรือ Regional Value Content ตามข้อตกลง USMCA5 โดยกลุ่มสินค้าที่เผชิญกับความเสี่ยงดังกล่าว และมีอุปสงค์ที่ตอบสนองต่อความแตกต่างของภาษีนำเข้าได้ง่าย ประกอบด้วย สินค้ากลุ่มยานยนต์และชิ้นส่วน เคมีภัณฑ์ เฟอร์นิเจอร์ และเกษตรแปรรูป (มูลค่าการส่งออกไปสหรัฐฯ รวมอยู่ที่ประมาณ 4.4% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดของไทย) อย่างไรก็ดี ทั้งสินค้ากลุ่มยานยนต์และชิ้นส่วน และเกษตรแปรรูป อาจได้ประโยชน์จากการมีความสามารถทางการแข่งขันที่สูงกว่าหรือประสิทธิภาพในการผลิตที่ดีกว่า สะท้อนจากดัชนีความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบ (revealed comparative advantage) ที่อยู่ในระดับสูง (ตารางที่ 1) จึงอาจช่วยลดทอนความเสี่ยงจากการถูกแย่งตลาดได้บ้าง โดยไทยถือเป็นเจ้าตลาดในการส่งออกสินค้าหลักจากทั้งสองกลุ่มสินค้า ได้แก่ ล้อยางรถยนต์และรถบรรทุก และอาหารสัตว์เลี้ยง ขณะที่สินค้ากลุ่มอุปกรณ์การแพทย์อาจเสียเปรียบเม็กซิโกเพิ่มขึ้นเช่นกันแต่อุปสงค์ต่อสินค้าไม่อ่อนไหวต่อความแตกต่างของอัตราภาษีมากนัก
อีกหนึ่งความเสี่ยงสำคัญที่ผู้ส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ กำลังเผชิญคือ ความเสี่ยงจากภาษีสินค้า transshipment หรือสินค้าสวมสิทธิ์ที่ใช้ไทยเป็นทางผ่านในการส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีนำเข้าที่สูงกว่าในประเทศแหล่งกำเนิดของสินค้า โดยสินค้าดังกล่าวจะต้องเผชิญกับอัตราภาษีนำเข้าสูงถึง 40% ทั้งนี้ ในปัจจุบันยังไม่มีความชัดเจนว่า สหรัฐฯ จะใช้เกณฑ์ใดในการระบุสินค้า transshipment แต่มีความเป็นไปได้ที่สหรัฐฯ อาจใช้เกณฑ์สัดส่วนมูลค่าวัตถุดิบภายในประเทศ (Local Content) หรือเกณฑ์สัดส่วนมูลค่าวัตถุดิบภายในภูมิภาคที่ใช้ในการผลิตสินค้า (Regional Value Content, RVC) คล้ายคลึงกับข้อกำหนดใน USMCA ที่สหรัฐฯ ทำข้อตกลงกับเม็กซิโกและแคนาดา ซึ่งสหรัฐฯ จะกำหนดเกณฑ์ RVC ไว้สูงถึง 50–60% เพื่อป้องกันการสวมสิทธิ์
การกำหนดเกณฑ์ Local Content หรือ RVC ทำให้สินค้าส่งออกไทยสุ่มเสี่ยงต่อภาษี transshipment โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าที่ไทยเป็นผู้ผลิตขั้นกลางน้ำหรือปลายน้ำในห่วงโซ่การผลิตโลก ข้อมูลจากตารางปัจจัยการผลิตและผลผลิตโลกปี 2563 ดังแสดงในรูปที่ 2 พบว่าการส่งออกสินค้าไทยไปสหรัฐฯ ในภาพรวม มีสัดส่วนการใช้วัตถุดิบจากในประเทศ (domestic content) อยู่ที่ประมาณ 68% ในปี 2563 สูงขึ้นจากสัดส่วนในปี 2553 แต่สัดส่วนวัตถุดิบจากประเทศจีนก็สูงขึ้นเช่นเดียวกันจาก 5% มาอยู่ที่ 10% นอกจากนี้ หากเปรียบเทียบกับประเทศในกลุ่มอาเซียน สินค้าส่งออกของเวียดนามไปสหรัฐฯ มีสัดส่วน domestic content อยู่ในระดับต่ำที่สุดที่ 57% และมีสัดส่วนการใช้วัตถุดิบ ที่มาจากจีนสูง ทำให้ประเทศเวียดนามอาจมีข้อกังวลเกี่ยวกับสินค้า transshipment สูงกว่า อย่างไรก็ตาม ในกรณีของไทย เมื่อพิจารณาในรายหมวดสินค้า (รหัส ISIC 2 หลัก) จะพบว่า สัดส่วน domestic content มีความแตกต่างกัน และมีบางกลุ่มสินค้าที่สุ่มเสี่ยงต่อภาษี transshipment เนื่องจากมีสัดส่วน domestic content ใกล้เคียงกับ 50% เช่น หมวดเหล็กและโลหะ อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องจักรและอุปกรณ์ รวมถึงยานพาหนะและชิ้นส่วน ซึ่งล้วนแต่เป็นกลุ่มสินค้าส่งออกหลักของไทยทั้งสิ้น นอกจากนี้ สินค้าเหล่านี้มีสัดส่วนการใช้วัตถุดิบจากจีนเพิ่มขึ้นราวสองเท่าภายในเวลาสิบปี จึงอาจต้องเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้นหากต้องปรับตัวโดยปรับเปลี่ยนมาใช้วัตถุดิบในประเทศ หรือจากประเทศในภูมิภาคที่สหรัฐฯ อนุญาตให้นับรวมเป็น RVC
บทความนี้ประเมินความเสี่ยงต่อภาษี transshipment เพิ่มเติมสำหรับภาคการผลิต (manufacturing) ผ่านข้อมูลเชิงลึกที่จะช่วยให้เห็นถึงความแตกต่างของ RVC ในระดับอุตสาหกรรมย่อยและระดับบริษัท โดยใช้
- ข้อมูลการสำรวจสำมะโนอุตสาหกรรมปี 2565 เพื่อให้เห็นถึงโครงสร้างต้นทุนการผลิตและสัดส่วนของวัตถุดิบนำเข้าของบริษัทส่งออกในระดับอุตสาหกรรมย่อย (รหัส ISIC 4 หลัก) ควบคู่ไปกับ
- ข้อมูลใบขนสินค้าฯ ที่ทำให้ทราบถึงแหล่งที่มาของวัตถุดิบนำเข้าในรายบริษัท
ผลการศึกษาแสดงในรูปที่ 3 พบว่า บริษัทที่ส่งออกไปสหรัฐฯ ส่วนใหญ่มีสัดส่วนการใช้วัตถุดิบในภูมิภาคในระดับที่สูงเกินกว่า 60% โดยค่าเฉลี่ยของสัดส่วน RVC ค่อนข้างสูงในกลุ่มสินค้าเฟอร์นิเจอร์ ยานยนต์และชิ้นส่วน6 รวมถึงเกษตรแปรรูป อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงภาษี transshipment ต่อภาคการส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ ยังเป็นความเสี่ยงที่ควรเฝ้าระวัง เนื่องจาก สัดส่วน RVC ของบริษัทผู้ส่งออกไปสหรัฐฯ กระจายตัวค่อนข้างสูงในรายบริษัทแม้จะผลิตและส่งออกสินค้าที่อยู่ในกลุ่มสินค้าเดียวกัน โดยบทความนี้พบว่า มีบริษัทราว 14% ของบริษัทที่ส่งออกไปสหรัฐฯ ที่มีสัดส่วน RVC ต่ำกว่าเกณฑ์ที่คาดว่าสหรัฐฯ จะกำหนดที่ 60% ซึ่งบริษัทเหล่านี้ส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ คิดเป็นมูลค่าประมาณ 15% ต่อมูลค่าการส่งออกไทยไปสหรัฐฯ หรือ 3% ของมูลค่าการส่งออกรวมของไทย และมีการจ้างงานรวมไม่น้อยกว่า 3 แสนคน (ดูตารางที่ 2) โดยความเสี่ยงต่อมูลค่าการส่งออกส่วนใหญ่อยู่ในสินค้ากลุ่มเครื่องจักรและอุปกรณ์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า ตามด้วยกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และเหล็กและโลหะ แต่ในแง่ของจำนวนบริษัท จะมีบริษัทจำนวนไม่น้อยในกลุ่มสินค้าสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มรวมถึงเกษตรแปรรูปที่เสี่ยงต่อภาษี transshipment และอาจต้องปรับตัว
ในระยะสั้น ภาครัฐอาจพิจารณาเร่งจัดการกับปัญหาสินค้าสวมสิทธิ์จากประเทศจีนที่เพียงแค่ใช้ไทยเป็นทางผ่านสำหรับการส่งสินค้าไปขายยังสหรัฐฯ โดยที่ไม่สร้างมูลค่าเพิ่มแก่เศรษฐกิจไทย ซึ่งเกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่องกับประเทศในกลุ่มอาเซียนนับตั้งแต่ทรัมป์ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนในช่วงปี 2561-2562 บทความนี้ใช้ข้อมูลใบขนสินค้าฯ เพื่อระบุสินค้าสวมสิทธิ์ดังกล่าวโดยกำหนดเงื่อนไขว่า เป็นสินค้า (รหัสพิกัดศุลกากร 6 หลัก ) ที่นำเข้าจากจีนโดยผู้ประกอบการรายหนึ่ง และผู้ประกอบการรายนั้นส่งออกสินค้านั้นไปสหรัฐฯ ภายในไตรมาสเดียวกัน เพื่อสะท้อนความเสี่ยงที่ผู้ประกอบการรายนั้นอาจไม่ได้มีกระบวนการผลิตเพื่อเพิ่มมูลค่าของสินค้าอย่างมีนัยสำคัญในประเทศไทย โดยผลการศึกษาดังแสดงในรูปที่ 4 พบว่า สินค้าสวมสิทธิ์จากจีนอาจมีอย่างน้อย 4.3% ของมูลค่าการส่งออกรวมไปสหรัฐฯ7 และกระจายอยู่ในหลายกลุ่มสินค้า โดยเกือบครึ่งหนึ่งเป็นสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องจักรและอุปกรณ์ คิดเป็นประมาณ 3.3% และ 8.0% ของมูลค่าการส่งออกสินค้ากลุ่มนั้น ๆ ไปสหรัฐฯ ขณะที่กลุ่มสินค้าเหล็กและโลหะอาจมีสินค้าสวมสิทธิ์จากจีนสูงถึง 8.2% ของมูลค่าการส่งออกไปสหรัฐฯ
การวิเคราะห์ข้างต้นชี้ให้เห็นถึงกลุ่มสินค้าที่อาจต้องเผชิญกับผลกระทบผ่านช่องทางต่าง ๆ แต่อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่อาจมีผลต่อความอยู่รอดของธุรกิจ คือ ความสามารถในการรับมือกับ shock ของธุรกิจ ซึ่งบทความนี้พิจารณาจากอัตรากำไรของธุรกิจ ธุรกิจที่มีอัตรากำไรสูง นอกจากจะสามารถรับมือกับรายได้ที่อาจลดลงแล้ว ยังสามารถปรับลดราคาสินค้าลงได้หากต้องการรักษาส่วนแบ่งตลาดและความสามารถในการแข่งขัน เมื่อพิจารณาข้อมูลอัตรากำไรของธุรกิจส่งออกในปี 2566 (รูปที่ 5) พบว่าอัตรากำไรของธุรกิจในแต่ละกลุ่มสินค้ามีความแตกต่างกัน โดยบางกลุ่มสินค้า เช่น สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม เฟอร์นิเจอร์ รวมถึงเครื่องประดับ มีอัตรากำไรค่อนข้างต่ำเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 2-3% ทำให้มีข้อจำกัดในการปรับตัว ขณะที่สินค้ากลุ่มอุปกรณ์การแพทย์ และเครื่องจักรและอุปกรณ์มีอัตรากำไรที่สูงกว่ามาก นอกจากนี้ ยังพบว่าธุรกิจขนาดเล็กมีอัตรากำไรที่มีต่ำกว่าธุรกิจขนาดกลางและขนาดใหญ่ชัดเจน ดังนั้นธุรกิจขนาดเล็กในกลุ่มสินค้าที่ได้รับผลกระทบอาจต้องเผชิญกับความท้าทายที่สูงกว่า โดยเฉพาะหากจำเป็นต้องปรับลดราคาสินค้าเพื่อรักษาตลาด
นอกจากนี้ ผลกระทบต่อธุรกิจ ยังขึ้นอยู่กับว่าธุรกิจมีการกระจายความเสี่ยงของตลาดส่งออกมากน้อยเพียงใด บทความนี้ใช้ข้อมูลใบขนสินค้าเพื่อประเมินจำนวนตลาดส่งออกของสินค้าหนึ่ง ๆ ที่บริษัทส่งออกไป โดยพบว่า สินค้ากว่า 75% ถูกส่งออกไปเพียงแค่ตลาดเดียว (รูปที่ 6) ซึ่งสะท้อนว่าธุรกิจส่งออกส่วนใหญ่มีการกระจายความเสี่ยงด้านตลาดส่งออกต่ำ และอาจได้รับผลกระทบมากหากตลาดส่งออกนั้นเกิดปัญหา อย่างไรก็ดี บริษัทที่ส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ ซึ่งประกอบด้วยธุรกิจขนาดใหญ่จำนวนไม่น้อย มีการกระจายความเสี่ยงที่ดีกว่า โดยมีจำนวนสินค้าที่ส่งออกไปตลาดเดียวเพียงหนึ่งในสาม ขณะที่ 28% ของสินค้าทั้งหมดถูกส่งออกไป 2–4 ตลาด และประมาณ 18% ของสินค้าถูกส่งออกไปมากกว่า 10 ตลาด ซึ่งน่าจะมีส่วนช่วยให้ธุรกิจสามารถรับมือกับ shock ได้ดียิ่งขึ้น
เนื่องจากทรัมป์ปรับขึ้นภาษีกับประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก และทำให้ผู้บริโภคและผู้ประกอบการสหรัฐฯ ลดการนำเข้าสินค้าจากประเทศอื่น ๆ ด้วย ประเทศไทยซึ่งอยู่ในห่วงโซ่การผลิตโลกจึงได้รับผลกระทบทางอ้อมผ่านการส่งออกสินค้าจำพวกวัตถุดิบและปัจจัยการผลิตเพื่อไปผลิตในประเทศอื่นก่อนที่จะส่งออกไปยังสหรัฐฯ เมื่อพิจารณาข้อมูลสัดส่วนวัตถุดิบของไทยที่แฝงอยู่ในสินค้าส่งออกของประเทศต่าง ๆ ไปยังสหรัฐฯ จากตารางปัจจัยการผลิตและผลผลิตโลก จะพบว่า ผลกระทบทางอ้อมผ่านห่วงโซ่การผลิตโลกอาจส่งผลต่อภาคส่งออกไทยที่ประมาณ 1.5% ของมูลค่าการส่งออกรวมของไทย (รูปที่ 7) ทั้งนี้ สินค้าหมวดอิเล็กทรอนิกส์ของไทยมีสัดส่วนวัตถุดิบที่แฝงอยู่ในสินค้าส่งออกของประเทศอื่น ๆ สูงที่สุด ประมาณ 0.14% ของมูลค่าการส่งออกรวมของไทย โดยเป็นการส่งออกวัตถุดิบไปผลิตที่จีนและเม็กซิโกเป็นสำคัญ ซึ่งทั้งสองประเทศต่างเป็นผู้ส่งออกหลักของสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ขั้นปลายน้ำไปที่สหรัฐฯ รองลงมาคือสินค้าหมวดเกษตรกรรมและเหมือง สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม รวมถึงเคมีภัณฑ์ที่ส่วนใหญ่จะส่งออกไปประเทศจีนและอาเซียนเพื่อผลิตและส่งออกต่อไปสหรัฐฯ
อีกช่องทางสำคัญที่ทำให้นโยบายภาษีของทรัมป์ส่งผลต่อผู้ส่งออกไทยเป็นวงกว้าง คือการแข่งขันในตลาดโลกที่สูงขึ้น ทั้งจากสินค้าของสหรัฐฯ ที่ได้ประโยชน์จากการเปิดเสรีการนำเข้า และสินค้าจากประเทศอื่น ๆ ที่ประสบปัญหาส่งออกไปสหรัฐฯ จึงต้องหาตลาดใหม่เพื่อกระจายสินค้าไปยังประเทศอื่นแทน (trade diversion) ทั้งนี้ งานวิจัยในต่างประเทศ พบว่า ผู้ส่งออกสามารถปรับตัวได้เมื่อยอดขายในตลาดหนึ่งปรับลดลง เช่น Jiao et al. (2024) พบว่าธุรกิจจีนหันไปส่งออกสู่สหภาพยุโรปมากขึ้นเมื่อสหรัฐฯ ขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนช่วงปี 2561-62
บทความนี้วิเคราะห์โครงสร้างการแข่งขันของสินค้าไทยผ่านข้อมูลการค้าระหว่างประเทศจาก UN Comtrade ปี 2567 เพื่อประเมินว่าแต่ละกลุ่มสินค้าเผชิญกับการแข่งขันในตลาดโลกมากน้อยเพียงใด และประเทศใดเป็นคู่แข่งสำคัญ โดยหากกลุ่มสินค้าเผชิญกับการแข่งขันสูงมาแต่เดิม อีกทั้งมีคู่แข่งสำคัญเป็นประเทศที่มีแนวโน้มจะกระจายสินค้าออกจากสหรัฐฯ เช่น ประเทศที่ถูกจัดเก็บภาษีนำเข้าสูงอย่างจีนหรืออินเดีย ก็อาจจะได้รับผลกระทบมากจากการแข่งขันที่สูงขึ้น
ผลการศึกษาพบว่ากลุ่มสินค้าส่งออกหลักของไทยเช่น อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องจักรและอุปกรณ์ และเคมีภัณฑ์ รวมถึงเครื่องใช้ไฟฟ้า ต่างเผชิญกับการแข่งขันค่อนข้างสูงในตลาดโลก เนื่องจากมีหลายประเทศส่งออกสินค้าประเภทเดียวกัน โดยเฉพาะจีน ซึ่งถือเป็นคู่แข่งสำคัญของไทยในกลุ่มสินค้าข้างต้น โดยในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า พบว่าการแข่งขันในตลาดโลกเกือบครึ่งหนึ่งเป็นการแข่งขันกับจีน จึงมีความเสี่ยงว่า หากจีนเพิ่มการส่งออกสินค้ากลุ่มนี้ไปยังประเทศอื่นแทนสหรัฐฯ ไทยอาจต้องเผชิญการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้นในตลาดโลก นอกจากนี้ กลุ่มสินค้าสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม รวมถึงอุปกรณ์ถ่ายภาพ ก็มีการแข่งขันกับจีนสูงเช่นเดียวกัน นอกเหนือจากจีน สินค้ากลุ่มเครื่องประดับอาจได้รับผลกระทบจากการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นกับสินค้าจากประเทศอินเดีย ขณะที่อีกหลายกลุ่มสินค้ามีประเทศในสหภาพยุโรปเป็นคู่แข่งสำคัญ และอาจได้รับผลกระทบหากประเทศในสหภาพยุโรปขายสินค้าในสหรัฐฯ ได้น้อยลง
จากผลวิเคราะห์ข้างต้น ตารางที่ 4 แสดงสรุปการประเมินผลกระทบจากนโยบายภาษีของทรัมป์ต่อสินค้าส่งออกไทย ซึ่งจะเห็นได้ว่าหลายกลุ่มสินค้ากำลังเผชิญความท้าทายจากผลกระทบในหลายช่องทาง เช่น สินค้ากลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และเครื่องจักรและอุปกรณ์ ที่นอกจากจะพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ สูง และเผชิญกับความเสี่ยงต่อภาษี transshipment ยังอาจต้องเผชิญกับการแข่งขันในตลาดโลกที่สูงขึ้นด้วย ขณะที่บางกลุ่มสินค้า เช่น อุปกรณ์การแพทย์ เกษตรแปรรูป เหล็กและโลหะ รวมถึงยานยนต์และชิ้นส่วน เผชิญกับผลกระทบทางตรงเป็นหลัก
เมื่อมองไปข้างหน้า การเปลี่ยนแปลงของห่วงโซ่อุปทานที่จะเกิดขึ้นเป็นอีกปัจจัยที่จะส่งผลต่อภาคการส่งออกไทย โดยเฉพาะที่เป็นผลจากการย้ายฐานการผลิต และการตัดสินใจเพิ่มหรือลดกำลังการผลิตของบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ ซึ่งอาจทำให้ไทยได้ประโยชน์หรือเสียประโยชน์ก็ได้ งานวิจัยส่วนมากพบว่า การขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนในช่วงปี 2561-62 นั้นก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในห่วงโซ่การผลิตโลกอย่างมาก โดยส่งผลให้ประเทศอื่น ๆ ได้รับประโยชน์จากการเป็นผู้ผลิตและส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ แทนที่จีน (Alfaro & Chor, 2023; Fajgelbaum et al., 2024; Freund et al., 2024) โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และเครื่องจักรและอุปกรณ์ ทั้งนี้ ข้อมูลการนำเข้าของสหรัฐฯ ในปี 2567 บ่งชี้ว่า สินค้าจีนมีส่วนแบ่งตลาดในสหรัฐฯ ลดลงจากปี 2560 กว่า 8% ขณะที่ประเทศเวียดนาม เม็กซิโก และไต้หวันได้ส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นประเทศละ 2% ส่วนประเทศไทยได้ส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นเกือบ 1% ต่อมูลค่าการนำเข้ารวมของสหรัฐฯ (รูปที่ 8) อย่างไรก็ตาม Freund et al. (2024) และ Alfaro & Chor (2023) ชี้ให้เห็นด้วยว่าความเชื่อมโยงทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน อาจไม่ได้ลดลงแต่อย่างใด เนื่องจากประเทศที่ส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ มีการนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มขึ้นเช่นกัน ซึ่งอาจสะท้อนถึงห่วงโซ่อุปทานที่มีหน้าตาเปลี่ยนไปโดยประเทศที่เป็นผู้ผลิตและส่งออกสินค้าไปสหรัฐใช้วัตถุดิบและปัจจัยการผลิตที่มาจากจีนเป็นสำคัญ
ในบริบทปัจจุบันที่ประเทศจีนยังมีแนวโน้มที่จะเผชิญกับภาษีนำเข้าที่สูงกว่าประเทศอื่นโดยเปรียบเทียบ การเปลี่ยนแปลงของห่วงโซ่อุปทานน่าจะเกิดขึ้นต่อเนื่อง โดยเกิดการย้ายฐานการผลิตและส่งออกไปสู่ประเทศที่ถูกจัดเก็บภาษีต่ำกว่า แม้ว่าจะมีข้อจำกัดมากขึ้นหากสหรัฐฯ บังคับใช้ภาษี transshipment ผ่านเกณฑ์ RVC ที่เข้มงวดมากขึ้น ซึ่งจะทำให้บริษัทใช้ประโยชน์จากความเชื่อมโยงของห่วงโซ่อุปทานกับจีนได้ยากขึ้น ภาคส่งออกและธุรกิจไทยจะได้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงของห่วงโซ่อุปทานนี้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย อาทิ นโยบายภาครัฐและสภาพแวดล้อมที่ดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ ความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบในการเป็นผู้ผลิตสินค้าแทนจีนรวมถึงประเทศอื่น ๆ ที่ถูกจัดเก็บภาษีนำเข้าสูง ความสามารถในการขยายตลาดการส่งออกเพื่อรักษาระดับการเข้าไปมีส่วนร่วมในห่วงโซ่อุปทานใหม่ที่เปลี่ยนแปลง รวมไปถึงความสามารถในการบริหารจัดการต้นทุนวัตถุดิบที่อาจสูงขึ้นจากความจำเป็นในการปรับเปลี่ยนมาใช้วัตถุดิบในประเทศหรือภูมิภาคตามข้อตกลงทางการค้าที่มากยิ่งขึ้น
มาตรการกีดกันทางการค้า ของสหรัฐฯ สร้างความท้าทายอย่างมากต่อภาคการส่งออกไทย โดยส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้ส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ ผ่านภาษีนำเข้าที่สูงขึ้น อีกทั้งมีธุรกิจจำนวนไม่น้อยที่อาจต้องปรับตัวหากต้องการเลี่ยงภาษี transshipment นอกจากนี้ ความเชื่อมโยงของไทยกับประเทศอื่น ๆ ผ่านห่วงโซ่การผลิตโลก รวมถึงการแข่งขันในตลาดโลกที่จะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น ทำให้ผู้ส่งออกในตลาดอื่น ๆ ย่อมได้รับผลกระทบไปด้วย ภาคเอกชนจะต้องปรับตัวขณะที่ภาครัฐต้องมีมาตรการเชิงรุกที่เหมาะสมเพื่อรับมือกับความท้าทายที่เกิดขึ้น เพื่อให้ภาคส่งออกไทยแข่งขันได้และเติบโตได้อย่างยั่งยืนภายใต้ภูมิทัศน์ทางการค้าโลกใหม่
- ประการแรก ธุรกิจไทยต้องกระจายตลาดส่งออกมากขึ้น ขณะที่ภาครัฐควรเร่งเจรจา FTA กับตลาดที่มีศักยภาพ รวมทั้งแสวงหาความร่วมมือจากการรวมกลุ่มระหว่างประเทศหรือข้อตกลงทางการค้าในรูปแบบต่างๆ เพื่อเพิ่มโอกาสให้ภาคการส่งออกของไทยมีส่วนร่วมในห่วงโซ่อุปทานของโลก
- ประการที่สอง ภาครัฐควรใช้โอกาสดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเป้าหมาย และที่มุ่งเน้นการใช้วัตถุดิบและปัจจัยการผลิตในประเทศไทย เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มสูงสุดต่อเศรษฐกิจ รวมถึงก่อให้เกิด externality ด้านบวกแก่ประเทศ อาทิ การถ่ายโอนความรู้ทางเทคโนโลยีและทักษะแรงงาน นอกจากนี้ ภาครัฐควรเพิ่มความเข้มงวดในการเฝ้าระวังสินค้าสวมสิทธิ์
- ประการที่สาม ทั้งภาครัฐและเอกชนต้องให้ความสำคัญกับการยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขัน โดยใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี การวิจัยและพัฒนา รวมถึงได้รับการสนับสนุนด้านเงินทุนอย่างเหมาะสม โดยอาจสร้างแรงจูงใจให้แก่ธุรกิจส่งออกโดยเฉพาะ SMEs ที่พร้อมลงทุนหรือพัฒนาศักยภาพ อาทิ ผ่านการเพิ่มบทบาทของกองทุนการส่งเสริมการค้าหรือกองทุนพัฒนา SMEs
- สุดท้าย ภาครัฐควรใช้โอกาสนี้ในการวางกลยุทธ์ให้กับภาคการส่งออกไทย ได้แก่ (1) การกำหนดอุตสาหกรรมเป้าหมาย และเร่งพัฒนาความชัดเจนของแผนแม่บท โดยเฉพาะอุตสาหกรรมสินค้ากลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และเซมิคอนดักเตอร์ เพื่อให้ไทยสามารถเพิ่มบทบาทความมีส่วนร่วมในห่วงโซ่การผลิตของโลก และทำให้ไทยสามารถผลิตสินค้าส่งออกในลักษณะต้นน้ำและพัฒนาสินค้าส่งออกที่มีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น (2) การสร้างความเชื่อมโยงกับห่วงโซ่การผลิตในประเทศ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้แก่ภาคการผลิตของไทย และใช้วัตถุดิบในประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นในระยะยาว
เอกสารอ้างอิง
- สินค้าในกลุ่มเหล็กและโลหะประกอบด้วยทั้งเหล็กที่ถูกจัดเก็บภาษี 50% และโลหะประเภทอื่น ๆ ที่ภาษีต่ำกว่า↩
- ผลวิจัยส่วนมากพบว่า ผู้ประกอบการสหรัฐฯ เป็นผู้รับภาระภาษีแทบทั้งหมดจากการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนในช่วงปี 2561–62 (Amiti et al., 2019) อย่างไรก็ดี ผู้ส่งออกไทยอาจมีอำนาจต่อรองต่ำกว่าผู้ซื้อในสหรัฐฯ และต้องปรับลดราคาสินค้าลงบ้าง↩
- ประเทศในสหภาพยุโรปโดนภาษี 15% ขณะที่สินค้าจากเม็กซิโกถูกจัดเก็บภาษี 25% แต่บทความนี้สมมติให้ในกรณีฐาน เม็กซิโกได้ภาษี 0% คิดเป็นครึ่งหนึ่งของมูลค่าการส่งออกไปสหรัฐฯ↩
- สินค้าไทยบางกลุ่มเผชิญกับภาษีนำเข้าต่ำกว่าประเทศคู่แข่งมาก เช่น กลุ่มสินค้าเกษตรและเครื่องประดับที่ได้เปรียบประเทศอินเดียที่โดนเก็บภาษีสูงถึง 50% ส่วนกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ผู้ส่งออกไทยได้เปรียบในเรื่องภาษีนำเข้า เนื่องจากยังอยู่ระหว่างการพิจารณา ขณะที่บางประเทศถูกจัดเก็บภาษีนำเข้าที่เป็นรายประเทศไปแล้ว↩
- USMCA ถูกบังคับใช้แทนที่ NAFTA เมื่อปี 2563↩
- กลุ่มสินค้ายานยนต์และชิ้นส่วนนับรวมล้อยางรถยนต์และรถบรรทุกซึ่งใช้วัตถุดิบในประเทศสูง ซึ่งสินค้าดังกล่าวจัดอยู่ในหมวดยางและพลาสติกในรูปที่ 2↩
- Iyoha et al. (2024) ใช้วิธีเดียวกันในการศึกษาสินค้าสวมสิทธิ์ในกรณีของเวียดนาม และพบสินค้าสวมสิทธิ์จากจีนอยู่ที่ประมาณ 2% ของมูลค่าการส่งออกของเวียดนามไปสหรัฐฯ ในปี 2564 อย่างไรก็ตาม การประเมินสินค้าสวมสิทธิ์โดยใช้ข้อมูลระดับบริษัทอาจทำให้ได้ตัวเลขที่น้อยกว่าความเป็นจริง เนื่องจากบริษัทอาจใช้วิธีการหลบเลี่ยงโดยให้บริษัทหนึ่งนำเข้าจากจีน และให้อีกบริษัทเป็นผู้ส่งออกไปสหรัฐฯ ขณะที่ Freund (2025) ประเมินสินค้าสวมสิทธิ์จากจีนที่ใช้ไทยเป็นทางผ่านในปี 2565 ไว้ที่เกือบ 8% ของมูลค่าการส่งออกไปสหรัฐฯ↩