Research
Discussion Paper
PIERspectives
aBRIDGEd
PIER Blog
Events
Conferences
Research Workshops
Policy Forums
Seminars
Exchanges
Research Briefs
Community
PIER Research Network
Visiting Fellows
Funding and Grants
About Us
Our Organization
Announcements
PIER Board
Staff
Work with Us
Contact Us
TH
EN
Research
Research
Discussion Paper
PIERspectives
aBRIDGEd
PIER Blog
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกับเศรษฐกิจ: ตอนที่ 3 การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
PIERspectives ล่าสุด
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกับเศรษฐกิจ: ตอนที่ 3 การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
มองผู้ประกอบการรายย่อยนอกระบบผ่านโครงการ “คนละครึ่ง”
aBRIDGEd ล่าสุด
มองผู้ประกอบการรายย่อยนอกระบบผ่านโครงการ “คนละครึ่ง”
Events
Events
Conferences
Research Workshops
Policy Forums
Seminars
Exchanges
Research Briefs
Age and Housing Returns
งานสัมมนาล่าสุด
Age and Housing Returns
Sovereign Risk, Expected Inflation, and the Currency Denomination of Sovereign Debt
งานสัมมนาล่าสุด
Sovereign Risk, Expected Inflation, and the Currency Denomination of Sovereign Debt
สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์
สถาบันวิจัยเศรษฐกิจ
ป๋วย อึ๊งภากรณ์
Puey Ungphakorn Institute for Economic Research
Community
Community
PIER Research Network
Visiting Fellows
Funding and Grants
PIER Research Network
PIER Research Network
Funding & Grants
Funding & Grants
About Us
About Us
Our Organization
Announcements
PIER Board
Staff
Work with Us
Contact Us
Staff
Staff
ดร.โสมรัศมิ์ จันทรัตน์ ร่วมเสวนาในการประชุมเผยแพร่รายงาน Thailand’s Economic Survey 2025
ประกาศล่าสุด
ดร.โสมรัศมิ์ จันทรัตน์ ร่วมเสวนาในการประชุมเผยแพร่รายงาน Thailand’s Economic Survey 2025
aBRIDGEdabridged
Making Research Accessible
QR code
Year
2025
2024
2023
2022
...
Topic
Development Economics
Macroeconomics
Labor and Demographic Economics
Monetary Economics
...
/static/cc9d9dc9188c7e5af6900b9b52c0a180/e9a79/cover.png
23 ธันวาคม 2568
20251766448000000

มองผู้ประกอบการรายย่อยนอกระบบผ่านโครงการ “คนละครึ่ง”

เข้า “คนละครึ่ง” แล้วได้ประโยชน์มากน้อยแค่ไหน รัฐควรปรับมาตรการนี้หรือไม่
ณัฐพล เลิศเมธาพัฒน์นฎา วะสีอธิภัทร มุทิตาเจริญพิทวัส พูนผลกุล
มองผู้ประกอบการรายย่อยนอกระบบผ่านโครงการ “คนละครึ่ง”
excerpt

ผู้ประกอบการรายย่อยนอกระบบเป็นส่วนสำคัญของเศรษฐกิจไทย มาตรการ “คนละครึ่ง” มีเป้าหมายทั้งเพื่อช่วยสภาพคล่องของผู้ประกอบการรายย่อยและกระตุ้นการใช้จ่ายของประชาชน บทความชิ้นนี้เล่าถึงผู้ประกอบการรายย่อยนอกระบบที่เรามองเห็นผ่านโครงการคนละครึ่ง ว่าคนกลุ่มนี้เป็นใคร ได้รับประโยชน์จากโครงการมากน้อยเพียงใด ความช่วยเหลือมีการกระจุกหรือกระจายหรือไม่ รวมถึงวิเคราะห์ว่า หากรัฐจะมีมาตรการคล้าย ๆ กับ “คนละครึ่ง” อีกครั้ง เราควรปรับอย่างไร

1. ผู้ประกอบการรายย่อยนอกระบบ และมาตรการ “คนละครึ่ง”

ผู้ประกอบการรายย่อยนอกระบบนั้นเป็นส่วนสำคัญของเศรษฐกิจไทย ในมุมของจำนวนธุรกิจ ประเทศไทยมีผู้ประกอบการรายย่อยอยู่ 3 ล้านกว่าราย และกว่า 70% นั้นเป็นผู้ประกอบการนอกระบบที่ไม่ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล หรือหากมองในมุมของแรงงาน แรงงาน 13.3 ล้านคนจากทั้งหมด 38 ล้านคนนั้นเป็นกลุ่มผู้ประกอบการอิสระ ซึ่งเป็นกลุ่มที่ไม่มีลูกจ้าง 12.6 ล้านคน และมีลูกจ้าง 8 แสนกว่าราย ผู้ประกอบการเหล่านี้ ประมาณครึ่งหนึ่งทำกิจการเกษตรกรรม ส่วนที่เหลือเป็นกิจการรายย่อยในประเภทต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการขายสินค้า อาหาร เครื่องดื่ม หรืองานบริการ เช่น ทำผม นวด ขับรถรับจ้าง1

ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ งานนอกระบบเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยรองรับลูกจ้างในระบบที่ตกงาน เพราะสามารถเริ่มต้นได้ง่าย ไม่ต้องผ่านกระบวนการจ้างงาน หรือจดทะเบียนจัดตั้งร้านค้า แต่ขณะเดียวกันผู้ประกอบการรายย่อยก็มักจะขาดสภาพคล่องในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ ทั้งจากการที่ลูกค้าน้อยลงและการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบได้ยาก เพราะไม่ได้มีหลักประกันหรือประวัติในการกู้ยืมที่ดีพอ2

มาตรการ “คนละครึ่ง นั้นเริ่มขึ้นครั้งแรกในปลายปี 2563 โดยมีจุดประสงค์เพื่อช่วยสภาพคล่องของผู้ประกอบการรายย่อยเหล่านี้และกระตุ้นการใช้จ่ายของประชาชน หลังจากมีการตอบรับที่ดี มาตรการคนละครึ่งในช่วงดังกล่าวจึงมีการดำเนินการถึง 5 ระยะ ครอบคลุมระยะเวลาประมาณสองปี ใช้งบประมาณในโครงการทั้งหมดกว่า 230 พันล้านบาท

ชื่อ “คนละครึ่ง” มาจากการที่รัฐร่วมจ่ายครึ่งหนึ่งของยอดซื้อสินค้าและบริการ ในสองระยะแรก ผู้ประกอบการที่สามารถเข้าร่วมโครงการได้นั้น จะต้องเป็นผู้ประกอบการที่ไม่ได้เป็นนิติบุคคล เป็นกลุ่มร้านอาหาร เครื่องดื่ม หรือขายสินค้าทั่วไป กลุ่มบริการ เช่น นวด สปา ทำผมทำเล็บ หรือกลุ่มร้านค้าของกองทุนหมู่บ้านหรือกองทุนชุมชนเมืองหรือร้านค้าของวิสาหกิจชุมชน ในระยะที่ 3 เป็นต้นไป กลุ่มที่เข้าร่วม food delivery platform และบริการขนส่งมวลชนสาธารณะในนามนิติบุคคล สามารถเข้าร่วมโครงการได้

โครงการดังกล่าวมีผู้ประกอบการเข้าร่วมทั้งหมดประมาณ 1.3 ล้านราย และประชาชนเข้าร่วมกว่า 28 ล้านราย โดยมีงบประมาณ จำนวนสิทธิ และจำนวนวงเงินต่อคนที่ต่างกันไปในแต่ละระยะของโครงการ ในระยะที่ 3 เป็นระยะที่มีงบประมาณมากที่สุด มีการให้สิทธิต่อหัวมากที่สุด คือ 4,500 บาท และมีผู้ประกอบการเข้าร่วมมากที่สุด (ตารางที่ 1)

ตารางที่ 1: โครงการคนละครึ่งปี 2563–2565
ระยะที่ 1ระยะที่ 2ระยะที่ 3ระยะที่ 4ระยะที่ 5
วันเริ่ม23 ต.ค. 25631 ม.ค. 25641 ก.ค. 25641 ก.พ. 25651 ก.ย. 2565
วันสิ้นสุด31 ธ.ค. 256331 มี.ค. 256431 ธ.ค. 256430 เม.ย. 256531 ต.ค. 2565
จำนวนสิทธิ10 ล้าน10 ล้านจากระยะที่ 1
+ สิทธิใหม่ 5 ล้าน
28 ล้าน28 ล้านจากระยะที่ 3
+ สิทธิใหม่ 1 ล้าน
26.5 ล้าน
มูลค่าต่อคน
(บาท)
3,000+500 สิทธิเดิม
3,500 สิทธิใหม่
4,5001,200800
งบประมาณ
(พันล้านบาท)
3022.512634.821.2
จำนวนร้านค้า
(พันราย)
6521,0331,129936676
ที่มา: กรมประชาสัมพันธ์, กระทรวงการคลัง และจำนวนร้านค้าเป็นการประมาณการโดยคณะผู้วิจัย

2. ผู้ประกอบการรายย่อยนอกระบบที่เข้ารวมโครงการ “คนละครึ่ง” เป็นใคร

แม้จะมีการประมาณการว่าผู้ประกอบการรายย่อยนอกระบบมีกว่า 2 ล้านราย แต่เนื่องจากคนกลุ่มนี้อยู่นอกระบบ จึงไม่ได้มีข้อมูลจากภาครัฐชัดเจนว่าคนกลุ่มนี้เป็นใคร อย่างไรก็ดี ในการเข้าร่วมโครงการ “คนละครึ่ง” นั้น ประชาชนต้องใช้จ่ายผ่าน application เป๋าตัง และผู้ประกอบการต้องรับเงินผ่าน application ถุงเงิน ซึ่งการที่โครงการให้ทำธุรกรรมผ่าน e-payment เท่านั้น ช่วยให้รัฐสามารถจ่ายเงินสนับสนุนให้ร้านค้าทุกสิ้นวันอย่างรวดเร็ว และยังช่วยให้เราเห็นภาพด้วยว่าผู้ที่เข้าร่วมโครงการนี้เป็นใคร เพราะคนกลุ่มนี้จะได้รับเงินโอนเข้าบัญชีจากบัญชีของรัฐในช่วงที่มีโครงการ (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อมูลชุดนี้ในบทความวิจัย “เจาะลึกพฤติกรรมการใช้ e-Payment ของคนไทย” โดยข้อมูลชุดนี้ไม่ได้มีการระบุตัวตนแต่อย่างใด)

ตารางที่ 2 แสดงจำนวนและคุณลักษณะของผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการคนละครึ่งตามเวลาที่เข้าโครงการครั้งแรกจากข้อมูลของเจ้าของบัญชี ผู้ประกอบการส่วนใหญ่เข้าโครงการตั้งแต่ในระยะที่ 1–3 อายุเฉลี่ย 40–48 ปี ประมาณ 70% เป็นผู้หญิง ส่วนมากจบมัธยมศึกษา คอลัมน์สุดท้ายเป็นลักษณะของแรงงานจากข้อมูล Labour Force Survey (LFS) ที่เป็นกลุ่ม self-employed หรือเจ้าของกิจการ และทำธุรกิจในกลุ่มที่สามารถเข้าร่วมโครงการคนละครึ่งได้

หากเปรียบเทียบกลุ่มที่เข้าโครงการและประชากรกลุ่มนี้ พบว่าทั้งสองกลุ่มมีอายุเฉลี่ยใกล้เคียงกัน กลุ่มที่เข้าโครงการมีสัดส่วนผู้หญิงสูงกว่าเล็กน้อย แต่มีระดับการศึกษาโดยเฉลี่ยสูงกว่าอย่างชัดเจน ในข้อมูล LFS มีสัดส่วนกลุ่มปริญญาตรีขึ้นไปเพียง 9% แต่ผู้ประกอบการคนละครึ่งมีสัดส่วนกลุ่มปริญญาตรีถึง 30% เป็นนัยว่ากลุ่มที่มีการศึกษาสูงกว่านั้นน่าจะมีทั้งการเข้าถึงข้อมูลที่ดีกว่าและคุ้นเคยกับเทคโนโลยีมากกว่าเพราะการเข้าร่วมโครงการนั้น จำเป็นต้องรับเงินผ่าน application ถุงเงิน ดังที่กล่าวไปแล้ว

ตารางที่ 2: คุณลักษณะของผู้ประกอบการรายย่อยที่เข้าโครงการคนละครึ่ง
ผู้ประกอบการที่เข้าโครงการคนละครึ่งLabour Force Survey
ระยะที่ 1ระยะที่ 2ระยะที่ 3ระยะที่ 4ระยะที่ 5
จำนวนผู้ประกอบการ652,223411,176215,05431,08025,2812.4 million
อายุเฉลี่ย47.744.843.341.540.846
% ผู้หญิง73.373.269.468.267.262
สัดส่วนตามระดับการศึกษา
ประถมศึกษาหรือต่ำกว่า1.61.61.31.10.944.6
มัธยมศึกษา47.15548.746.841.235.6
ปวช. ปวส.15.615.315.115.214.411
ปริญญาตรีขึ้นไป33.125.631.33338.38.8
% กรุงเทพฯ16.41516.51718.720.5
ที่มา: ข้อมูลธุรกรรม e-payment และ Labour Force Survey

3. โครงการคนละครึ่ง ช่วยผู้ประกอบการรายย่อยมากน้อยแค่ไหน

3.1. มีผู้ประกอบการรายย่อยนอกระบบที่เข้าร่วมแล้วออกจากโครงการหรือไม่

ในช่วงที่โครงการคนละครึ่งผ่านไป 2 ระยะ มีข่าวว่าผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการจำนวนมากตัดสินใจออกจากโครงการ เพราะเกรงว่าการเข้าร่วมโครงการคนละครึ่งจะทำให้ร้านของตนเองเข้ามาอยู่ในระบบภาษีและถูกตรวจสอบได้ จากข้อมูลธุรกรรม e-payment นั้น เราพบว่า มีผู้ประกอบการออกจากโครงการจริง แต่ยังคิดเป็นสัดส่วนเพียง 6% เทียบกับผู้ประกอบการที่ยังอยู่ในโครงการ โดยรูปที่ 1 แสดงสัดส่วนจำนวนผู้ประกอบการในแต่ละระยะ สีเขียวเป็นกลุ่มที่เข้ามาใหม่ สีส้มเป็นกลุ่มที่ยังอยู่ต่อเนื่อง และสีแดงเป็นกลุ่มที่ออกจากโครงการ

รูปที่ 1: จำนวนผู้ประกอบการที่เข้าร่วมและออกจากโครงการคนละครึ่งในแต่ละระยะ
ที่มา: ผู้เขียนประมาณการจากข้อมูลธุรกรรม e-payment

ผู้ประกอบการที่ออกจากโครงการเป็นผู้ที่มียอดขายสูงเป็นพิเศษหรือไม่ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 48) พ.ศ. 2562 มีการกำหนดให้สถาบันการเงินรายงานข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลที่มี “ธุรกรรมลักษณะเฉพาะ” ในปีที่ล่วงมาให้แก่กรมสรรพากร ซึ่งคือ ธุรกรรมการเงินที่ (1) ฝากหรือรับโอนเงินทุกบัญชีรวมกันตั้งแต่ 400 ครั้ง และมียอดรวมธุรกรรมตั้งแต่ 2 ล้านบาทขึ้นไป หรือ (2) ฝากหรือรับโอนเงินทุกบัญชีรวมกันตั้งแต่ 3,000 ครั้งขึ้นไป หากเราดูที่เกณฑ์ดังกล่าวในตารางที่ 3 สัดส่วนของผู้ประกอบการที่เข้าเกณฑ์ของสรรพากรในกลุ่มที่ออกจากโครงการก็ไม่ได้สูงกว่ากลุ่มที่ยังอยู่ในโครงการต่อไป จึงเป็นนัยว่า ผู้ประกอบการบางรายอาจจะกลัวเรื่องการเข้าระบบจริงอย่างที่เป็นข่าว แต่ผู้ประกอบการรายใหญ่หลาย ๆ ราย ก็ยังเห็นประโยชน์ของโครงการและยังเข้าร่วมอย่างต่อเนื่อง

ตารางที่ 3: สัดส่วนของผู้ประกอบการที่เข้าร่วมหรือออกจากโครงการที่เข้าเกณฑ์ตรวจสอบของกรมสรรพากร
ช่วงระยะกลุ่มที่เข้าร่วมโครงการต่อกลุ่มที่ออกจากโครงการ
ระยะที่ 1–216.8%9.7%
ระยะที่ 2–314.8%11.0%
ระยะที่ 3–420.3%15.5%
ระยะที่ 4–520.9%17.1%

3.2. ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการมียอดขายเพิ่มขึ้นมากน้อยเพียงใด

ในส่วนนี้ เราพยายามประเมินยอดขายของผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการจากข้อมูลธุรกรรม e-payment แต่เนื่องจากผู้ประกอบการบางกลุ่มอาจจะรับเงินสดเป็นส่วนใหญ่ก่อนเข้าร่วมโครงการและเราไม่มีข้อมูลยอดขายที่เป็นเงินสด เราจึงเลือกวิเคราะห์เฉพาะกลุ่มที่คาดว่ามีการรับเงินค่าสินค้าและบริการจากลูกค้าผ่านการโอนเงินเป็นหลัก3 และได้ผู้ประกอบการกลุ่มนี้จำนวน 140,000 ราย เราแบ่งผู้ประกอบการเหล่านี้ เป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่เข้าโครงการในระยะที่ 1 กลุ่มที่เข้าโครงการในระยะที่ 2 กลุ่มที่เข้าโครงการในระยะที่ 3 และกลุ่มที่ยังไม่ได้เข้าโครงการในสามระยะแรก แต่เข้ามาในระยะที่ 4 และ 5

รูปที่ 2 แสดงค่ากลางของยอดขายรายสัปดาห์ของผู้ประกอบการเหล่านี้ โดยรวมยอดขายที่เข้าบัญชีปกติที่น่าจะใช้ค้าขายและที่ประมาณการจากการเข้าร่วมโครงการ4 ในช่วงไตรมาสที่ 3 ปี 2020 ที่ยังไม่มีโครงการ ค่ากลางของยอดขายของทั้ง 4 กลุ่มไม่ต่างกันมากนัก อยู่ที่ประมาณ 23,000 บาทต่อสัปดาห์ ในแต่ละระยะของโครงการ กลุ่มที่เข้าโครงการมียอดขายสูงกว่ากลุ่มที่ยังไม่ได้เข้าโครงการอย่างชัดเจน กลุ่มสีเขียวเข้าโครงการในระยะแรก กลุ่มสีเหลืองและเทา เข้าโครงการในระยะที่ 2 และ 3 ตามลำดับ ส่วนกลุ่มสีส้มเป็นกลุ่มที่ยังไม่ได้เข้าโครงการ

รูปที่ 2: ค่ากลางของยอดขายรวมของผู้ประกอบการที่เข้าร่วมและยังไม่ได้เข้าร่วมโครงการ

ที่มา: ผู้เขียนประมาณการมาจากข้อมูลธุรกรรม e-payment

ในระยะที่ 3 เราเห็นภาพเพิ่มเติมว่า กลุ่มที่เข้าโครงการตั้งแต่ระยะแรก มียอดขายที่เพิ่มสูงกว่ากลุ่มที่เข้าร่วมระยะที่ 2 และระยะที่ 3 ตามลำดับ และหากเราประเมินโครงการในสามช่วงดังกล่าวโดยเปรียบเทียบยอดขายของกลุ่มที่เข้าโครงการแล้วกับกลุ่มที่ยังไม่ได้เข้าโครงการ ผลของการเข้าโครงการต่อยอดขายโดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ประมาณ 50% นอกจากนี้ ยอดขายของธุรกรรมนอกโครงการคนละครึ่งก็เพิ่มขึ้นประมาณ 13%5 การที่ยอดขายนอกโครงการในระยะเวลาเดียวกันเพิ่มขึ้นด้วย อาจจะเป็นเพราะว่าลูกค้าที่ใช้สิทธิครบแล้วยังมาซื้อที่ร้านดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง หรือในวันที่มาซื้อสินค้าและบริการมียอดการใช้จ่ายเกินสิทธิ และส่วนที่เกินสิทธินั้นลูกค้าใช้การโอนเงินเข้าบัญชีนอกโครงการของร้านค้า

ทั้งนี้ ในระยะที่ 3 มีการขยายขอบเขตของโครงการคนละครึ่ง กลุ่มที่เพิ่งเข้าโครงการระยะดังกล่าวอาจจะเป็นกลุ่มที่เข้าร่วม food delivery platform ซึ่งเป็นร้านคนละประเภทกันและอาจจะมีขนาดเล็กกว่า ในส่วนถัดไป เราจะเล่าถึงงานวิจัยที่เจาะจงดูร้านกลุ่มนี้โดยเฉพาะ

3.3. ผลต่อรายได้ของผู้ประกอบการร้านอาหารบน delivery platform ที่เข้าร่วมโครงการ

งานวิจัยของ Muthitacharoen (2024) ได้ศึกษาร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการในระยะที่ 3 โดยใช้ข้อมูลจาก LINE MAN Wongnai ซึ่งครอบคลุมกว่า 70% ของร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการผ่านช่องทาง delivery ทั้งหมด

งานวิจัยนี้จำกัดกลุ่มตัวอย่างเฉพาะร้านค้าที่มียอดขายไม่เกิน 5,000 บาทต่อสัปดาห์ เพื่อให้กลุ่มร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ (treatment) และกลุ่มเปรียบเทียบ (control) มีลักษณะใกล้เคียงกันมากขึ้น รูปที่ 3 แสดงยอดขายเฉลี่ยต่อสัปดาห์ของร้านค้าทั้งสองกลุ่มก่อนและหลังการเข้าร่วมโครงการ ซึ่งพอเห็นภาพได้ว่าการเข้าร่วมโครงการของร้านเหล่านี้ส่งผลให้ร้านมียอดขายสูงขึ้นในช่วงที่มีโครงการ

รูปที่ 3 ยอดขายเฉลี่ยรายสัปดาห์ (บาท) ของร้านค้าก่อนและหลังการเข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง

ยอดขายเฉลี่ยรายสัปดาห์ (บาท) ของร้านค้าก่อนและหลังการเข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง

*ที่มา: Muthitacharoen (2024)

เมื่อใช้วิธี Difference-in-Difference ผลพบว่าร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการมียอดขายเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยยอดขายเฉลี่ยเพิ่มขึ้นราว 1,500 บาทต่อสัปดาห์ (รูปที่ 4) คิดเป็นการเพิ่มขึ้น 174% เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของกลุ่ม treatment ก่อนโครงการ และผลกระทบต่อยอดขายนี้สูงที่สุดในกลุ่มร้านค้าขนาดเล็ก6

รูปที่ 4 ผลของโครงการคนละครึ่งต่อยอดขายรายสัปดาห์

ผลของโครงการคนละครึ่งต่อยอดขายรายสัปดาห์

หมายเหตุ: Event-study estimates โดย สัปดาห์ที่ 0 คือช่วงเริ่มต้นโครงการ โดยสัปดาห์ก่อนหน้า (-1) เป็นสัปดาห์ฐานและได้รับการละไว้ที่มา: Muthitacharoen (2024)

กลไกสำคัญที่ขับเคลื่อนผลลัพธ์ดังกล่าวคือการขยายฐานลูกค้า ร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการมีจำนวนลูกค้าที่ไม่ซ้ำกัน (unique customers) เพิ่มขึ้น 176% และจำนวนคำสั่งซื้อ (orders) เพิ่มขึ้น 167% ในขณะที่ขนาดของคำสั่งซื้อต่อครั้งไม่เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ ข้อค้นพบนี้อาจสะท้อนว่าโครงการคนละครึ่งผ่าน delivery platform มีบทบาทสำคัญในการเปิดโอกาสให้ผู้บริโภคเข้าถึงร้านค้าขนาดเล็กที่ไม่เคยใช้บริการมาก่อน มากกว่าการกระตุ้นให้ใช้จ่ายต่อครั้งในปริมาณที่สูงขึ้น

นอกจากนี้ งานวิจัยยังพบว่าผลกระทบของโครงการไม่ได้หยุดลงเมื่อโครงการสิ้นสุด ร้านค้าที่เคยเข้าร่วมยังคงมียอดขายที่สูงกว่าช่วงก่อนเข้าโครงการ โดยเฉพาะในกลุ่มร้านค้าขนาดเล็ก ซึ่งยอดขายเพิ่มขึ้นราว 14% ในช่วง 4 เดือนหลังโครงการในระยะที่ 4 สิ้นสุดลง อาจสะท้อนว่าร้านค้าขนาดเล็กเหล่านี้สามารถรักษาฐานลูกค้าใหม่ผ่านโครงการไว้ได้ในระดับหนึ่งแม้โครงการจะสิ้นสุดไปแล้ว

4. เงินช่วยเหลือจากโครงการนั้น กระจุกหรือกระจายตัวในกลุ่มของผู้ประกอบการ

ในทุกระยะของโครงการ รัฐได้จำกัดสิทธิต่อหัวของประชาชนไว้วันละ 800–4500 บาท แต่รัฐไม่ได้จำกัดเงินสนับสนุนต่อผู้ประกอบการแต่อย่างใด ร้านที่มีลูกค้าจำนวนมากมีโอกาสได้รับเงินสนับสนุนมากกว่ารายอื่น จากข้อมูลธุรกรรม e-payment เราแบ่งผู้ประกอบการทั้งหมด 1.3 ล้านรายเป็น 5 กลุ่มเท่า ๆ กันกลุ่มละประมาณ 260,000 ราย โดยเรียงลำดับจากผู้ประกอบการที่ได้รับเงินสนับสนุนน้อยที่สุดไปยังผู้ประกอบการที่ได้รับเงินสนับสนุนมากที่สุดจากรัฐ เราพบว่ากลุ่ม bottom 20% ได้รับเงินเพียง 0.5% หรือเฉลี่ยประมาณ 4,100 บาทต่อราย ขณะที่กลุ่ม top 20% ได้เงินถึง 74% ของงบประมาณหรือโดยเฉลี่ยถึงประมาณ 580,000 บาทต่อราย โดยคิดจากเฉพาะเงินสนับสนุนจากรัฐเท่านั้น (รูปที่ 5) นอกจากนี้ หากเราเจาะไปที่กลุ่ม top 5% หรือประมาณ 65,000 รายที่ได้รับเงินจากโครงการสูงที่สุด กลุ่มนี้ได้รับเงินทั้งหมดคิดเป็นถึง 41% ของงบประมาณโครงการทั้งหมด

รูปที่ 5 การกระจายตัวของเงินสนับสนุนผู้ประกอบการแยกตาม quintile
ที่มา: คณะผู้วิจัยประมาณการจากมูลค่าธุรกรรมระหว่างบัญชีของภาครัฐและบุคคลธรรมดาที่เกิดขึ้นในช่วงโครงการคนละครึ่ง

ผู้ประกอบการที่ได้รับเงินสนับสนุนจำนวนมาก ต่างจากกลุ่มอื่นอย่างไร ตารางที่ 4 เปรียบเทียบลักษณะของผู้ประกอบการกลุ่มต่าง ๆ โดยพบว่าผู้ประกอบการในควินไทล์ที่ 4 และ 5 มีสัดส่วนผู้ประกอบการในกรุงเทพฯ และปริมณฑลมากกว่าควินไทล์สามกลุ่มล่างเล็กน้อย แต่จำนวนบัญชีโดยเฉลี่ยของแต่ละกลุ่มใกล้เคียงกัน รายได้เฉลี่ยก่อนเข้าโครงการของกลุ่มควินไทล์ที่ 1–4 ก็ไม่ต่างกันมากนัก (อยู่ที่ประมาณ 53,000–58,000) ต่อเดือน ขณะที่กลุ่มควินไทล์สุดท้าย หรือ Top 20 มีรายได้ก่อนเข้าโครงการเฉลี่ยถึง 80,000 บาท ซึ่งแสดงว่ากลุ่มที่ได้รับเงินจากรัฐมาก ปกติก็เป็นผู้ประกอบการที่มีรายได้ค่อนข้างดีและลูกค้ามีความคุ้นเคยกับเทคโนโลยีทางการเงินอยู่แล้ว7 นอกจากนี้ เรายังพบว่ากลุ่มที่ได้รับเงินมากกว่า ก็มีแนวโน้มเข้าร่วมโครงการทุกระยะ และมีจำนวนวันเฉลี่ยที่ได้รับเงินจากรัฐสูงถึง 351 วัน จากจำนวนวันของโครงการทั้งหมด 494 วัน

ตารางที่ 4: ลักษณะของร้านที่เข้าร่วมโครงการแบ่งตามควินไทล์ของเงินสนับสนุน
Quintiles% กรุงเทพฯ และปริมณฑลจำนวนบัญชีเฉลี่ยก่อนเข้าโครงการรายได้ก่อนเข้าโครงการ% เข้าร่วมทั้ง 5 ระยะจำนวนวันเฉลี่ยที่ได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐ
First27.92.853,8844%33
Second27.92.753,16820%109
Third29.62.756,46435%192
Fourth32.12.758,49049%273
Fifth31.82.884,49861%351

5. ส่งท้าย: ปรับมาตรการ “คนละครึ่ง” อย่างไรให้ช่วยผู้ประกอบการขนาดเล็กได้ทั่วถึง

หลักฐานที่ผ่านมาชี้ว่าผู้ประกอบการมียอดขายเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากการเข้าร่วมโครงการ อย่างไรก็ตามเงินช่วยเหลือมีการกระจุกตัวอย่างมากในกลุ่ม Top 5 % นอกจากนี้ เรายังไม่ได้เห็นภาพของผู้ประกอบการอีกสองกลุ่มที่อาจจะเสียประโยชน์จากโครงการ คือ ผู้ประกอบการรายย่อยนอกระบบที่ไม่ได้เข้าร่วมโครงการ และผู้ประกอบการรายย่อยในระบบที่จดทะเบียนนิติบุคคลและเข้าระบบภาษีถูกต้องจึงไม่ผ่านเกณฑ์การเข้าร่วมโครงการ ทั้งสองกลุ่มนี้ อาจจะมียอดขายลดลงในระหว่างโครงการก็เป็นได้ รวมถึงกลุ่มในระบบก็อาจจะมีแรงจูงใจให้ออกนอกระบบในอนาคต

บทความนี้ ส่งท้ายด้วยการชวนมองมาตรการ “คนละครึ่ง” ในสองมิตินี้ ว่าเราจะสามารถปรับให้ดีขึ้นได้อย่างไร

5.1. ทำอย่างไรให้ผู้ประกอบการรายย่อยนอกระบบได้รับการช่วยเหลืออย่างทั่วถึง

ลดจำนวนผู้ประกอบการเป้าหมายที่ตกหล่น

แม้การทำโครงการผ่านธุรกรรม e-payment ช่วยให้ร้านค้าได้รับเงินช่วยเหลืออย่างรวดเร็ว แต่ยังอาจมีผู้ประกอบการที่ตกหล่น โดยเป็นกลุ่มที่ไม่ทราบถึงโครงการหรือไม่ถนัดเทคโนโลยี และน่าจะเสียลูกค้าเพราะลูกค้าเดิมย้ายไปซื้อของจากร้านที่เข้าร่วมโครงการ รัฐควรศึกษาว่ากลุ่มตกหล่นนี้มีจำนวนมากน้อยเพียงใด เป็นใคร ได้รับผลกระทบเท่าใด และอุปสรรคของการเข้าร่วม คือ อะไร เพื่อประเมินว่าจะสามารถให้ความช่วยเหลือหรือปรับเกณฑ์การเข้าร่วมได้อย่างไร

ตั้งเกณฑ์ให้เงินสนับสนุนไม่กระจุกที่ผู้ประกอบการรายใหญ่

ประสบการณ์จากสหรัฐฯ และจีน ชี้ว่าการอุดหนุนให้ฝั่งผู้บริโภค มักเอื้อประโยชน์ให้ร้านค้าขนาดใหญ่กว่า (Andrews et al., 2013; Xing et al., 2023) เพราะร้านใหญ่มีฐานลูกค้าเดิมและมีความสามารถในการแข่งขันที่สูงกว่า รวมทั้งลูกค้ามีกำลังซื้อมากขึ้นจึงสามารถเลือกซื้อของที่แพงขึ้นได้ ซึ่งก็สอดคล้องกับข้อคนพบในกรณีมาตรการคนละครึ่งปี 2563–2565 ยิ่งไปกว่านั้น ในบางกรณีของสหรัฐฯ การอุดหนุนการบริโภคส่งผลให้ผู้ขายบางส่วนใช้อำนาจตลาดปรับขึ้นราคาส่งให้ตนเองได้ประโยชน์มากขึ้นด้วย (Leung & Seo, 2023)

หากรัฐต้องการให้เงินสนับสนุนกระจายตัวอย่างทั่วถึงมากขึ้น ควรพิจารณากำหนดเกณฑ์ฝั่งผู้ขายเพิ่มเติมจากฝั่งผู้ซื้อที่มีอยู่เดิม เพราะแม้จะจำกัดการใช้จ่ายรายวันของผู้ซื้อ แต่หากมีลูกค้าจำนวนมากซื้อสินค้าจากร้านเดียวกัน ผลประโยชน์ก็ยังอาจกระจุกอยู่ที่ร้านค้าขนาดใหญ่

แนวทางหนึ่งคือ การกำหนดเพดานสนับสนุนสูงสุดที่ร้านค้าแต่ละรายสามารถได้รับ เช่น เมื่อร้านค้ารับเงินสนับสนุนครบตามเพดานแล้ว อาจไม่ได้รับการสนับสนุนหรือได้รับอัตราสนับสนุนที่ลดลง วิธีนี้จะสร้างแรงจูงใจให้ผู้บริโภคหันไปซื้อจากร้านรายย่อยที่ยังได้รับเงินสนับสนุนไม่เต็มสิทธิ ซึ่งน่าจะเป็นกลุ่มที่มีขนาดเล็กและยอดขายน้อยกว่าตามลำดับ

ในทางปฏิบัติ รัฐอาจกำหนดเพดานที่สูงพอที่จะไม่สร้างภาระในการตรวจสอบสิทธิ แต่ยังช่วยลดการกระจุกตัวได้ เช่น ใช้ระดับ 90th percentile ของเงินสนับสนุนที่ร้านค้าต่าง ๆ เคยได้รับจากโครงการในอดีตเป็นจุดตัด

5.2. ทำอย่างไรให้มาตรการ "คนละครึ่ง" ไม่ลดแรงจูงใจในการเข้าระบบ

จากข้อค้นพบข้างต้น ประเทศไทยยังมีผู้ประกอบการขนาดไม่เล็กนักที่อยู่นอกระบบอยู่จำนวนหนึ่ง ซึ่งถึงแม้ผู้ประกอบการเหล่านี้จะมีการจ้างงานสูง แต่ก็ยังเป็นความท้าทายต่อระบบเศรษฐกิจในหลายมิติ ทั้งในมิติของการเสียภาษีอย่างถูกต้อง (Muthitacharoen et al., 2021) การสร้างการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมระหว่างผู้ประกอบการในและนอกระบบ (La Porta & Shleifer, 2014) รวมถึงการคุ้มครองทางสังคมของลูกจ้าง

ดังนั้น การให้สิทธิประโยชน์กับผู้ประกอบการนอกระบบมากกว่าผู้ประกอบการในระบบที่มี*ศักยภาพและขนาดใกล้กัน*เป็นสิ่งที่ไม่เป็นธรรม และยังลดแรงจูงใจในการเข้าระบบ เพราะมี informality premium ที่จูงใจให้การอยู่นอกระบบคุ้มกว่าเพราะสามารถหลบเลี่ยงภาษี เลี่ยงการส่งสมทบประกันสังคมให้ลูกจ้าง เลี่ยงกฎหมายคุ้มครองแรงงาน ดังนั้น คำว่า “นอกระบบ” ในปัจจุบัน ไม่น่าจะเป็นตัววัดที่ดีของ “ความเล็กและความเปราะบาง” ของผู้ประกอบการ

การจูงใจผู้ประกอบการเข้าระบบนั้นไม่ใช่เรื่องที่ง่าย โดยหัวใจของการออกแบบ คือ การทำให้ประโยชน์ของการอยู่ในระบบดีกว่าการอยู่นอกระบบ ผ่านมาตรการที่ผสมระหว่างการลดต้นทุน (เช่น @ fajnzylber2011does) การเพิ่มแรงจูงใจ (เช่น De Mel et al. (2013)) และการเพิ่มความน่าเชื่อถือของการบังคับใช้ (เช่น Almeida & Carneiro (2012)) การให้สิทธิประโยชน์ที่เจาะจงแก่ผู้ประกอบการนอกระบบ อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของแรงจูงใจได้ แต่ก็ควรมีออกแบบเป้าหมายปลายทางที่บังคับให้ผู้ประกอบการเหล่านี้เข้ามาอยู่ในระบบ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้ระบบเศรษฐกิจในระยะยาว และสร้างมาตรการที่เป็นธรรมได้ กิจการที่กำไรใกล้เคียงกันก็ควรมีภาระภาษีใกล้เคียงกัน และได้รับการสนับสนุนอย่างเท่าเทียมกัน

เอกสารอ้างอิง

Almeida, R., & Carneiro, P. (2012). Enforcement of labor regulation and informality. American Economic Journal: Applied Economics, 4(3), 64–89.
Andrews, M., Bhatta, R., & Ploeg, M. V. (2013). An alternative to developing stores in food deserts: can changes in SNAP benefits make a difference? Applied Economic Perspectives and Policy, 35(1), 150–170.
Beck, T., DemirgucKunt, A., & Maksimovic, V. (2005). Financial and legal constraints to growth: does firm size matter? The Journal of Finance, 60(1), 137–177.
Caballero, R. J., Hoshi, T., & Kashyap, A. K. (2008). Zombie lending and depressed restructuring in Japan. American Economic Review, 98(5), 1943–1977.
De Mel, S., McKenzie, D., & Woodruff, C. (2013). The demand for, and consequences of, formalization among informal firms in Sri Lanka. American Economic Journal: Applied Economics, 5(2), 122–150.
La Porta, R., & Shleifer, A. (2014). Informality and development. Journal of Economic Perspectives, 28(3), 109–126.
Leung, J. H., & Seo, H. K. (2023). How do government transfer payments affect retail prices and welfare? Evidence from SNAP. Journal of Public Economics, 217, 104760.
Muthitacharoen, A. (2024). Using a no-minimum 50: 50 co-pay to stimulate consumption: evidence from Thailand’s digital fiscal stimulus. Applied Economics Letters, 1–6.
Muthitacharoen, A., Paweenawat, A., & Samphantharak, K. (2021). The Double-Edged Sword: Unintended Consequences of SME Promotion Policy (Discussion Paper No. 148). Puey Ungphakorn Institute for Economic Research.
Muthitacharoen, A., Wanichthaworn, W., & Burong, T. (2021). VAT threshold and small business behavior: evidence from Thai tax returns. International Tax and Public Finance, 28(5), 1242–1275.
Wasi, N., Sangimnet, B., & Monchaitrakul, C. (2019). นโยบายส่งเสริม SMEs: เราไปถึงสิ่งที่คาดหวังหรือยัง (aBRIDGEd No. 5/2019). Puey Ungphakorn Institute for Economic Research.
Xing, J., Zou, E. Y., Yin, Z., Wang, Y., & Li, Z. (2023). “Quick Response” Economic Stimulus: The Effect of Small-Value Digital Coupons on Spending. American Economic Journal: Macroeconomics, 15(4), 249–304.

  1. ข้อมูลจำนวนธุรกิจจาก MSME Big Data Dashboard ของ สสว. นับรวมเฉพาะ micro และ small enterprises และข้อมูลจำนวนแรงงาน จากข้อมูล Labour Force Survey ปี 2564 โดยนับแรงงานที่มีอายุ 15–70 ปี↩
  2. บทความนี้ เราวิเคราะห์ถึงการช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยในระยะสั้นเท่านั้น โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายย่อยนอกระบบ สำหรับผู้ที่สนใจเรื่องนโยบายสนับสนุน ประกอบการรายย่อยในภาพใหญ่ ว่าต้องคำนึงถึงอะไรบ้าง และผลกระทบต่อประสิทธิภาพและการแข่งขันเป็นอย่างไร สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ใน Beck et al. (2005) , Caballero et al. (2008) , Wasi et al. (2019) , Muthitacharoen et al. (2021)↩
  3. เกณฑ์ที่ใช้ในการเลือกร้าน คือ ร้านที่ได้รับเงินโอนเข้าบัญชีบุคคคลธรรมดาของเจ้าของร้านรวมกันอย่างน้อย 30 ครั้งต่อเดือนในไตรมาส 3 ปี 2020 และเป็นร้านที่ไม่ได้ออกจากโครงการหากเข้าร่วมโครงการแล้ว↩
  4. ยอดขายรวมคิดมาจากบัญชีซึ่งมีจำนวนธุรกรรมมากที่สุดและบัญชีที่ได้รับเงินจากภาครัฐในช่วงที่มีโครงการคนละครึ่งคูณสอง↩
  5. ทั้งนี้ การเข้าร่วมในแต่ละระยะ อาจจะไม่ได้ random นัก กลุ่มที่เลือกเข้าโครงการก่อนก็อาจจะเป็นกลุ่มที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากโครงการมากกว่ากลุ่มอื่น ๆ ตัวเลขข้างต้นจึงอาจจะ overestimate ผลของโครงการ↩
  6. งานวิจัยนี้สร้างตัวแปร outcome รายจังหวัด โดยคำนวณค่าเฉลี่ยในแต่ละสัปดาห์สำหรับแต่ละจังหวัด จากนั้นเปรียบเทียบข้อมูลก่อนและหลังการเปิดตัวโครงการคนละครึ่งบนแพลตฟอร์มเดลิเวอรีในต้นเดือนตุลาคม 2564↩
  7. รายได้ดังกล่าวคำนวณจากธุรกรรมที่เป็นการโอนเงินจากบุคคลธรรมดาที่คาดเดาว่าร้านใช้ทำธุรกรรม ซึ่งอาจจะมีการนับรวมส่วนที่มิใช่รายได้จากการขายสินค้าได้↩
ณัฐพล เลิศเมธาพัฒน์
ณัฐพล เลิศเมธาพัฒน์
ธนาคารแห่งประเทศไทย
นฎา วะสี
นฎา วะสี
สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์
อธิภัทร มุทิตาเจริญ
อธิภัทร มุทิตาเจริญ
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
พิทวัส พูนผลกุล
พิทวัส พูนผลกุล
สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์
Topics: Public Economics
Tags: informal firmsstimulus schemee-payment
ข้อคิดเห็นที่ปรากฏในบทความนี้เป็นความเห็นของผู้เขียน ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับความเห็นของสถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์

สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์

273 ถนนสามเสน แขวงวัดสามพระยา เขตพระนคร กรุงเทพฯ 10200

โทรศัพท์: 0-2283-6066

Email: pier@bot.or.th

เงื่อนไขการให้บริการ | นโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2568 สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์

เอกสารเผยแพร่ทุกชิ้นสงวนสิทธิ์ภายใต้สัญญาอนุญาต Creative Commons Attribution-NonCommercial-ShareAlike 3.0 Unported license

Creative Commons Attribution NonCommercial ShareAlike

รับจดหมายข่าว PIER

Facebook
YouTube
Email