ผู้กำหนดนโยบายควรเข้าใจการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างไร?

excerpt
บทความนี้ใช้ข้อมูลสภาพอากาศรายเดือน ทั้งในอดีตและการคาดการณ์ในอนาคตรวมกว่า 80 ปี ครอบคลุมทุกอำเภอทั่วประเทศ เพื่อจำแนกลักษณะของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศออกเป็น (1) การเปลี่ยนแปลงที่สามารถคาดการณ์ได้ล่วงหน้า เช่น การเปลี่ยนแปลงของแนวโน้ม หรือฤดูกาล ซึ่งเหมาะกับมาตรการปรับตัวเชิงรุก และ (2) การเปลี่ยนแปลงที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ล่วงหน้า ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยกลไกการบริหารจัดการความเสี่ยงที่เหมาะสมตามลักษณะของความเสี่ยง บทความนี้ยังแสดงให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศในแต่ละลักษณะมีผลต่อผลผลิตต่อไร่ของพืชเศรษฐกิจและการชำระหนี้ของพอร์ตสินเชื่อเกษตรต่างกันไป และต่างกันในแต่ละพื้นที่ของประเทศ ผลการศึกษานี้จึงช่วยสะท้อนระดับการเผชิญความเสี่ยง (exposure) และความเปราะบาง (vulnerability) ต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ละเอียดขึ้น และเป็นรากฐานสำคัญต่อการออกแบบนโยบายที่ตรงจุด
น้ำท่วมในภาคใต้ที่ผ่านมาสะท้อนให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอาจกำลังเกิดขึ้นในลักษณะที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ล่วงหน้ามากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อมองไปข้างหน้า คำถามสำคัญคือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศไทยมีลักษณะอย่างไร แตกต่างกันอย่างไรในภูมิภาคต่าง ๆ ของประเทศ และลักษณะการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแบบใดที่ระบบเศรษฐกิจและสังคมยังไม่สามารถรับมือได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ดี คำถามเหล่านี้ยังขาดหลักฐานเชิงประจักษ์ที่ช่วยตอบโจทย์การกำหนดนโยบายได้อย่างชัดเจน
ที่ผ่านมามีงานศึกษาจำนวนมากชี้ให้เห็นว่า ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมักเกิดจากความผันผวนที่เพิ่มขึ้นมากกว่าการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศโดยเฉลี่ย (Baltisti & Naylor, 2009; Lee et al., 2021) และความผันผวนดังกล่าวสามารถส่งผลต่อเศรษฐกิจอย่างรุนแรงและไม่เป็นเส้นตรง (Schlenker & Roberts, 2009; Burke et al., 2015; Carleton & Hsiang, 2016) นอกจากนี้ ความผันผวนของสภาพภูมิอากาศที่มีลักษณะแตกต่างกันยังต้องอาศัยแนวทางการรับมือที่แตกต่างกัน (Burney et al., 2024; Deschenes & Greenstone, 2007; Pörtner et al., 2022) โดยการเปลี่ยนแปลงที่สามารถคาดการณ์ได้ล่วงหน้ามักจัดการได้ผ่านการปรับตัวในระดับบุคคลและชุมชน ขณะที่การเปลี่ยนแปลงที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้จำเป็นต้องพึ่งพากลไกการบริหารจัดการความเสี่ยงในระดับระบบ
อย่างไรก็ตาม ข้อจำกัดสำคัญของงานวิจัยเหล่านี้คือ การพิจารณาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพียงมิติเดียว โดยแต่ละงานมักเลือกใช้ตัวชี้วัดด้านภูมิอากาศเพียงบางประเภท ไม่ว่าจะเป็นค่าเฉลี่ยของปริมาณน้ำฝนและอุณหภูมิ (Alemu et al., 2024) หรือเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้ว (Lesk et al., 2022) และยังไม่ได้พิจารณาและเปรียบเทียบลักษณะต่าง ๆ ของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในภาพรวม ทำให้ยังขาดความเข้าใจเชิงลึกในการตอบโจทย์นโยบายข้างต้น และอาจนำไปสู่การออกแบบมาตรการปรับตัวที่ยังไม่สอดคล้องกับลักษณะของการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง
บทความนี้ช่วยเติมเต็มองค์ความรู้และตอบคำถามเชิงนโยบายข้างต้น โดยอาศัยกรอบแนวคิดตาม Burney et al. (2024) เพื่อทำความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศไทยในหลายมิติอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น พร้อมทั้งประเมินระดับการเผชิญความเสี่ยงและความเปราะบางต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของภาคเกษตรและพอร์ตสินเชื่อเกษตรทั้งในระดับประเทศและระดับพื้นที่ ซึ่งผลการศึกษานี้จะช่วยสนับสนุนให้ผู้กำหนดนโยบายสามารถออกแบบมาตรการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้อย่างตรงจุด สอดคล้องกับบริบทของพื้นที่ และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
บทความนี้ใช้ข้อมูลสภาพอากาศรายเดือน ครอบคลุมช่วงเวลาอดีต (1990–2024) และช่วงเวลาอนาคต (2025–2070) ภายใต้ฉากทัศน์ RCP 8.5 ซึ่งเป็นฉากทัศน์ที่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมีความรุนแรง โดยพิจารณาจากความพยายามและความคืบหน้าของการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทยในช่วงที่ผ่านมา ข้อมูลนี้ได้มาจากโครงการ Coupled Model Intercomparison Project Phase 5 (CMIP5) โดยใช้วิธีการขยายความละเอียดเชิงพื้นที่ของแบบจำลองภูมิอากาศโลกผ่านกระบวนการย่อส่วนเชิงพลวัต (dynamical downscaling) ให้มีความละเอียดเชิงพื้นที่ขนาด 25 กิโลเมตร × 25 กิโลเมตร ซึ่งมีขนาดใกล้เคียงกับอำเภอขนาดใหญ่ของประเทศไทย ทั้งนี้ เพื่อให้สามารถเปรียบเทียบผลการศึกษากับงานวิจัยในต่างประเทศได้ บทความนี้จึงใช้ตัวแปรด้านภูมิอากาศพื้นฐาน ได้แก่ อุณหภูมิและปริมาณน้ำฝนเป็นจุดตั้งต้นของการวิเคราะห์
นอกจากนี้ เราได้เพิ่มการใช้ดัชนี SPI (Standardized Precipitation Index) เพื่อสะท้อนเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วได้ดียิ่งขึ้น โดยดัชนี SPI เป็นตัวชี้วัดเชิงสถิติที่ใช้ประเมินภาวะความแห้งแล้ง โดยพิจารณาจากความเบี่ยงเบนของปริมาณฝนจริงเมื่อเทียบกับสภาพภูมิอากาศในระยะยาวของพื้นที่นั้น (McKee et al., 1993) และสามารถใช้ประเมินความผิดปกติของปริมาณฝน ทั้งในลักษณะฝนทิ้งช่วงและฝนตกหนักได้ ในบทความนี้ใช้ดัชนี SPI-3 ซึ่งสะท้อนความผิดปกติของปริมาณฝนในช่วงเวลา 3 เดือน และเหมาะสมกับการติดตามความแห้งแล้งที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาคเกษตร โดยค่าดัชนี SPI ที่เป็นลบสะท้อนปริมาณฝนที่ต่ำกว่าค่าปกติหรือภาวะแห้งแล้ง ขณะที่ค่าดัชนีที่เป็นบวกสะท้อนปริมาณฝนที่สูงกว่าค่าปกติซึ่งอาจบ่งชี้ภาวะน้ำท่วม ส่วนค่าที่ใกล้ศูนย์สะท้อนสภาวะปริมาณฝนใกล้เคียงปกติ
รูปที่ 1 แสดงแนวโน้มของอุณหภูมิเฉลี่ย ปริมาณน้ำฝนสะสม และดัชนี SPI-3 รายปีในระดับอำเภอ ระหว่างปี 1990–2070 และแสดงให้เห็นว่า ค่าเฉลี่ยของตัวแปรด้านภูมิอากาศของประเทศไทย โดยเฉพาะอุณหภูมิมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นในอนาคต โดยเพิ่มขึ้นประมาณ 1.27 องศาเซลเซียสเมื่อเปรียบเทียบระหว่างช่วงเวลาอดีตและอนาคต ขณะเดียวกัน ระดับความแปรปรวนของตัวแปรด้านภูมิอากาศเพิ่มขึ้นในทุกมิติ โดยเฉพาะปริมาณน้ำฝนและดัชนี SPI-3 ซึ่งสะท้อนถึงความเสี่ยงจากเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น เช่น การเกิดฝนตกหนักผิดปกติสลับกับช่วงแห้งแล้ง ซึ่งผลการศึกษานี้สอดคล้องกับหลักฐานจากงานวิจัยอื่น ๆ1 (IPCC, 2023)
งานวิจัยนี้ใช้แบบจำลองเชิงเส้นในการแยกลักษณะการเปลี่ยนแปลงของแต่ละตัวแปรอากาศ (spatiotemporal decomposition) ออกเป็น
ส่วนแรก คือการเปลี่ยนแปลงที่สามารถคาดการณ์ได้ล่วงหน้า (anticipated change) ซึ่งประกอบไปด้วย
- ระดับของตัวแปรอากาศตั้งต้น (baseline) ซึ่งเป็น intercept ในแบบจำลอง
- แนวโน้มการเปลี่ยนแปลง (trend) ซึ่งมาจากการใส่ time trend ในแบบจำลอง
- ฤดูกาล (seasonality) ซึ่งหามาจากการนำส่วนของตัวแปรอากาศหลังจากหัก intercept และ time trend ออกไป แล้วมาหาค่าเฉลี่ยแต่ละเดือนของปี
ส่วนที่สอง คือการเปลี่ยนแปลงที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ล่วงหน้า (unanticipated change) ซึ่งประกอบไปด้วย
- เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดที่เกิดขึ้นและส่งผลในวงกว้างพร้อมกันทั้งประเทศ (covariate shocks) ซึ่งหามาจากการนำเอาตัวแปรอากาศหลังหัก intercept, time trend และ seasonality ออกไป มาหาค่าเฉลี่ยในแต่ละเดือนในระดับประเทศ
- เหตุการณ์ไม่คาดคิดที่ส่งผลกระทบเฉพาะเจาะจงต่อบุคคลหรือเฉพาะพื้นที่ แต่ไม่ได้ส่งผลกระทบในวงกว้าง (idiosyncratic shocks) ซึ่งเป็นส่วนของตัวแปรอากาศที่โดนหัก covariate shock ออกไป2
รูปที่ 2 แสดงตัวอย่างของผลการจำแนกลักษณะการเปลี่ยนแปลงของปริมาณน้ำฝนสะสมรายเดือนใน 6 พื้นที่ รูป 2a แสดงผลองค์ประกอบในส่วนของการเปลี่ยนแปลงที่สามารถคาดการณ์ได้ล่วงหน้า ประกอบไปด้วยระดับปริมาณน้ำฝนตั้งต้นที่มีความแตกต่างกันระหว่างพื้นที่ แนวโน้มที่มีทิศทางลดลงในทุกพื้นที่ และฤดูกาล ซึ่งมีความความแตกต่างกันระหว่างพื้นที่ และรูป 2b แสดงส่วนของการเปลี่ยนแปลงที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ล่วงหน้าทั้งหมด และแยกเป็น covariate shocks และ idiosyncratic shocks ที่มีความแปรปรวนสูงและกระจายตัวแตกต่างกันตามพื้นที่
รูปที่ 3 แสดงผลการแยกลักษณะของตัวแปรด้านภูมิอากาศโดยใช้ข้อมูลระหว่างปี 1990–2024 ซึ่งสะท้อนความแตกต่างเชิงพื้นที่อย่างชัดเจน ภาคเหนือมีค่าระดับฐานของอุณหภูมิเฉลี่ยต่ำกว่าภูมิภาคอื่น ๆ ขณะที่ทุกภูมิภาคของประเทศไทยมีแนวโน้มเผชิญอุณหภูมิที่สูงขึ้น แม้การเพิ่มขึ้นจะน้อยกว่าในพื้นที่ตอนกลางของประเทศ ในด้านปริมาณน้ำฝน พบความแตกต่างเชิงพื้นที่ค่อนข้างมาก แต่มีแนวโน้มลดลงในทุกภูมิภาค สะท้อนถึงสภาวะแห้งแล้งที่เพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของดัชนี SPI-3 นอกจากนี้ ยังพบว่า unanticipated shocks ของตัวแปรด้านภูมิอากาศทั้งสามมีลักษณะแตกต่างกันตามพื้นที่ โดยภาคใต้และภาคเหนือตอนบนเผชิญกับ idiosyncratic shocks ในระดับที่สูงกว่า ขณะที่ภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือเผชิญกับ covariate shocks มากกว่า
รูปที่ 4 แสดงการเปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลงของ baseline trend และ idiosyncratic shocks ระหว่างช่วงเวลาอดีต (แสดงด้วยสีแดง) และช่วงเวลาอนาคต (แสดงด้วยสีน้ำเงิน) รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาลเมื่อเปรียบเทียบระหว่างสองช่วงเวลา (แสดงด้วยสีเขียว) ในระดับจังหวัดและภูมิภาค ขณะที่รูปที่ 5 แสดงการเปลี่ยนแปลงของ covariate shocks
สำหรับอุณหภูมิ (รูปที่ 4a) พบว่าการเปลี่ยนแปลงหลัก คือการเพิ่มขึ้นของ baseline และ trend ในอนาคตในทุกจังหวัด ขณะเดียวกันยังพบการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาลโดยเฉพาะในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ แต่ไม่พบการเปลี่ยนแปลงของความผันผวนที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้อย่างมีนัยสำคัญ
สำหรับปริมาณน้ำฝน (รูปที่ 4b) การเปลี่ยนแปลงมีความแตกต่างกันค่อนข้างมากในแต่ละจังหวัดและภูมิภาค โดยจังหวัดในภาคกลางและภาคใต้จะมี trend เพิ่มสูงขึ้นมากกว่าภูมิภาคอื่น ๆ และจะมี covariate shocks ที่รุนแรงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ในขณะที่ idiosyncratic shocks โดยรวมเปลี่ยนแปลงไม่มากนัก ยกเว้นในภาคกลางและภาคเหนือที่จะมีการเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน
สำหรับดัชนี SPI-3 (รูปที่ 4c) พบว่า baseline มีแนวโน้มลดลง สะท้อนภาวะความแห้งแล้งที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต ขณะเดียวกัน trend ของดัชนีกลับเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งบ่งชี้ถึงความแปรปรวนที่จะเพิ่มขึ้นของ anticipated components ในอนาคต นอกจากนี้ ยังพบว่า covariate shocks จะมีแนวโน้มรุนแรงขึ้นมาก รวมถึง idiosyncratic shocks ที่จะเพิ่มขึ้นในเกือบทุกภูมิภาค ยกเว้นภาคใต้
งานวิจัยนี้ประเมิน contribution ของลักษณะต่าง ๆ ของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อความผันผวนของผลผลิตต่อไร่ของพืชเศรษฐกิจในระยะยาวในระดับจังหวัดของประเทศไทย ได้แก่ ข้าวหอมมะลิ ข้าวเจ้า ข้าวเหนียว มันสำปะหลัง อ้อย ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ยางพารา และทุเรียน โดยใช้วิธี Shapley LMG decomposition ผลการวิเคราะห์ในรูปที่ 6 แสดงให้เห็นว่า ลักษณะต่าง ๆ ของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสามารถอธิบายความแปรปรวนของผลผลิตต่อไร่ของพืชเศรษฐกิจในระยะยาวได้ถึงร้อยละ 50
ข้อค้นพบที่น่าสนใจคือ ทั้ง anticipated change และ idiosyncratic shocks ล้วนมีบทบาทสำคัญในการอธิบายความแปรปรวนของผลผลิตต่อไร่ของทุกพืช ขณะที่ covariate shocks มี contribution ที่น้อยกว่าอย่างมีนัยสำคัญในเกือบทุกพืช3 ทั้งนี้ ก็มีความแตกต่างกันไปในแต่ละชนิดพืช ซึ่งอาจสะท้อนความแตกต่างเชิงพื้นที่ของการผลิต
รูปที่ 7 แสดง contribution ของปัจจัยด้านสภาพภูมิอากาศต่อความแปรปรวนของผลผลิตต่อไร่ของพืชเศรษฐกิจในระยะยาวในระดับภูมิภาค พบว่า ผลผลิตต่อไร่ของข้าวหอมมะลิ ข้าวเจ้า และยางพาราในภาคใต้ได้รับอิทธิพลจากปัจจัยด้านสภาพภูมิอากาศโดยรวมค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่น ในทางตรงกันข้าม ผลผลิตต่อไร่ของพืชเศรษฐกิจในภาคตะวันออกเฉียงเหนือได้รับอิทธิพลจากปัจจัยด้านสภาพภูมิอากาศค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่น ยกเว้นทุเรียนที่ยังคงมีความอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศในระดับสูง
ความอ่อนไหวของผลผลิตต่อไร่ของพืชเศรษฐกิจในหลายภูมิภาคของไทย ทั้งต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่สามารถคาดการณ์ได้และที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ อาจสะท้อนให้เห็นว่าภาคเกษตรของไทยยังขาดการปรับตัวที่มีประสิทธิภาพต่อการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว
รูปที่ 8 แสดง contribution ของลักษณะต่าง ๆ ของสภาพภูมิอากาศต่อพฤติกรรมการชำระหนี้ของพอร์ตสินเชื่อเกษตรในระดับจังหวัด โดยพิจารณาในสามมิติ ได้แก่ สัดส่วนลูกหนี้ที่ชำระเงินต้น สัดส่วนลูกหนี้ที่เป็นหนี้เสีย และสัดส่วนลูกหนี้ที่เพิ่งกลายเป็นหนี้เสีย จากข้อมูลสินเชื่อของบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด
ผลการวิเคราะห์ชี้ให้เห็นว่า ลักษณะการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมีบทบาทสำคัญในการอธิบายพฤติกรรมการชำระหนี้ของเกษตรกร โดยเฉพาะ covariate shocks ซึ่งสามารถอธิบายความแปรปรวนของสัดส่วนเกษตรกรที่สามารถชำระเงินต้นได้ถึงประมาณร้อยละ 40 และยังมีบทบาทในการอธิบายสัดส่วนของหนี้เสีย แม้ในระดับที่ไม่สูงมากนัก โดยมีส่วนของ trend เข้ามามีบทบาทร่วมเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ ผลการศึกษายังสะท้อนลักษณะเฉพาะของการเกิดหนี้เสีย ซึ่งอาจได้รับอิทธิพลจากมาตรการเชิงป้องกันหรือมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ของสถาบันการเงิน ประกอบกับเมื่อเกิดภัยพิบัติขนาดใหญ่มักมีมาตรการพักชำระหนี้หรือมาตรการช่วยเหลือออกมาเพิ่มเติม ทำให้สัดส่วนและความผันผวนของหนี้เสียไม่สะท้อนผลกระทบจากสภาพภูมิอากาศได้อย่างชัดเจนนัก แตกต่างจากการชำระเงินต้น ที่ไม่ได้มีมาตรการมาดูแล จึงพบว่าในปัจจุบัน มีลูกหนี้เพียงไม่เกินร้อยละ 50 ที่สามารถชำระเงินต้นได้
ข้อค้นพบดังกล่าวสอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงของครัวเรือนเกษตรกรไทย กล่าวคือ แม้ความผันผวนของผลผลิตต่อไร่จะได้รับอิทธิพลจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในลักษณะที่สามารถคาดการณ์ได้มากกว่าการเปลี่ยนแปลงที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ แต่ครัวเรือนเกษตรกรยังมีช่องทางในการปรับตัวและกระจายความเสี่ยงเพื่อรองรับผลกระทบดังกล่าวในระดับหนึ่ง ทั้งจากกลไกช่วยเหลือกันภายในชุมชนและแหล่งการเงินนอกระบบ (Townsend, 1995; Paweenawat & Townsend, 2012) อย่างไรก็ตาม ครัวเรือนเกษตรกรยังมีข้อจำกัดในการรับมือกับความเสี่ยงที่เกิดขึ้นพร้อมกันในวงกว้าง ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อความสามารถในการชำระหนี้ โดยเฉพาะในกรณีการเกิด covariate shocks ที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรือแบ่งปันได้ในระดับครัวเรือนหรือชุมชน
อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาบทบาทของสภาพภูมิอากาศต่อการชำระหนี้ พบว่ามีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนในแต่ละภูมิภาค โดยรูปที่ 9 แสดงให้เห็นว่า ในหลายภูมิภาค ความแปรปรวนของการชำระหนี้ได้รับอิทธิพลหลักจาก covariate shocks และ trends ขณะที่ในภาคใต้ ความแปรปรวนดังกล่าวถูกอธิบายได้จาก trends และ idiosyncratic shocks
งานวิจัยนี้ฉายภาพลักษณะการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในอนาคตของประเทศไทย โดยอาศัยข้อมูลสภาพอากาศทั้งในอดีตและการคาดการณ์ในอนาคตรวมระยะเวลากว่า 80 ปี ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่า ประเทศไทยจะเผชิญทั้งการเปลี่ยนแปลงที่สามารถคาดการณ์ได้ล่วงหน้า ได้แก่ ระดับและแนวโน้มของอุณหภูมิที่สูงขึ้น รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของรูปแบบฤดูกาล ขณะเดียวกันยังต้องเผชิญความเสี่ยงที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ล่วงหน้า โดยเฉพาะความเสี่ยงที่เกิดขึ้นพร้อมกันในวงกว้าง ซึ่งมีแนวโน้มทวีความรุนแรงและนำไปสู่เหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วที่ถี่และรุนแรงขึ้นทั่วประเทศ
ในลักษณะเดียวกับการศึกษานี้ในภาคเกษตรและระบบการเงินของเกษตรกร กรอบแนวคิดนี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้เพื่อวิเคราะห์ผลกระทบของสภาพอากาศต่อผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจที่สำคัญในภาคเศรษฐกิจอื่น ๆ ได้เช่นเดียวกัน เพื่อสะท้อนให้เห็นมิติของความเสี่ยงด้านภูมิอากาศที่ระบบเศรษฐกิจในปัจจุบันยังไม่สามารถรับมือได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเอื้อให้สามารถจัดทำแผนที่ระดับการเผชิญความเสี่ยงและความเปราะบางจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในระดับประเทศ ภูมิภาค และภาคเศรษฐกิจได้อย่างเป็นระบบ ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญสำหรับการออกแบบนโยบายที่มุ่งเป้าและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ในบริบทของภาคเกษตรไทย ผลการศึกษาพบว่า ลักษณะการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทั้งที่สามารถคาดการณ์ได้ล่วงหน้า ได้แก่ ระดับ แนวโน้ม และรูปแบบฤดูกาล รวมถึงลักษณะที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ ล้วนมีบทบาทสำคัญในการอธิบายความแปรปรวนของผลผลิตต่อไร่ของพืชเศรษฐกิจไทย ขณะที่พฤติกรรมการชำระหนี้ในพอร์ตสินเชื่อเกษตรได้รับอิทธิพลหลักจากความเสี่ยงที่เกิดขึ้นพร้อมกันในวงกว้าง และแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงในระยะยาวที่สามารถคาดการณ์ได้ ซึ่งมีนัยสำคัญต่อเสถียรภาพของสถาบันการเงินในอนาคต ความแตกต่างดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า ครัวเรือนเกษตรกรสามารถปรับตัวและบริหารจัดการความเสี่ยงของรายได้ที่สามารถคาดการณ์ได้ รวมถึงความเสี่ยงเฉพาะพื้นที่ได้ในระดับหนึ่ง ผ่านกลไกความช่วยเหลือภายในชุมชนและระบบเศรษฐกิจการเงินที่มีอยู่ อย่างไรก็ดี ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นพร้อมกันในวงกว้างยังคงเป็นข้อจำกัดสำคัญที่ส่งผลโดยตรงต่อความสามารถในการชำระหนี้ของเกษตรกรและเสถียรภาพของระบบการเงิน
ข้อค้นพบเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า นโยบายยกระดับศักยภาพและโครงสร้างเศรษฐกิจ นโยบายระบบการเงิน และนโยบายการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไม่สามารถดำเนินการแยกขาดจากกันได้ แต่จำเป็นต้องออกแบบและขับเคลื่อนไปพร้อมกัน
การปรับโครงสร้างภาคเกษตรของไทยควรมุ่งรับมือกับลักษณะการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่สามารถคาดการณ์ได้ล่วงหน้า ผ่านการปรับตัวเชิงรุก เช่น การพัฒนาและส่งเสริมพืชที่ทนทานต่อสภาพอากาศ การใช้เทคโนโลยีทางการเกษตรเพื่อลดผลกระทบจากสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนไป การปรับรูปแบบการผลิตให้สอดคล้องกับฤดูกาลในอนาคต การใช้ข้อมูลพยากรณ์อากาศเพื่อสนับสนุนการวางแผน และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น โดยเฉพาะระบบน้ำ เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของระดับ แนวโน้ม และฤดูกาลที่สามารถคาดการณ์ได้ พร้อมกันนี้ควรเสริมสร้างความเข้มแข็งของสถาบันเกษตรกรเพื่อช่วยกระจายความเสี่ยงด้านการผลิตและตลาดในระดับท้องถิ่น และเพิ่มศักยภาพในการรับมือกับความเสี่ยงเฉพาะพื้นที่
ขณะเดียวกัน การออกแบบระบบการเงินสำหรับภาคเกษตรอย่างยั่งยืนจำเป็นต้องผสานมาตรการปรับตัวในระดับครัวเรือนและชุมชนเข้ากับกลไกการบริหารจัดการความเสี่ยงที่เกิดขึ้นพร้อมกันในวงกว้างอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การพัฒนาประกันภัยพืชผลและการประกันภัยสินเชื่อเกษตร เพื่อทดแทนหรือลดการพึ่งพามาตรการช่วยเหลือระยะสั้นของรัฐ อาทิ การพักชำระหนี้ ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาหนี้เรื้อรังในระยะยาว ทั้งนี้ เพื่อเสริมสร้างเสถียรภาพให้กับทั้งครัวเรือนเกษตรกรและระบบการเงินโดยรวม
เอกสารอ้างอิง
รายงานสังเคราะห์การประเมินสถานการณ์ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ฉบับที่ 6 ของคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC AR6) ระบุว่า อุณหภูมิเฉลี่ยผิวโลกเพิ่มขึ้นประมาณ 1.1 องศาเซลเซียส เมื่อเทียบกับช่วงก่อนยุคอุตสาหกรรมและคาดว่า อุณหภูมิเฉลี่ยพื้นผิวโลกจะเพิ่มขึ้นเกิน 1.5–2 องศาเซลเซียสภายในศตวรรษที่ 21 ภายใต้แนวโน้มการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปัจจุบัน การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยดังกล่าวส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในรูปแบบและความแปรปรวนของระบบภูมิอากาศทั่วโลก และมีการคาดการณ์ว่าเหตุการณ์ฝนตกหนักจะเกิดบ่อยครั้งขึ้นและมีความรุนแรงมากขึ้น อีกทั้งน้ำฝนมีการกระจายตัวที่ไม่สม่ำเสมอและความเสี่ยงของอุทกภัยและภัยแล้งเพิ่มสูงขึ้น↩
รายละเอียดวิธีที่ใช้ในการแยกลักษณะการเปลี่ยนแปลงของตัวแปรด้านภูมิอากาศ () มีดังนี้
- เริ่มต้นจากข้อมูลค่าเฉลี่ยรายเดือนของอุณหภูมิ น้ำฝน และดัชนี SPI-3 ในอดีตครอบคลุมปี 1990–2024 ที่ระดับอำเภอ
- สร้างแบบจำลองเชิงเส้น ซึ่งทำให้ได้ค่า baseline () และแนวโน้มระยะยาว (time trend) () ของอุณหภูมิ น้ำฝน และดัชนี SPI-3 รายอำเภอ
- คำนวณความเป็นฤดูกาล (seasonality) โดยนำข้อมูลตัวแปรด้านภูมิอากาศระดับอำเภอในแต่ละเดือน m ลบกับค่า baseline และแนวโน้มระยะยาวที่คำนวณได้จากขั้นตอนที่ (2)
- นำค่า residual ที่ได้หรือ total shocks มาแยกองค์ประกอบออกเป็น covariate shocks และ idiosyncratic shocks โดย covariate shocks ในบทความนี้คำนวณในระดับประเทศ โดยคำนวณจาก และคำนวณ idiosyncratic shock โดยคำนวณจาก
- ใช้วิธีเดียวกันนี้กับตัวแปรอากาศในอนาคต (2025–2070)
ทั้งนี้ อาจเกิดจากข้อจำกัดของข้อมูลผลผลิตต่อไร่ในระยะยาวระดับจังหวัดที่อาจทำให้ผลกระทบจากเหตุการณ์สุดขั้วบางส่วนถูกเฉลี่ยออกไป↩












