ผลกระทบทางเศรษฐกิจจากฝุ่น PM2.5

ฝุ่น PM2.5 ในประเทศไทยมักจะสูงเกินเกณฑ์มาตรฐานโดยเฉพาะในช่วงปลายปีถึงต้นปี รูปที่ 1 แสดงปริมาณฝุ่น PM2.5 เฉลี่ย 24 ชั่วโมง ในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา ตั้งแต่ช่วงวันที่ 1 มกราคม 2567 จนถึงวันที่ 23 มกราคม 25681 และค่ามาตรฐาน2 ที่ระดับ 37.5 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร (μ/m3) ซึ่งพบว่าปริมาณฝุ่น PM2.5 อยู่ในระดับที่สูงในช่วงต้นปี 2567 และกลับมาสูงอีกครั้งในช่วงปลายปี โดยเฉพาะตั้งแต่เดือนธันวาคมเป็นต้นมาต่อเนื่องมาถึงเดือนมกราคม 2568
สาเหตุที่ฝุ่น PM2.5 สูงในช่วงเวลาดังกล่าวส่วนหนึ่งมาจากปัจจัยทางอุตุนิยมวิทยาที่เกิดขึ้นในฤดูหนาว โดยมวลความกดอากาศสูงที่แผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทย ส่งผลให้ลมสงบ ฝุ่นละอองถ่ายเทได้ยาก นำมาซึ่งการสะสมของฝุ่นละอองในปริมาณที่สูงรวมถึงฝุ่น PM2.5 ด้วย
การแก้ปัญหา PM2.5 ให้ได้ผลจำเป็นต้องทำความเข้าใจเรื่องสาเหตุต่าง ๆ ที่สลับซับซ้อนโดยทั้งนี้ ฝุ่น PM2.5 เกิดจากหลายสาเหตุ ได้แก่ ภาวะอุณหภูมิผกผัน (temperature inversion) หรือการที่การระบายอากาศในเมืองอยู่ในอัตราต่ำกว่าปกติ ทำให้ชั้นอากาศเป็นฝาครอบกักอากาศที่ผิวพื้นไว้ ทำให้หมอกควันไม่เคลื่อนตัว สะสมอยู่ใกล้พื้น (รูปที่ 2) ปัญหาการจราจรโดยเฉพาะจากพาหนะที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซลที่มีกระบวนการเผาไหม้ไม่สมบูรณ์ ทำให้เกิดเขม่าและฝุ่นควันมาก การเผาเศษวัสดุทางการเกษตรในนาข้าว ไร่ข้าวโพด ไร่อ้อย รวมถึงการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิลในโรงงานอุตสาหกรรม
อย่างไรก็ดี ปัจจัยที่เป็นต้นตอของปัญหาฝุ่น PM2.5 มีความแตกต่างกันขึ้นอยู่กับพื้นที่ โดยในเขตเมืองใหญ่ โดยเฉพาะจังหวัดกรุงเทพมหานคร ต้นตอที่ทำให้เกิด PM2.5 มากที่สุดมาจากไอเสียจากรถยนต์ผนวกกับการจราจรที่ติดขัด โดยเฉพาะรถบรรทุกขนาดใหญ่ที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซลและมีมาตรฐานยูโรต่ำ (รูปที่ 3) ในขณะที่ ต้นตอของฝุ่น PM2.5 ในชนบท ส่วนใหญ่เกิดจากการเผาเศษวัสดุทางการเกษตรทั้งในที่โล่งและที่ปิด เช่น การเผาอ้อยก่อนตัด การเผาตอซังในไร่ข้าวโพด และนาข้าว เพราะเป็นวิธีที่ง่าย ประหยัดแรงงานและค่าใช้จ่ายสำหรับเกษตรกร
ที่ผ่านมา มีงานศึกษาหลายชิ้น3 ที่วิเคราะห์ผลกระทบของมลพิษทางอากาศในรูปแบบของต้นทุนสวัสดิการ (welfare costs) โดยใช้วิธีการศึกษาซึ่งใช้ใน Global Burden of Disease โดยงานศึกษาดังกล่าวพบว่ามลพิษทางอากาศก่อให้เกิดต้นทุนสวัสดิการทั่วโลกคิดเป็นมูลค่าหลายล้านล้านเหรียญสหรัฐหรือคิดเป็น 2.5–6% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมทั่วโลก
สำหรับงานศึกษาของ World Bank (2022) ศึกษาต้นทุนทางสุขภาพทั่วโลกที่เกิดจากฝุ่น PM2.5 โดยพบว่าผลลัพธ์ทางด้านสุขภาพที่สำคัญที่มีความเชื่อมโยงกับฝุ่น PM2.5 ได้แก่ โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง การติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนล่าง โรคหลอดเลือดสมอง โรคหัวใจขาดเลือด โรคเบาหวานชนิดที่ 2 ฯลฯ รูปที่ 4 แสดงจำนวนผู้ที่เสียชีวิตทั่วโลกจากปัญหาฝุ่น PM2.5 ในปี 2562 จากงานศึกษาของ World Bank (2022)
สำหรับกรณีประเทศไทย งานศึกษาของ World Bank (2022) รายงานว่าจำนวนผู้เสียชีวิตจากฝุ่น PM2.5 อยู่ที่ 57 คนต่อประชากร 100,000 คน และจำนวนปีสุขภาวะที่สูญเสียจากความบกพร่องสุขภาพ4 (YLDs) อยู่ที่ 171,033 YLDs ซึ่งทำให้มูลค่าความเสียหายต่อสุขภาพจากฝุ่น PM2.5 สำหรับประเทศไทยอยู่ที่ 26,260 ล้านเหรียญสหรัฐ
สำหรับงานศึกษาในประเทศไทย งานวิจัยของ Attavanich (2019) ซึ่งคำนวณมูลค่าต้นทุนความเสียหายทางเศรษฐศาสตร์จากมลพิษทางอากาศโดยใช้แนวคิด Subjective Well-being พบว่าฝุ่น PM2.5 สร้างมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐศาสตร์ต่อครัวเรือนไทย 2.173 ล้านล้านบาท ณ ปี 2562
สิ่งสำคัญที่ควรเร่งดำเนินการคือการแก้ปัญหาตามแหล่งกำเนิดของฝุ่น PM2.5 ซึ่งหลัก ๆ ประกอบด้วย การเผาไหม้เชื้อเพลิงในภาคยานยนต์และการขนส่ง การเผาในที่โล่งแจ้งภาคเกษตร และการเผาไหม้เชื้อเพลิงและกระบวนการผลิตในภาคอุตสาหกรรม ดังนี้
- ภาคยานยนต์และขนส่ง: ในระยะสั้นควรเคร่งครัดการตรวจจับควันดำ และการดัดแปลงเครื่องยนต์ในรถทุกชนิด ในระยะกลางและระยะยาว อาจเน้นการยกระดับมาตรฐานน้ำมันและมาตรฐานไอเสีย การจัดการกับรถยนต์เก่า การสนับสนุนให้ปรับเปลี่ยนไปใช้ยานยนต์ไฟฟ้าและระบบขนส่งสาธารณะ
- ภาคเกษตร: เพื่อลดการเผาในที่โล่งในภาคเกษตร ควรเพิ่มแรงจูงใจที่เหมาะสมให้กับเกษตรกรที่ไม่เผาผ่านการให้เงินอุดหนุนเนื่องจากการไม่เผามีต้นทุนในการจัดการแปลงมากกว่าการเผา ตลอดจนควรส่งเสริมให้เกษตรกรนำเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรมาใช้ประโยชน์และใช้เครื่องจักรแทนการเผา
- ภาคอุตสาหกรรม: ควรเคร่งครัดการตรวจสอบการปล่อยมลพิษจากโรงงานอุตสาหกรรมและควรสนับสนุนการปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิต เทคโนโลยี และเชื้อเพลิงที่สะอาด
เอกสารอ้างอิง
- ข้อมูล ณ วันที่ 24 มกราคม 2568↩
- หากปริมาณฝุ่น PM2.5 อยู่ในช่วง 37.6–75.0 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ถือว่าอยู่ในระดับที่เริ่มมีผลต่อสุขภาพ และหากปริมาณฝุ่น PM2.5 สูงกว่าระดับ 75.1 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ถือว่ามีผลต่อสุขภาพ↩
- ตัวอย่างงานศึกษาที่วิเคราะห์ต้นทุนสวัสดิการจากมลพิษทางอากาศทั่วโลก เช่น Larsen (2014) World Bank and IHME (2016) OECD (2016) Landrigan et al. (2018) World Bank (2020) เป็นต้น↩
- YLDs เป็นค่าที่วัดจำนวนปีที่สูญเสียไปเพราะโรคหรือความพิการ กล่าวคือ จำนวนปีที่เรายังมีชีวิตอยู่โดยที่เจ็บป่วยจากโรคที่เกี่ยวข้องกับฝุ่น PM2.5↩