Research
Discussion Paper
PIERspectives
aBRIDGEd
PIER Blog
Events
Conferences
Research Workshops
Policy Forums
Seminars
Exchanges
Research Briefs
Community
PIER Research Network
Visiting Fellows
Funding and Grants
About Us
Our Organization
Announcements
PIER Board
Staff
Work with Us
Contact Us
TH
EN
Research
Research
Discussion Paper
PIERspectives
aBRIDGEd
PIER Blog
Not Over the Hill: Exploring the Digital Divide among Vulnerable Older Adults in Thailand
Discussion Paper ล่าสุด
Not Over the Hill: Exploring the Digital Divide among Vulnerable Older Adults in Thailand
ใครคือผู้กำหนดทิศทางค่าจ้างของแรงงานไทย: ภาครัฐ หรือภาคเอกชน?
aBRIDGEd ล่าสุด
ใครคือผู้กำหนดทิศทางค่าจ้างของแรงงานไทย: ภาครัฐ หรือภาคเอกชน?
Events
Events
Conferences
Research Workshops
Policy Forums
Seminars
Exchanges
Research Briefs
International Policy Forum on Climate Finance
งานประชุมเชิงนโยบายล่าสุด
International Policy Forum on Climate Finance
Joint NSD-PIER Applied Microeconomics Research Workshop
งานประชุมเชิงปฏิบัติการล่าสุด
Joint NSD-PIER Applied Microeconomics Research Workshop
สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์
สถาบันวิจัยเศรษฐกิจ
ป๋วย อึ๊งภากรณ์
Puey Ungphakorn Institute for Economic Research
Community
Community
PIER Research Network
Visiting Fellows
Funding and Grants
PIER Research Network
PIER Research Network
Funding & Grants
Funding & Grants
About Us
About Us
Our Organization
Announcements
PIER Board
Staff
Work with Us
Contact Us
Staff
Staff
Call for Papers: PIER Research Workshop 2025
ประกาศล่าสุด
Call for Papers: PIER Research Workshop 2025
Policy Forumsforums
QR code
Year
2025
2022
2021
2020
...
/static/84bebba87c70bcbe7b69f6427e05ee6b/e9a79/cover.png
23 กรกฎาคม 2563
20201595462400000
Industry Transformation Series

อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน

ห้องประชุมสมานสโมสร อาคาร 2 ชั้น 2 ธนาคารแห่งประเทศไทย
บทสรุปผู้บริหาร
  • วิกฤตโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนอย่างรุนแรง ผู้ประกอบการทุกขนาดในอุตสาหกรรมยานยนต์ได้รับผลกระทบจากการหดตัวของอุปสงค์ต่อยานยนต์ที่หายไปกว่าครึ่งหนึ่ง อย่างไรก็ดี ในเดือนกรกฎาคม 2563 เริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวชัดเจนขึ้นจากการผ่อนคลายมาตรการ Lockdown ในหลายประเทศรวมทั้งไทย

  • ที่ผ่านมาอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนโดยรวม ได้รับความช่วยเหลือจากนโยบายและมาตรการของภาครัฐ ผลการสำรวจพบว่า ผู้ประกอบการยานยนต์และชิ้นส่วนมีความพึงพอใจในนโยบายด้านภาษี โดยเฉพาะการขยายเวลาชำระภาษีสรรพสามิตและนิติบุคคล ขณะเดียวกันอยากให้ปรับปรุงมาตรการ soft loan ที่ให้แก่ SMEs เพื่อให้บริษัทที่มีขนาดใหญ่ขึ้นสามารถเข้าถึง soft loan ได้ด้วย

  • มองไปข้างหน้า ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยจำเป็นต้องปรับตัวเพื่อเตรียมรองรับกระแสเทคโนโลยียานยนต์ชนิดใหม่ เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า โดยพยายามสร้าง know-how ใหม่ ๆ แต่รัฐบาลควรหลีกเลี่ยงการใช้นโยบายอุตสาหกรรม (Industrial Policy) เพื่อที่จะเลือกเฉพาะผู้ชนะ (picking winners) หรือเลือกสนับสนุนเทคโนโลยีใดเทคโนโลยีหนึ่งเท่านั้น เพราะยังมีความไม่แน่นอนสูงว่าเทคโนโลยีใดจะได้รับความนิยมในอนาคต

ลักษณะสำคัญของห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนไทย

  • อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนแบ่งบริษัทผู้ผลิตออกเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่

    1. บริษัทประกอบยานยนต์จากชิ้นส่วนสำเร็จรูป (assembly)
    2. บริษัทผลิตชิ้นส่วนของยานยนต์ (tier-1)
    3. บริษัทที่ประกอบชิ้นส่วนยานยนต์จากวัตถุดิบ (tier-2) และ
    4. บริษัทที่ผลิตวัตถุดิบ อาทิ ปิโตรเคมี พลาสติก เหล็ก และยาง เพื่อประกอบเป็นชิ้นส่วนของยานยนต์ (tier-3)

    โดยบริษัท tier-1 และ tier-2 อาจจะเป็น Original Equipment Manufacturer (OEM) หรือ Replacement Equipment Manufacturer (REM) หรือทั้งสองอย่าง

  • อุตสาหกรรมชิ้นส่วนพึ่งพาอุตสาหกรรมยานยนต์เป็นหลัก โดยกลุ่มที่ 1 และ 2 มีสัดส่วนการถือหุ้นโดยบริษัทต่างประเทศค่อนข้างสูง (ร้อยละ 96 และ 68 ของมูลค่าหุ้น ตามลำดับ)

ภาวะและแนวโน้มของอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนไทยในช่วงวิกฤตโควิด-19

  • วิกฤตโควิด-19 ส่งผลกระทบทางลบต่อผู้ประกอบการทุกกลุ่ม ทุกขนาดและสัญชาติ ในทุกระดับความสามารถ กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยได้ปรับลดประมาณการยอดขายยานยนต์ในประเทศและการส่งออกลงจากเดิมเกือบครึ่งหนึ่ง (เดิมประมาณการยอดขายในประเทศและยอดส่งออก อยู่ที่อย่างละ 1 ล้านคันภายในปี 2563) ส่วนหนึ่งเป็นเพราะยานยนต์เป็นสินค้าประเภทคงทน (durable goods) ที่มีค่าความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อรายได้สูง ผู้บริโภคจึงเลือกที่จะลดค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับยานยนต์ลงมากกว่าสินค้าประเภทอื่น ๆ

  • อุตสาหกรรมยานยนต์ประสบปัญหาอุปทานส่วนเกิน (excess capacity) มาเป็นเวลานานก่อนเกิดวิกฤตโควิด-19 และเมื่อเกิดวิกฤต จึงซ้ำเติมให้ปัญหาทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น สะท้อนจากอัตราการใช้กำลังการผลิต (capacity utilization) ของอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ลดลงเหลือไม่ถึงร้อยละ 40 ขณะที่อุตสาหกรรมชิ้นส่วนเหลือเพียงร้อยละ 50–60 เท่านั้น

  • อย่างไรก็ดี เริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวภายหลังการผ่อนคลายมาตรการ lockdown ในหลายประเทศรวมทั้งไทย ในเดือน ก.ค. 2563 พบว่าเริ่มมียอดคำสั่งซื้อชิ้นส่วนยานยนต์กลับมาดีขึ้นจากหลายภูมิภาค อาทิ ตะวันออกกลางและอเมริกาใต้

  • มองไปข้างหน้า นอกจากความไม่แน่นอนของวิกฤตโควิด-19 ยังมีปัจจัยท้าทายอื่น ๆ สำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน อาทิ การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีเป็นยานยนต์ไฟฟ้า (Electronic Vehicle: EV) ดังนั้น การปรับตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์ จะมองแค่ระยะสั้นเพื่อความอยู่รอดจากวิกฤตโควิด-19 อย่างเดียวไม่ได้ จะต้องมองไกลไปสู่เทคโนโลยีที่กำลังเปลี่ยนแปลงด้วย

ปัญหา อุปสรรค และการปรับตัวของธุรกิจในอุตสาหกรรมเพื่ออยู่รอดจากวิกฤตโควิด-19

  • ผู้ผลิตชิ้นส่วนทุก tier มีแนวโน้มขาดสภาพคล่อง โดยผลการสำรวจของคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์พบว่า บริษัทผลิตชิ้นส่วนในตลาดหลักทรัพย์กว่า 100 บริษัทกำลังประสบปัญหาสภาพคล่อง

  • สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยให้ความเห็นว่า บริษัทผลิตยานยนต์และชิ้นส่วนส่วนใหญ่ไม่ได้รับความช่วยเหลือทางการเงินจากบริษัทแม่ เนื่องจากบริษัทแม่ก็ได้รับผลกระทบจากวิกฤตโควิด-19 เช่นเดียวกัน ซึ่งแตกต่างจากช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง

  • นอกจากนี้ บริษัทผลิตยานยนต์และชิ้นส่วนยังประสบปัญหาสำคัญในการหมุนเวียนแรงงานทักษะสูง โดยเฉพาะในบริษัทยานยนต์ต่างชาติ เนื่องจากผู้บริหารและพนักงานที่เป็นชาวต่างชาติคนใหม่ อาจจะไม่สามารถเดินทางเข้าประเทศไทยได้ง่าย เพราะจำนวนเที่ยวบินที่มีจำกัด และมาตรการกักตัวของรัฐบาลเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19

  • ผู้ประกอบการพยายามบริหารจัดการโดยลดค่าใช้จ่ายด้วยวิธีการต่าง ๆ อาทิ การปลดลูกจ้างที่จ้างแบบสัญญาจ้าง (subcontract) หรือจ้างให้ออก (early retire) เนื่องจากวิกฤตโควิด-19 ส่งผลให้จำนวนการผลิตยานยนต์ลดลง และทำให้ค่าใช้จ่ายต่อหน่วยการผลิตสูงขึ้น

  • ที่ผ่านมา ภาคธุรกิจยานยนต์และชิ้นส่วนได้รับความช่วยเหลือบางส่วนจากรัฐบาล ได้แก่

    1. มาตรการลดภาษีนิติบุคคล และภาษีส่วนบุคคลเมื่อซื้อยานยนต์
    2. มาตรการขยายเวลาการชำระภาษีสรรพสามิต และการชำระภาษีนิติบุคคล
    3. การให้เงินสนับสนุนในการนำยานยนต์อายุเกินกว่า 20 ปี มาทำเป็นเศษเหล็ก (scrap) และซื้อรถใหม่
    4. มาตรการ soft loan แก่ SMEs
    5. การต่อรองกับประเทศญี่ปุ่นเรื่องการจัดสรรโควตาการผลิตของไทย
  • ทั้งนี้ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยชี้แจงว่า มีความพึงพอใจต่อนโยบายด้านภาษี โดยเฉพาะมาตรการขยายเวลาชำระภาษีสรรพสามิตและนิติบุคคล และเสนอให้ปรบปรุง มาตรการปล่อยสินเชื่อ soft loan ให้แก่ SMEs ให้ครอบคลุมบริษัทขนาดใหญ่ขึ้น เนื่องจากบริษัทเหล่านี้ก็เป็นข้อต่อที่สำคัญในห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมยานยนต์ เพราะถ้าบริษัทเหล่านี้เลิกกิจการไป ย่อมจะส่งผลกระทบต่อบริษัทขนาดเล็กในห่วงโซ่อุปทานอย่างแน่นอน

ข้อเสนอแนะจากการเสวนาต่อภาครัฐ

  • สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเสนอแนะว่า นโยบายและมาตรการของรัฐที่มีประสิทธิภาพ และจะช่วยบรรเทาวิกฤตโควิด-19 ได้ ต้องมีคุณลักษณะดังต่อไปนี้

    1. การช่วยเหลือจะต้องดำเนินการอย่างรวดเร็วและตรงจุด
    2. นโยบายจะต้องมีจุดยืนที่ชัดเจน ว่าจะช่วยอะไร ไม่ช่วยอะไร และระยะเวลาการช่วยเหลือจะยาวนานเท่าใด
    3. นโยบายความช่วยเหลือควรแปรผันตามขนาดของผลกระทบ โดยผู้ที่ได้รับผลกระทบมากก็ควรได้รับความช่วยเหลือมากตาม และ
    4. มาตรการที่ออกมาจะต้องไม่ไปอุ้มผู้ประกอบการที่ไม่มีความสามารถอยู่เดิม (creative destruction)
  • ผู้ประกอบการต้องการให้ภาครัฐช่วยเหลือเพิ่มเติมมากที่สุดในด้านลดรายจ่ายและเพิ่มสภาพคล่อง อาทิ

    1. ขยายเวลาการชำระหรือปรับลดภาษีมูลค่าเพิ่มและสรรพสามิต รวมทั้งเร่งรัดการขอคืนภาษี เพื่อเพิ่มกระแสเงินสดในการประกอบธุรกิจ
    2. ขยายเวลาพักชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยที่มีอยู่ปัจจุบัน เพื่อลดภาระทางการเงิน
    3. แบ่งเบาภาระการจ่ายเงินค่าจ้างพนักงานกรณีผู้ประกอบการหยุดผลิตแต่ไม่เลิกจ้างพนักงาน และ
    4. จัดโปรแกรมเงินกู้ให้ผู้ผลิตยานยนต์และชิ้นส่วนรายกลางและรายใหญ่ เนื่องจากผู้ผลิตกลุ่มนี้มีห่วงโซ่การผลิตที่เกี่ยวเนื่องกับบริษัทขนาดเล็กอีกหลายบริษัท จึงไม่ควรเน้นการช่วยเหลือเฉพาะผู้ผลิตรายเล็กอย่างเดียว
  • นอกจากนี้ การผ่อนปรนกฎระเบียบหรือการอำนวยความสะดวกของภาครัฐเป็นอีกหนึ่งมาตรการที่จะช่วยให้การผลิตของอุตสาหกรรมสามารถดำเนินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น

    1. ลดขั้นตอนการขออนุญาตเข้ามาทำงานในประเทศ (certificate of entry) ให้ผู้บริหารหรือช่างเทคนิคต่างชาติที่จำเป็นต้องเข้ามาทำงานในประเทศไทย
    2. ชะลอการบังคับใช้กฎระเบียบของภาครัฐที่เกินจำเป็นและสร้างต้นทุนให้กับผู้ประกอบการ อาทิ มาตรฐานยานยนต์ (EURO5) และ
    3. ส่งเสริมระบบ e-government สำหรับการดำเนินการด้านต่าง ๆ เพื่อเพิ่มความโปร่งใสในกระบวนการติดต่อกับราชการ และเพิ่มประสิทธิภาพมากขึ้น
  • เทคโนโลยียานยนต์สมัยใหม่ไม่ได้มียานยนต์ไฟฟ้า (EV) เพียงอย่างเดียว แต่ยังมีอีก 3 รูปแบบ คือ

    1. Connected
    2. Autonomous และ
    3. Share & Services

    ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่มีความสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะเมื่อหลาย ๆ ประเทศเริ่มที่จะเลิกใช้เทคโนโลยีการเผาไหม้แบบเก่า (Pure Internal Combustion Engine: ICE) ทั้งนี้ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยชี้แจงว่า หากประเทศไทยตัดสินใจที่จะเลิกใช้ ICE เช่นเดียวกันกับประเทศอื่น ๆ อุตสาหกรรมชิ้นส่วนภายในประเทศจะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง ซึ่งทางออกของอุตสาหกรรมชิ้นส่วนอาจจะต้องเปลี่ยนจาก OEM ไปเป็น REM และอาจจะเน้นการส่งออก Replacement Equipment เหล่านั้นแทน การที่จะทำแบบนี้ได้ ต้องอาศัยการออกแบบชิ้นส่วนที่เหมาะสม และคิดค้นนวัตกรรมใหม่ ๆ ทั้งนี้ การสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านไปสู่เทคโนโลยียานยนต์สมัยใหม่ควรทำแบบค่อยเป็นค่อยไป และเน้นการพยุงห่วงโซ่อุปทานให้อยู่รอดอย่างเข้มแข็งก่อน

  • ประเทศไทยจะต้องพยายามสร้าง know-how เกี่ยวกับเทคโนโลยีเหล่านี้ แม้การสร้าง know-how ไม่ใช่เรื่องง่าย โดยตัวอย่างนโยบายที่สามารถทำได้ เช่น สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (Thailand Board of Investment: BOI) อาจจะกำหนดว่าบริษัทที่เข้ามาดำเนินการในประเทศไทยจะได้รับสิทธิประโยชน์ก็ต่อเมื่อทำการผลิตด้วยวัตถุดิบภายในประเทศ (local content) แต่อาจจะไม่กำหนดเฉพาะเจาะจงว่าวัตถุดิบดังกล่าวคืออะไร (อย่างไรก็ตาม หาก local content นั้น เป็นสิ่งที่คนไทยเชี่ยวชาญในการผลิตอยู่แล้ว นโยบายนี้อาจไม่สามารถสร้าง know-how ใหม่ ๆ ได้)

  • อย่างไรก็ตาม รัฐบาลไม่ควรใช้นโยบายอุตสาหกรรม (Industrial Policy) เพื่อที่จะเลือกเฉพาะผู้ชนะ (picking winners) หรือเลือกสนับสนุนเทคโนโลยีใดเทคโนโลยีหนึ่งเท่านั้น การใช้นโยบายอุตสาหกรรมอาจจะสร้างผลเสียมากกว่าผลดี เนื่องจากไม่อาจคาดเดาได้ว่า เทคโนโลยียานยนต์แบบใดจะได้รับความนิยมในอนาคต

ข้อคิดเห็นที่ปรากฏในการประชุมนี้ไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับความเห็นของสถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ หรือธนาคารแห่งประเทศไทย

สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์

273 ถนนสามเสน แขวงวัดสามพระยา เขตพระนคร กรุงเทพฯ 10200

โทรศัพท์: 0-2283-6066

Email: pier@bot.or.th

เงื่อนไขการให้บริการ | นโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2568 สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์

เอกสารเผยแพร่ทุกชิ้นสงวนสิทธิ์ภายใต้สัญญาอนุญาต Creative Commons Attribution-NonCommercial-ShareAlike 3.0 Unported license

Creative Commons Attribution NonCommercial ShareAlike

รับจดหมายข่าว PIER

Facebook
YouTube
Email