อุตสาหกรรมสปาและนวดแผนไทย
บทสรุปผู้บริหาร
วิกฤติโควิด-19 ส่งผลกระทบอย่างหนักต่ออุตสาหกรรมสปาและนวดแผนไทย เนื่องจากเป็นอุตสาหกรรมที่พึ่งพิงรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นหลักเช่นเดียวกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ทั้งนี้ แม้ภายหลัง รัฐบาลได้ผ่อนคลายการควบคุมการแพร่ระบาด แต่กิจการยังคงไม่กลับมาฟื้นตัวเป็นปกติ จากปริมาณนักท่องเที่ยวต่างชาติที่หายไปและกำลังซื้อของผู้บริโภคในประเทศที่ลดลง ผู้ประกอบการทั้งรายเล็กและรายใหญ่จำเป็นต้องปรับตัว อาทิ ปิดกิจการชั่วคราวและลดจำนวนสาขา รวมถึงปรับเปลี่ยนรูปแบบบริการ เช่น ให้บริการนวดตามบ้าน ขยายประเภทการให้บริการ นอกจากนี้ พฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงของผู้บริโภคในเรื่องความสะอาดและการเว้นระยะห่างทางสังคม ทำให้ธุรกิจต้องเร่งสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้บริโภคถึงความปลอดภัยในการใช้บริการ
เนื่องจากอุตสาหกรรม health & wellness เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมายตามยุทธศาสตร์ของรัฐในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจเพื่ออนาคต ดังนั้น ภาครัฐควรเร่งให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประกอบการให้ทั่วถึงมากขึ้น อาทิ การกระจายความช่วยเหลือในการเข้าถึงสินเชื่อ พร้อมกับเร่งยกระดับศักยภาพของอุตสาหกรรมในระยะยาว อาทิ
- การสร้างความตระหนักรู้และทัศนคติที่ดีเกี่ยวกับการใช้บริการสปาและนวดแผนไทยให้เป็นที่แพร่หลายยิ่งขึ้น ด้วยการใช้ผลงานวิจัยไทยที่พิสูจน์ประโยชน์ของการใช้บริการเพื่อสุขภาพที่ดี ซึ่งจะช่วยกระตุ้นอุปสงค์ภายในประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงและยังไม่ได้ใช้บริการเป็นประจำ
- การสนับสนุนให้สปาและนวดแผนไทยได้รับความคุ้มครองภายใต้สิทธิสวัสดิการและระบบประกันสุขภาพ และสามารถเบิกค่าใช้จ่ายได้ เช่น การรักษา office syndrome
- การยกระดับคุณภาพของบริการและบุคลากร เชิดชูอัตลักษณ์ท้องถิ่น และยกระดับมาตรฐานทางสาธารณสุข
- การผ่อนคลายกฎระเบียบหรือลดขั้นตอนทางกฎหมายที่ไม่จำเป็น เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถขอใบอนุญาตได้สะดวกและรวดเร็วขึ้น รวมทั้งการลดช่องว่างทางกฎหมาย เพื่อลดจำนวนธุรกิจสีเทาแอบแฝง ซึ่งเติบโตอย่างรวดเร็วและส่งผลกระทบต่อธุรกิจที่ดำเนินการถูกต้องตามกฎหมาย
อุตสาหกรรมสปาและนวดแผนไทยแบ่งลักษณะกิจการออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่
- กิจการประเภทสปา เน้นการให้บริการบำบัดดูแลสุขภาพและความงามแบบองค์รวม โดยมีการนวดเป็นหนึ่งในบริการหลัก และ
- กิจการประเภทนวดเพื่อสุขภาพ เน้นเรื่องการบำบัดและผ่อนคลายกล้ามเนื้อด้วยวิธีการนวดเพียงอย่างเดียว
อุตสาหกรรมสปาและนวดแผนไทยมีความเกี่ยวข้องกับแรงงานไทยจำนวนมาก โดยคาดว่ามีการจ้างงานจากทั้งในและนอกระบบสูงถึงกว่า 6.5 แสนราย อีกทั้งยังเป็นอุตสาหกรรมที่พึ่งพาอุปสงค์จากนักท่องเที่ยวต่างประเทศเป็นหลัก ทั้งนี้ การให้บริการด้าน health & wellness ของไทยถือเป็นจุดแข็งที่มีชื่อเสียงและได้รับการยอมรับในต่างประเทศ
ปัจจุบันกิจการประเภทสปาและการนวดเพื่อสุขภาพในไทยอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) กระทรวงสาธารณสุข โดย สบส. มีหน้าที่หลักในการกำหนดมาตรฐานและควบคุมคุณภาพของสถานประกอบการ รวมทั้งพิจารณาออกใบอนุญาตแก่สถานประกอบการ ตลอดจนกำกับดูแลการขึ้นทะเบียนของบุคลากรผู้ให้บริการในสถานประกอบการ
วิกฤติโควิด-19 ส่งผลกระทบทางลบต่อผู้ประกอบการทุกขนาดในอุตสาหกรรม โดยผู้ประกอบการรายใหญ่ที่เน้นให้บริการลูกค้าชาวต่างชาติเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดจากมาตรการปิดเมือง ขณะที่ผู้ประกอบการรายเล็กที่มีสายป่านยาวพอ ยังสามารถประคับประคองธุรกิจอยู่ได้บ้าง เนื่องจากพึ่งพาลูกค้าในประเทศอยู่เป็นทุนเดิม
- แม้ภายหลัง รัฐบาลได้ผ่อนคลายการควบคุมการแพร่ระบาด ทำให้กิจการสามารถกลับมาเปิดบริการได้มากขึ้น แต่ยังคงไม่กลับมาเป็นปกติ ผู้ประกอบการรายใหญ่ที่พึ่งพาตลาดต่างชาติเป็นหลักปรับตัวใน 2 รูปแบบหลัก ได้แก่
- การปิดให้บริการเป็นการชั่วคราว และ
- การลดจำนวนสาขาย่อยเพื่อควบคุมต้นทุน จากอุปสงค์ในประเทศที่ไม่เพียงพอและไม่คุ้มค่ากับต้นทุน
- ขณะที่ผู้ประกอบการรายเล็กที่พึ่งพาตลาดในประเทศเป็นหลักมีความพยายามปรับตัวในรูปแบบที่หลากหลาย อาทิ การจ้างงานเพียงเดือนละ 15 วันเพื่อลดต้นทุน การลดราคา การไม่คิดค่าบริการของสถานประกอบการโดยให้ลูกค้าจ่ายทิปแก่พนักงานเพียงอย่างเดียว หรือการให้บริการนวดตามบ้านเพื่อตอบสนองความต้องการผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปในช่วงวิกฤติโควิด-19
- แม้ภายหลัง รัฐบาลได้ผ่อนคลายการควบคุมการแพร่ระบาด ทำให้กิจการสามารถกลับมาเปิดบริการได้มากขึ้น แต่ยังคงไม่กลับมาเป็นปกติ ผู้ประกอบการรายใหญ่ที่พึ่งพาตลาดต่างชาติเป็นหลักปรับตัวใน 2 รูปแบบหลัก ได้แก่
ในช่วงวิกฤติ พบการเคลื่อนย้ายแรงงานออกนอกอุตสาหกรรมสปาและนวดแผนไทยมาก โดยแรงงานเกือบครึ่งหนึ่งที่ได้รับผลกระทบจากการปิดตัวของสถานประกอบการได้เปลี่ยนไปประกอบอาชีพอื่น ๆ ทดแทน โดยเฉพาะแรงงานเพศชาย อาทิ พนักงานขนส่ง Grab พนักงานรักษาความปลอดภัย ขณะที่แรงงานบางส่วนได้ย้ายกลับไปภูมิลำเนาและทำการเกษตร อย่างไรก็ตาม ยังไม่สามารถคาดเดาได้ว่าแรงงานกลุ่มนี้จะย้ายกลับเข้ามายังอุตสาหกรรมเดิมหรือไม่หลังผ่านพ้นวิกฤติ
ที่ผ่านมา แรงงานในสถานประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ได้รับประโยชน์จากมาตรการชดเชยรายได้ 5,000 บาทเป็นระยะเวลา 3 เดือน ซึ่งมาตรการเยียวยาดังกล่าวสามารถช่วยบรรเทาความเดือดร้อนในช่วงที่สถานประกอบการต้องปิดกิจการชั่วคราวได้ในระดับหนึ่ง
ผู้ประกอบการได้รับประโยชน์จากความช่วยเหลือของภาครัฐและสถาบันการเงิน หากแต่ยังไม่ครอบคลุมเท่าที่ควร ทั้งนี้ สำหรับประเด็นการให้สภาพคล่อง พบว่า ภายใต้ความไม่แน่นอนสูงในช่วงวิกฤตโควิด-19 สถาบันการเงินส่วนใหญ่มักเลือกให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบการรายใหญ่มากกว่ารายย่อย เนื่องจากมีความน่าเชื่อถือสูงกว่า
พฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงในด้านความสะอาดและการเว้นระยะห่างทางสังคม ทำให้ธุรกิจต้องเร่งปรับตัวเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้บริโภค โดยเฉพาะการยกระดับความปลอดภัยในการใช้บริการให้สอดคล้องกับสถานการณ์ด้านสาธารณสุขในปัจจุบัน
ปัจจุบัน บุคลากรในอุตสาหกรรมยังขาดทักษะในการพัฒนาการให้บริการ และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวเนื่องกับการให้บริการอยู่มาก สถานประกอบการจึงอาจลงทุนพัฒนาบุคลากรให้เข้าอบรมหลักสูตรที่เกี่ยวข้องเพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันต่อไป พร้อมกันนี้ หน่วยงาน อาทิ วิทยาลัยต่าง ๆ สามารถพัฒนาหลักสูตรการอบรมด้านนวดแผนไทยและการบริหารจัดการสปาให้เหมาะสม โดยเน้นหลักสูตรการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่เป็นอัตลักษณ์ของชุมชน การให้บริการด้านความงามและการดูแลผู้สูงอายุ เพื่อสร้างจุดแข็งและเพิ่มมูลค่าให้แก่ธุรกิจ ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้ผู้ประกอบการสามารถขยายขอบเขตการให้บริการเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจได้ เช่น การนวดแก้อาการ การให้บริการอยู่ไฟกับผู้ใช้บริการทั่วไปนอกเหนือจากสตรีมีครรภ์ เป็นต้น
เนื่องจากอุตสาหกรรม health & wellness เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมายตามยุทธศาสตร์ของรัฐในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจเพื่ออนาคต ดังนั้น ภาครัฐควรมีแนวทางเพื่อประคับประคองอุตสาหกรรมสปาและนวดแผนไทยในระยะสั้น ควบคู่กับการยกระดับศักยภาพของอุตสาหกรรมในระยะยาว ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์ที่ต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง และอาศัยการบูรณาการกับหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นระบบ ดังต่อไปนี้
กระจายความช่วยเหลือเร่งด่วน อาทิ การเข้าถึงสินเชื่อ ให้ทั่วถึงมากขึ้นในทุกขนาดธุรกิจ
อาจพิจารณานโยบายเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติในลักษณะ wellness-quarantine เพื่อประคับประคองอุตสาหกรรมให้ขับเคลื่อนต่อไปได้ด้วยการดึงอุปสงค์จากนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่มีกำลังซื้อสูงมาใช้บริการ
สร้างความตระหนักรู้และทัศนคติที่ดีเกี่ยวกับประโยชน์ของสปาและการนวดให้เป็นที่แพร่หลายมากขึ้น โดยเฉพาะการใช้ผลงานวิจัยไทยที่พิสูจน์ประโยชน์ของการใช้บริการเพื่อสุขภาพที่ดี เพื่อปรับมุมมองของผู้บริโภคภายในประเทศที่แต่เดิมมองว่า สปาและการนวดเป็นเพียงบริการประเภทฟุ่มเฟือยที่มีวัตถุประสงค์เพื่อการผ่อนคลายเพียงเท่านั้น แต่ที่จริงแล้ว เป็นบริการที่มีคุณประโยชน์ต่อการบำบัดและส่งเสริมสุขภาพ
ควรส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาฝีมือแรงงานในอุตสาหกรรมให้สามารถขยายขอบเขตการให้บริการในกิจกรรมเกี่ยวเนื่องอื่น ๆ ที่เป็นอัตลักษณ์เพื่อการรักษาสุขภาพได้ เช่น การใช้ประโยชน์จากสมุนไพรหรือภูมิปัญญาไทยพื้นบ้าน เป็นต้น
ควรผลักดันการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (health & wellness tourism) การท่องเที่ยวพำนักระยะยาว (long stay) และการดูแลผู้สูงอายุ (elderly care) โดยเน้นชูจุดแข็งของไทยในด้านต่าง ๆ เช่นสมุนไพร อัตลักษณ์ความเป็นไทย ภูมิปัญญาชาวบ้าน และความเอาใจใส่ในการบริการ (service mind) ของคนไทย เพื่อเพิ่มอุปสงค์ในระยะยาวจากทั้งในและต่างประเทศ
ควรผลักดันให้การบำบัดและการนวดเพื่อสุขภาพได้รับความคุ้มครองภายใต้สิทธิสวัสดิการและระบบประกันสุขภาพ ซึ่งจะช่วยเพิ่มอุปสงค์ภายในประเทศได้อย่างยั่งยืน
ควรผ่อนคลายกฎระเบียบหรือลดขั้นตอนทางกฎหมายที่ไม่จำเป็นเพื่อเอื้อให้ผู้ประกอบการสามารถดำเนินกิจการได้ง่ายและสะดวกขึ้น เช่น การเอื้อหรือเปิดช่องทางให้แรงงานที่มีความสามารถแต่ยังไม่มีใบอนุญาตสามารถขึ้นทะเบียนได้ง่ายขึ้น หรือการปลดล็อกกฎหมายควบคุมการทำหัตถการบางอย่างที่สงวนไว้แต่ในสถานพยาบาลเท่านั้นให้สามารถกระทำได้ในสถานประกอบการสปาและการนวดเพื่อสุขภาพ อาทิ การรักษา office syndrome
ควรเร่งลดช่องว่างทางกฎหมาย เพื่อลดจำนวนธุรกิจสีเทาแอบแฝง ซึ่งเติบโตอย่างรวดเร็วและส่งผลกระทบต่อธุรกิจที่ดำเนินการถูกต้องตามกฎหมาย
ควรส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือกันระหว่างสถานศึกษาและสถานประกอบการในการพัฒนางานวิจัยด้านการให้บริการและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างองค์ความรู้และต่อยอดทางธุรกิจในอุตสาหกรรม อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มความเชื่อมั่นให้แก่ผู้บริโภคอีกด้วย