Research
Discussion Paper
PIERspectives
aBRIDGEd
PIER Blog
Events
Conferences
Research Workshops
Policy Forums
Seminars
Exchanges
Community
PIER Research Network
Visiting Fellows
Funding and Grants
About Us
Our Organization
Announcements
PIER Board
Staff
Work with Us
Contact Us
TH
EN
Research
Research
Discussion Paper
PIERspectives
aBRIDGEd
PIER Blog
Thailand and the Middle-Income Trap: An Analysis from the Global Value Chain Perspective
Discussion Paper ล่าสุด
Thailand and the Middle-Income Trap: An Analysis from the Global Value Chain Perspective
ค่าเงินบาทผันผวน: “ตัวปรับสมดุล” หรือ “ตัวป่วน” เศรษฐกิจไทย
aBRIDGEd ล่าสุด
ค่าเงินบาทผันผวน: “ตัวปรับสมดุล” หรือ “ตัวป่วน” เศรษฐกิจไทย
Events
Events
Conferences
Research Workshops
Policy Forums
Seminars
Exchanges
Confidence and College Applications: Evidence from a Randomized Intervention
งานสัมมนาล่าสุด
Confidence and College Applications: Evidence from a Randomized Intervention
The Impact of Climate Change on Thai Households
งานสัมมนาล่าสุด
The Impact of Climate Change on Thai Households
สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์
สถาบันวิจัยเศรษฐกิจ
ป๋วย อึ๊งภากรณ์
Puey Ungphakorn Institute for Economic Research
Community
Community
PIER Research Network
Visiting Fellows
Funding and Grants
PIER Research Network
PIER Research Network
Funding & Grants
Funding & Grants
About Us
About Us
Our Organization
Announcements
PIER Board
Staff
Work with Us
Contact Us
Staff
Staff
ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในการพัฒนาฐานข้อมูลเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สินเกษตรกรไทย
ประกาศล่าสุด
ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในการพัฒนาฐานข้อมูลเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สินเกษตรกรไทย
aBRIDGEdabridged
Making Research Accessible
QR code
Year
2023
2022
2021
2020
...
Topic
Development Economics
Macroeconomics
Financial Markets and Asset Pricing
Monetary Economics
...
/static/67dfe60ea0fb1c382f04b1188b3d7e61/e9a79/cover.png
24 กรกฎาคม 2560
20171500854400000

ถอดรหัสนโยบายการเงิน: สื่ออย่างไรให้เกิดประสิทธิผล?

“Experience has shown how difficult it is to communicate all information relevant to the decision making process…” – Daniel Kahneman, Nobel laureate
ถอดรหัสนโยบายการเงิน: สื่ออย่างไรให้เกิดประสิทธิผล?
excerpt

อาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ เคยกล่าวไว้ว่า “หลักการธนาคารกลางก็เช่นเดียวกับหลักการธนาคารทั่ว ๆ ไป คือ เครดิต และ faith คือความเชื่อถือซึ่งกันและกัน ทั้งภายในภายนอก ถ้าขาดเครดิตแล้ว ก็เลิกพูดเรื่องการธนาคารได้”บทความนี้พยายามที่จะทำความเข้าใจให้มากยิ่งขึ้นถึงความหมายและพัฒนาการของความโปร่งใสในด้านนโยบายการเงิน โดยจะเชื่อมโยงไปถึงการวิเคราะห์การสื่อสารของธนาคารกลางในปัจจุบัน เพื่อถอดบทเรียนเกี่ยวกับนัยต่อการดำเนินนโยบายการเงินที่เหมาะสม

นับเป็นเวลากว่า 17 ปีที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ดำเนินนโยบายการเงินโดยกำหนดอัตราเงินเฟ้อเป็นเป้าหมาย (inflation targeting) ผลการประเมินการดำเนินนโยบายการเงินภายใต้กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อโดยผู้เชี่ยวชาญอิสระ (Grenville and Ito, 2010) ชี้ว่าไทยมีเสถียรภาพราคาในระดับดีเยี่ยม (‘excellent’) โดยจุดเด่นสำคัญของกรอบเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อนี้คือ ความโปร่งใสในการดำเนินนโยบาย อย่างไรก็ตาม วิกฤติการณ์ทางการเงินโลกในปี ค.ศ. 2008 ที่ผ่านมาได้แสดงให้เห็นถึงความท้าทายใหม่ ๆ ที่ธนาคารกลางทั่วโลกต้องเผชิญ โดยเฉพาะการทบทวนกรอบการดำเนินนโยบายการเงินที่ผนวกไปกับการดูแลเสถียรภาพระบบการเงินให้รัดกุมยิ่งขึ้น แต่ปัจจัยเชิงสถาบันในด้านความโปร่งใส (transparency) การสื่อสารต่อสาธารณะ (communication) และความรับผิดชอบ (accountability) จะยังคงเป็นสิ่งที่ผู้วางนโยบายจำเป็นต้องคำนึงถึงไม่ว่ากรอบการดำเนินนโยบายการเงินในอนาคตจะพัฒนาไปในรูปแบบใด เนื่องจากปัจจัยเชิงสถาบันเหล่านี้คือองค์ประกอบพื้นฐานของความน่าเชื่อถือ (credibility) ซึ่งเป็นหัวใจของการดำรงอยู่ของธนาคารกลาง1

ความโปร่งใสของนโยบายการเงินคืออะไร

“An independent central bank in a democracy must be accountable and, to be accountable, a central bank must be transparent.”

— Alan Blinder, 2002

โดยทั่วไป ความโปร่งใสของนโยบายการเงินเกี่ยวข้องกับระดับการเปิดเผยข้อมูลของธนาคารกลางในด้านการตัดสินใจนโยบายการเงิน ในงานศึกษาของ Eijffinger and Geraats (2006) ได้จำแนกประเภทของความโปร่งใสเป็น 5 ด้าน โดยพิจารณาตามขั้นตอนการดำเนินนโยบาย ได้แก่

  1. Political transparency เกี่ยวข้องกับการประกาศวัตถุประสงค์ของนโยบายการเงิน เช่น ในประเทศที่ใช้อัตราเงินเฟ้อเป็นเป้าหมาย ก็จำเป็นต้องประกาศออกมาเป็นตัวเลขให้ชัดเจน ซึ่งจะช่วยลดแรงกดดันทางการเมืองที่อาจมุ่งเน้นกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น โดยละเลยเงินเฟ้อที่อาจเร่งขึ้นเร็วอันเป็นต้นทุนที่มีต่อเสถียรภาพของระดับราคา
  2. Economic transparency เกี่ยวข้องกับการให้ข้อมูลที่สำคัญซึ่งธนาคารกลางใช้พิจารณาในการดำเนินนโยบาย อาทิ ตัวเลขเครื่องชี้ภาวะเศรษฐกิจการเงิน รวมถึงตัวเลขคาดการณ์และแบบจำลองที่ใช้ในการพยากรณ์แนวโน้มเศรษฐกิจ
  3. Procedural transparency เกี่ยวข้องกับกระบวนการในการตัดสินใจ เช่นการเปิดเผยผลโหวต (voting records) การเปิดเผยรายงานการประชุม (minutes) รวมถึงการเปิดเผยรายละเอียดการพูดคุยในห้องประชุม (transcripts)
  4. Policy transparency เกี่ยวข้องกับการประกาศและการให้เหตุผลในการตัดสินใจในการดำเนินนโยบาย เช่นการแถลงข่าวผลการประชุมต่อสาธารณะทันทีหลังการประชุม (monetary policy statements)
  5. Operational transparency เกี่ยวข้องกับการนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติ (implementation) อาทิ ข้อมูลการทำธุรกรรมทางการเงินเพื่อดูแลให้อัตราดอกเบี้ยในตลาดเงินอยู่ในระดับที่สอดคล้องกับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย นอกจากนี้อาจรวมถึงการวิเคราะห์การส่งผ่านของนโยบายการเงิน (transmission) และการประเมินผลการพยากรณ์ภาวะเศรษฐกิจ (forecast evaluation) อีกด้วย

จะเห็นได้ว่าความโปร่งใสทั้ง 5 ด้านนี้ เกี่ยวข้องกับการเปิดเผยข้อมูลของการดำเนินนโยบายการเงินในทุกกระบวนการของการตัดสินใจ (policy-making process) ดังที่ได้แสดงตามรูปที่ 1

รูปที่ 1 : Conceptual framework of monetary policy transparency

Conceptual framework of monetary policy transparency

ที่มา : Eijffinger and Geraats (2006, p.4)

จากเกณฑ์ดังกล่าว Geraats (2009) ได้ทำการวัดระดับความโปร่งใสของธนาคารกลาง โดยเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มประเทศที่ใช้กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อ (จำนวน 24 ประเทศ) กลุ่มประเทศที่ใช้กรอบอัตราแลกเปลี่ยน (จำนวน 40 ประเทศ) และกลุ่มประเทศที่ใช้เป้าหมายปริมาณเงิน (จำนวน 18 ประเทศ) พบว่า ความโปร่งใสของกรอบการดำเนินนโยบายการเงินทุกประเภทมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มประเทศที่ใช้กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อมีความโปร่งใสในการดำเนินนโยบายในระดับสูงมากกว่ากรอบอื่น ๆ อย่างชัดเจน ดังที่ได้แสดงในรูปที่ 2

รูปที่ 2 : Transparency trend across monetary policy framework

Transparency trend across monetary policy framework

ที่มา : Geraats (2009, p.250)

ต่อมา Dincer and Eichengreen (2014) ได้ทำการวัดระดับความโปร่งใสของธนาคารกลางโดยใช้หลักการดังกล่าวของ Eijffinger and Geraats (2006) โดยขยายจำนวนประเทศให้ครอบคลุม 120 ธนาคารกลาง และได้เพิ่มเติมข้อมูลจนถึงปี ค.ศ. 2014 รูปที่ 3 แสดงประเทศที่ได้คะแนนความโปร่งใส 5 ลำดับแรก เทียบกับประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศไทย และค่าเฉลี่ยของกลุ่มประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จะเห็นได้ว่า 5 ลำดับแรกนั้นล้วนเป็นธนาคารกลางที่ใช้กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อ ส่วนกรณีของประเทศไทย ความโปร่งใสของการดำเนินนโยบายการเงินอยู่ในระดับที่สูงที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

รูปที่ 3 : Monetary Policy Transparency: Selected countries

Monetary Policy Transparency: Selected countries

ที่มา : Dincer and Eichengreen (2014)

การวิเคราะห์การสื่อสารของธนาคารกลาง

“Successful communication is one of the greatest challenges for monetary policy.”

— Otmar Issing, 2005

การเปิดเผยข้อมูลเพื่อความโปร่งใสทางด้าน procedural transparency และด้าน policy transparency ถือเป็นความท้าทายต่อธนาคารกลางมากที่สุด เพราะเป็นสิ่งที่ตลาดการเงินให้ความสนใจเป็นพิเศษ การสื่อสารข้อมูลที่มากเกินไปก็สามารถก่อให้เกิดความสับสนหรือสร้างความไม่แน่นอนในราคาสินทรัพย์ขึ้นได้ ซึ่งจะส่งผลลบต่อประสิทธิผลของนโยบาย นอกจากนี้ยังมีประเด็นที่ถกเถียงกันทั้งในหมู่ผู้วางนโยบายและนักวิชาการ ว่าการสื่อสารแนวโน้มทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายในอนาคตควรมีมากน้อยเพียงใด ในรูปแบบใด และการสื่อสารที่เป็นข้อความส่งผลกระทบไปในทิศทางที่ต้องการหรือไม่

ปัจจุบัน การศึกษาเรื่องการสื่อสารของธนาคารกลางได้รุดหน้าไปมาก โดยเฉพาะการประยุกต์ใช้เครื่องมือทางด้านภาษาศาสตร์คอมพิวเตอร์ (computational linguistics) ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเขียนโปรแกรมเพื่อการแปลงข้อความเชิงคำพูดให้เป็นข้อมูลเชิงสถิติที่สามารถนำมาวิเคราะห์ต่อได้ โดยเครื่องมือทางด้านการวิเคราะห์ในระดับหัวข้อ (topic modeling) โดยเฉพาะอัลกอริทึมที่เรียกว่า Latent Dirichlet Allocation (LDA) ซึ่งถูกใช้เพื่อค้นหาหัวข้อต่าง ๆ ที่ปรากฏในเอกสาร กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นในวงวิชาการทางเศรษฐศาสตร์การเงิน เราจะหยิบยกงานวิชาการเพียงบางส่วนที่ใช้เครื่องมือดังกล่าวว่าได้ศึกษาประเด็นที่น่าสนใจอะไรบ้างและมีนัยเชิงนโยบายอย่างไร

ประเด็นแรกเกี่ยวข้องกับผลกระทบของการเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะ (external procedural transparency) ที่มีต่อคุณภาพการถกเถียงภายในระหว่างคณะกรรมการนโยบายการเงินถึงทิศทางที่เหมาะสมของการดำเนินนโยบายการเงิน (internal policy deliberation) การที่คณะกรรมการฯ รับรู้ว่าข้อถกเถียงภายในจะถูกเปิดเผยต่อสาธารณะในอนาคตอาจส่งผลต่อพฤติกรรมและการตัดสินใจของกรรมการนโยบายการเงินในปัจจุบันได้ทั้งในด้านบวกและลบ

ทั้งนี้เนื่องจากการเปิดเผยข้อมูลที่อาจนำไปสู่การตรวจสอบโดยสาธารณะทำให้กรรมการมีแรงจูงใจที่จะทำงานหนักขึ้นเพื่อให้การตัดสินใจเป็นไปอย่างเหมาะสม (positive discipline effect) ซึ่งถือเป็นผลกระทบในเชิงบวกของความโปร่งใส ขณะที่อีกด้านหนึ่ง กรรมการนโยบายการเงินอาจมีพฤติกรรมในลักษณะคล้อยตามกัน (negative conformity effect) โดยไม่ต้องการแสดงความเห็นที่แตกต่างจากกรรมการคนอื่น ซึ่งเป็นผลกระทบในเชิงลบ เนื่องจากไม่ได้แสดงความคิดเห็นของตนเองอย่างตรงไปตรงมา ดังนั้นผลกระทบของความโปร่งใสในด้าน procedural transparency อาจเป็นได้ทั้งด้านบวกหรือด้านลบ

Hansen, McMahon and Prat (2017) ศึกษาพฤติกรรมของคณะกรรมการนโยบายการเงินสหรัฐฯ (FOMC) โดยใช้ ข้อมูล FOMC transcripts ซึ่งมีลักษณะเข้าข่าย Natural experiment นั่นคือก่อนปี ค.ศ. 1993 ข้อมูลชุดนี้เป็นที่รับรู้กันว่าจะไม่ถูกเปิดเผยสู่สาธารณะ แต่ด้วยแรงกดดันทางการเมืองทำให้ต้องเปิดเผยในที่สุด ข้อมูล transcripts ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1993 เป็นต้นมาจึงเป็นชุดข้อมูลที่ FOMC รับทราบแล้วว่าจะต้องถูกเปิดเผย

ผลการศึกษาในภาพรวมพบว่าการเปิดเผยข้อมูลออกสู่สาธารณะส่งผลกระทบต่อคุณภาพการถกเถียงเชิงนโยบายอย่างมีนัยสำคัญและส่งผลไปในทางด้านบวกมากกว่าด้านลบ โดยกรรมการที่มีประสบการณ์มากจะมีบทบาทในการปรับให้การถกเถียงระหว่างกรรมการเข้ารูปเข้ารอยมากขึ้น (‘shaping policy debates’) ขณะที่กรรมการที่มีประสบการณ์น้อยกว่ามีแนวโน้มที่จะมีพฤติกรรมในเชิงคล้อยตามกันในด้านกลยุทธ์การดำเนินนโยบายการเงิน

นัยเชิงนโยบายที่สำคัญจากการศึกษานี้คือ ความโปร่งใสช่วยให้กระบวนการตัดสินนโยบายการเงินทำได้ดีขึ้น ความท้าทายของผู้ออกแบบนโยบายการเงินจึงอยู่ที่การหาวิธีการที่จะลดผลกระทบเชิงลบของการคล้อยตามกันให้น้อยที่สุดและเพิ่มผลกระทบเชิงบวกของการทำงานเพื่อวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อการตัดสินใจให้มากที่สุด ในกรณีของธนาคารกลางแห่งประเทศอังกฤษ ได้มีการจัดให้มีการประชุมสองวัน โดยวันแรกของการประชุมจะเปิดโอกาสให้คณะกรรมการฯ ถกเถียงกันได้อย่างอิสระและไม่เป็นทางการ ซึ่งช่วยลดผลกระทบเชิงลบจากการคล้อยตาม ต่อมาวันที่สองกรรมการแต่ละคนจะต้องเตรียมเหตุผลของการตัดสินใจของตนเองมา โดยข้อมูล transcripts จะเปิดเผยสู่สาธารณะแต่เพียงการประชุมในวันที่สอง เพื่อเพิ่มผลกระทบเชิงบวกจาก procedural transparency

ประเด็นที่สองเกี่ยวข้องกับ Policy transparency และผลกระทบที่มีต่อตลาดการเงินและเศรษฐกิจมหภาค เนื่องจากเอกสารแถลงผลการประชุมการตัดสินนโยบายการเงิน (Monetary policy statements) ไม่เพียงแต่ประกาศผลการตัดสินใจอัตราดอกเบี้ยนโยบาย แต่ยังอธิบายเหตุผลของการตัดสินใจและอาจรวมถึงการให้แนวโน้มทิศทางนโยบายการเงิน บทความของ Hansen and McMahon (2016) ได้ทำการศึกษาเนื้อหาใน FOMC statements โดยใช้เครื่องมือ LDA แยกประเภทหัวข้อในเอกสาร และพบว่าข้อความที่เกี่ยวข้องกับแนวโน้มนโยบายการเงินในอนาคตมีนัยสำคัญและส่งผลต่อตลาดการเงินมากกว่าข้อความที่อธิบายทิศทางของภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสามารถของการใช้ข้อความในเอกสารแถลงผลการประชุมในการบริหารการคาดการณ์ของผู้คนในระบบเศรษฐกิจ ดังนั้น การเปิดเผยข้อมูลไม่เพียงแต่ก่อให้เกิดความโปร่งใสต่อสาธารณะ แต่อาจมีผลช่วยให้การทำนโยบายการเงินมีประสิทธิผลมากขึ้นอีกด้วย

ล่าสุดงานวิจัยของ Luangaram and Wongwachara (2017) ได้ผสมผสานเครื่องมือภาษาศาสตร์คอมพิวเตอร์หลายเครื่องมือเพื่อทำความเข้าใจในเชิงลึกของเนื้อหาใน monetary policy statements ของธนาคารกลางกว่า 20 ประเทศ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2000 จนถึงปี ค.ศ. 2015 ซึ่งรวมถึงธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ยุโรป (ECB) ญี่ปุ่น (BOJ) รวมทั้งกลุ่มธนาคารกลางอื่น ๆ ที่ใช้กรอบเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อทั้งในประเทศที่พัฒนาแล้วและกำลังพัฒนา โดยงานชิ้นนี้ได้แบ่งวิเคราะห์เนื้อหาออกเป็น 3 ด้านคือ 1. การวิเคราะห์ความยากง่ายในการอ่าน (readability) 2. การวิเคราะห์ topic modeling 3. การวิเคราะห์โทน (tone) ของเนื้อความ ว่ามีนัยเชิงบวกหรือลบมากกว่ากัน

ในด้าน readability ผลการศึกษาพบว่า ข้อความที่ปรากฏในเอกสารของแต่ละธนาคารกลางมีความแตกต่างกันค่อนข้างมากทั้งในด้านปริมาณคำที่ใช้และความยากง่ายในการอ่าน โดยเอกสารที่ยาวไม่ได้หมายความว่าจะอ่านยากเสมอไป แต่ขึ้นกับโครงสร้างของรูปประโยคและคำที่เลือกใช้ในการสื่อสารเป็นสำคัญ ทั้งนี้ ธนาคารส่วนใหญ่ใช้ศัพท์ทางวิชาการ หรือคำที่ไม่คุ้นเคยในชีวิตประจำวันในสัดส่วนที่สูง ซึ่งจะทำให้ข้อความอ่านได้ยากขึ้นและอาจมีความชัดเจน (clarity) ลดลง เมื่อประเมิน policy statement ด้วยดัชนี Flesch and Kincaid ซึ่งใช้วัดจำนวนปีการศึกษาของผู้อ่านที่ควรจะได้เพื่อสามารถอ่านข้อความที่ต้องการประเมินได้เข้าใจ พบว่าโดยเฉลี่ยผู้ที่จะอ่านเอกสารของธนาคารกลางได้ดีต้องเป็นผู้ที่มีเกณฑ์ความรู้ในระดับมหาวิทยาลัย โดยเฉพาะหากต้องทำความเข้าใจการสื่อสารของธนาคารกลางประเทศเศรษฐกิจหลัก ไม่ว่าจะเป็น FED ECB หรือ BOJ ซึ่งล้วนแต่มีค่าความอ่านยากสูงกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มทั้งสิ้น ซึ่งรวมถึงประเทศไทย ดังที่แสดงในรูปที่ 4

รูปที่ 4 : ความยากง่ายในการอ่าน Policy statement

ความยากง่ายในการอ่าน Policy statement

หมายเหตุ : ดัชนี Flesch and Kincaid (ภาพแสดงค่าเฉลี่ยปี 2008–2015) แสดงจำนวนปีการศึกษาของผู้อ่านที่ควรจะได้เพื่อสามารถอ่านข้อความหนึ่ง ๆ ได้เข้าใจ เช่น หากผู้อ่านต้องการเข้าใจ Policy statement ของ FED ควรจะได้รับการศึกษาประมาณ 16.8 ปี (หรือเทียบเท่ากับจบการศึกษาปริญญาตรี)ที่มา : คำนวณโดยผู้เขียน

สำหรับการวิเคราะห์ topic modeling ผ่านการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ให้สามารถจำแนกเอกสารออกเป็นประเด็นต่าง ๆ เช่น ด้านผลผลิต อัตราเงินเฟ้อ ตลาดการเงิน และนโยบายการเงิน เพื่อศึกษาความสำคัญของประเด็นเหล่านี้ในการดำเนินนโยบายการเงินในระยะเวลา 15 ปีที่ผ่านมา เราพบว่ากลุ่มประเทศที่ใช้กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อโดยส่วนใหญ่ได้มีการสื่อสารถึงภาวะเงินเฟ้อและระดับราคามากกว่าประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ยกเว้นประเทศไทยและเกาหลีใต้ ขณะที่ประเด็นด้านเศรษฐกิจโลกและสภาวะตลาดการเงินโลกได้มีบทบาทเพิ่มขึ้นต่อการดำเนินนโยบายการเงินโดยเฉพาะภายหลังวิกฤตเศรษฐกิจโลกปี ค.ศ. 2008

ในส่วนของการวิเคราะห์โทนหรือทิศทางของภาวะเศรษฐกิจและนโยบายการเงิน เราพบว่าในกรณีของประเทศไทย ข้อความด้านการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจค่อนข้างสะท้อนตัวเลขเศรษฐกิจในปัจจุบัน ขณะที่ข้อความด้านเงินเฟ้อมีลักษณะที่ให้แนวโน้มมองไปข้างหน้ามากกว่า นอกจากนี้ ยังพบอีกว่า โทนของ policy statements ทั้งในด้านการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อ มีความเชื่อมโยงกับการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างมีนัยสำคัญ

นัยเชิงนโยบายของการศึกษานี้ได้เน้นถึงองค์ประกอบสำคัญที่อาจจะช่วยให้การสื่อสารมีประสิทธิผลมากขึ้น คือ หนึ่งด้านความชัดเจนของเนื้อหา (being clear) และสองด้านการใช้ข้อความที่มีลักษณะมองไปข้างหน้า (being informative) ทั้งการให้น้ำหนักกับประเด็นสำคัญต่าง ๆ ที่ธนาคารกลางใช้ในการตัดสินใจนโยบายการเงิน และด้านทิศทางแนวโน้มของตัวแปรทางเศรษฐกิจ

ข้อสรุป

อะไรคือหัวใจของการดำเนินนโยบายการเงินที่ดี บทความนี้เน้นถึงปัจจัยเชิงสถาบันของธนาคารกลางในด้านความโปร่งใสที่เชื่อมโยงไปถึงการสื่อสารต่อสาธารณะ ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นกลไกของการแสดงความรับผิดชอบและการสร้างความน่าเชื่อถือ แต่ยังเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะช่วยให้การตัดสินใจในการดำเนินนโยบายเป็นไปอย่างถูกต้องและเหมาะสม ดังนั้น แม้ว่าการดำเนินนโยบายการเงินของ ธปท. จะอยู่ภายใต้รูปแบบ (form) ที่เรียกว่า ‘กรอบเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อ’ การดูแลให้อัตราเงินเฟ้ออยู่ในกรอบเป้าหมายคงไม่ใช่แก่นสาร (substance) ทั้งหมด เนื่องจากการดำเนินนโยบายการเงินที่ดีนั้น ยังต้องพัฒนาให้การสื่อสารสามารถเสริมสร้างประสิทธิผลในการดำเนินนโยบายได้อย่างเหมาะสมอีกด้วย

เอกสารอ้างอิง

Blinder, A. (2002): “Through the Looking Glass: Central Bank Transparency”. CEPS Working Paper No. 86.

Dincer, N. N. and B. Eichengreen (2014): “Central Bank Transparency and Independence: Updates and New Measures”. International Journal of Central Banking, Vol. 10, pp.189–253.

Eijffinger, S.C.W. and P. M. Geraats (2006): “How Transparent are Central Banks?”. European Journal of Political Economy, Vol. 22, pp.1–21.

Geraats, P. M. (2009): “Trends in Monetary Policy Transparency”. International Finance, Vol.12, pp.235–268.

Grenville, S. and T. Ito (2010): “An Independent Evaluation of the Bank of Thailand’s Monetary Policy under Inflation Targeting Framework, 2000–2010”. Available at https://www.bot.or.th/Thai/MonetaryPolicy/Documents/GrenvilleItoV10(Oct22).pdf.

Hansen, S. and M. McMahon (2016): “Shocking Language: Understanding the Macroeconomic Effects of Central Bank Communication”. Journal of International Economics, Vol. 99, pp.114–133.

Hansen, S., M. McMahon and A. Prat (2017): “Transparency and Deliberation with the FOMC: a Computational Linguistics Approach”. Mimeo, June.

Issing, O. (2005): “Communication, Transparency, Accountability: Monetary Policy in the Twenty-First Century.” Federal Reserve Bank of St. Louis Review. March/April, pp.65–84.

Luangaram, P. and W. Wongwachara (2017): “More Than Words: A Textual Analysis of Monetary Policy Communication”. PIER Discussion Paper No. 54. February.

ข้อคิดเห็นที่ปรากฏในบทความนี้เป็นความเห็นของผู้เขียน ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับความเห็นของสถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์
Topics: Monetary Economics
Tags: communicationcomputational linguisticsmonetary policytransparency
พงศ์ศักดิ์ เหลืองอร่าม
พงศ์ศักดิ์ เหลืองอร่าม
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
วราพงศ์ วงศ์วัชรา
วราพงศ์ วงศ์วัชรา
ธนาคารแห่งประเทศไทย

สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์

273 ถนนสามเสน แขวงวัดสามพระยา เขตพระนคร กรุงเทพฯ 10200

โทรศัพท์: 0-2283-6066

Email: pier@bot.or.th

เงื่อนไขการให้บริการ | นโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2566 สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์

เอกสารเผยแพร่ทุกชิ้นสงวนสิทธิ์ภายใต้สัญญาอนุญาต Creative Commons Attribution-NonCommercial-ShareAlike 3.0 Unported license

Creative Commons Attribution NonCommercial ShareAlike

รับจดหมายข่าว PIER

Facebook
YouTube
Email