Research
Discussion Paper
PIERspectives
aBRIDGEd
PIER Blog
Events
Conferences
Research Workshops
Policy Forums
Seminars
Exchanges
Community
PIER Research Network
Visiting Fellows
Funding and Grants
About Us
Our Organization
Announcements
PIER Board
Staff
Work with Us
Contact Us
TH
EN
Research
Research
Discussion Paper
PIERspectives
aBRIDGEd
PIER Blog
Thailand and the Middle-Income Trap: An Analysis from the Global Value Chain Perspective
Discussion Paper ล่าสุด
Thailand and the Middle-Income Trap: An Analysis from the Global Value Chain Perspective
ค่าเงินบาทผันผวน: “ตัวปรับสมดุล” หรือ “ตัวป่วน” เศรษฐกิจไทย
aBRIDGEd ล่าสุด
ค่าเงินบาทผันผวน: “ตัวปรับสมดุล” หรือ “ตัวป่วน” เศรษฐกิจไทย
Events
Events
Conferences
Research Workshops
Policy Forums
Seminars
Exchanges
Confidence and College Applications: Evidence from a Randomized Intervention
งานสัมมนาล่าสุด
Confidence and College Applications: Evidence from a Randomized Intervention
The Impact of Climate Change on Thai Households
งานสัมมนาล่าสุด
The Impact of Climate Change on Thai Households
สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์
สถาบันวิจัยเศรษฐกิจ
ป๋วย อึ๊งภากรณ์
Puey Ungphakorn Institute for Economic Research
Community
Community
PIER Research Network
Visiting Fellows
Funding and Grants
PIER Research Network
PIER Research Network
Funding & Grants
Funding & Grants
About Us
About Us
Our Organization
Announcements
PIER Board
Staff
Work with Us
Contact Us
Staff
Staff
ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในการพัฒนาฐานข้อมูลเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สินเกษตรกรไทย
ประกาศล่าสุด
ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในการพัฒนาฐานข้อมูลเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สินเกษตรกรไทย
aBRIDGEdabridged
Making Research Accessible
QR code
Year
2023
2022
2021
2020
...
Topic
Development Economics
Macroeconomics
Financial Markets and Asset Pricing
Monetary Economics
...
/static/c2a63d6fa52f5950468d54aa966a3a1c/e9a79/cover.png
17 สิงหาคม 2565
20221660694400000

เจาะลึกเงินเฟ้อไทยผ่านข้อมูลราคาสินค้าและบริการรายย่อย

การศึกษาเงินเฟ้อไทยผ่านมุมมองเชิงจุลภาคสำคัญต่อการทำความเข้าใจเกี่ยวกับที่มาของเงินเฟ้อไทย และการดำเนินนโยบายการเงินที่เหมาะสม
เจาะลึกเงินเฟ้อไทยผ่านข้อมูลราคาสินค้าและบริการรายย่อย
excerpt

การดูแลไม่ให้เงินเฟ้อสูงและผันผวนจนเกินไปมีความสำคัญมากต่อการเติบโตอย่างยั่งยืนของเศรษฐกิจ ผู้ดำเนินนโยบายจึงจำเป็นต้องเข้าใจที่มาและลักษณะของพลวัตเงินเฟ้อไทยเพื่อให้สามารถตัดสินนโยบายได้อย่างเหมาะสม อย่างไรก็ดี เนื่องจากเงินเฟ้อประกอบไปด้วยการเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าและบริการจำนวนมาก บทความนี้จึงใช้ประโยชน์จากข้อมูลราคาสินค้าและบริการรายย่อยในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาเพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับเงินเฟ้อไทยในเชิงลึก ผลการศึกษาพบว่า เงินเฟ้อไทยไม่ค่อยอ่อนไหวไปกับปัจจัยมหภาค เช่น วัฏจักรเศรษฐกิจ แต่ถูกขับเคลื่อนโดยปัจจัยเฉพาะสินค้าโดยเฉพาะในหมวดพลังงานเป็นสำคัญ อย่างไรก็ตาม ผลของปัจจัยเฉพาะไม่ได้มีการส่งผ่านไปสู่ราคาสินค้าและบริการอื่น ๆ ในวงกว้างเท่าใดนัก ซึ่งส่วนหนึ่งสะท้อนถึงความสามารถของธนาคารกลางในการยึดเหนี่ยวเงินเฟ้อคาดการณ์ของสาธารณชน ทำให้เงินเฟ้อที่มาจากปัจจัยเฉพาะสามารถคลี่คลายไปได้เองและไม่ส่งผลยืดเยื้อ ทั้งนี้ ผลการศึกษามีนัยเชิงนโยบายต่อการดูแลเสถียรภาพด้านราคา รวมถึงการประเมินแนวโน้มและความเสี่ยงต่อเงินเฟ้อในภาพรวม

หลังจากที่อัตราเงินเฟ้อโลกอยู่ในระดับต่ำและมีเสถียรภาพมาตลอดในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา อัตราเงินเฟ้อในหลายประเทศได้เริ่มเร่งตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็วและต่อเนื่องมาตั้งแต่ต้นปี 2021 ไม่ว่าจะเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐฯ และสหราชอาณาจักร ที่อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นจากประมาณ 1% เป็น 9% ภายในเวลา 1 ปี หรือแม้แต่ในกรณีของประเทศกำลังพัฒนา เช่น ไทย ที่อัตราเงินเฟ้อเดือนล่าสุด (ก.ค. 2022) นั้นสูงถึง 7.61% ซึ่งเป็นระดับสูงที่สุดในรอบ 14 ปี สถานการณ์ดังกล่าวย่อมสร้างความท้าทายให้กับผู้ดำเนินนโยบาย เนื่องจากภาวะเงินเฟ้อส่งผลกระทบต่อความกินดีอยู่ดีของประชาชน รวมถึงการเติบโตอย่างยั่งยืนของเศรษฐกิจ ธนาคารกลางในหลายประเทศจึงเริ่มปรับแนวทางการดำเนินนโยบายการเงินให้เข้มงวดขึ้นเพื่อชะลอการเร่งตัวของราคาสินค้าและบริการ

การทำความเข้าใจสถานการณ์เงินเฟ้อในไทย จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องอาศัยความเข้าใจเกี่ยวกับที่มาและลักษณะของพลวัตเงินเฟ้อ ดังนั้น บทความนี้จึงมุ่งศึกษาพลวัตเงินเฟ้อไทยผ่านมุมมองเชิงจุลภาค โดยใช้ประโยชน์จากข้อมูลราคาสินค้าและบริการรายย่อยนับร้อยรายการที่จัดเก็บโดยกระทรวงพาณิชย์ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา เพื่อทำความเข้าใจปัจจัยขับเคลื่อนเงินเฟ้อไทยในเชิงลึก รวมถึงนัยที่มีต่อการดำเนินนโยบายการเงิน การศึกษานี้ต่างจากงานศึกษาในอดีตที่มักวิเคราะห์เงินเฟ้อไทยผ่านแบบจำลองและข้อมูลทางเศรษฐกิจในระดับมหภาค ซึ่งเป็นเพียงตัวเลขรวมที่ไม่สามารถสะท้อนพัฒนาการสำคัญที่เกิดขึ้นในสินค้าและบริการแต่ละชนิดที่มีความแตกต่างกันได้1

เพื่อให้ผู้อ่านเห็นภาพว่า การวิเคราะห์เงินเฟ้อจากมุมมองจุลภาคมีความสำคัญ รูปที่ 1 แสดงภาวะเงินเฟ้อไทยในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา โดยพื้นที่แรเงาในรูปแสดงช่วงของการเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าและบริการรายย่อยทุกรายการในตะกร้าเงินเฟ้อ จากพื้นที่แรเงาที่มีขนาดค่อนข้างกว้าง สะท้อนให้เห็นว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปตัวรวม (เส้นสีส้ม) แท้จริงแล้วซ่อนการเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าและบริการรายย่อยจำนวนมาก โดยการเปลี่ยนแปลงราคาของสินค้าและบริการเหล่านี้มีทั้งที่ต่ำและสูงไปกว่าตัวเลขรวมด้วยขนาดที่แตกต่างกันออกไป เช่น ในช่วงต้นปี 2022 การเปลี่ยนแปลงของราคาเนื้อสุกรเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าที่สูงถึง 22.6% สืบเนื่องจากโรคระบาด ASF และราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น 32.1% จากเหตุการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครน เป็นต้น

รูปที่ 1: การกระจายตัวของอัตราเงินเฟ้อในระดับสินค้าและบริการรายย่อย

การกระจายตัวของอัตราเงินเฟ้อในระดับสินค้าและบริการรายย่อย

ที่มา: กระทรวงพาณิชย์ คำนวณโดย ธปท.หมายเหตุ: เส้นสีส้มคืออัตราเงินเฟ้อทั่วไป แถบสีฟ้าอ่อนแสดง range ของการเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าและบริการทั้งหมดในตะกร้าเงินเฟ้อ แถบสีฟ้าเข้มแสดง range ของการเปลี่ยนแปลงของราคาในตะกร้าเงินเฟ้อเมื่อตัดรายการที่ราคาเพิ่มขึ้นหรือลดลงมากที่สุดในเดือนนั้น ๆ ออกอย่างละ 20% ตามน้ำหนักในตะกร้าเงินเฟ้อ

การเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าและบริการรายย่อยที่แตกต่างกันมาก ย่อมสะท้อนว่า shock หรือปัจจัยขับเคลื่อนเงินเฟ้อในสินค้าและบริการแต่ละรายการในตะกร้าเงินเฟ้อมีหลากหลาย ปัจจัยเหล่านี้สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่ม ได้แก่

  1. ปัจจัยร่วม หรือปัจจัยมหภาค (common หรือ macroeconomic shock) ที่ส่งผลต่อราคาสินค้าและบริการในวงกว้าง เช่น การเปลี่ยนแปลงของผลิตภาพการผลิตโดยรวมของประเทศ วัฏจักรเศรษฐกิจ หรือการดำเนินนโยบายการเงิน เป็นต้น
  2. ปัจจัยเฉพาะ (idiosyncratic หรือ sector-specific shock) ที่ส่งผลต่อราคาสินค้าหรือบริการบางประเภทเท่านั้น เช่น ผลจากโรคระบาดในสุกรที่กล่าวมาข้างต้น สภาพอากาศแปรปรวนที่ส่งผลกระทบต่อปริมาณผลผลิตผักหรือผลไม้ มาตรการภาครัฐที่อุดหนุนค่าน้ำค่าไฟ การขึ้นภาษีเหล้าบุหรี่ เป็นต้น

นักวิชาการมักเรียกการเปลี่ยนแปลงของราคาที่เป็นผลจากปัจจัยเฉพาะว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงราคาเชิงเปรียบเทียบ (relative price changes) เนื่องจากราคาสินค้าหรือบริการที่ได้รับผลกระทบจาก shock นั้นจะเปลี่ยนไปเมื่อเทียบกับราคาสินค้าและบริการอื่น ๆ ซึ่งแตกต่างจาก common shock ที่ทำให้ราคาสินค้าและบริการในระบบเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงเป็นวงกว้างและไปในทิศทางเดียวกัน โดยการแยกแยะผลกระทบของปัจจัยทั้งสองมีความสำคัญต่อการดูแลเงินเฟ้อของธนาคารกลาง เพราะเงินเฟ้อที่เกิดจากปัจจัยร่วมเป็นส่วนที่นโยบายการเงินสามารถดูแลได้ผ่านการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ขณะที่เงินเฟ้อที่เกิดจากปัจจัยเฉพาะเป็นส่วนของเงินเฟ้อที่อยู่นอกเหนือจากการควบคุมของนโยบายการเงิน เพราะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่สะท้อนความไม่สมดุลของอุปสงค์และอุปทานในตลาดใดตลาดหนึ่งเท่านั้น

ปัจจัยร่วมและปัจจัยเฉพาะสินค้า สำคัญต่อเงินเฟ้อไทยขนาดไหน?

วิธีหนึ่งที่นิยมใช้กันในการคำนวณหาส่วนของเงินเฟ้อที่ถูกขับเคลื่อนโดยปัจจัยร่วม (common component) คือ การนำวิธี Principal Component Analysis (PCA) มาหาส่วนของการเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าและบริการทั้งหมดในตะกร้าเงินเฟ้อที่เคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกัน โดยรูปที่ 2 แสดงความสำคัญของเงินเฟ้อในส่วนนี้โดยวัดจากสัดส่วนของความแปรปรวน (variance) ของเงินเฟ้อในระดับสินค้าและบริการรายหมวดย่อยที่ถูกอธิบายโดย common component ซึ่งเห็นได้ชัดเจนว่า บทบาทของ common component ในการอธิบายการเคลื่อนไหวของเงินเฟ้อไทยหลังปี 2001 นั้น น้อยลงมาก เมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้า โดยปรับลดลงจากประมาณ 30% เหลือเพียง 15% ภายในเวลาอันสั้น

หากมองในอีกด้านหนึ่ง บทบาทที่น้อยลงของ common component สะท้อนว่าเงินเฟ้อไทยในรายหมวดย่อยนั้นถูกขับเคลื่อนโดยปัจจัยเฉพาะสินค้าหรือ relative price changes เป็นหลัก โดยจากรูปที่ 3 จะเห็นได้ว่าปัจจัยเฉพาะเหล่านี้ มักมีที่มาจากความเคลื่อนไหวของราคาสินค้าในหมวดพลังงาน เนื่องจากปัจจัยเฉพาะในหมวดนี้สามารถอธิบายความผันผวนของเงินเฟ้อไทยในส่วนที่ถูกขับเคลื่อนจาก relative price changes ได้เป็นสัดส่วนสูงถึง 87.9% เทียบกับหมวดอาหารสดและหมวดพื้นฐานที่ 8.9% และ 3.2% ตามลำดับ นอกจากนี้ เรายังพบว่าบทบาทของปัจจัยเฉพาะที่มาจากหมวดพลังงานนั้นเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยหากพิจารณาช่วงก่อนและหลังวิกฤตการเงินโลกปี 2008 สัดส่วนความสำคัญเพิ่มขึ้นจาก 79.3% เป็น 87.8% ในขณะที่ความสำคัญของปัจจัยเฉพาะในหมวดอาหารสดมีน้อยลงจาก 17.7% เป็น 8.6% ความสำคัญของปัจจัยเฉพาะในหมวดพลังงานต่อความผันผวนของเงินเฟ้อไทยสะท้อนสัดส่วนการนำเข้าน้ำมันที่สูงเพื่อใช้การผลิตและการบริโภค ประกอบกับราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกมีความผันผวนที่สูงมาก

รูปที่ 2: ความสำคัญของ Common Component ต่อเงินเฟ้อไทย

ความสำคัญของ Common Component ต่อเงินเฟ้อไทย

ที่มา: กระทรวงพาณิชย์และคำนวณโดยคณะผู้วิจัยหมายเหตุ: กราฟแสดงสัดส่วนของความแปรปรวนของอัตราเงินเฟ้อ (% QoQSA) ในระดับสินค้าและบริการรายหมวดย่อยที่อธิบายได้ด้วย common component ที่ได้มาจากการคำนวณหา first principal component จากข้อมูลการเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าและบริการรายหมวดย่อยข้างต้นรวมทั้งสิ้น 120 รายการ ทั้งนี้ ผู้เขียนคำนวณสัดส่วนความแปรปรวนดังกล่าวทีละ 5-year window แกนนอนแสดงไตรมาสสุดท้ายของแต่ละ window
รูปที่ 3: ที่มาของความผันผวนของเงินเฟ้อไทยในส่วนที่เป็นผลจาก Relative Price Changes

ที่มาของความผันผวนของเงินเฟ้อไทยในส่วนที่เป็นผลจาก Relative Price Changes

ที่มา: กระทรวงพาณิชย์และคำนวณโดยคณะผู้วิจัยหมายเหตุ: สัดส่วนในรูปแสดงที่มา (contribution) ของความแปรปรวนของอัตราเงินเฟ้อไทยในส่วนที่เป็นผลจากปัจจัยเฉพาะหรือ relative price changes เพื่อแสดงให้เห็นว่าปัจจัยเฉพาะในหมวดใดมีบทบาทสำคัญ โดยการนำปัจจัยเฉพาะในแต่ละหมวดย่อย (รวม 73 หมวดตามรหัสดัชนี 4 หลักแรก) มาหาค่าความแปรปรวน แล้วจึงถ่วงน้ำหนักด้วยน้ำหนักค่าใช้จ่ายเฉลี่ยของสินค้าและบริการหมวดนั้น ๆ ในตะกร้าเงินเฟ้อในช่วงปี 2002Q2–2022Q1 ทั้งนี้ ปัจจัยเฉพาะคำนวณมาจาก residuals ของอัตราเงินเฟ้อ (% QoQSA) รายหมวดย่อยในส่วนที่อธิบายไม่ได้ด้วย common component ที่คำนวณโดยวิธี PCA

เพราะเหตุใด ปัจจัยร่วมถึงมีความสำคัญน้อยลง?

ปรากฎการณ์ที่ common component มีความสำคัญน้อยลงในไทย ตรงกับช่วงที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) นำกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อแบบยืดหยุ่นหรือ Flexible Inflation Targeting มาใช้ คล้ายกับปรากฎการณ์ที่ความสำคัญของ common component ในประเทศสหรัฐฯ ลดลงในช่วงกลางทศวรรษ 1990 ซึ่งตรงกับช่วงที่อัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ ปรับลดลงมาอยู่ในระดับต่ำและมีเสถียรภาพ ส่วนหนึ่งจากนโยบายการเงินที่มีความน่าเชื่อถือมากขึ้น (Borio et al., 2021) การดำเนินนโยบายการเงินที่ให้ความสำคัญกับการรักษาเสถียรภาพด้านราคา ย่อมมีส่วนในการยึดเหนี่ยวเงินเฟ้อคาดการณ์ของสาธารณชน ซึ่งสามารถลดทอนบทบาทของ common component ในการอธิบายเงินเฟ้อผ่าน 2 ช่องทางหลัก ได้แก่

  1. ความอ่อนไหวของราคาสินค้าและบริการต่อปัจจัยร่วมที่จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าและบริการในวงกว้างมีน้อยลง เนื่องจากผู้ประกอบการเชื่อว่าธนาคารกลางจะสามารถดูแลเงินเฟ้อให้อยู่ในกรอบเป้าหมายได้แม้จะเผชิญกับ macroeconomic shock เช่น การเปลี่ยนแปลงของวัฏจักรเศรษฐกิจ
  2. ปัจจัยเฉพาะสินค้าจะไม่ส่งผลกระทบไปยังราคาสินค้าและบริการอื่น ๆ เป็นวงกว้างผ่านการปรับเงินเฟ้อคาดการณ์โดยประชาชนและธุรกิจ ทำให้ยากที่จะเกิดปรากฏการณ์ที่ราคาสินค้าและบริการหลายชนิดเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกัน (common co-movement)

ในส่วนต่อไป บทความนี้จะประเมินว่าเหตุผลทั้ง 2 ข้อข้างต้นเป็นจริงมากน้อยแค่ไหนในบริบทของไทย เพื่อมาช่วยอธิบายสาเหตุว่าทำไมปัจจัยร่วมจึงมีความสำคัญน้อยลง

จริงหรือไม่ ที่ราคาสินค้าและบริการของไทยไม่ค่อยอ่อนไหวตามปัจจัยมหภาค?

ผลวิจัยจากหลายประเทศในระยะหลังมักพบว่า ความสัมพันธ์ระหว่างอัตราเงินเฟ้อและภาวะเศรษฐกิจในประเทศมีน้อยลง หรือที่เรียกว่า flattened Phillips curve ซึ่ง Manopimoke & Direkudomsak (2015) ชี้ให้เห็นว่า หลังปี 2000 ปรากฎการณ์ flattened Phillips curve นี้เกิดขึ้นในประเทศไทยเช่นกัน ซึ่งเป็นสัญญาณหนึ่งที่บ่งชี้ว่า ปัจจัยร่วมหรือปัจจัยมหภาคไม่ได้ส่งผลต่อเงินเฟ้อมากเท่าในอดีต อย่างไรก็ตาม งานศึกษาของ Manopimoke & Direkudomsak (2015) ที่ใช้ข้อมูลในระดับมหภาคเพื่อศึกษา Phillips curve อาจมองข้ามความสัมพันธ์ดังกล่าวในบางหมวดที่ระดับจุลภาคไปได้ ยกตัวอย่างเช่น ราคาในหมวดบริการ น่าจะอ่อนไหวกับวัฏจักรเศรษฐกิจไทยมากกว่าราคาสินค้าในหมวด tradables ที่มักเคลื่อนไหวไปตามปัจจัยภายนอกประเทศ

รูปที่ 4 (ซ้าย) แสดงความสัมพันธ์ระหว่างเงินเฟ้อรายหมวดย่อยและวัฏจักรเศรษฐกิจผ่านแบบจำลอง Phillips curve ในบริบทของไทย โดยวัฏจักรเศรษฐกิจนั้นวัดผ่านช่องว่างของผลผลิต (output gap) ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่า แม้พิจารณาความสัมพันธ์ Phillips curve ในระดับสินค้าและบริการรายย่อย การเปลี่ยนแปลงของวัฏจักรเศรษฐกิจไม่ได้ส่งผลต่อราคาสินค้าและบริการของไทยในวงกว้างเท่าใดนัก โดยราคาสินค้าและบริการเกินครึ่ง ไม่มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญกับ output gap ในขณะที่สินค้าและบริการที่เหลือประมาณ 41.5% แม้พบความสัมพันธ์ที่มีนัยสำคัญทางสถิติ แต่ทว่าค่าสัมประสิทธิ์ที่วัดได้มักอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำ โดยหาก output gap ลดลง 1% จะทำให้การเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าและบริการหมวดนั้น ๆ ลดลงเพียง 0.01–0.35% เท่านั้น บทบาทของวัฏจักรเศรษฐกิจต่อเงินเฟ้อไทยที่มีค่อนข้างน้อยนี้ จะเห็นได้ชัดจากรูปที่ 4 (ขวา) ซึ่งนำผลการศึกษา Phillips curve ข้างต้นมาคำนวณหาส่วนของเงินเฟ้อที่ถูกขับเคลื่อนโดยวัฏจักรเศรษฐกิจ (cyclical inflation) และส่วนที่ไม่สัมพันธ์กับวัฏจักรเศรษฐกิจ (acyclical inflation) โดยพบว่า เงินเฟ้อไทยจะถูกอธิบายโดย acyclical inflation เป็นสำคัญ โดยเฉพาะในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา

รูปที่ 4: ความสัมพันธ์ระหว่างเงินเฟ้อกับวัฏจักรเศรษฐกิจผ่าน Phillips curve ในระดับจุลภาค

ความสัมพันธ์ระหว่างเงินเฟ้อกับวัฏจักรเศรษฐกิจผ่าน Phillips curve ในระดับจุลภาค

ที่มา: กระทรวงพาณิชย์และคำนวณโดยคณะผู้วิจัยหมายเหตุ: แผนภูมิแท่งในรูปด้านซ้ายแสดงน้ำหนักรวมของสินค้าและบริการในตะกร้าเงินเฟ้อ ตามค่าสัมประสิทธิ์ βi\beta_{i}βi​ ของช่องว่างผลผลิต (output gap) ในสมการ Phillips Curve πit=ai+γiπi,t−1+βixt+eit\pi_{it} = a_{i} + \gamma_{i} \pi_{i, t-1} + \beta_{i} x_{t} + e_{it}πit​=ai​+γi​πi,t−1​+βi​xt​+eit​ โดย πit\pi_{it}πit​ คืออัตราเงินเฟ้อ (% QoQSA) รายหมวดย่อยรวม 63 หมวด (แบ่งหมวดตามรหัสดัชนี 4 หลักแรก) xtx_{t}xt​ คือค่าเฉลี่ยของช่องว่างการผลิตในไตรมาสปัจจุบันและ 3 ไตรมาสก่อนหน้า ทั้งนี้ น้ำหนักรวมในรูปด้านซ้ายคำนวณจากน้ำหนักของหมวดสินค้าและบริการนั้น ๆ ในตะกร้าเงินเฟ้อเฉลี่ยในช่วง 2002Q2–2022Q1 รูปด้านขวาแสดงที่มาของอัตราเงินเฟ้อไทย (% QoQSA) แบ่งตามหมวดที่พบค่าสัมประสิทธิ์ βi\beta_{i}βi​ ที่มีและไม่มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 95% โดยแสดงด้วยแถบสีน้ำเงินและสีเขียว ตามลำดับ

ปัจจัยเฉพาะส่งผ่านไปยังราคาสินค้าและบริการอื่น ๆ เป็นวงกว้างหรือไม่?

แม้เงินเฟ้อไทยจะไม่ค่อยอ่อนไหวกับปัจจัยมหภาค แต่การเคลื่อนไหวของราคาสินค้าและบริการหลายประเภทยังสามารถเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกันได้หาก relative price shock ที่มีบทบาทมากในไทย ส่งผ่านไปยังราคาสินค้าและบริการอื่น ๆ ในลักษณะที่กระจายและเป็นวงกว้าง โดยปกติแล้ว ผลกระทบของ relative price shock สามารถส่งผ่านไปยังราคาสินค้าและบริการชนิดอื่นได้ด้วยกลไกการส่งผ่านต้นทุนโดยตรง (direct pass through) เช่น ราคาเนื้อสุกรที่แพงทำให้ราคาอาหารสำเร็จรูปปรับสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม การส่งผ่านในลักษณะนี้จะไม่กระจายไปในวงกว้าง ผิดกับการที่ relative price shock นั้นเริ่มส่งผลมายังเงินเฟ้อคาดการณ์ของประชาชนและธุรกิจ ซึ่งจะทำให้มีผลต่อเนื่องมาที่พฤติกรรมการกำหนดราคาสินค้าและค่าจ้างแรงงานโดยผู้ประกอบการ และเกิดการปรับราคาสินค้าและบริการในวงกว้าง (second round effect) ทั้งนี้ โดยส่วนใหญ่แล้ว การเกิด second round effect ในลักษณะนี้มักเกิดในกรณีที่ relative price shock นั้นมีขนาดใหญ่มากและเกิดขึ้นอย่างยาวนานและต่อเนื่อง เช่น กรณีการเกิด oil price shock ในยุค 1970 หรือในกรณีที่ธนาคารกลางไม่สามารถยึดเหนี่ยวเงินเฟ้อคาดการณ์ระยะยาวได้ดี

บทความนี้ศึกษาลักษณะการส่งผ่านของ relative price shock ในไทยผ่าน 2 วิธี วิธีแรกอิงงานศึกษาของ Borio et al. (2021) เพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่าง relative price shock กับเงินเฟ้อพื้นฐานซึ่งเป็นส่วนของเงินเฟ้อที่อาจใช้สะท้อนแนวโน้ม (trend) ของเงินเฟ้อไปในระยะยาวได้และช่วยบ่งชี้ถึงการเกิด second round effect ผลการศึกษาที่แสดงในรูปที่ 5 พบว่า ค่าสัมประสิทธิ์ที่แสดงผลกระทบของ relative price shock ที่มีต่อเงินเฟ้อพื้นฐานส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ใกล้ศูนย์ ซึ่งรวมถึงค่าสัมประสิทธิ์ของ relative price shock ที่เกิดในสินค้าหมวดพลังงานและอาหารสดก็ยังไม่กระจายตัวมากเช่นกัน (พื้นที่สีแดง) จึงสะท้อนว่าการเกิด relative price shock ไม่ได้ก่อให้เกิดผลกระทบในวงกว้างต่อราคาสินค้าและบริการอื่น ๆ และทำให้เงินเฟ้อตัวรวมต้องเพิ่มขึ้นหรือลดลงต่อเนื่องยาวนาน การที่ผลของ relative price shock ไม่กระจายตัวเป็นวงกว้างในกรณีของไทยนั้น สอดคล้องกับผลการศึกษาของ Borio et al. (2021) ที่ใช้ข้อมูลของสหรัฐฯ ในช่วงเดือน ม.ค. 1986 ถึง ธ.ค. 2019 และพบว่า การเกิด second round effect ในสหรัฐฯ นั้นมีจำกัด เนื่องจากความสามารถของธนาคารกลางในการยึดเหนี่ยวเงินเฟ้อคาดการณ์ของสาธารณชนมีประสิทธิภาพ

รูปที่ 5: ผลกระทบของ Relative Price Shock ต่ออัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน

ผลกระทบของ Relative Price Shock ต่ออัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน

ที่มา: กระทรวงพาณิชย์และคำนวณโดยคณะผู้วิจัยหมายเหตุ: แกนนอนแสดงค่าสัมประสิทธิ์ของปัจจัยเฉพาะ (relative price shocks) ที่ส่งผลต่ออัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน 1 ปีข้างหน้าตามสมการ πt+4core,yoy=μ+βiΔrpi,t++γxt+∑s=04ρsπt−score,qoq+υt\pi_{t+4}^{\text{core}, \text{yoy}} = \mu + \beta_{i} \Delta r p_{i,t}^+ + \gamma x_{t} + \sum_{s=0}^4 \rho_s \pi_{t-s}^{\text{core} ,\text{qoq}} + \upsilon_{t}πt+4core,yoy​=μ+βi​Δrpi,t+​+γxt​+∑s=04​ρs​πt−score,qoq​+υt​ โดยปัจจัยเฉพาะคำนวณมาจาก residuals ของอัตราเงินเฟ้อ (% QoQSA) 73 หมวด (แบ่งหมวดตามรหัสดัชนี 4 หลักแรก) ที่อธิบายไม่ได้ด้วยปัจจัยร่วมจากวิธี PCA ทั้งนี้ สมการข้างต้นจะพิจารณาเฉพาะ salient relative price shocks (Δrpi,t+\Delta r p_{i,t}^+Δrpi,t+​) ตามนิยามของ Borio et al. (2021) ส่วน xtx_{t}xt​ คือช่องว่างการผลิตในไตรมาส ttt

อีกวิธีหนึ่งที่สามารถใช้ศึกษาการกระจายตัวของปัจจัยเฉพาะที่ส่งผลต่อเนื่องไปยังราคาสินค้าและบริการประเภทอื่นคือ การนำแบบจำลอง Generalized Vector Autoregression มาคำนวณ shock spillover ตามวิธีการของ Diebold & Yilmaz (2012) วิธีนี้จะวิเคราะห์ว่าที่มาของความแปรปรวนของราคาสินค้าและบริการในหมวดย่อย มาจาก shock ภายในหมวดตนเองหรือจากหมวดอื่น ๆ มากน้อยแค่ไหน ซึ่งหากค่าความแปรปรวนของราคาถูกอธิบายด้วย shock ในหมวดตัวเองเป็นหลัก ย่อมแสดงว่าการกระจายตัวของปัจจัยเฉพาะไปยังราคาสินค้าและบริการอื่น ๆ ในตะกร้าเงินเฟ้อนั้นมีจำกัด ซึ่งท้ายที่สุดจะส่งผลให้การเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางเดียวกันระหว่างราคาสินค้าและบริการในตะกร้าเงินเฟ้อนั้นมีไม่มากนัก

รูปที่ 6 แสดงให้เห็นว่า ความแปรปรวนของเงินเฟ้อไทยที่จำแนกเป็น 19 หมวดหลัก ขึ้นอยู่กับ shock ในหมวดตัวเองเป็นสำคัญ โดยอยู่ที่สัดส่วนเฉลี่ยสูงถึง 46.6% (ค่าเฉลี่ยของตัวเลขในกล่อง diagonal สีเทา) ส่วนความรุนแรงของ spillover ระหว่างแต่ละหมวดสินค้า อยู่ในระดับค่อนข้างต่ำ (ค่าเฉลี่ยของตัวเลขในกล่อง off-diagonal ซึ่งวัดการส่งผ่านระหว่างหมวด อยู่ที่ 3%) และไม่ได้มีลักษณะที่กระจายเป็นวงกว้าง เนื่องจากมักเกิดขึ้นระหว่างหมวดที่มีความเกี่ยวข้องกันสูง เช่น shock spillover ในหมวดอาหาร (ช่องที่ 1 ถึง 7) เป็นต้น

หากพิจารณาเพิ่มเติมว่าเงินเฟ้อในหมวดใดเป็นหมวดที่รับและส่ง shock ต่อหมวดอื่น ๆ ในตะกร้าเงินเฟ้อมากที่สุด ตัวเลขที่แสดงอยู่ในช่องขวาสุด (From others) ชี้ให้เห็นว่าหมวดที่ได้รับ shock spillover มากที่สุดคือหมวดอาหารสำเร็จรูป (83.8%) ซึ่งรับมาจากหมวดเครื่องประกอบอาหารเป็นหลัก (31.3%) เนื่องจากเป็นต้นทุนที่สำคัญ สำหรับหมวดที่เป็นฝ่ายส่งออก shock มากที่สุดตามตัวเลขในช่องล่างสุดในตาราง (To Others) คือหมวดพลังงาน ซึ่งส่งออกไปยังหมวดค่าโดยสารสาธารณะมากที่สุด (19%) และยังส่งผ่านไปยังหมวดอื่น ๆ ด้วยพอสมควร ซึ่งไม่น่าแปลกใจในเมื่อสินค้าในหมวดพลังงาน ได้แก่ น้ำมัน ไฟฟ้า ถือได้ว่าเป็นปัจจัยสำคัญในการผลิตสินค้าแทบทุกประเภท ดังนั้น ผลการศึกษาในส่วนนี้จึงชี้ให้เห็นว่า หมวดต่าง ๆ ในตะกร้าเงินเฟ้อส่งผ่าน shock ให้กันและกันในระดับที่ไม่ได้สูงมากหรือกระจายเป็นวงกว้าง หรืออาจกล่าวได้ว่า shock spillover เหล่านี้สะท้อนการส่งผ่านของต้นทุนโดยตรงมากกว่าเป็นลักษณะของการเกิด second round effect และทำให้เงินเฟ้อที่มาจากปัจจัยเฉพาะสามารถคลี่คลายได้เองและไม่ยืดเยื้อ อย่างไรก็ดี ผู้ดำเนินนโยบายอาจต้องติดตาม shock ในบางหมวด โดยเฉพาะหมวดพลังงาน ที่หากเกิดขึ้นรุนแรงและต่อเนื่อง อาจนำไปสู่ผลกระทบต่อราคาในวงกว้างได้ง่ายกว่า shock ในหมวดอื่น ๆ

รูปที่ 6: Shock Spillover ระหว่างหมวดต่างๆ ในเงินเฟ้อไทย

Shock Spillover ระหว่างหมวดต่างๆ ในเงินเฟ้อไทย

ที่มา: กระทรวงพาณิชย์และคำนวณโดยคณะผู้วิจัยหมายเหตุ: ตารางแสดง spillovers ที่ได้มาจากการคำนวณ generalized forecast error variance decomposition ในระยะ 1 ปีข้างหน้า จากแบบจำลอง Generalized Vector Autoregression โดยใช้ข้อมูลอัตราเงินเฟ้อรายเดือน (% YoY) ของสินค้าและบริการ 19 หมวด (แบ่งหมวดตามรหัสดัชนี 3 หลักแรกสำหรับหมวดอาหาร และ 2 หลักแรกสำหรับหมวดอื่นๆ) ตัวเลขในแต่ละแถวแสดงสัดส่วนของค่าความแปรปรวนของอัตราเงินเฟ้อในหมวดสินค้าและบริการหนึ่งที่ถูกอธิบายโดย shocks ที่เกิดขึ้นจากอีก 19 หมวด

การวิเคราะห์เงินเฟ้อในบริบทที่ปัจจัยเฉพาะมีความสำคัญ

การที่เงินเฟ้อไทยถูกขับเคลื่อนโดยปัจจัยเฉพาะเป็นสำคัญ ส่งผลให้เงินเฟ้อไทยมีความผันผวนสูง ซึ่งความผันผวนนี้จะไม่สะท้อนการเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าและบริการในวงกว้าง อีกทั้งไม่สะท้อนแรงกดดันต่อเงินเฟ้อในระยะยาวได้ดีเท่าไหร่นัก ดังนั้น การคำนวณและติดตามเครื่องชี้แนวโน้มเงินเฟ้อ (underlying inflation) จึงมีความสำคัญมากเพื่อช่วยให้ผู้ดำเนินนโยบาย โดยเฉพาะธนาคารกลาง สามารถประเมินทิศทางและแรงกดดันเงินเฟ้อได้ดียิ่งขึ้น เนื่องจาก underlying inflation จะช่วยขจัดการเคลื่อนไหวของเงินเฟ้อในส่วนที่เป็นความผันผวนในระยะสั้นออกไป โดยเฉพาะส่วนที่เป็นผลจาก relative price changes ซึ่งบทบาทของนโยบายการเงินในการเข้าไปจัดการมีอยู่จำกัด

บทความนี้ใช้แบบจำลองทางเศรษฐมิติ Generalized Dynamic Factor Model ตามวิธีของ Forni et al. (2000) มาคำนวณปัจจัยร่วมของราคาสินค้าและบริการรายย่อย หรือเรียกว่า Common Component CPI ซึ่งสามารถนำไปใช้พิจารณาแนวโน้มเงินเฟ้อประกอบกับเครื่องชี้แนวโน้มเงินเฟ้ออื่น ๆ ที่ ธปท. ติดตามอยู่ ทั้งนี้ เครื่องชี้ที่สร้างขึ้นจะทำให้เห็นภาพว่าในช่วงที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปปรับสูงขึ้นตาม relative price shock เช่นในบริบทปัจจุบัน ราคาสินค้าและบริการในหมวดอื่น ๆ เพิ่มสูงขึ้นตามมากน้อยเพียงใด

รูปที่ 7 แสดง Common Component CPI กับเครื่องชี้แนวโน้มเงินเฟ้ออื่นๆ ที่ ธปท. ติดตาม (พื้นที่แรเงา) ซึ่งรวมถึงอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน โดยสังเกตได้ว่า เครื่องชี้แนวโน้มเงินเฟ้อทั้งหมดของไทย มีทิศทางการเคลื่อนไหวที่สอดคล้องกัน และมีความผันผวนน้อยกว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปพอสมควร ในปัจจุบัน จะเห็นได้ว่าค่าของ Common Component CPI ในเดือน มิ.ย. 2022 ที่ 2.42% อยู่ในระดับต่ำกว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปที่ 7.66% ค่อนข้างมาก และยังอยู่ภายในกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อระยะปานกลางซึ่งกำหนดไว้ที่ 1–3% ดังนั้น ถึงแม้ว่าความเคลื่อนไหวของอัตราเงินเฟ้อไทยในช่วงนี้จะถูกขับเคลื่อนโดย relative price shock เป็นสำคัญ ปัจจัยเหล่านี้ยังไม่ส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าและบริการอื่น ๆ เป็นวงกว้าง และน่าจะสามารถคลี่คลายไปได้เองในระยะสั้นอย่างที่เคยเกิดขึ้นในอดีต ดังนั้น ความเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาเงินเฟ้อสูงต่อเนื่องจึงยังมีไม่มากนัก

รูปที่ 7: เครื่องชี้แนวโน้มเงินเฟ้อและอัตราเงินเฟ้อทั่วไป

เครื่องชี้แนวโน้มเงินเฟ้อและอัตราเงินเฟ้อทั่วไป

ที่มา: กระทรวงพาณิชย์และคำนวณโดยคณะผู้วิจัยหมายเหตุ: Common Component CPI คำนวณโดยแบบจำลองทางเศรษฐมิติ Generalized Dynamic Factor Model ตามวิธีของ Forni et al. (2000) โดยนำราคาสินค้าและบริการในตะกร้าเงินเฟ้อทั้งหมดมาจัดกลุ่มเป็น 66 หมวดย่อย (ตามรหัสดัชนี 4 หลักแรก) แล้วทำการสกัดปัจจัยร่วมที่ทำให้ราคาสินค้าและบริการทั้ง 66 หมวดนี้เคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกัน

ข้อสรุปและนัยเชิงนโยบาย

การศึกษาเงินเฟ้อผ่านข้อมูลราคารายหมวดย่อยทำให้ได้ข้อสรุปว่า ปัจจัยเฉพาะมีบทบาทสำคัญต่อการอธิบายพลวัตเงินเฟ้อไทย ขณะที่ปัจจัยมหภาคกลับมีบทบาทน้อย ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการที่ธนาคารกลางสามารถยึดเหนี่ยวเงินเฟ้อคาดการณ์ได้ดีในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี การดำเนินนโยบายการเงินท่ามกลาง relative price shock ย่อมมีความท้าทาย เนื่องจาก relative price shock มักเกิดจากปัจจัยด้านอุปทานที่นโยบายการเงินไม่สามารถควบคุมได้ ดังนั้น ผู้ดำเนินนโยบายควรมองผ่าน (look through) ความผันผวนระยะสั้นเหล่านี้ โดยเน้นการดำเนินนโยบายแบบยืดหยุ่นและให้ความสำคัญกับการปรับตัวของเงินเฟ้อเข้าสู่กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อในระยะปานกลางเป็นหลัก รวมทั้งตระหนักว่านโยบายที่เหมาะสมกับการจัดการกับ relative price shock เหล่านี้ อาจเป็นมาตรการรัฐที่สามารถเข้าไปจัดการกับปัญหาในแต่ละ sector ได้ตรงจุดมากกว่า

ความท้าทายอีกประการหนึ่งในการดูแลเงินเฟ้อที่ถูกขับเคลื่อนโดย relative price shock คือความเสี่ยงที่ในบางช่วงเวลาที่ relative price shock มีความรุนแรงและยืดเยื้อ ในกรณีนี้ ผลกระทบของ shock อาจกระจายเป็นวงกว้างผ่านการเกิด second round effect ซึ่งผลลัพธ์ที่ตามมาคือเงินเฟ้อที่จะคงค้างอยู่ในระดับสูงเป็นเวลานาน และก่อให้เกิดต้นทุนที่สูงทางด้านเศรษฐกิจเนื่องจากธนาคารกลางอาจต้องใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากเพื่อลดเงินเฟ้อลงมาให้อยู่ในกรอบเป้าหมาย ดังนั้น ในบริบทดังกล่าว ธนาคารกลางควรเน้นการยึดมั่น (commit) ในกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อเพื่อยึดเหนี่ยวเงินเฟ้อคาดการณ์ของสาธารณชน

บทเรียนจากงานศึกษานี้ยังมีนัยต่อการติดตามภาวะเงินเฟ้อสำหรับการดำเนินนโยบายการเงิน ซึ่งต้องอาศัยข้อมูลราคาในเชิงลึกเพื่อวิเคราะห์ที่มาของเงินเฟ้อ และประเมินการกระจายตัวของผลกระทบของ relative price shock ซึ่งจะทำให้สามารถประเมินแนวโน้มเงินเฟ้อและความเสี่ยงต่อเงินเฟ้อในภาพรวมได้อย่างถูกต้องแม่นยำขึ้น โดยข้อมูลเชิงลึกดังกล่าว ยังมีความสำคัญต่อการสื่อสารกับสาธารณชน เพื่อให้เข้าใจถึงที่มาของเงินเฟ้อและการตัดสินนโยบายการเงินได้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย

เอกสารอ้างอิง

Apaitan, T., Disyatat, P., & Manopimoke, P. (2020). Thai inflation dynamics: A view from disaggregated price data. Economic Modelling, 84, 117–134.
Borio, C., Disyatat, P., Xia, D., & Zakrajšek, E. (2021). Monetary policy, relative prices and inflation control: flexibility born out of success.
Diebold, F. X., & Yilmaz, K. (2012). Better to give than to receive: Predictive directional measurement of volatility spillovers. International Journal of Forecasting, 28(1), 57–66.
Forni, M., Hallin, M., Lippi, M., & Reichlin, L. (2000). The generalized dynamic-factor model: Identification and estimation. Review of Economics and Statistics, 82(4), 540–554.
Manopimoke, P., & Direkudomsak, W. (2015). Thai Inflation Dynamics in a Globalized Economy (Discussion Paper No. 11). Puey Ungphakorn Institute for Economic Research.

  1. ผู้อ่านสามารถดู Apaitan et al. (2020) เพิ่มเติม ซึ่งเป็นงานศึกษาแรกที่ใช้ข้อมูลราคาสินค้าและบริการรายย่อยเพื่อศึกษาพลวัตเงินเฟ้อไทย↩
ข้อคิดเห็นที่ปรากฏในบทความนี้เป็นความเห็นของผู้เขียน ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับความเห็นของสถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์
Topics: MacroeconomicsMonetary EconomicsEconometrics
Tags: inflationrelative pricescommon component
พิม มโนพิโมกษ์
พิม มโนพิโมกษ์
ธนาคารแห่งประเทศไทย
นุวัต หนูขวัญ
นุวัต หนูขวัญ
สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์
ชัยธัช จิโรภาส
ชัยธัช จิโรภาส
ธนาคารแห่งประเทศไทย

สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์

273 ถนนสามเสน แขวงวัดสามพระยา เขตพระนคร กรุงเทพฯ 10200

โทรศัพท์: 0-2283-6066

Email: pier@bot.or.th

เงื่อนไขการให้บริการ | นโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2566 สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์

เอกสารเผยแพร่ทุกชิ้นสงวนสิทธิ์ภายใต้สัญญาอนุญาต Creative Commons Attribution-NonCommercial-ShareAlike 3.0 Unported license

Creative Commons Attribution NonCommercial ShareAlike

รับจดหมายข่าว PIER

Facebook
YouTube
Email