Research
Discussion Paper
PIERspectives
aBRIDGEd
PIER Blog
Events
Conferences
Research Workshops
Policy Forums
Seminars
Exchanges
Research Briefs
Community
PIER Research Network
Visiting Fellows
Funding and Grants
About Us
Our Organization
Announcements
PIER Board
Staff
Work with Us
Contact Us
TH
EN
Research
Research
Discussion Paper
PIERspectives
aBRIDGEd
PIER Blog
Not Over the Hill: Exploring the Digital Divide among Vulnerable Older Adults in Thailand
Discussion Paper ล่าสุด
Not Over the Hill: Exploring the Digital Divide among Vulnerable Older Adults in Thailand
ใครคือผู้กำหนดทิศทางค่าจ้างของแรงงานไทย: ภาครัฐ หรือภาคเอกชน?
aBRIDGEd ล่าสุด
ใครคือผู้กำหนดทิศทางค่าจ้างของแรงงานไทย: ภาครัฐ หรือภาคเอกชน?
Events
Events
Conferences
Research Workshops
Policy Forums
Seminars
Exchanges
Research Briefs
International Policy Forum on Climate Finance
งานประชุมเชิงนโยบายล่าสุด
International Policy Forum on Climate Finance
Joint NSD-PIER Applied Microeconomics Research Workshop
งานประชุมเชิงปฏิบัติการล่าสุด
Joint NSD-PIER Applied Microeconomics Research Workshop
สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์
สถาบันวิจัยเศรษฐกิจ
ป๋วย อึ๊งภากรณ์
Puey Ungphakorn Institute for Economic Research
Community
Community
PIER Research Network
Visiting Fellows
Funding and Grants
PIER Research Network
PIER Research Network
Funding & Grants
Funding & Grants
About Us
About Us
Our Organization
Announcements
PIER Board
Staff
Work with Us
Contact Us
Staff
Staff
Call for Papers: PIER Research Workshop 2025
ประกาศล่าสุด
Call for Papers: PIER Research Workshop 2025
ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิpages
เนื่องในโอกาส PIER ครบรอบ 10 ปี
QR code

เมื่อมองย้อนกลับไปยังเส้นทางการเติบโตของสถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ (PIER) ตลอดช่วงทศวรรษที่ผ่านมา หนึ่งในบุคคลสำคัญที่มีบทบาทอย่างต่อเนื่องในการผลักดันให้สถาบันเติบโตอย่างมั่นคง คือ ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนปัจจุบัน ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งกรรมการของ PIER มาตั้งแต่ยุคแรกเริ่ม ก่อนจะมารับหน้าที่ในตำแหน่งประธานคณะกรรมการในปัจจุบัน

ในบทสัมภาษณ์พิเศษนี้ ดร.เศรษฐพุฒิ ได้สะท้อนมุมมองต่อบทบาทของ PIER ในฐานะ “พื้นที่” ที่เกื้อหนุนการตัดสินใจเชิงนโยบายของธนาคารกลาง ซึ่งต้องอาศัยความรอบคอบ ความแม่นยำ และความลึกซึ้งของข้อมูล โดยเฉพาะในบริบทของโลกที่ซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว นอกจากนี้ ท่านยังชี้ให้เห็นว่า PIER ไม่เพียงเป็นศูนย์กลางของการผลิตองค์ความรู้เชิงลึก หากแต่ยังเป็นเวทีในการพัฒนาคน โดยเฉพาะนักวิจัยรุ่นใหม่ ที่สามารถสร้างงานคุณภาพและมีมาตรฐานระดับสากล เพื่อสนับสนุนการกำหนดนโยบายเศรษฐกิจไทยได้อย่างยั่งยืน

รู้สึกดีใจที่ได้อยู่กับ PIER ตั้งแต่เริ่มต้น ในฐานะที่เป็นกรรมการตั้งแต่ยุคที่ ดร.ประสาร เป็นผู้ว่าฯ และก่อตั้ง PIER จนถึงช่วงผู้ว่าฯ วิรไท ซึ่งได้เห็นการเติบโตของ PIER มาโดยตลอด อันดับแรกคือรู้สึกภูมิใจที่มีส่วนร่วมและมีส่วนช่วยในการให้คำแนะนำต่าง ๆ เกี่ยวกับการทำงานของ PIER ตั้งแต่เริ่มแรก และรู้สึกยินดีที่เห็น PIER ประสบความสำเร็จขนาดนี้ ต้องบอกว่าประสบความสำเร็จได้ดีกว่าที่คาด เพราะว่าก็ทราบกันดีว่า PIER ไม่ได้เป็นหน่วยงานที่ใหญ่และด้วยจำนวนคนที่ไม่ได้มากนัก แต่สามารถสร้างความยอมรับได้ในวงกว้างทั้งในประเทศไทยและในระดับสากล รวมทั้งมีผลงานที่น่าเชื่อถือ ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องชื่นชมทีมงาน ผู้อำนวยการ ผู้บริหารที่ช่วยผลักดันทำให้ PIER มาได้ถึงขนาดนี้

ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ

เสริมพลังธนาคารกลาง ด้วยองค์ความรู้และบุคลากรคุณภาพ

ในฐานะผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ท่านมองว่างานของ PIER มีส่วนช่วยการดำเนินงานของ ธปท. อย่างไรบ้าง

ขอบเขตงานของ PIER ค่อนข้างกว้างและหลากหลาย ในภาพรวม มีหลายเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อการทำงานของ ธปท. ซึ่งงานของธนาคารกลางเป็นงานที่มีความละเอียดอ่อน ต้องพึ่งข้อมูล โดยเฉพาะการต้องตัดสินใจในเรื่องยาก ๆ บนพื้นฐานของข้อมูล เพราะทุกอย่างที่ทำนี้ต้องมีที่มาที่ไป สิ่งที่ PIER ทำจึงช่วยให้ ธปท. มีพื้นฐานในการตัดสินใจที่ลึกซึ้งขึ้น ในแง่ของการทำงานด้านนโยบาย บางครั้งผู้ปฏิบัติงานต้องรับมือกับงานเฉพาะหน้ามากมายจนอาจจะไม่มีเวลาศึกษาเชิงลึกอย่างละเอียดเท่าที่ควร แต่ PIER ซึ่งมีพื้นที่และบุคลากรที่เชี่ยวชาญก็สามารถช่วย ธปท. เสริมตรงนี้ได้ นอกจากนี้ PIER ยังมีส่วนช่วยอย่างมากในเรื่องการพัฒนาคน คือ PIER เป็นพื้นที่ที่สามารถนำบุคลากรของ ธปท. เข้ามาหมุนเวียนเพื่อฝึกให้เขามีพื้นที่ในการคิดทำงานเชิงลึก ธปท. เป็นองค์กรที่มีคนจบปริญญาเอกค่อนข้างเยอะ เช่นเดียวกับหน่วยงานอื่นข้างนอก แต่ที่น่าเสียดาย ไม่ใช่เฉพาะใน ธปท. เท่านั้น แต่ในประเทศไทยโดยรวม เราอาจไม่ได้ใช้ศักยภาพของคนที่จบปริญญาเอกเท่าที่ควร คือคนที่จบปริญญาเอกจะมีศักยภาพในการทำงานวิจัยที่ดี แต่ความสามารถนั้นมีอายุขัยของมัน ถ้าไม่ได้นำไปใช้ในช่วงที่เพิ่งจบใหม่นี้ ความสามารถเหล่านั้นก็จะเสื่อมเร็วมาก ดังนั้น การที่เรามีหน่วยงานอย่าง PIER และสามารถที่จะให้คนที่จบใหม่ซึ่งมีไฟและศักยภาพในการทำวิจัย มีพื้นที่ที่จะสามารถทำงานวิจัยเชิงลึกได้ เป็นการช่วยทั้งคนที่จบปริญญาเอกและองค์กร และท้ายสุดคือช่วยประเทศด้วย เพราะว่าเราได้มีนักวิจัยที่ทำงานวิจัยเกี่ยวกับประเทศไทยในระดับที่ลึกซึ้ง และเป็นงานวิชาการที่ทุกคนยอมรับ

สานสัมพันธ์ สร้างโอกาส ยกระดับคุณภาพงานวิจัย

ในฐานะที่ท่านคลุกคลีกับ PIER มานาน ท่านคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับการดำเนินงานของ PIER ที่ผ่านมา

หากพูดถึงสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกภาคภูมิใจเป็นพิเศษ และเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ผมคิดว่าทำให้ PIER ประสบความสำเร็จอย่างแท้จริง คือการไม่ลดหย่อนคุณภาพของงานวิชาการ ซึ่งเปรียบเสมือนแกนและแก่นหลักของสถาบันวิจัย เห็นได้จากมาตรวัดที่เป็น standard อย่างการตีพิมพ์ในวารสารนานาชาติ (peer-reviewed journal) สะท้อนให้เห็นถึงการยอมรับโดยเฉพาะในเวทีสากล และทำให้คนสนใจมาทำงานร่วมกับ PIER ไม่ว่าจะเป็นเด็กนักเรียนหรือนักวิจัย

เรามักจะได้ยินว่า หากมุ่งเน้นไปที่งานวิชาการมากเกินไป อาจไม่สามารถสนับสนุนงานที่มีนัยต่อนโยบายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งกลายเป็นว่าความเป็นวิชาการกับการทำงานที่เกี่ยวข้องกับนโยบายเป็นสิ่งที่ต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง (trade-off) แต่ผมคิดว่าไม่ใช่ การมองแบบนี้เป็น false dichotomy หรือ การแบ่งแยกที่ผิดพลาด เพราะสองอย่างนี้ต้องไปด้วยกัน เนื่องจากงานด้านนโยบายเป็นงานที่ยาก มีความละเอียดอ่อน ต้องมีมาตรฐานในการศึกษาที่สูง และส่งผลกระทบต่อทั้งประเทศ ดังนั้น ในการที่จะใช้องค์ความรู้หรือเทคนิคอะไรที่ได้รับการยอมรับในวงวิชาการนั้นยิ่งสำคัญ ทั้งนี้ หลายองค์กรในประเทศไทยเน้นทำงานที่มีนัยต่อนโยบายหรือ policy relevant และคิดว่าไม่ต้องทำงานวิชาการมากนัก จึงลดมาตรฐานด้านวิชาการลงและคิดว่าเป็นแนวทางที่ดี แต่ท้ายที่สุดแล้วผลงานที่ผลิตออกมาไม่ได้คุณภาพและไม่เป็นที่ยอมรับ และไม่ได้ถูกนำไปใช้ประโยชน์ ดังนั้น ดีใจที่ PIER สามารถรักษามาตรฐานของวิชาการได้ ส่วนเรื่องที่จะทำโจทย์ที่ยากและจะสื่อสารให้คนทั่วไปเข้าใจได้อย่างไรนั้นก็คืออีกโจทย์หนึ่ง แต่งานที่ออกมาต้องถูกต้องและเป็นที่ยอมรับก่อน

นอกจากนี้ สิ่งที่ PIER ทำได้ดี คือ ผลิตงานให้ออกมาในรูปแบบที่คนเข้าถึงแล้วเข้าใจได้ง่ายขึ้น อย่างเช่นบทความวิชาการโดยย่อ aBRIDGEd อีกด้านที่ PIER ทำได้ดีกว่าที่คาด คือ การสร้างเครือข่าย หรือ networking เพราะเรามีข้อจำกัดในการคัดสรรคนที่มีศักยภาพ ซึ่งคนที่มีความสามารถในระดับที่เราต้องการนั้นมีน้อย ดังนั้น หากเราสวมหมวกว่าต้องทำเองทุกอย่าง ก็จะยิ่งเพิ่ม scale ได้ยาก แต่ PIER ใช้วิธีการทำงานแบบเน้นการร่วมมือกันของเครือข่ายและการสร้างสายสัมพันธ์ (connection) โดยให้คนภายนอกที่มีความรู้มากกว่าและศักยภาพที่ตรงจุดกว่ามาร่วมมือทำกับเรา ซึ่งต้องบอกว่าทำได้ดีมาก ขอชื่นชม และคิดว่าจำเป็นที่จะต้องทำต่อไป

ปรับกลยุทธ์ รับมืออนาคต สู่ความก้าวหน้าที่แท้จริง

ในอนาคต ท่านอยากเห็น PIER ปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางใด

บริบทหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไป หลายสิ่งที่ธนาคารกลางต้องเผชิญก็เปลี่ยนไป การทำงานของคนใน ธปท. และ PIER ที่ควรต้องปรับเปลี่ยน คือ หัวข้อ หรือ area โดยที่ผ่านมาเราเน้นงานด้านเศรษฐกิจมหภาค ด้านนโยบาย ด้านเงินเฟ้อ แต่ปัจจุบันมีโจทย์ที่ท้าทายเยอะขึ้น ซึ่งโจทย์พวกนี้เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ตามเวลา ถ้าพูดถึงในบริบทปัจจุบัน (ปี 2025) ก็อาจจะคิดถึงโจทย์ด้านกฎข้อบังคับ (regulations) และด้านการกำกับดูแล โดยเฉพาะเรื่อง payment ที่มีผู้เล่นใหม่เข้ามา ซึ่งต้องมีการกำกับดูแลที่ต้องอาศัยพื้นฐานด้านวิชาการ หากมองไปข้างหน้า โจทย์เหล่านี้เป็นโจทย์สำคัญที่ PIER สามารถเชื่อมต่อได้ดีและจะช่วยปิดช่องว่างให้กับ ธปท. ได้

นอกจากนี้ อยากให้ PIER ลำดับความสำคัญ (prioritize) ให้ได้มากกว่านี้ คือการที่เราพยายามทำงานหลายอย่างมากเกินไป จะทำให้ทุกอย่างถดถอยลง ซึ่งเข้าใจว่ามีแรงกดดันจากหลายที่ ทั้งเรื่องที่กระทบภาพรวมของเศรษฐกิจที่เราต้องเข้าไปดู ไม่ว่าจะเป็นเรื่องแรงงาน การแข่งขันที่มันกว้างมาก แต่ด้วยข้อจำกัดต่างๆ ที่เราไม่ควรทำงานหลายอย่างมากเกินไป เพราะคุณภาพของงานที่ได้จะแย่ลง

อีกหนึ่งความสำเร็จที่ได้ยินบ่อยคือ การที่ PIER เป็นต้นแบบองค์กร โดยมีหน่วยงานอื่นติดต่อมาว่าอยากมีองค์กรรูปแบบนี้ ซึ่งทำได้ยากและมีคนทำได้ไม่เยอะ ดังนั้น แทนที่ PIER จะไปทำงานแทนเขาจนกลายเป็นทำงานเยอะเกินไปและส่งผลให้คุณภาพงานลดลง เราควรทำให้เขา set up ให้ได้แบบเราเพื่อตอบโจทย์องค์กรของเขาจะเหมาะสมและยั่งยืนกว่าสำหรับสองฝ่าย เพราะเขาจะได้มีศักยภาพในการทำวิจัยที่สามารถสนับสนุนการตัดสินใจในการทำนโยบายได้อย่างที่เราทำ ในขณะเดียวกัน เราก็สามารถโฟกัสงานของเราได้ชัดเจนขึ้น และตอนที่เราจะไปช่วยก็อาจจะไปช่วยในรูปแบบที่ยั่งยืนกว่า เหมือนสุภาษิตที่ว่า“ถ้าท่านให้ปลาใครหนึ่งตัว เขามีกินแค่หนึ่งวัน แต่ถ้าสอนเขาจับปลา เขาจะมีกินตลอดชีวิต”

เปิดใจและไม่ยึดติด - หนทางสู่การค้นหาความหมายในการทำงานที่แท้จริง

ท่านอยากฝากอะไรถึง PIER บ้าง?

สิ่งสุดท้ายที่อยากฝากไว้คือ you need to stay agile คือ พร้อมที่จะเปลี่ยน เพราะความสนใจของเราอาจเปลี่ยนแปลงได้ อย่าไปจำกัดขอบเขตความสนใจ ทั้งนี้ หลายคนมักจะคิดว่าความสนใจ research ด้านใดด้านหนึ่งเป็นสิ่งที่ติดตัวเราไปเรื่อย ๆ แต่ผมคิดว่าความสนใจเราอาจจะเปลี่ยนแปลงได้ ดังนั้น ความคิดว่า ฉันสนใจเรื่องอย่างนี้และฉันจะต้องทำวิจัยอย่างนี้ เรื่องนี้ไม่เกี่ยว ดังนั้นฉันไม่ทำ เป็นความคิดที่ไม่คล่องตัวและไม่ยืดหยุ่นเพียงพอสำหรับโลกปัจจุบัน สมมุตว่าเราผลิตงานวิจัยในเรื่องที่สนใจออกไป แต่ท้ายที่สุดแล้วไม่มีใครสนใจงานชิ้นนั้นและไม่มีผลอะไรเลย ความสนใจของคนที่จะทำเรื่องนี้ก็จะลดลง แต่ถ้าเป็นเรื่องที่เข้ามาแล้วสามารถตอบโจทย์ของผู้กำหนดนโยบายได้และคนสนใจจริง ๆ อาจเป็นการสร้างแรงจูงใจในการทำงานวิจัยมากกว่าด้วย หากมองย้อนกลับไปในชีวิตการทำงาน ในหลาย ๆ ครั้งสิ่งที่ทำให้รู้สึกสนุกที่สุดมักไม่ได้เกี่ยวกับหัวข้อที่ทำหรือหัวข้อที่สนใจ แต่เกี่ยวกับว่าทำงานกับใคร ทำงานแล้วเห็นผล งานที่ทำมี impact ในตอนแรกอาจจะคิดว่าไม่ได้ชอบเรื่องนี้ก็กลายเป็นชอบก็ได้ในที่สุด และเราให้คุณค่ากับมันมากกว่า

กลับหน้าหลัก

สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์

273 ถนนสามเสน แขวงวัดสามพระยา เขตพระนคร กรุงเทพฯ 10200

โทรศัพท์: 0-2283-6066

Email: pier@bot.or.th

เงื่อนไขการให้บริการ | นโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2568 สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์

เอกสารเผยแพร่ทุกชิ้นสงวนสิทธิ์ภายใต้สัญญาอนุญาต Creative Commons Attribution-NonCommercial-ShareAlike 3.0 Unported license

Creative Commons Attribution NonCommercial ShareAlike

รับจดหมายข่าว PIER

Facebook
YouTube
Email