เมื่อมองย้อนกลับไปยังเส้นทางการเติบโตของสถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ (PIER) ตลอดช่วงทศวรรษที่ผ่านมา หนึ่งในบุคคลสำคัญที่มีบทบาทอย่างต่อเนื่องในการผลักดันให้สถาบันเติบโตอย่างมั่นคง คือ ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนปัจจุบัน ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งกรรมการของ PIER มาตั้งแต่ยุคแรกเริ่ม ก่อนจะมารับหน้าที่ในตำแหน่งประธานคณะกรรมการในปัจจุบัน
ในบทสัมภาษณ์พิเศษนี้ ดร.เศรษฐพุฒิ ได้สะท้อนมุมมองต่อบทบาทของ PIER ในฐานะ “พื้นที่” ที่เกื้อหนุนการตัดสินใจเชิงนโยบายของธนาคารกลาง ซึ่งต้องอาศัยความรอบคอบ ความแม่นยำ และความลึกซึ้งของข้อมูล โดยเฉพาะในบริบทของโลกที่ซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว นอกจากนี้ ท่านยังชี้ให้เห็นว่า PIER ไม่เพียงเป็นศูนย์กลางของการผลิตองค์ความรู้เชิงลึก หากแต่ยังเป็นเวทีในการพัฒนาคน โดยเฉพาะนักวิจัยรุ่นใหม่ ที่สามารถสร้างงานคุณภาพและมีมาตรฐานระดับสากล เพื่อสนับสนุนการกำหนดนโยบายเศรษฐกิจไทยได้อย่างยั่งยืน
รู้สึกดีใจที่ได้อยู่กับ PIER ตั้งแต่เริ่มต้น ในฐานะที่เป็นกรรมการตั้งแต่ยุคที่ ดร.ประสาร เป็นผู้ว่าฯ และก่อตั้ง PIER จนถึงช่วงผู้ว่าฯ วิรไท ซึ่งได้เห็นการเติบโตของ PIER มาโดยตลอด อันดับแรกคือรู้สึกภูมิใจที่มีส่วนร่วมและมีส่วนช่วยในการให้คำแนะนำต่าง ๆ เกี่ยวกับการทำงานของ PIER ตั้งแต่เริ่มแรก และรู้สึกยินดีที่เห็น PIER ประสบความสำเร็จขนาดนี้ ต้องบอกว่าประสบความสำเร็จได้ดีกว่าที่คาด เพราะว่าก็ทราบกันดีว่า PIER ไม่ได้เป็นหน่วยงานที่ใหญ่และด้วยจำนวนคนที่ไม่ได้มากนัก แต่สามารถสร้างความยอมรับได้ในวงกว้างทั้งในประเทศไทยและในระดับสากล รวมทั้งมีผลงานที่น่าเชื่อถือ ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องชื่นชมทีมงาน ผู้อำนวยการ ผู้บริหารที่ช่วยผลักดันทำให้ PIER มาได้ถึงขนาดนี้
ขอบเขตงานของ PIER ค่อนข้างกว้างและหลากหลาย ในภาพรวม มีหลายเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อการทำงานของ ธปท. ซึ่งงานของธนาคารกลางเป็นงานที่มีความละเอียดอ่อน ต้องพึ่งข้อมูล โดยเฉพาะการต้องตัดสินใจในเรื่องยาก ๆ บนพื้นฐานของข้อมูล เพราะทุกอย่างที่ทำนี้ต้องมีที่มาที่ไป สิ่งที่ PIER ทำจึงช่วยให้ ธปท. มีพื้นฐานในการตัดสินใจที่ลึกซึ้งขึ้น ในแง่ของการทำงานด้านนโยบาย บางครั้งผู้ปฏิบัติงานต้องรับมือกับงานเฉพาะหน้ามากมายจนอาจจะไม่มีเวลาศึกษาเชิงลึกอย่างละเอียดเท่าที่ควร แต่ PIER ซึ่งมีพื้นที่และบุคลากรที่เชี่ยวชาญก็สามารถช่วย ธปท. เสริมตรงนี้ได้ นอกจากนี้ PIER ยังมีส่วนช่วยอย่างมากในเรื่องการพัฒนาคน คือ PIER เป็นพื้นที่ที่สามารถนำบุคลากรของ ธปท. เข้ามาหมุนเวียนเพื่อฝึกให้เขามีพื้นที่ในการคิดทำงานเชิงลึก ธปท. เป็นองค์กรที่มีคนจบปริญญาเอกค่อนข้างเยอะ เช่นเดียวกับหน่วยงานอื่นข้างนอก แต่ที่น่าเสียดาย ไม่ใช่เฉพาะใน ธปท. เท่านั้น แต่ในประเทศไทยโดยรวม เราอาจไม่ได้ใช้ศักยภาพของคนที่จบปริญญาเอกเท่าที่ควร คือคนที่จบปริญญาเอกจะมีศักยภาพในการทำงานวิจัยที่ดี แต่ความสามารถนั้นมีอายุขัยของมัน ถ้าไม่ได้นำไปใช้ในช่วงที่เพิ่งจบใหม่นี้ ความสามารถเหล่านั้นก็จะเสื่อมเร็วมาก ดังนั้น การที่เรามีหน่วยงานอย่าง PIER และสามารถที่จะให้คนที่จบใหม่ซึ่งมีไฟและศักยภาพในการทำวิจัย มีพื้นที่ที่จะสามารถทำงานวิจัยเชิงลึกได้ เป็นการช่วยทั้งคนที่จบปริญญาเอกและองค์กร และท้ายสุดคือช่วยประเทศด้วย เพราะว่าเราได้มีนักวิจัยที่ทำงานวิจัยเกี่ยวกับประเทศไทยในระดับที่ลึกซึ้ง และเป็นงานวิชาการที่ทุกคนยอมรับ
หากพูดถึงสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกภาคภูมิใจเป็นพิเศษ และเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ผมคิดว่าทำให้ PIER ประสบความสำเร็จอย่างแท้จริง คือการไม่ลดหย่อนคุณภาพของงานวิชาการ ซึ่งเปรียบเสมือนแกนและแก่นหลักของสถาบันวิจัย เห็นได้จากมาตรวัดที่เป็น standard อย่างการตีพิมพ์ในวารสารนานาชาติ (peer-reviewed journal) สะท้อนให้เห็นถึงการยอมรับโดยเฉพาะในเวทีสากล และทำให้คนสนใจมาทำงานร่วมกับ PIER ไม่ว่าจะเป็นเด็กนักเรียนหรือนักวิจัย
เรามักจะได้ยินว่า หากมุ่งเน้นไปที่งานวิชาการมากเกินไป อาจไม่สามารถสนับสนุนงานที่มีนัยต่อนโยบายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งกลายเป็นว่าความเป็นวิชาการกับการทำงานที่เกี่ยวข้องกับนโยบายเป็นสิ่งที่ต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง (trade-off) แต่ผมคิดว่าไม่ใช่ การมองแบบนี้เป็น false dichotomy หรือ การแบ่งแยกที่ผิดพลาด เพราะสองอย่างนี้ต้องไปด้วยกัน เนื่องจากงานด้านนโยบายเป็นงานที่ยาก มีความละเอียดอ่อน ต้องมีมาตรฐานในการศึกษาที่สูง และส่งผลกระทบต่อทั้งประเทศ ดังนั้น ในการที่จะใช้องค์ความรู้หรือเทคนิคอะไรที่ได้รับการยอมรับในวงวิชาการนั้นยิ่งสำคัญ ทั้งนี้ หลายองค์กรในประเทศไทยเน้นทำงานที่มีนัยต่อนโยบายหรือ policy relevant และคิดว่าไม่ต้องทำงานวิชาการมากนัก จึงลดมาตรฐานด้านวิชาการลงและคิดว่าเป็นแนวทางที่ดี แต่ท้ายที่สุดแล้วผลงานที่ผลิตออกมาไม่ได้คุณภาพและไม่เป็นที่ยอมรับ และไม่ได้ถูกนำไปใช้ประโยชน์ ดังนั้น ดีใจที่ PIER สามารถรักษามาตรฐานของวิชาการได้ ส่วนเรื่องที่จะทำโจทย์ที่ยากและจะสื่อสารให้คนทั่วไปเข้าใจได้อย่างไรนั้นก็คืออีกโจทย์หนึ่ง แต่งานที่ออกมาต้องถูกต้องและเป็นที่ยอมรับก่อน
นอกจากนี้ สิ่งที่ PIER ทำได้ดี คือ ผลิตงานให้ออกมาในรูปแบบที่คนเข้าถึงแล้วเข้าใจได้ง่ายขึ้น อย่างเช่นบทความวิชาการโดยย่อ aBRIDGEd อีกด้านที่ PIER ทำได้ดีกว่าที่คาด คือ การสร้างเครือข่าย หรือ networking เพราะเรามีข้อจำกัดในการคัดสรรคนที่มีศักยภาพ ซึ่งคนที่มีความสามารถในระดับที่เราต้องการนั้นมีน้อย ดังนั้น หากเราสวมหมวกว่าต้องทำเองทุกอย่าง ก็จะยิ่งเพิ่ม scale ได้ยาก แต่ PIER ใช้วิธีการทำงานแบบเน้นการร่วมมือกันของเครือข่ายและการสร้างสายสัมพันธ์ (connection) โดยให้คนภายนอกที่มีความรู้มากกว่าและศักยภาพที่ตรงจุดกว่ามาร่วมมือทำกับเรา ซึ่งต้องบอกว่าทำได้ดีมาก ขอชื่นชม และคิดว่าจำเป็นที่จะต้องทำต่อไป
บริบทหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไป หลายสิ่งที่ธนาคารกลางต้องเผชิญก็เปลี่ยนไป การทำงานของคนใน ธปท. และ PIER ที่ควรต้องปรับเปลี่ยน คือ หัวข้อ หรือ area โดยที่ผ่านมาเราเน้นงานด้านเศรษฐกิจมหภาค ด้านนโยบาย ด้านเงินเฟ้อ แต่ปัจจุบันมีโจทย์ที่ท้าทายเยอะขึ้น ซึ่งโจทย์พวกนี้เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ตามเวลา ถ้าพูดถึงในบริบทปัจจุบัน (ปี 2025) ก็อาจจะคิดถึงโจทย์ด้านกฎข้อบังคับ (regulations) และด้านการกำกับดูแล โดยเฉพาะเรื่อง payment ที่มีผู้เล่นใหม่เข้ามา ซึ่งต้องมีการกำกับดูแลที่ต้องอาศัยพื้นฐานด้านวิชาการ หากมองไปข้างหน้า โจทย์เหล่านี้เป็นโจทย์สำคัญที่ PIER สามารถเชื่อมต่อได้ดีและจะช่วยปิดช่องว่างให้กับ ธปท. ได้
นอกจากนี้ อยากให้ PIER ลำดับความสำคัญ (prioritize) ให้ได้มากกว่านี้ คือการที่เราพยายามทำงานหลายอย่างมากเกินไป จะทำให้ทุกอย่างถดถอยลง ซึ่งเข้าใจว่ามีแรงกดดันจากหลายที่ ทั้งเรื่องที่กระทบภาพรวมของเศรษฐกิจที่เราต้องเข้าไปดู ไม่ว่าจะเป็นเรื่องแรงงาน การแข่งขันที่มันกว้างมาก แต่ด้วยข้อจำกัดต่างๆ ที่เราไม่ควรทำงานหลายอย่างมากเกินไป เพราะคุณภาพของงานที่ได้จะแย่ลง
อีกหนึ่งความสำเร็จที่ได้ยินบ่อยคือ การที่ PIER เป็นต้นแบบองค์กร โดยมีหน่วยงานอื่นติดต่อมาว่าอยากมีองค์กรรูปแบบนี้ ซึ่งทำได้ยากและมีคนทำได้ไม่เยอะ ดังนั้น แทนที่ PIER จะไปทำงานแทนเขาจนกลายเป็นทำงานเยอะเกินไปและส่งผลให้คุณภาพงานลดลง เราควรทำให้เขา set up ให้ได้แบบเราเพื่อตอบโจทย์องค์กรของเขาจะเหมาะสมและยั่งยืนกว่าสำหรับสองฝ่าย เพราะเขาจะได้มีศักยภาพในการทำวิจัยที่สามารถสนับสนุนการตัดสินใจในการทำนโยบายได้อย่างที่เราทำ ในขณะเดียวกัน เราก็สามารถโฟกัสงานของเราได้ชัดเจนขึ้น และตอนที่เราจะไปช่วยก็อาจจะไปช่วยในรูปแบบที่ยั่งยืนกว่า เหมือนสุภาษิตที่ว่า“ถ้าท่านให้ปลาใครหนึ่งตัว เขามีกินแค่หนึ่งวัน แต่ถ้าสอนเขาจับปลา เขาจะมีกินตลอดชีวิต”
สิ่งสุดท้ายที่อยากฝากไว้คือ you need to stay agile คือ พร้อมที่จะเปลี่ยน เพราะความสนใจของเราอาจเปลี่ยนแปลงได้ อย่าไปจำกัดขอบเขตความสนใจ ทั้งนี้ หลายคนมักจะคิดว่าความสนใจ research ด้านใดด้านหนึ่งเป็นสิ่งที่ติดตัวเราไปเรื่อย ๆ แต่ผมคิดว่าความสนใจเราอาจจะเปลี่ยนแปลงได้ ดังนั้น ความคิดว่า ฉันสนใจเรื่องอย่างนี้และฉันจะต้องทำวิจัยอย่างนี้ เรื่องนี้ไม่เกี่ยว ดังนั้นฉันไม่ทำ เป็นความคิดที่ไม่คล่องตัวและไม่ยืดหยุ่นเพียงพอสำหรับโลกปัจจุบัน สมมุตว่าเราผลิตงานวิจัยในเรื่องที่สนใจออกไป แต่ท้ายที่สุดแล้วไม่มีใครสนใจงานชิ้นนั้นและไม่มีผลอะไรเลย ความสนใจของคนที่จะทำเรื่องนี้ก็จะลดลง แต่ถ้าเป็นเรื่องที่เข้ามาแล้วสามารถตอบโจทย์ของผู้กำหนดนโยบายได้และคนสนใจจริง ๆ อาจเป็นการสร้างแรงจูงใจในการทำงานวิจัยมากกว่าด้วย หากมองย้อนกลับไปในชีวิตการทำงาน ในหลาย ๆ ครั้งสิ่งที่ทำให้รู้สึกสนุกที่สุดมักไม่ได้เกี่ยวกับหัวข้อที่ทำหรือหัวข้อที่สนใจ แต่เกี่ยวกับว่าทำงานกับใคร ทำงานแล้วเห็นผล งานที่ทำมี impact ในตอนแรกอาจจะคิดว่าไม่ได้ชอบเรื่องนี้ก็กลายเป็นชอบก็ได้ในที่สุด และเราให้คุณค่ากับมันมากกว่า
สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์
273 ถนนสามเสน แขวงวัดสามพระยา เขตพระนคร กรุงเทพฯ 10200
โทรศัพท์: 0-2283-6066
Email: pier@bot.or.th
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2568 สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์
เอกสารเผยแพร่ทุกชิ้นสงวนสิทธิ์ภายใต้สัญญาอนุญาต Creative Commons Attribution-NonCommercial-ShareAlike 3.0 Unported license
รับจดหมายข่าว PIER