ดร.วิรไท สันติประภพ อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ได้เข้ารับตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยในเดือนตุลาคม ปี 2558 ซึ่งเป็นปีเดียวกับที่สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ (PIER) ได้ถูกก่อตั้งขึ้น ท่านจึงมีบทบาทสำคัญตั้งแต่ช่วงแรกในการกำหนดทิศทางของสถาบันวิจัยฯ ในฐานะประธานคณะกรรมการต่อจาก ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยโจทย์หลากหลายที่ธนาคารแห่งประเทศไทยต้องเผชิญในขณะนั้น การพัฒนาสถาบันให้สามารถตอบโจทย์ที่ซับซ้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพย่อมต้องเผชิญกับความท้าทายที่สำคัญ
ยินดีที่สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ ได้ดำเนินงานมาครบ 10 ปี เป็นปีที่ผ่านไปรวดเร็วมากจนถึง 10 ปีที่สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ ได้สร้างผลงานหลายอย่างที่เป็นที่ประทับใจ และสร้างคุณูปการให้กับการทำงานของธนาคารแห่งประเทศไทย และแวดวงวิชาการเศรษฐศาสตร์ของประเทศด้วย
ในมุมมองของอดีตผู้ว่าการฯ ท่านคิดว่า ธปท. ต้องเผชิญความท้าทายใดบ้างที่ทำให้เป็นจุดเริ่มต้นในการคิดริเริ่มก่อตั้ง PIER
ถ้ามองย้อนกลับไปเมื่อตอนที่เริ่มตั้งสถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ เมื่อ 10 ปีที่แล้วผมโชคดีที่ได้เกี่ยวข้องตั้งแต่ตอนเริ่มจัดตั้งแล้วก็เข้ามาทำงานร่วมกับ PIER โดยตลอดช่วง 5 ปีที่ทำงานเป็นผู้ว่าการฯ คิดว่ามี 3 ความท้าทายใหญ่ ๆ ที่อยากจะให้ PIER เป็นกลไกสำคัญ
ความท้าทายประการที่หนึ่ง คือ จะทำอย่างไรให้การทำนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทยอ้างอิงอยู่บนหลักฐานเชิงประจักษ์ ในการทำนโยบายสาธารณะ โดยเฉพาะนโยบายเศรษฐกิจนั้นมีโจทย์ที่ซับซ้อนมากขึ้นเรื่อย ๆ โครงสร้างเศรษฐกิจมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วตลอดเวลา เพราะความสัมพันธ์ โครงสร้าง ตัวแปรต่าง ๆ เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว หลายอย่างที่เราเคยเชื่อหรือคิดว่าจะต้องเป็น ก็ไม่ได้เป็นแบบนั้น เพราะฉะนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการทำนโยบายสาธารณะที่ขึ้นอยู่กับหลักฐานเชิงประจักษ์หรือ evidence-based policy การใช้ความเชื่อเดิมหรือเป็นแค่ sentiment คงจะไม่เท่าทันกับความท้าทายที่เราเผชิญอยู่
การจะทำนโยบายที่อิงอยู่บนหลักฐานเชิงประจักษ์ได้นั้นก็จะเชื่อมโยงมาสู่ความท้าทายประการที่สอง คือ เราต้องมีการทำงานวิจัยที่เป็นงานวิจัยเชิงลึก ซึ่งเป็นงานวิจัยที่ได้มาตรฐานสูงตามมาตรฐานสากล ต้องยอมรับว่า วิชาเศรษฐศาสตร์ที่เกิดขึ้นในมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลกมีการเปลี่ยนแปลงเยอะมากในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เราอาจจะมีนักศึกษาจบปริญญาเอกจากหลากหลายโรงเรียนกลับมา เราจะทำอย่างไรให้เขาสามารถติดตามงานวิจัยเหล่านั้นได้อย่างเท่าทัน และมีโอกาสได้ออกมาทำงานวิจัยด้วย เพราะทักษะการทำวิจัยสามารถ “ขึ้นสนิม” ได้ง่ายถ้าเรียนจบแล้วไม่ได้ใช้นาน ๆ และอาจไม่เท่าทันกับ methodology วิถี หรือเครื่องมือใหม่ ๆ ทางด้านเศรษฐศาสตร์ รวมทั้งหลักคิดหรือแนวคิดที่อาจต่างไปจากเดิม
ความท้าทายประการที่สาม คือ การรักษาคนเก่งเป็นความท้าทายของทุกองค์กร โดยเฉพาะองค์กรภาครัฐหรือองค์กรกึ่งรัฐที่คนเก่งอยากมีโอกาสได้ทำเรื่องใหม่ ๆ ได้มีโอกาสเรียนรู้เรื่องที่ต่างไปจากงานประจำ เพราะฉะนั้นสถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ จะเป็นกลไกสำคัญที่จะช่วยรักษาและพัฒนาให้คนเก่งได้มีโอกาสติดตามพัฒนาการในเรื่องของเศรษฐศาสตร์ หรืองานวิจัยด้านเศรษฐศาสตร์
สามเรื่องนี้จึงเป็นเป้าหมายสำคัญที่จะทำให้สามารถทำนโยบายสาธารณะที่อ้างอิงหลักฐานเชิงประจักษ์ และติดตามพัฒนาการของงานวิจัยชั้นนำของโลกได้ ในขณะเดียวกัน ก็เป็นเครื่องมือ เป็นกลไกที่จะทำให้คนเก่งหรือนักเศรษฐศาสตร์ของเราได้มีโอกาสที่จะได้เรียนรู้พัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา
ถ้ามองย้อนกลับไปในอดีต มีหลายหน่วยงานภาครัฐที่อยากจะตั้งสถาบันวิจัยที่คล้ายกับ PIER บางแห่งตั้งสถาบันวิจัยภายในหน่วยงาน บางแห่งแยกออกมาเป็นองค์กรภายนอกเลย หรือแยกมาตั้งในลักษณะที่เป็นมูลนิธิก็มี แต่ว่าหลายองค์กรก็ไม่สามารถที่จะตอบโจทย์ได้อย่างต่อเนื่องและไม่เกิดผลอย่างที่ตั้งใจไว้ในตอนต้น การรักษาสมดุลกับการให้ความเป็นอิสระ แต่ยังรู้สึกว่าเกี่ยวข้องและเป็นส่วนหนึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญมาก
ตอนที่ก่อตั้ง PIER หลายท่านที่เกี่ยวข้องมองว่าจะจัดโครงสร้างองค์กร หรือ governance structure สำหรับการกำกับดูแลสถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ ในลักษณะไหนที่จะทำให้ตัวสถาบันเป็นสถาบันวิจัยที่เป็นอิสระ แต่ขณะเดียวกันก็เป็นส่วนหนึ่งของธนาคารแห่งประเทศไทย จนออกมาเป็นโครงสร้างองค์กรที่เห็นกันอยู่นี้เป็นต้นแบบให้กับหลายหน่วยงาน ซึ่งสถาบันวิจัยในลักษณะนี้จะช่วยทำให้การกำหนดนโยบายสาธารณะเป็นการอ้างอิงงานวิจัยเชิงประจักษ์มากขึ้น
ทั้งนี้ ความเป็นอิสระของ PIER เกิดจากปัจจัยหลายด้าน ตั้งแต่โครงสร้างของสถาบันที่มีคณะกรรมการซึ่งประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญจากภายนอกทั้งด้านเศรษฐศาสตร์และด้านอื่น ๆ ที่ไม่จำกัดแค่ด้านนโยบายการเงิน หรือด้านสถาบันการเงินเท่านั้น การจัดงบประมาณให้ชัดเจนในแต่ละปี ไปจนถึงการที่สถาบันวิจัยสามารถมีนักวิชาการภายนอกเข้ามาทำงานร่วมกันได้ สามารถกำหนดโจทย์ของตัวเองและทำงานวิจัยที่มีความเป็นอิสระทางวิชาการได้ สามารถที่จะคิดต่างในประเด็นที่เป็นมุมมองหลักของธนาคารแห่งประเทศไทย สามารถที่จะทำเรื่องที่กว้างและต่างออกไปจากเรื่องที่เป็นหน้าที่หลักของธนาคารกลางได้ โดยไม่ได้ตีกรอบแค่นโยบายการเงิน นโยบายสถาบันการเงิน หรือนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนเท่านั้น
ในขณะที่การทำให้เป็นส่วนหนึ่งก็แปลว่าต้องไม่แยกขาด ผู้บริหารของธนาคารแห่งประเทศไทยต้องเปิดใจ มีวิสัยทัศน์ที่เปิดกว้าง และต้องยอมรับพร้อมสร้างบรรยากาศให้ PIER เป็นส่วนหนึ่งขององค์กร ทั้งในด้านการโยกย้ายพนักงาน วิธีการจัดสรรงบประมาณ การแลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งกันและกัน รวมทั้งการใช้ประโยชน์จากองค์ความรู้ที่มีอยู่ของทั้งสองที่เพื่อตอบโจทย์ที่สำคัญ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นการออกแบบที่ทำให้ PIER สามารถทำงานที่ตอบโจทย์ทั้งความต้องการของธนาคารแห่งประเทศไทยและความต้องการของเศรษฐกิจไทยได้ตลอดช่วง 10 ปีที่ผ่านมา
บทบาทของ PIER ด้านใดที่เป็นประโยชน์ต่อ ธปท. ในแง่ของการสนับสนุนนโยบายเศรษฐกิจและการพัฒนาเศรษฐศาสตร์ของประเทศไทย
งานของ PIER เป็นเหมือนสะพานที่เชื่อมโยงกับแวดวงนักวิชาการเศรษฐศาสตร์ที่อยู่นอกธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งมีเป็นจำนวนมากที่เป็นนักวิชาการที่เก่งและมีประสบการณ์ในการทำงานวิจัย เป็นนักคิด เป็นกลุ่มคนที่จะให้มุมมองกลับมาที่งานของธนาคารแห่งประเทศไทยได้ผ่านงานวิจัย และไม่ใช่เป็นสะพานแค่กับนักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ไทยภายในประเทศเท่านั้น แต่รวมไปถึงนักวิชาการทางด้านเศรษฐศาสตร์ที่อยู่ต่างประเทศทั้งที่เป็นคนไทย นักวิชาการชั้นนำต่างประเทศ และสถาบันชั้นนำที่อยู่ต่างประเทศด้วย ด้วยเหตุนี้ PIER จึงมีบทบาทสำคัญในการสร้างระบบนิเวศน์ของการทำงานวิจัยเชิงเศรษฐศาสตร์ในประเทศไทยด้วย ทั้งในเรื่องของการสร้างเครือข่ายที่สำคัญ สร้างพลังให้กับนักเศรษฐศาสตร์ไทย และเป็นการเปิดเวทีให้มีนักวิจัยจำนวนมากที่อยู่นอกธนาคารแห่งประเทศไทยได้ทำงานกับธนาคารแห่งประเทศไทยในการที่จะตอบโจทย์ด้านเศรษฐกิจที่เป็นโจทย์สำคัญของประเทศไทยต่อไปในอนาคต
การเป็นสะพานเชื่อมโยง ทำให้นักเศรษฐศาสตร์และนักวิจัยเหล่านั้นมาช่วยกันวิเคราะห์ ช่วยกันหาคำตอบกับโจทย์วิจัยที่สำคัญ เพราะว่าโจทย์ต่าง ๆ ที่เราเผชิญจะซับซ้อนมากขึ้น เราจะต้องมองในหลากหลายมิติมากขึ้น ไม่สามารถมองผ่านมุมมองของผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านใดด้านหนึ่งเท่านั้น เพราะฉะนั้น ในตลอด 10 ปีที่ผ่านมา การที่เราสามารถทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้กันผ่านสะพาน PIER นั้นเป็นกลไกที่สำคัญมาก
งานของ PIER ที่ออกมาได้นำเสนอแนวคิดหลายอย่าง ซึ่งเป็นกระจกเงาให้กับการทำนโยบายภายในธนาคารแห่งประเทศไทย ทำให้คนทำนโยบายที่อยู่ในฝ่ายนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทยต้องกลับมาตั้งโจทย์เหมือนกันว่า วิธีที่เราคิด วิธีที่เราเชื่อ อาจจะไม่ใช่ทางเดียวเสมอไป ซึ่งการเป็นสะพานนี้เป็นบทบาทที่ต้องแสดงความชื่นชมกับ PIER ว่าทำได้ดีมากตลอดช่วง 10 ปีผ่านมา
บทบาทอีกด้านของ PIER ที่สำคัญมาก และทำได้ดีมากเช่นกัน คือ ทำหน้าที่เป็นม้าเร็ว เวลาที่มีเรื่องใหม่ ๆ กลไกใหม่ ฐานข้อมูลใหม่ ด้วยความที่ PIER มีอิสระในการทำงาน อิสระในการคิด อิสระในการทดลอง และมีนักวิจัยที่ชอบที่จะทดลอง สามารถที่จะเข้าไปทำงาน อย่างเช่นในตอนที่เราพยายามบุกเบิกงานวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (big data) และการวิเคราะห์ข้อมูล (data analytics) เราพบว่ามีฐานข้อมูลจำนวนมากในประเทศไทย รวมทั้งฐานข้อมูลใน ธปท. เองด้วยที่ไม่ได้ถูกจัดให้เป็นระบบ ส่งผลให้ไม่สามารถนำไปใช้เพื่อการวิเคราะห์เชิงลึกได้ นักวิจัยของสถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ ก็มีบทบาทสำคัญในการช่วยเข้าไปศึกษาฐานข้อมูลเหล่านั้นร่วมกับหน่วยงานที่เป็นเจ้าของข้อมูล ซึ่งการที่มีทีมงานเข้ามานั่งดูข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล และจัดระบบข้อมูลเหล่านั้น ทำให้เราสามารถที่จะตั้งโจทย์ และหาคำตอบกับโจทย์ที่สำคัญหลายอย่างได้ ซึ่งหลายเรื่องก็ครอบคลุมเกินกว่าเรื่องของนโยบายการเงิน นโยบายอัตราแลกเปลี่ยน หรือสถาบันการเงิน นอกจากนี้ ยังได้เปิดโอกาสในการทำงานวิจัยที่จะนำไปสู่งานวิจัยเชิงลึกเกี่ยวกับระบบเศรฐกิจไทยอีกมาก และประเด็นเหล่านี้ได้ส่งผลทั้งในแง่วิธีคิด มุมมอง โจทย์ใหม่ ๆ รวมไปถึงการพัฒนาศักยภาพของนักวิจัยทางด้านเศรษฐศาสตร์ของธนาคารแห่งประเทศไทยด้วย
นอกจากบทบาทด้านการเชื่อมโยง และการเป็นม้าเร็วแล้ว **อีกบทบาทนึงที่ PIER มี คือการเป็นต้นแบบของหน่วยงานวิจัยอิสระดังที่ได้กล่าวไปข้างต้น ในช่วง 5 ปีแรก PIER เป็นที่สนใจมากจากหลายองค์กร ว่าทำอย่างไรที่ธนาคารแห่งประเทศไทยสามารถจัดตั้งสถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ขึ้นมาได้แล้วก็สามารถที่จะตั้งไข่ได้เร็วและทำงานให้เกิดผลได้ รวมทั้งองค์กรอย่างธนาคารแห่งประเทศไทยก็สามารถใช้ประโยชน์จากงานวิจัยของ PIER ได้ด้วย มีหลายหน่วยงานมาขอดูงาน ไม่ว่าจะเป็นองค์กรอิสระภาครัฐ องค์กรกึ่งรัฐ หรือองค์กรภาครัฐ และอยากที่จะเข้าใจวิธีการออกแบบโครงสร้างของ PIER ตั้งแต่ต้น** เพราะว่าทุกหน่วยงานที่ทำนโยบายสาธารณะในประเทศไทยมีความมุ่งหวังที่อยากจะให้การทำนโยบายสาธารณะของตัวเองเป็นนโยบายสาธารณะที่อ้างอิงผลงานวิจัยเชิงประจักษ์ ที่มีกรอบความคิด ที่เท่าทันกับโจทย์และความรุนแรงของโจทย์ เท่าทันกับการเปลี่ยนแปลง และสามารถที่จะนำเสนอนโยบายที่ทำให้เกิดทำให้เกิดผลได้อย่างเท่าทัน
ตอนตอนแรกที่เราตั้งสถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ เรามีกรรมการที่มาจากภายนอก มีโจทย์มาเยอะมาก โจทย์ที่เป็นปัญหาของระบบเศรษฐกิจไทย โจทย์ที่เป็นปัญหาเชิงนโยบาย โจทย์ที่ต้องการคำตอบแต่เราอาจจะไม่ได้มีคำตอบที่อ้างอิงงานวิจัยเชิงประจักษ์เท่าไหร่นัก
หน้าที่อันหนึ่งที่สำคัญของผม คือการบอกว่าเราต้องจัดลำดับความสำคัญ และขอให้นักวิจัย PIER ค่อย ๆ ตั้งไข่ให้ได้ก่อน และสามารถทำงานวิจัยเชิงลึก สามารถสร้างเครือข่าย สามารถเป็นสะพานได้ เพราะว่าถ้ามีโจทย์จำนวนมากส่งเข้าไปให้ที่สถาบัน ก็อาจจะได้งานวิจัยที่อาจจะเรียกว่าเป็นเบี้ยหัวแตก และไม่ได้เกิดผลลัพธ์อย่างที่เราคาดหวังก็ได้ เพราะฉะนั้นในช่วง 3-4 ปีแรก จะเป็นงานวิจัยที่อาจจะขึ้นอยู่กับประสบการณ์ ทักษะ ความสนใจของนักวิจัยที่มาอยู่ที่ PIER เรียกว่าเป็นโจทย์ที่เป็น supply-driven เพื่อที่จะสามารถทำงานได้ และทำให้นักเศรษฐศาสตร์ที่อยู่ในสายงานหลักของธนาคารแห่งประเทศไทย สามารถหมุนเวียนกันเข้ามาทำงานได้ แล้วเขาก็สามารถที่จะวนกลับไปทำงานประจำได้
แต่เมื่อผ่านมาระยะหนึ่งแล้ว ถ้ามองไปในอนาคต บทบาทที่สำคัญของ PIER คือต้องช่วยตั้งโจทย์ที่เป็นโจทย์วิจัยที่สำคัญของระบบเศรษฐกิจไทยต่อไปในอนาคต และโจทย์ที่สำคัญในการทำหน้าที่ของธนาคารแห่งประเทศไทย งานวิจัยต้องมีทักษะที่ค่อย ๆ ถอยมาจาก supply-driven ตามความสนใจของนักวิจัยแต่ละคนไปเป็น demand-driven มากขึ้น แต่ถ้าเราสามารถกำหนดโจทย์ที่ใช่ กำหนดโจทย์ที่มี impact ได้ และกำหนดโจทย์ที่จะสามารถที่นำไปสู่การวิเคราะห์เชิงลึก และนำไปสู่การนำเสนอนโยบายที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหลายเรื่องที่เป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง การเปลี่ยนแปลง incentive structure ใหญ่ ๆ ของประเทศ การเปลี่ยนแปลงกลไกการทำนโยบายของประเทศได้ อันนั้นจะเป็นการยกระดับผลงานและผลลัพธ์ของ PIER ในทศวรรษที่สองได้อย่างชัดเจนมากขึ้น
ในการทำงานทางด้านนโยบายสาธารณะ คุณค่าหลักของธนาคารแห่งประเทศไทยสำคัญมาก ไม่ใช่เฉพาะเพียงแค่การทำงานทางด้านนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย แต่ยังต้องรวมถึงหน่วยงาน เช่น สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ ด้วย
“ยืนตรง มองไกล ยื่นมือ ติดดิน”
ยืนตรง ต้องมั่นคงในเรื่องของหลักวิชาการ ซึ่ง PIER จะมีบทบาทสำคัญ ที่นอกจาก PIER เองจะต้องยืนตรงในหลักวิชาการ แล้วยังมีบทบาทที่จะทำให้การทำงานของธนาคารแห่งประเทศไทย ยึดมั่น ยืนตรงเรื่องของหลักวิชาการ
มองไกล ก็เป็นบทบาทที่สำคัญมากของ PIER ต้องคิดในเรื่องที่เป็นโจทย์สำหรับอนาคต และพยายามคิดล่วงหน้าตลอดเวลา และช่วยสร้างบรรยากาศภายในธนาคารแห่งประเทศไทย และแวดวงนักวิชาการเศรษฐศาสตร์ในประเทศไทย ช่วยกันคิดไปข้างหน้า
ยื่นมือ และ ติดดิน เป็นบทบาทที่สำคัญของนักวิชาการ ถ้าเราจะตอบโจทย์ของประเทศได้ในอนาคต เราไม่สามารถที่จะทำงานเพียงคนเดียวได้ บทบาทการสร้างเครือข่ายก็ยังเป็นบทบาทที่สำคัญ และก็บทบาทการสร้างเครือข่ายที่ตอบโจทย์แบบติดดินด้วย นโยบายสาธารณะจะต้องเข้าใจเรื่องของการทำงานในระบบเศรษฐกิจจริง ต้องเข้าใจเรื่องโครงสร้าง incentive ต้องเข้าใจความต้องการของผู้มีสิทธิได้เสีย และต้องเข้าใจกลไกที่นำไปสู่การปฏิบัติได้จริง
ถ้าการทำงานของสถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ ในช่วงทศวรรษที่ 2 ยึดมั่นในคุณค่าหลัก “ยืนตรง มองไกล ยื่นมือ และติดดิน” ผมเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าผลงานของสถาบันจะสร้างคุณูประการให้กับธนาคารประเทศไทยให้กับระบบเศรษฐกิจไทย และสังคมไทยได้อย่างก้าวกระโดด
สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์
273 ถนนสามเสน แขวงวัดสามพระยา เขตพระนคร กรุงเทพฯ 10200
โทรศัพท์: 0-2283-6066
Email: pier@bot.or.th
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2568 สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์
เอกสารเผยแพร่ทุกชิ้นสงวนสิทธิ์ภายใต้สัญญาอนุญาต Creative Commons Attribution-NonCommercial-ShareAlike 3.0 Unported license
รับจดหมายข่าว PIER