อุตสาหกรรมอาหารแปรรูป
บทสรุปผู้บริหาร
แม้ในภาพรวม อุตสาหกรรมอาหารแปรรูปได้รับผลกระทบทางลบจากวิกฤตโควิด-19 จากการลดลงของอุปสงค์ทั้งในและต่างประเทศ แต่ถือว่าได้รับผลกระทบน้อยกว่าเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมอื่น ๆ เนื่องจากอาหารแปรรูปยังเป็นสินค้าจำเป็น และได้รับประโยชน์จากช่องทางการขายออนไลน์ โดยผู้ประกอบการส่วนใหญ่ปรับตัวในช่วงวิกฤตด้วยการลดต้นทุนการผลิตให้สอดคล้องกับยอดขาย อาทิ ลดการจ้างงาน โดยเฉพาะแรงงานชั่วคราว ลดกิจกรรมการลงทุนต่าง ๆ ทั้งนี้ ผู้ประกอบการบางส่วนได้รับประโยชน์จากมาตรการช่วยเหลือแรงงานที่ถูกพักงาน และมาตรการทางภาษีจากภาครัฐ
หลังวิกฤตคลี่คลาย อุตสาหกรรมอาหารแปรรูปเริ่มกลับมาฟื้นตัวได้ดี แต่ยังต้องอาศัยเวลาอีกระยะหนึ่งกว่าจะกลับมาระดับเดิม โดยผู้ประกอบการส่วนใหญ่ได้เพิ่มการจ้างงานขึ้นบ้าง และใช้โอกาสนี้ในการพัฒนาบุคลากร รวมทั้งปรับปรุงกระบวนการผลิตและคิดค้นนวัตกรรมใหม่ ๆ ให้มากขึ้น
มองไปข้างหน้า อุตสาหกรรมมีแนวโน้มเติบโตได้ดี โดยเฉพาะอาหารแปรรูปมูลค่าสูง (high value-added) อาทิ อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ (functional food) อาหารที่ผ่านการผลิตแบบธรรมชาติ (organic food) และอาหารที่มีส่วนผสมของโปรตีนจากพืช (plant-based food) อาหารแปรรูปของไทยโดยรวมได้รับความเชื่อถือจากต่างชาติในด้านคุณภาพที่อยู่ในเกณฑ์ดี หากแต่ผลิตภัณฑ์ยังจำกัดอยู่ในประเภทวัตถุดิบที่นำไปผลิตต่อ (wholesale) ซึ่งผู้ประกอบการไทยสามารถยกระดับผลิตภัณฑ์เป็นอาหารสำเร็จรูปที่จำหน่ายตามร้านค้าปลีก (retail) ในต่างประเทศมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการไทยอาจต้องเผชิญกับความท้าทายต่าง ๆ อาทิ กฎระเบียบภาครัฐของประเทศคู่ค้า อัตราแลกเปลี่ยน รวมทั้งพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เช่น เน้นบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพ (ลดโซเดียม) อาหารที่มีมาตรฐานสุขอนามัยเพิ่มขึ้น
สำหรับอาหารที่ได้รับการรับรองมาตรฐานฮาลาล มีแนวโน้มเติบโตได้ดี จากการขยายตัวของเศรษฐกิจและประชากรของประเทศที่นับถือศาสนาอิสลาม โดยผู้ประกอบการขนาดใหญ่ของไทยมีศักยภาพการผลิต แต่ผู้ประกอบการขนาดเล็กยังต้องเร่งปรับตัวในกระบวนการผลิตเพื่อรองรับอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้น
ผู้ประกอบการไทยควรปรับตัวอย่างต่อเนื่อง โดยให้ความสำคัญกับการเพิ่มผลิตภาพ และรักษามาตรฐานการผลิต เนื่องจากผลิตภัณฑ์ที่ต้องใช้ความประณีตยังเป็นจุดแข็งของไทย ขณะเดียวกัน ภาครัฐควรขยายและเน้นรูปแบบของการสนับสนุนส่งเสริมอุตสาหกรรมอาหารแปรรูป โดยบูรณาการการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐ และทำงานร่วมกับภาคเอกชนมากขึ้น โดยเฉพาะการวิจัยและพัฒนากระบวนการผลิตและนวัตกรรมร่วมกับภาคเอกชน สำหรับตลาดทุกระดับ การปรับปรุงขั้นตอนดำเนินงานและการเบิกจ่ายงบประมาณของรัฐให้มีประสิทธิภาพ
อุตสาหกรรมอาหารแปรรูปไทยมีความสำคัญในห่วงโซ่อุปทานของโลก ประเทศไทยมีปริมาณการผลิตและส่งออกไก่แปรรูปเป็นอับดับ 8 และ 4 ของโลก ตามลำดับ และถือเป็นผู้ส่งออกไก่แปรรูปเป็นอันดับ 1 ของตลาดญี่ปุ่น
อุตสาหกรรมอาหารแปรรูปไทยโดยรวมได้รับผลกระทบทางลบจากวิกฤตโควิด-19 จากอุปสงค์ทั้งในและต่างประเทศที่หดตัวลง โดยเฉพาะครึ่งปีแรกของปี 2563 จากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในต่างประเทศอย่างรุนแรง ผนวกกับมาตรการปิดเมืองในไทย ส่งผลให้ธุรกิจทั้งส่งออกและขายในประเทศต้องลดระดับกำลังการผลิตลงประมาณร้อยละ 20–30 อย่างไรก็ดี อุตสาหกรรมอาหารแปรรูปถือว่าได้รับผลกระทบน้อยกว่าอุตสาหกรรมอื่น ๆ เพราะอาหารแปรรูปยังเป็นสินค้าจำเป็น และยังมีช่องทางการขายออนไลน์ประคับประคองอยู่บ้าง
- ผู้ประกอบการที่ทำการค้าระหว่างธุรกิจกับธุรกิจ (B2B) ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 สูงกว่าผู้ประกอบการที่ทำการค้าระหว่างธุรกิจกับผู้บริโภค (B2C) เนื่องจากธุรกิจ B2B พึ่งพิงการส่งออกสูงกว่า B2C จึงได้รับผลกระทบจากมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของประเทศคู่ค้ามากกว่า
ในช่วงวิกฤต ผู้ประกอบการปรับตัวและรักษาความสามารถในการแข่งขัน ด้วยการลดต้นทุนการผลิตให้สอดคล้องกับยอดขาย อาทิ ลดการจ้างงาน โดยเฉพาะกลุ่มแรงงานรายวัน (ประมาณร้อยละ 30–50) ขณะที่พยายามคงแรงงานประจำที่ระดับเท่าเดิม และมีโครงการเกษียณก่อนกำหนด ลดกิจกรรมการลงทุนต่าง ๆ และรักษาสภาพคล่องโดยเก็บเงินสดมากขึ้น
ทั้งนี้ ผู้ประกอบการบางส่วนได้รับประโยชน์จากมาตรการช่วยเหลือแรงงานที่ถูกพักงาน (furlough scheme) และมาตรการทางภาษีจากภาครัฐ
หลังวิกฤตคลี่คลายลงในช่วงต้นไตรมาสที่ 3 ปี 2563 อุตสาหกรรมอาหารแปรรูปเริ่มกลับมาฟื้นตัวได้ดี แม้จะต้องอาศัยเวลาอีกระยะหนึ่งกว่าจะกลับมาที่ระดับเดิม โดยผู้ประกอบการส่วนใหญ่มีการจ้างงานเพิ่มขึ้น (แต่ยังไม่กลับมาเท่ากับช่วงก่อนเกิดวิกฤตโควิด-19) และอาศัยโอกาสนี้ในการพัฒนาบุคลากร พร้อมกับปรับปรุงกระบวนการผลิตและคิดค้นนวัตกรรมใหม่ ๆ
มองไปข้างหน้า อุตสาหกรรมมีแนวโน้มเติบโตต่อไปได้ดี โดยเฉพาะอาหารแปรรูปมูลค่าสูง (high value-added) อาทิ อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ (functional food) อาหารที่ผ่านการผลิตแบบธรรมชาติ (organic food) และอาหารที่ได้โปรตีนจากพืช (plant-based food) โดยอาหารแปรรูปของไทยโดยรวมได้รับความเชื่อถือจากต่างชาติในด้านคุณภาพที่อยู่ในเกณฑ์ดี
อย่างไรก็ตาม ผลิตภัณฑ์ของไทยยังได้รับการรับรู้จากต่างชาติในวงจำกัด โดยอยู่ในประเภทวัตถุดิบที่นำไปผลิตต่อ (wholesale) เพราะผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังทำธุรกิจแบบรับจ้างผลิต (OEM: original equipment manufacturer) ซึ่งผู้ประกอบการไทยสามารถยกระดับผลิตภัณฑ์ให้เป็นที่รู้จักและเชื่อถือในรูปแบบอาหารสำเร็จรูปที่จำหน่ายตามร้านค้าปลีก (retail) ในต่างประเทศได้มากขึ้น ผ่านการเป็นธุรกิจที่ผลิตภายใต้แบรนด์สินค้าของตนเอง
นอกจากนี้ ผู้ประกอบการไทยอาจต้องเผชิญกับความท้าทายต่าง ๆ อาทิ
- ราคาของวัตถุดิบที่ผันผวนจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงขึ้น
- ค่าแรงขั้นต่ำที่อาจเพิ่มขึ้นและส่งผลต่อธุรกิจที่ยังใช้แรงงานอย่างเข้มข้น
- ปัญหาของแรงงานไทย โดยเฉพาะการหลีกเลี่ยงงาน 3D (Dirty, Dangerous, Demanding) ทำให้ธุรกิจต้องพึ่งพิงแรงงานต่างชาติ โดยผลกระทบจากมาตรการจำกัดการเดินทาง ทำให้เกิดปัญหาขาดแคลนแรงงานอยู่บ้างในช่วงที่วิกฤตคลี่คลายแล้ว (อย่างไรก็ดี วิกฤตโควิด-19 มีส่วนช่วยให้แรงงานไทยลดการหลีกเลี่ยงงาน 3D ได้มากขึ้น)
- มาตรฐานการผลิตจะได้รับความสำคัญมากขึ้นในการส่งออกระหว่างประเทศ อาทิ ด้านสุขอนามัย สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG)
- ความสามารถในการแข่งขันด้านราคาจากค่าเงินบาทที่แข็งกว่าประเทศคู่ค้าต่าง ๆ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับบราซิลที่มีค่าเงินอ่อนมาก
- พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เช่น เน้นอาหารเพื่อสุขภาพ (ลดโซเดียม) และอาหารที่มีมาตรฐานสุขอนามัยเพิ่มขึ้น
ดังนั้น ผู้ประกอบการไทยจึงต้องปรับตัวอย่างต่อเนื่องเพื่อรองรับความท้าทายดังกล่าว อาทิ
- เป็นผู้นำในการพัฒนา โดยให้ความสำคัญกับการเพิ่มผลิตภาพ และรักษามาตรฐานการผลิต เนื่องจากผลิตภัณฑ์ที่ต้องใช้ความประณีตยังเป็นจุดแข็งของผู้ประกอบการไทย
- สำหรับกระบวนการผลิตที่ไม่จำเป็นต้องอาศัยแรงงานฝีมือ ควรนำเครื่องจักรมาใช้ทดแทนแรงงานให้มากขึ้น (automation) เพื่อการผลิตที่มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น
- ลดความเสี่ยงของธุรกิจ โดยการกระจายตลาดและผลิตภัณฑ์ (diversification) เพื่อสร้างโอกาสและกลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ โดยผู้ประกอบการไทยไม่จำเป็นต้องทำแต่อาหารไทยเพื่อส่งออกแต่เพียงอย่างเดียว
ภาครัฐควรขยายและเน้นรูปแบบของการสนับสนุนส่งเสริมอุตสาหกรรมอาหารแปรรูป โดยบูรณาการการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐ และทำงานร่วมกับภาคเอกชนมากขึ้น โดยเฉพาะการวิจัยและพัฒนากระบวนการผลิตและนวัตกรรมร่วมกับภาคเอกชน สำหรับตลาดทุกระดับ เพื่อสร้างโอกาสใหม่ ๆ และรองรับอุปสงค์ที่ยังไม่ได้รับการเติมเต็ม
- ภาครัฐควรให้ความสำคัญกับงาน R&D ในผลิตภัณฑ์ทุกระดับ ตั้งแต่ผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูง (high-end research) เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน รวมทั้งผลิตภัณฑ์ระดับกลางและระดับล่างด้วย ซึ่งเป็นการผลิตในปริมาณมาก (mass production) เพื่อตอบโจทย์ให้กับธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs)
- นอกจากการวิจัยด้านผลิตภัณฑ์แล้ว ภาครัฐควรเพิ่มการวิจัยเพื่อพัฒนาในเชิงกระบวนการผลิต (process) ให้มากขึ้นด้วย
- หน่วยงานวิจัยของรัฐควรมีกระบวนการให้ทุนวิจัยและการเบิกจ่ายทุนวิจัยที่ทันการณ์และคล่องตัว เพื่อรองรับต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วได้ดีขึ้น
- ควรส่งเสริมความร่วมมือกับภาคเอกชนที่มีศักยภาพในการนำผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการวิจัยนั้นไปจำหน่ายและทำการตลาดอย่างมีประสิทธิผล
ลดกฎระเบียบที่ไม่จำเป็น ซึ่งเป็นอุปสรรคและต้นทุนต่อผู้ประกอบการ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการทำงาน/บริหารจัดการต้นทุน
ประเด็นเพิ่มเติม: อาหารที่ได้รับการรับรองมาตรฐานฮาลาล (Halal)
อาหารที่ได้รับการรับรองมาตรฐานฮาลาลมีแนวโน้มเติบโตได้ดี ตามการเติบโตของเศรษฐกิจและประชากรของประเทศที่นับถือศาสนาอสิลาม โดยผู้ประกอบการขนาดใหญ่ของไทยมีศักยภาพในการผลิตและปรับตัวได้ดี แต่ผู้ประกอบการขนาดเล็กต้องเร่งพัฒนาศักยภาพเพื่อรองรับอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้น
ปัญหาอุปสรรคสำคัญของธุรกิจอาหารที่ได้รับการรับรองมาตรฐานฮาลาล ซึ่งต้องเร่งแก้ไข มีดังนี้
- ข้อจำกัดในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนสำหรับผู้ประกอบการ โดยเฉพาะผู้ประกอบการขนาดเล็ก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวไทยมุสลิม เนื่องจากมีเพียงธนาคารอิสลามเท่านั้นที่ดำเนินการได้ถูกต้องตามหลักศาสนา ซึ่งควรส่งเสริมให้ผู้ประกอบการมีช่องทางการเข้าถึงเงินทุนได้มากขึ้น
- กระบวนการการออกใบรับรองที่มีขั้นตอนยุ่งยาก ทั้งความไม่เพียงพอของหน่วยงานที่ออกใบรับรอง การต่ออายุใบรับรองหลายครั้งโดยไม่จำเป็นและสร้างอุปสรรคในกระบวนการการส่งออก ทำให้บางครั้งสินค้าถูกตีกลับ รวมถึงห้องตรวจปฏิบัติการที่มีอุปกรณ์และบุคลากรครบวงจรยังมีอยู่จำกัด ทำให้บางประเทศคู่ค้ายังไม่ยอมรับมาตรฐานฮาลาลของไทยและต้องตรวจมาตรฐานซ้ำ ทำให้เกิดค่าใช้จ่ายในการส่งออกเพิ่มเติมสำหรับผู้ประกอบการ